มกราคม
วันจันทร์ที่ 1 มกราคม
ต่อสู้อย่างหนักเพื่อปกป้องความเชื่อ—ยด. 3
ลูกสาวคนหนึ่งวิ่งไปหาพ่อ เธอดีใจมากที่พ่อกลับมาจากสงครามอย่างปลอดภัย ชัยชนะครั้งนี้ทำให้เธอร้องเพลงและเต้นอย่างมีความสุข แต่สิ่งที่พ่อของเธอพูดนั้นทำให้เธอตกใจมาก พ่อฉีกเสื้อของตัวเองออกและร้องว่า “โธ่ลูกรัก ลูกทำให้หัวใจของพ่อแตกสลาย” พ่อบอกเธอว่าเขาได้สัญญาบางอย่างกับพระยะโฮวาซึ่งจะส่งผลกับเธอไปทั้งชีวิต เพราะเธอจะไม่ได้แต่งงานและมีลูก เมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอบอกพ่อว่าเธอยินดีทำตามทุกอย่าง นี่ทำให้พ่อมีกำลังใจมากขึ้น เพื่อจะทำตามสิ่งที่เขาสัญญาไว้กับพระยะโฮวา คำพูดของเธอแสดงว่าเธอเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าทุกสิ่งที่พระยะโฮวาบอกให้ทำเป็นสิ่งที่ดีเสมอ (วนฉ. 11:34-37) พอเห็นว่าเธอมีความเชื่อมากขนาดนี้ พ่อก็ภูมิใจในตัวเธอมากเพราะรู้ว่าลูกสาวคนนี้กำลังทำให้พระยะโฮวามีความสุข เยฟธาห์และลูกสาวมีความเชื่อในพระยะโฮวาอย่างเต็มที่และมั่นใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าทำ พวกเขาแสดงความเชื่อถึงแม้จะไม่ง่ายและยินดีสละทุกอย่างเพื่อทำให้พระเจ้ายอมรับ ห16.04 1:1, 2
วันอังคารที่ 2 มกราคม
พวกคุณเคยได้ยินเรื่องความอดทนของโยบและรู้ว่าตอนจบพระยะโฮวาให้อะไรกับเขาบ้าง—ยก. 5:11
บางครั้ง คุณอาจรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเพื่อนหรือบางคนในครอบครัวพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คุณหมดกำลังใจ หรือคุณอาจไม่สบายมาก หรือคุณอาจเสียใจมากเพราะคนที่คุณรักตาย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณสามารถได้กำลังใจจากตัวอย่างของโยบ (โยบ 1:18, 19; 2:7, 9; 19:1-3) โยบไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทนทุกข์มากมายอย่างกะทันหันแบบนี้ แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ อะไรช่วยโยบให้อดทน? อันดับแรก เขารักพระยะโฮวาและกลัวที่จะทำให้พระองค์เสียใจ (โยบ 1:1) โยบอยากทำให้พระเจ้าพอใจไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทำได้ง่ายหรือยากก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น พระยะโฮวาช่วยโยบให้เห็นพลังอำนาจของพระองค์โดยบอกให้เขารู้เกี่ยวกับบางสิ่งที่พระองค์สร้าง นี่ทำให้โยบมั่นใจมากขึ้นว่าพระยะโฮวาจะทำให้ปัญหาต่าง ๆ หมดสิ้นในเวลาที่เหมาะสม (โยบ 42:1, 2) แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ “พระยะโฮวาก็ช่วยโยบให้พ้นจากความทุกข์ทรมานและให้เขากลับมาร่ำรวยเหมือนเดิม พระยะโฮวาให้โยบมีทุกสิ่งมากกว่าเดิมถึงสองเท่า” โยบ “มีชีวิตยืนยาวและมีความสุข”—โยบ 42:10, 17 ห16.04 2:11, 13
วันพุธที่ 3 มกราคม
คุณต้องฉลาดเหมือนงู แต่ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนนกเขา—มธ. 10:16
เราฉลาดโดยการคิดล่วงหน้าว่าอาจมีอะไรยุ่งยากเกิดขึ้น และไม่ไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในสภาพการณ์ที่ยุ่งยากนั้น เราต้องระวังมากเมื่อมีคนพูดเรื่องการเมืองขึ้นมา เช่น ตอนที่เราคุยกับบางคนเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า เราจะไม่พูดว่าเราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของนักการเมืองหรือพรรคการเมืองไหนโดยเฉพาะ แทนที่จะคุยว่ามนุษย์จะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหา เราน่าจะให้เขาดูคัมภีร์ไบเบิลว่ารัฐบาลของพระเจ้าจะแก้ทุกปัญหาอย่างถาวร ถ้ามีคนอยากเถียงกับเราในบางเรื่อง เช่น เรื่องการแต่งงานของคนเพศเดียวกัน หรือเรื่องการทำแท้ง ขอเราบอกเขาว่าคัมภีร์ไบเบิลแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างไร และเราพยายามใช้คำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลในชีวิตของเรา หรือถ้าบางคนมาบอกว่าควรมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงกฎหมายบางข้อ เราจะไม่แสดงว่าเราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเขา และเราก็จะไม่พยายามเปลี่ยนแปลงความคิดของเขา ห16.04 4:8, 9
วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม
ให้ไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก—มธ. 28:19
พวกเราที่เป็นคนที่ติดตามพระเยซูต้องทำให้คนเป็นสาวก ให้พวกเขารับบัพติศมา สอนพวกเขา และอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ ไปหาพวกเขา ผู้เชี่ยวชาญคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งบอกว่า “การ ‘ไป’ ในที่นี้เป็นงานที่ผู้เชื่อถือทุกคนต้องทำ ไม่ว่าจะไปอีกฝั่งถนนหรืออีกฝั่งมหาสมุทรก็ตาม” (มธ. 10:7; ลก. 10:3) พระเยซูคาดหมายให้สาวกของท่านทำอะไร? ท่านอยากให้พวกเขาต่างคนต่างไปประกาศกันเอง หรืออยากให้จัดระเบียบและทำงานนี้ร่วมกัน? เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่คนเดียวจะประกาศกับ “คนทุกชาติ” สาวกของพระเยซูจึงต้องมีการจัดระเบียบในการทำงานนี้ นี่คือสิ่งที่พระเยซูพูดถึงตอนที่ท่านเชิญสาวกให้ “ไปหาคน” (มธ. 4:18-22) เมื่อพูดถึงการไปหาคน พระเยซูกำลังเปรียบเทียบกับการไปหาปลา แต่พระเยซูไม่ได้หมายถึงการที่คนคนหนึ่งนั่งรอให้ปลามากินเบ็ด แทนที่จะเป็นอย่างนั้น การหาปลาที่พระเยซูพูดถึงเกี่ยวข้องกับการใช้อวนจับปลา การหาปลาแบบนั้นเป็นงานหนักที่ต้องจัดระเบียบอย่างดี และต้องมีหลายคนมาช่วยกัน—ลก. 5:1-11 ห16.05 2:3, 4
