กุมภาพันธ์
วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์
ให้อดทนจนถึงที่สุด—ยก. 1:4
ยากอบได