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม
ขอให้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ และอย่าพึ่งความเข้าใจของตัวเอง คิดถึงพระองค์เสมอไม่ว่าจะทำอะไร แล้วพระองค์จะทำให้ชีวิตราบรื่น—สภษ. 3:5, 6
อะไรช่วยเราให้รู้ว่าพระยะโฮวาคิดอย่างไร? สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราทำได้คือการอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ ตอนที่เราอ่านคัมภีร์ไบเบิล ขอให้ถามตัวเองว่า ‘เรื่องนี้สอนอะไรเกี่ยวกับพระยะโฮวา? ทำไมพระองค์ถึงทำอย่างนั้น?’ และเหมือนกับดาวิด เราต้องขอพระยะโฮวาให้ช่วยเรารู้จักพระองค์มากขึ้น ดาวิดบอกว่า “พระยะโฮวา โปรดสอนผมให้รู้จักแนวทางของพระองค์ และสอนผมให้เดินในทางของพระองค์ โปรดช่วยผมให้ใช้ชีวิตตามแนวทางแห่งความจริงของพระองค์ และสอนผมด้วย เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่ช่วยผมให้รอด ผมรอคอยพระองค์ตลอดวัน” (สด. 25:4, 5) ตอนที่เราเรียนบางอย่างเกี่ยวกับพระยะโฮวา เราน่าจะลองคิดถึงสถานการณ์ในชีวิตที่เราอาจใช้ข้อมูลที่เราเรียนได้ เราอาจถามตัวเองว่า เราจะใช้เรื่องที่เราอ่านอย่างไรกับครอบครัว ที่ทำงาน ที่โรงเรียน หรือในงานรับใช้? ถ้าเราคิดถึงสถานการณ์เหล่านั้น ก็ง่ายขึ้นที่เราจะรู้ว่าพระยะโฮวาอยากให้เราใช้เรื่องที่เราอ่านในชีวิตของเราอย่างไร ห16.05 3:9, 11
วันเสาร์ที่ 6 มกราคม
ผู้ดูแลต้องเป็นคนไม่มีที่ติ—1 ทธ. 3:2
พระยะโฮวาบอกคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ผู้ดูแลต้องมี (1 ทธ. 3:2-7) พระองค์ตั้งมาตรฐานไว้สูงสำหรับพี่น้องชายที่จะมาดูแลประชาคม นี่แสดงให้เห็นว่าประชาคมมีค่ามากสำหรับพระยะโฮวา คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพระเจ้าซื้อประชาคม “ด้วยเลือดของลูกของพระองค์เอง” (กจ. 20:28) ดังนั้น พระยะโฮวาคาดหมายให้ผู้ดูแลวางตัวอย่างที่ดี และพวกเขาต้องรับผิดชอบต่อพระองค์เกี่ยวกับวิธีที่เขาดูแลสมาชิกในประชาคม พระองค์อยากให้เรารู้สึกปลอดภัยเมื่อเราได้รับการดูแลจากพวกเขา (อสย. 32:1, 2) เมื่อเราอ่านคุณสมบัติเหล่านี้ เราก็ได้เรียนรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงเรามากจริง ๆ ถึงอย่างนั้น พวกเราทุกคนที่เป็นคริสเตียนสามารถเรียนจากคุณสมบัติต่าง ๆ นั้นด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านั้นก็เป็นสิ่งที่พระยะโฮวาอยากให้เราทุกคนมี เช่น เราต้องเป็นคนมีเหตุผลและมีสติหรือมีวิจารณญาณที่ดี (ฟป. 4:5; 1 ปต. 4:7) ดังนั้น เนื่องจากผู้ดูแลเป็น “ตัวอย่างให้ฝูงแกะ” เราก็น่าจะเรียนจากพวกเขาและ “เลียนแบบความเชื่อของพวกเขา”—1 ปต. 5:3; ฮบ. 13:7 ห16.05 5:8-10
วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม
ให้ปกป้องหัวใจของลูกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด—สภษ. 4:23
เพื่อเราจะไม่เป็นเหมือนดินแข็ง เราต้องระวังนิสัยหรือการกระทำที่ไม่ดี เช่น เป็นคนหยิ่งยโส ทำบาปอยู่เรื่อย ๆ และขาดความเชื่อ ถ้าเราไม่ระวัง สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เรากลายเป็นคนไม่เชื่อฟังและไม่ยอมใคร (ดนล. 5:1, 20; ฮบ. 3:13, 18, 19) เรื่องนี้เกิดขึ้นกับกษัตริย์อุสซียาห์ของอาณาจักรยูดาห์ (2 พศ. 26:3-5, 16-21) ตอนแรก อุสซียาห์เชื่อฟังและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า พระเจ้าจึงช่วยให้เขาแข็งแกร่ง แต่ “เมื่อเขาแข็งแกร่งแล้ว เขาก็กลายเป็นคนหยิ่ง” จนถึงขั้นจะเผาเครื่องหอมที่วิหารทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่ของปุโรหิตเท่านั้น เมื่อปุโรหิตบอกว่าเขาทำอย่างนั้นไม่ได้ อุสซียาห์ก็โกรธมาก พระยะโฮวาทำให้กษัตริย์ผู้หยิ่งยโสต้องรับความอับอาย เขาเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันที่เขาตาย (สภษ. 16:18) ถ้าเราไม่ระวังและกลายเป็นคนหยิ่ง เราอาจเริ่มคิดว่าเราดีกว่าคนอื่นและอาจไม่ฟังคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล—สภษ. 29:1; รม. 12:3 ห16.06 2:3, 4
วันจันทร์ที่ 8 มกราคม
ยอมทนกันและกันด้วยความรัก—อฟ. 4:2
คุณรู้สึกอย่างไรกับพี่น้องที่มีวัฒนธรรมต่างจากคุณ? ภาษาที่พวกเขาพูด เสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ กิริยามารยาท และอาหารที่พวกเขากินอาจแตกต่างจากของคุณ คุณก็เลยอยู่ห่าง ๆ พวกเขา แต่คบหากับพี่น้องที่มีอะไร ๆ เหมือนกับคุณมากกว่าไหม? คุณรู้สึกอย่างไรกับผู้ปกครองที่อายุอ่อนกว่าคุณ เป็นคนละเชื้อชาติ หรือมีวัฒนธรรมต่างจากคุณ? ถ้าเราไม่ระวัง เราอาจปล่อยให้ความแตกต่างเหล่านี้มีอิทธิพลต่อเราและทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เราจะหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร? เปาโลให้คำแนะนำที่ดีกับพี่น้องคริสเตียนในเอเฟซัส เมืองที่ร่ำรวยและมีผู้คนมาจากภูมิหลังแตกต่างกัน (อฟ. 4:1-3) เปาโลพูดถึงคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น ความถ่อมตัว ความอ่อนโยน ความอดทนอดกลั้น และความรัก คุณลักษณะเหล่านี้เป็นเหมือนเสาแข็งแรงที่ช่วยให้บ้านมั่นคง ห16.06 3:17, 18
วันอังคารที่ 9 มกราคม
ระวังตัวให้ดี อย่าเป็นคนโลภ—ลก. 12:15
ซาตานอยากให้เราทุ่มเทตัวเองเพื่อจะหาเงินให้ได้มาก ๆ แทนที่จะทุ่มเทตัวเองรับใช้พระยะโฮวา (มธ. 6:24) แต่ถ้าเราสนใจแต่เรื่องวัตถุสิ่งของ ชีวิตเราก็ไม่ได้มีความสุขจริง ๆ เราอาจสับสนวุ่นวายและมีปัญหาเรื่องเงิน ยิ่งไปกว่านั้น เราอาจสูญเสียความเชื่อที่เรามีในพระยะโฮวาและรัฐบาลของพระองค์ (1 ทธ. 6:9, 10; วว. 3:17) พระเยซูบอกว่า “ความอยากได้สิ่งอื่น ๆ ในชีวิต” เป็นเหมือนพุ่มไม้มีหนามที่ “ครอบงำหัวใจและบดบังสิ่งที่พวกเขาได้ยิน คำสอนของพระเจ้าเลยไม่เกิดผลในชีวิต” (มก. 4:14, 18, 19) ในทุกวันนี้ พวกเรามีชีวิตอยู่ในสมัยที่โลกของซาตานใกล้จะถึงจุดจบ ดังนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะสะสมของมาก ๆ และเราไม่ควรคาดหมายว่า หลังจากความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เราจะยังมีสิ่งของเหล่านั้นอยู่อีก ไม่ว่าสิ่งของนั้นจะมีค่าสำหรับเรามากขนาดไหนก็ตาม—สภษ. 11:4; มธ. 24:21, 22 ห16.07 1:5, 6
วันพุธที่ 10 มกราคม
พวกเราทุกคนจึงได้รับความกรุณาจากท่านอย่างล้นเหลือ—ยน. 1:16
ในตอนเช้าตรู่ เจ้าของสวนองุ่นไปที่ตลาดเพื่อจ้างคนมาทำงานให้เขา เจ้าของสวนเสนอเงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าแรง พวกคนงานตอบตกลง แต่เจ้าของสวนอยากได้คนงานเพิ่มขึ้น เขาจึงกลับไปที่ตลาดอีกหลายครั้งเพื่อหาคนงาน เจ้าของสวนเสนอค่าแรงที่เหมาะสมให้กับคนงานทุกคน พอถึงตอนเย็น เจ้าของสวนเรียกคนงานทุกคนมาหาเพื่อจะให้ค่าแรง และไม่ว่าคนงานจะทำงานมาทั้งวัน หรือเพิ่งทำได้ชั่วโมงเดียว เจ้าของสวนให้ค่าแรงพวกเขาเท่า ๆ กัน พอคนงานที่มาเริ่มงานตั้งแต่เช้ารู้เข้า พวกเขาก็เริ่มบ่น เจ้าของสวนจึงบอกว่า ‘เราตกลงกันอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ? ผมมีสิทธิ์จะใช้เงินของผมยังไงก็ได้ คุณอิจฉาตาร้อนเพราะเห็นผมใจดีหรือไง?’ (มธ. 20:1-15) บางคนอาจคิดว่าพวกคนงานที่ทำงานแค่ชั่วโมงเดียวไม่สมควรได้รับค่าจ้างเต็มวัน แต่เจ้าของสวนใจดีกับคนงานพวกนั้น เรื่องเล่าของพระเยซูให้บทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับ “ความกรุณาที่ยิ่งใหญ่” ของพระยะโฮวา—2 คร. 6:1 ห16.07 3:1, 2
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม
เรากำลังสร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่ . . . เขียนไว้เถอะ เพราะคำพูดทั้งหมดนี้เชื่อถือได้และเป็นความจริง—วว. 21:5
เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าแต่ก่อนที่เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า เพราะจุดจบใกล้เข้ามาแล้ว (มก. 13:10) เราต้องจำไว้ว่าเป้าหมายที่เราไปประกาศก็คือสรรเสริญพระยะโฮวา เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร? เราต้องบอกคนอื่นว่าสิ่งดีทั้งหมดที่เราจะได้รับในโลกใหม่เกิดขึ้นจากความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา ตอนที่เราออกไปประกาศ เราควรพูดถึงรัฐบาลที่มีพระเยซูเป็นกษัตริย์ และอธิบายว่ารัฐบาลนี้จะช่วยให้มนุษย์ได้รับประโยชน์จากค่าไถ่อย่างเต็มที่และพวกเขาจะค่อย ๆ เป็นมนุษย์สมบูรณ์ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “สิ่งที่พระเจ้าสร้างจะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสความเสื่อม และมีเสรีภาพที่งดงามแบบที่ลูกของพระเจ้ามี” (รม. 8:21) สิ่งนี้เป็นไปได้ก็เพราะความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเท่านั้น ห16.07 4:17-19
วันศุกร์ที่ 12 มกราคม
สามีควรให้ภรรยาตามที่เธอควรได้รับ และภรรยาก็ควรให้สามีตามที่เขาควรได้รับ—1 คร. 7:3
คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกเฉพาะเจาะจงว่าสามีและภรรยาควรทำอย่างไรเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความต้องการทางเพศและมีเพศสัมพันธ์ แต่คัมภีร์ไบเบิลก็พูดถึงการแสดงความรักแบบนั้น (พซม. 1:2; 2:6) คู่สมรสควรปฏิบัติต่อกันด้วยความอ่อนโยน ถ้าเรารักพระเจ้า รักคู่ของเรา และรักคนอื่น เราจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำให้ชีวิตคู่ของเราหรือของคนอื่นมีปัญหา บางคนติดสื่อลามก เขาทำให้ชีวิตคู่ของเขาแย่ลงหรืออาจถึงขั้นแตกหัก เราต้องต่อสู้กับความเย้ายวนของสื่อลามกหรืออะไรก็ตามที่เน้นเรื่องเพศแบบผิด ๆ นอกจากนั้น เราต้องไม่ทำอะไรที่อาจดูเหมือนว่าเรากำลังจีบหรือให้ความสนใจคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ของเรา การทำแบบนี้ไม่ได้เป็นการแสดงความรัก เราต้องจำไว้เสมอว่าพระเจ้ารู้ทุกอย่างที่เราคิดและทำ นี่ช่วยให้เราซื่อสัตย์กับคู่ของเราและหนักแน่นที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์พอใจ—มธ. 5:27, 28; ฮบ. 4:13 ห16.08 2:7-9
วันเสาร์ที่ 13 มกราคม
เราจึงอธิษฐานเพื่อพวกคุณมาตลอดและขอให้พวกคุณมีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความประสงค์ของพระเจ้า—คส. 1:9
เพราะความรู้ที่ถูกต้องทำให้พี่น้องในเมืองโคโลสี “มีสติปัญญาครบถ้วนและมีความเข้าใจ” และรู้วิธีที่จะ “ใช้ชีวิตให้สมกับการเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาเพื่อจะทำให้พระองค์พอใจเสมอ” นอกจากนั้นยังทำให้พวกเขา “เกิดผลดีในทุกสิ่ง” ที่พระยะโฮวาอยากให้เขาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานประกาศข่าวดี (คส. 1:10) ดังนั้น ถ้าเราสอนคัมภีร์ไบเบิลกับใครสักคน เราก็ต้องช่วยเขาให้เข้าใจว่าการอ่านคัมภีร์ไบเบิลและการศึกษาส่วนตัวเป็นประจำจะช่วยพวกเขาในการรับใช้พระยะโฮวา นอกจากนี้ ตัวเราเองต้องเข้าใจว่าการศึกษาส่วนตัวสำคัญมากขนาดไหนด้วย ที่จริง การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำและคิดใคร่ครวญจะช่วยเราทั้งในการใช้ชีวิตและในงานรับใช้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราไปประกาศและมีบางคนถามคำถามยาก ๆ เราก็จะสามารถใช้คัมภีร์ไบเบิลตอบคำถามเขาได้ ถ้าเราบอกคนอื่น ๆ ว่าสิ่งที่เราได้อ่านช่วยเราอย่างไร นี่ก็อาจจะให้กำลังใจพวกเขาให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อที่พวกเขาก็จะได้รับประโยชน์เหมือนกับเรา ห16.08 4:3, 4
วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม
เรา . . . ต่อสู้กับกองทัพปีศาจชั่วในสวรรค์—อฟ. 6:12
เราต้องสู้เพื่อจะไม่ได้รับผลกระทบจากการสอนต่าง ๆ ของโลกนี้ จากหลักปรัชญา และจากการกระทำที่ไม่ดี เช่น การทำผิดศีลธรรมทางเพศ การสูบบุหรี่ การดื่มเหล้ามากเกินไป หรือการใช้ยาเสพติด นอกจากนั้น เรายังต้องต่อสู้เรื่อย ๆ กับความท้อแท้และจุดอ่อนของตัวเราเองด้วย (2 คร. 10:3-6; คส. 3:5-9) เป็นไปได้ไหมที่เราจะชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังมากขนาดนั้น? เป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่มันก็ไม่ง่าย เปาโลเปรียบเทียบตัวเองกับนักมวยตอนที่เขาบอกว่า “ที่ผมชกอยู่นี้ ผมไม่ได้ชกลม” (1 คร. 9:26) เหมือนกับนักมวยที่ชกกับคู่ต่อสู้ เราก็ต้องสู้กับศัตรูของเรา พระยะโฮวาช่วยเราและฝึกเราให้ทำอย่างนั้นได้ พระองค์ทำอย่างนั้นโดยทางคัมภีร์ไบเบิล ทางหนังสือและสื่อต่าง ๆ ที่ใช้คัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก ทางการประชุมคริสเตียน การประชุมหมวดและการประชุมภูมิภาค คุณใช้คำแนะนำทุกอย่างที่คุณได้รับไหม? ห16.09 2:2, 3
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม
แม้แต่พระคริสต์เองก็ไม่ได้ทำตามใจตัวเอง—รม. 15:3
เราควรให้ความต้องการของพระเจ้ามาก่อนความชอบส่วนตัวของเราเหมือนที่พระเยซูทำ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะไม่เลือกเสื้อผ้าที่ตัวเราเองชอบแต่อาจทำให้คนอื่นไม่อยากฟังข่าวดี (รม. 15:2) พ่อแม่คริสเตียนมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะสอนลูก ๆ ให้ทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาต้องแน่ใจว่าเขากับลูก ๆ กำลังทำให้พระเจ้ามีความสุขโดยแต่งตัวสุภาพเรียบร้อย (สภษ. 22:6; 27:11) พ่อแม่จะฝึกสอนให้ลูก ๆ ให้เกียรติพระเจ้าผู้บริสุทธิ์และนับถือมาตรฐานของพระองค์ได้อย่างไร? พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีและควรสอนลูก ๆ ด้วยความรัก พวกเขาควรบอกลูก ๆ ว่าจะหาเสื้อผ้าที่เหมาะสมได้อย่างไร เด็ก ๆ ไม่ควรเลือกเสื้อผ้าแค่เพราะเขาชอบเท่านั้น แต่สำคัญกว่านั้น พวกเขาควรเลือกในแบบที่ทำให้พระยะโฮวาได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนของพระองค์ ห16.09 3:13, 14
วันอังคารที่ 16 มกราคม
นักเรียนไม่เหนือกว่าครู แต่ทุกคนที่ได้รับการสอนอย่างครบถ้วนก็จะเป็นเหมือนครูของเขา—ลก. 6:40
ผู้คนชอบฟังพระเยซูสอนเพราะพระเยซูรักพระยะโฮวาและท่านรู้เรื่องพระคัมภีร์อย่างดี พวกเขารับรู้ได้ว่าพระเยซูรักพวกเขา นี่ทำให้พวกเขาตั้งใจฟังที่พระเยซูสอน (ลก. 24:32; ยน. 7:46) คล้ายกัน ถ้าลูก ๆ ของคุณเห็นว่าคุณรักพระยะโฮวา นี่จะทำให้พวกเขารักพระยะโฮวาเหมือนกัน (ฉธบ. 6:5-8; ลก. 6:45) ดังนั้น คุณต้องตั้งใจศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ต้องอ่านหนังสือต่าง ๆ ขององค์การเป็นประจำ และพยายามเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาสร้าง (มธ. 6:26, 28) ถ้าคุณรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวามากขึ้น คุณก็จะสอนลูก ๆ ของคุณเกี่ยวกับพระองค์ได้มากขึ้นด้วย เล่าให้ลูก ๆ ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่คุณได้เรียนเรื่องพระยะโฮวา พยายามทำอย่างนี้เสมอตอนที่อยู่กับเขา ไม่ใช่เฉพาะตอนที่เตรียมการประชุมหรือตอนนมัสการประจำครอบครัวเท่านั้น ห16.09 5:6, 7
วันพุธที่ 17 มกราคม
ทั้งหมดพูดภาษายิวไม่ได้เลย—นหม. 13:24
ถ้าเราไม่เข้าใจคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลในภาษาต่างประเทศ ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวาก็อาจมีปัญหาได้ ลองนึกถึงตอนที่เนหะมีย์กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็ม เขาสังเกตว่ามีเด็ก ๆ บางคนที่พูดภาษาฮีบรูไม่ได้ เนื่องจากเด็กเหล่านี้ไม่เข้าใจพระคัมภีร์ซึ่งมีในภาษาฮีบรู พวกเขาจึงไม่มีความเชื่อในพระเจ้า และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระองค์มีปัญหา (นหม. 8:2, 8) พ่อแม่บางคนที่รับใช้ในเขตภาษาต่างประเทศสังเกตว่าความสัมพันธ์ที่ลูกของเขามีกับพระยะโฮวาแย่ลง ทำไมล่ะ? เพราะตอนที่เราอ่านภาษาอื่น เราอาจได้ความรู้สึกไม่เท่ากับตอนที่อ่านภาษาตัวเอง และยิ่งถ้าการสื่อสารโดยใช้ภาษาอื่นเป็นเรื่องยากสำหรับเรา เราก็จะรู้สึกเหนื่อย หมดแรง แล้วมันก็จะมีผลกระทบกับการนมัสการของเรา ดังนั้น ตอนที่เราพยายามทำตามเป้าหมายของเราที่จะรับใช้ในเขตภาษาต่างประเทศ เราก็ต้องไม่ลืมรักษาความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวาไว้เสมอ—มธ. 4:4 ห16.10 2:4-6
วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม
ความเชื่อ . . . เป็นความแน่ใจเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมีจริง—ฮบ. 11:1
ไม่ใช่ทุกคนมีความเชื่อ (2 ธส. 3:2) แต่พระยะโฮวาช่วยทุกคนที่นมัสการพระองค์ให้มีความเชื่อ (รม. 12:3; กท. 5:22) เราขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่พระองค์ช่วยเราให้มีความเชื่อ พระยะโฮวาให้ลูกชายสุดที่รักของพระองค์เป็นค่าไถ่เพื่อคนที่มีความเชื่อในพระเยซูจะได้รับการอภัยบาป ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวาและมีชีวิตตลอดไปได้ (ยน. 6:44, 65; รม. 6:23) พระยะโฮวาใจดีกับเราจริง ๆ ถึงแม้ว่าเราเป็นคนบาปและสมควรตาย แต่พระยะโฮวายังเห็นสิ่งดี ๆ ในตัวเรา (สด. 103:10) พระองค์ช่วยเราให้เปิดหัวใจเรียนข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูและค่าไถ่ ถ้าเรามีความเชื่อในพระเยซูและทำตามสิ่งที่ท่านบอก เราก็สามารถรอคอยที่จะมีชีวิตตลอดไปได้—1 ยน. 4:9, 10 ห16.10 4:1, 2
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม
[เปาโล] พูดให้กำลังใจพวกสาวกที่นั่นหลายอย่าง—กจ. 20:2
อัครสาวกเปาโลชอบพูดถึงเรื่องดี ๆ ของพี่น้อง เปาโลเดินทางกับพี่น้องบางคนหลายปีจนรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดีรวมทั้งรู้ข้อเสียของพวกเขาด้วย แต่แทนที่เปาโลจะพูดถึงข้อเสียของพี่น้อง เขากลับพูดถึงข้อดีของพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึงทิโมธี เปาโลบอกว่าเขาเป็น “ลูกรักของผมและซื่อสัตย์ในการรับใช้ผู้เป็นนาย” เปาโลมั่นใจว่าทิโมธีจะสนใจและเป็นห่วงคนอื่น (1 คร. 4:17; ฟป. 2:19, 20) นอกจากนั้น เปาโลบอกพี่น้องในประชาคมโครินธ์ว่าทิตัสเป็น “เพื่อนร่วมรับใช้ของผมและทำงานเพื่อประโยชน์ของพวกคุณ” (2 คร. 8:23) ทั้งทิโมธีและทิตัสต้องได้กำลังใจแน่ ๆ ที่ได้รู้ว่าเปาโลคิดอย่างไรกับพวกเขา เปาโลและบาร์นาบัสเพื่อนของเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อให้กำลังใจพี่น้อง ตัวอย่างเช่น พวกเขารู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากในเมืองลิสตราอยากจะฆ่าเขา แต่พวกเขาก็ยังกลับไปที่นั่นเพื่อให้กำลังใจและช่วยพวกสาวกใหม่ให้ซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา (กจ. 14:19-22) หลังจากนั้นในเมืองเอเฟซัส ทั้ง ๆ ที่มีกลุ่มคนที่โกรธและอยากจะทำร้ายเปาโล แต่เขาก็ยังใช้เวลาอยู่ที่นั่นมากพอที่จะให้กำลังใจพี่น้อง—กจ. 20:1 ห16.11 1:10, 11
วันเสาร์ที่ 20 มกราคม
ให้มีความคิดและเป้าหมายเดียวกันเสมอ—1 คร. 1:10
พระยะโฮวาชี้นำและสอนผู้คนในองค์การของพระองค์ที่อยู่บนโลกในทุกวันนี้ พระองค์ทำอย่างนั้นอย่างไร? พระองค์แต่งตั้งพระเยซูเป็น “ผู้นำของประชาคม” และพระเยซูก็แต่งตั้ง “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” เพื่อสอนและนำหน้าประชาชนของพระเจ้า (อฟ. 5:23; มธ. 24:45-47) เหมือนกับคณะกรรมการปกครองในศตวรรษแรก ทาสที่ซื่อสัตย์เหล่านี้นับถือคัมภีร์ไบเบิลว่าเป็นคำสอนของพระเจ้า (1 ธส. 2:13) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเราต้องไปประชุมเป็นประจำ (ฮบ. 10:24, 25) และยังสนับสนุนเราไม่ให้แตกแยกกันทางความเชื่อ คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรา “ทำให้การปกครองของพระเจ้า . . . เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต” (มธ. 6:33) คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เราไปประกาศตามบ้าน ตามที่สาธารณะ และทุกที่ที่มีผู้คน (มธ. 28:19, 20; กจ. 5:42; 17:17; 20:20) คัมภีร์ไบเบิลชี้นำผู้ดูแลให้รักษาประชาคมให้สะอาด (1 คร. 5:1-5, 13; 1 ทธ. 5:19-21) และยังบอกอีกว่าพวกเราควรรักษาร่างกายให้สะอาดและไม่ปล่อยตัวให้คิดหรือมีนิสัยที่พระยะโฮวาเกลียด—2 คร. 7:1 ห16.11 3:7, 8
วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม
ประชาชนของเรา พวกคุณต้องออกมาจากเมืองนี้—วว. 18:4
สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี 1914-1918 หลายปีก่อนหน้านั้น ชาลส์ เทซ รัสเซลล์และนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนอื่น ๆ รู้ว่าพวกคริสต์ศาสนจักรไม่ได้สอนความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาจึงตัดสินใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกคริสต์ศาสนจักรเพราะพวกเขาไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ ตั้งแต่ปี 1879 วารสารหอสังเกตการณ์แห่งซีโอน ก็บอกไว้แล้วว่า โบสถ์ทุกแห่งที่อ้างว่าเป็นเจ้าสาวที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์แต่กลับสนับสนุนรัฐบาลต่าง ๆ ก็เป็นส่วนของบาบิโลนใหญ่ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลเรียกว่าผู้หญิงโสเภณี (วว. 17:1, 2) ชายและหญิงที่ซื่อสัตย์รู้ดีว่าถ้าพวกเขายังเข้าร่วมกับศาสนาเท็จ พระเจ้าจะไม่อวยพรเขา ดังนั้น พวกเขาหลายคนส่งจดหมายไปที่โบสถ์เพื่อขอลาออกจากการเป็นสมาชิก ห16.11 5:2, 3
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม
คนที่ใช้ชีวิตตามที่พลังของพระเจ้าชี้นำก็สนใจแต่สิ่งที่พลังนั้นอยากให้เราทำ—รม. 8:5
คุณอาจได้อ่านโรม 8:15-17 ในช่วงการประชุมอนุสรณ์ที่ระลึกถึงการเสียชีวิตของพระเยซู ข้อเหล่านี้อธิบายวิธีที่คริสเตียนผู้ถูกเจิมรู้ว่าพวกเขามีความหวังจะมีชีวิตตลอดไปบนสวรรค์ ในโรม 8:1 พูดถึง “สาวกของพระคริสต์เยซู” ซึ่งหมายถึงคริสเตียนผู้ถูกเจิม แต่เนื้อหาในโรมบท 8 ใช้กับคริสเตียนผู้ถูกเจิมและมีประโยชน์กับพวกเขาเท่านั้นไหม? หรือเราที่มีความหวังจะมีชีวิตตลอดไปบนโลกก็ได้ประโยชน์ด้วย? หนังสือโรมบท 8 ถูกเขียนขึ้นสำหรับคริสเตียนผู้ถูกเจิมโดยเฉพาะ พวกเขา “ได้รับพลังของพระเจ้า” และ ‘คอยให้พระเจ้ารับเป็นลูก และใช้ค่าไถ่ของพระคริสต์เพื่อปลดปล่อยจากร่างกาย [มนุษย์]’ (รม. 8:23) ในอนาคตพวกเขาจะเป็นลูกของพระเจ้าบนสวรรค์ นี่เป็นไปได้เพราะพวกเขารับบัพติศมาและพระเจ้าได้ใช้ค่าไถ่กับพวกเขาแล้ว พระองค์ให้อภัยบาปพวกเขาและถือว่าพวกเขาเป็นที่ยอมรับ พวกเขาจึงได้เป็นลูกของพระองค์ (รม. 3:23-26; 4:25; 8:30) ถึงอย่างนั้นในบทแรก ๆ ของหนังสือโรม เปาโลเขียนเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้เป็นผู้ถูกเจิม แต่พระยะโฮวาก็นับว่าเขาเป็นคนที่พระองค์ยอมรับ ในทุกวันนี้ คริสเตียนที่มีความเชื่อและมีความหวังจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปบนโลกก็สามารถได้ประโยชน์จากคำแนะนำในโรมบท 8 ด้วย ห16.12 2:1-3
วันอังคารที่ 23 มกราคม
ไม่ต้องกังวล—มธ. 6:34
พระเยซูกำลังหมายถึงอะไรตอนที่ท่านแนะนำแบบนี้? พระเยซูไม่ได้หมายความว่าคนที่รับใช้พระเจ้าจะต้องไม่กังวลอะไรเลย แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระเยซูกำลังช่วยสาวกให้เข้าใจว่า การกังวลในเรื่องที่ไม่จำเป็นและการกังวลมากเกินไปไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร แต่ละวันมีปัญหาที่เราต้องรับมืออยู่แล้ว ดังนั้น คริสเตียนไม่ควรเพิ่มความกังวลโดยคิดเกี่ยวกับปัญหาในอดีตหรือปัญหาที่คิดว่าจะเกิดในอนาคต บางครั้ง คริสเตียนก็อาจกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่คุณไม่ต้องไปเครียดเกี่ยวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะอะไร? เพราะหลายครั้งสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิด และเราต้องจำไว้ว่าไม่มีสถานการณ์ไหนที่พระเจ้าควบคุมไม่ได้ คุณมั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะอวยพรผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดีและช่วยทุกคนให้ไม่กังวลเกินไปเกี่ยวกับสิ่งที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ห16.12 3:13, 16
วันพุธที่ 24 มกราคม
คนเจียมตัวจะมีสติปัญญา—สภษ. 11:2
ตอนที่พระยะโฮวาเลือกซาอูลเป็นกษัตริย์ เขาเป็นคนเจียมตัว (1 ซม. 9:1, 2, 21; 10:20-24) แต่พอได้เป็นกษัตริย์ เขาก็กลายเป็นคนหยิ่งและทำเกินสิทธิ์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกฟีลิสเตียหลายหมื่นคนยกทัพมาต่อสู้กับชาวอิสราเอล ผู้พยากรณ์ซามูเอลบอกซาอูลว่าจะมาถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวา แต่ซามูเอลก็ไม่มาสักที ชาวอิสราเอลที่อยู่กับซาอูลเลยกลัวและหนีไป ซาอูลเริ่มทนไม่ไหวและไม่อยากรอ เขาจึงถวายเครื่องบูชาด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้น พระยะโฮวาไม่พอใจมากที่เขาทำอย่างนั้น (1 ซม. 13:5-9) พอซามูเอลมาถึงก็ต่อว่าซาอูลที่ไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา แต่ซาอูลคิดว่าตัวเองไม่ผิด เขาหาข้อแก้ตัวและถึงขั้นโทษคนอื่น (1 ซม. 13:10-14) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซาอูลก็ทำเกินสิทธิ์หลายครั้ง พระยะโฮวาจึงถอดเขาออกจากตำแหน่งกษัตริย์ (1 ซม. 15:22, 23) ชีวิตของซาอูลเริ่มต้นอย่างดีแต่จบลงอย่างเลวร้าย—1 ซม. 31:1-6 ห17.01 3:1, 2
วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม
เราพบว่าดาวิด . . . จะทำทุกอย่างตามที่เราต้องการ—กจ. 13:22
กษัตริย์ดาวิดเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และพระยะโฮวารักเขามาก แต่ดาวิดทำบาปร้ายแรง เขาทำผิดศีลธรรมกับบัทเชบา (2 ซม. 11:1-21) ดาวิดไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ ที่จริง เขาต้องรับผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากความผิดของเขาไปตลอดชีวิต (2 ซม. 12:10-12, 14) ดังนั้น ดาวิดต้องมีความเชื่อ เขาต้องวางใจว่าพระยะโฮวาจะให้อภัยเขาเพราะเขากลับใจจริง และพระองค์จะช่วยเขาให้อดทนกับผลเสียหายที่เกิดจากการกระทำของเขาได้ เนื่องจากเราไม่สมบูรณ์แบบ เราทุกคนทำบาป บางครั้งก็เป็นความผิดพลาดเล็กน้อย บางครั้งก็เป็นความผิดพลาดร้ายแรง เราอาจไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ และอาจต้องรับผลเสียหายที่เกิดจากการกระทำของเรา (กท. 6:7) แต่เราวางใจในคำสัญญาของพระเจ้าว่าถ้าเรากลับใจจริง ถึงแม้เราจะเจอปัญหามากมายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากความผิดที่เราทำ แต่พระองค์จะช่วยเราแน่นอน—อสย. 1:18, 19; กจ. 3:19 ห17.01 1:10-12
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม
มนุษย์ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนพวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ แม้พวกเขาจะบอกว่าตัวเองฉลาดพอจะรู้ได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจได้จริง ๆ—ปญจ. 8:17
การเป็นคนเจียมตัวจะช่วยเราตัดสินใจอย่างถูกต้อง ถึงแม้เราไม่สามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้และไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น เราอาจคิดจะทำงานรับใช้เต็มเวลา แต่ถ้าอนาคตเราเกิดป่วยล่ะ? หรือถ้าพ่อแม่ของเราป่วยและต้องการความช่วยเหลือล่ะ? หรือเราจะทำอย่างไรถ้าเราแก่ลง? ถึงเราอาจอธิษฐานและคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นอย่างดี แต่เราก็ไม่สามารถรู้คำตอบทั้งหมดได้ แต่ถ้าเราวางใจในพระยะโฮวา เราจะรู้ขีดจำกัดของตัวเองและยอมรับขีดจำกัดนั้น เราจะคิดเกี่ยวกับสภาพการณ์จริง ๆ ของเราและขอคำแนะนำจากคนอื่น ที่สำคัญที่สุดเราจะอธิษฐานขอการชี้นำจากพระยะโฮวา จากนั้น เราก็ต้องทำตามการชี้นำที่มาจากพลังของพระองค์ (ปญจ. 11:4-6) การทำอย่างนี้จะทำให้พระยะโฮวาสามารถอวยพรการตัดสินใจของเรา หรือพระองค์อาจชี้นำเราให้เปลี่ยนแปลงแผนการในชีวิตก็ได้—สภษ. 16:3, 9 ห17.01 4:14
วันเสาร์ที่ 27 มกราคม
ห้ามกินผลจาก . . . ต้นนั้น—ปฐก. 2:17
อาดัมและเอวาต้องตัดสินใจ พวกเขาจะฟังพระเจ้า หรือฟังซาตาน? น่าเสียดายที่พวกเขาตัดสินใจไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก. 3:6-13) เนื่องจากอาดัมกับเอวาไม่ทำตามกฎหมายของพระเจ้า พวกเขาจึงไม่ได้เป็นคนสมบูรณ์แบบอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น การทำชั่วของพวกเขาทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรูของพระเจ้าเพราะพระองค์เกลียดความชั่ว คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ตาของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะมองดูสิ่งชั่วช้า” (ฮบก. 1:13) ถ้าพระยะโฮวาไม่จัดการกับความผิดที่อาดัมกับเอวาทำ สิ่งอื่น ๆ ที่พระองค์สร้างจะมีปัญหารวมทั้งความหวังในอนาคตของพวกเขาด้วย ทั้งทูตสวรรค์และมนุษย์อาจสงสัยว่าจะเชื่อคำพูดของพระเจ้าได้อีกไหม แต่พระยะโฮวาซื่อสัตย์กับมาตรฐานของพระองค์ พระองค์ไม่ฝ่าฝืนสิ่งที่พระองค์ตั้งไว้ (สด. 119:142) ถึงแม้อาดัมกับเอวามีอิสระที่จะคิดตัดสินใจได้เอง แต่พวกเขาก็ต้องรับผลเสียจากการกบฏขัดขืนพระยะโฮวา พวกเขาต้องตายและกลับไปเป็นดิน—ปฐก. 3:19 ห17.02 1:8, 10, 11
วันอาทิตย์ 28 มกราคม
มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ใช่ด้วยอาหารเท่านั้น แต่ด้วยคำพูดทุกคำที่มาจากพระยะโฮวา—มธ. 4:4
ตั้งแต่เริ่มงานรับใช้จนถึงตอนที่พระเยซูเสียชีวิตบนเสาทรมาน พระเยซูยอมให้ถ้อยคำของพระเจ้าชี้นำท่านเสมอ แม้แต่ตอนที่กำลังจะเสียชีวิต พระเยซูก็อ้างถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับเมสสิยาห์ (มธ. 27:46; ลก. 23:46) แต่พวกผู้นำศาสนาในตอนนั้นไม่ได้ทำเหมือนพระเยซูเลย ถ้าคำสอนของพระเจ้าไม่ตรงกับธรรมเนียมของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ทำตามคำสอนนั้น พระเยซูยกถ้อยคำของพระเจ้าขึ้นมาพูดเกี่ยวกับพวกเขาว่า “ชนชาตินี้นับถือเราแต่ปาก แต่ในใจของเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ที่พวกเขานมัสการเราก็ไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเขาชอบเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอน” (มธ. 15:7-9) พระเยซูใช้ถ้อยคำของพระเจ้าเมื่อสอนคนอื่น ๆ ด้วย ตอนที่พวกผู้นำศาสนาทดสอบพระเยซู ท่านไม่ได้ใช้สติปัญญาหรือประสบการณ์ของตัวเองเพื่อตอบคำถามพวกเขา แทนที่จะทำอย่างนั้น พระเยซูสอนผู้คนจากพระคัมภีร์—มธ. 22:33-40 ห17.02 3:18, 19
วันจันทร์ 29 มกราคม
ให้เกียรติคนทุกชนิด . . . และนับถือกษัตริย์—1 ปต. 2:17
พวกเราที่เป็นพยานพระยะโฮวาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อแสดงความนับถือเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ในแต่ละประเทศมีธรรมเนียมที่แตกต่างกัน สิ่งที่เจ้าหน้าที่เรียกร้องจากเราจึงไม่เหมือนกันและเราต้องร่วมมือกับพวกเขา แต่ถ้าเขาขอให้เราทำบางสิ่งที่จะทำให้เราไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา เราก็จะไม่เชื่อฟังพวกเขา เราจะเชื่อฟังและให้เกียรติพระยะโฮวามากกว่ามนุษย์ (1 ปต. 2:13-16) เราสามารถเรียนรู้จากผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในอดีตที่ให้เกียรติรัฐบาลและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โยเซฟและมารีย์เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ตอนที่รัฐบาลโรมอยากรู้จำนวนคนที่อาศัยอยู่ในที่ต่าง ๆ โยเซฟและมารีย์ก็ให้ความร่วมมือ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นมารีย์ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว พวกเขาก็ไปเบธเลเฮมเพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัว (ลก. 2:1-5) อัครสาวกเปาโลก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่นับถือผู้ที่มีอำนาจ เมื่อเปาโลถูกกล่าวหาว่าทำความผิด เขาพูดด้วยความนับถือตอนที่แก้ต่างให้ตัวเองต่อหน้ากษัตริย์เฮโรดอากริปปาและเฟสทัสผู้ว่าราชการของแคว้นยูเดียในจักรวรรดิโรม—กจ. 25:1-12; 26:1-3 ห17.03 1:9, 10
วันอังคารที่ 30 มกราคม
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ . . . ถูกเขียนไว้เพื่อเตือนเรา—1 คร. 10:11
เมื่อชาวอิสราเอลหลายคนเริ่มทำชั่วตามอย่างชาวคานาอัน พระยะโฮวาจึงไม่ได้ปกป้องพวกเขาจากศัตรู (วนฉ. 2:1-3, 11-15; สด. 106:40-43) ในช่วงเวลาที่ยุ่งยากนั้น การที่แต่ละครอบครัวจะรักษาความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องยากมาก ถึงอย่างนั้น คัมภีร์ไบเบิลก็ยังพูดถึงคนที่ซื่อสัตย์บางคน เช่น เยฟธาห์ เอลคานาห์ ฮันนาห์ และซามูเอล คนเหล่านี้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำให้พระยะโฮวามีความสุข (1 ซม. 1:20-28; 2:26) ตอนนี้ ผู้คนคิดและทำเหมือนกับชาวคานาอัน พวกเขาสนใจแต่เรื่องเพศ ความรุนแรง และเงิน แต่พระยะโฮวาให้คำเตือนที่ชัดเจนในเรื่องนี้ พระองค์อยากปกป้องเราเหมือนกับที่อยากปกป้องชาวอิสราเอลจากอิทธิพลที่ไม่ดี ขอให้ตัวอย่างที่ไม่ดีของชาวอิสราเอลสอนใจเรา (1 คร. 10:6-10) เราต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะไม่คิดเหมือนผู้คนในโลกนี้ (รม. 12:2) เราพยายามทำอย่างนั้นจริง ๆ ไหม? ห16.04 1:4-6
วันพุธที่ 31 มกราคม
คนที่มีความเข้าใจจะยอมรับคำแนะนำที่ดี—สภษ. 1:5
ก่อนที่เราจะตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะค้นคว้าและอธิษฐานขอการชี้นำจากพระเจ้า พระยะโฮวาจะช่วยให้เรามีคุณลักษณะต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อจะตัดสินใจอย่างที่สอดคล้องกับความต้องการของพระองค์ เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘การตัดสินใจนั้นแสดงให้เห็นไหมว่าฉันรักพระยะโฮวาจริง ๆ? การตัดสินใจนั้นช่วยให้ครอบครัวของฉันมีความสุขไหม? และเป็นการแสดงไหมว่าฉันเป็นคนอดทนและรักคนอื่น?’ พระยะโฮวาไม่บังคับเราให้รักและรับใช้พระองค์ แต่พระองค์ให้เรามีอิสระที่จะเลือกได้ด้วยตัวเองว่าจะรับใช้พระองค์หรือเปล่า พระองค์เคารพสิทธิ์และหน้าที่ในการตัดสินใจของเรา (ยชว. 24:15; ปญจ. 5:4) แต่พระองค์ก็คาดหมายให้เราทำตามการตัดสินใจที่ได้รับการชี้นำจากคัมภีร์ไบเบิล ถ้าเราไว้วางใจการชี้นำที่มาจากพระยะโฮวาและทำตามหลักการที่พระองค์ให้เรา เราจะตัดสินใจได้อย่างฉลาดและแสดงว่าเราไม่ได้เป็นคนโลเลแต่เป็นคนหนักแน่นมั่นคง—ยก. 1:5-8; 4:8 ห17.03 2:17, 18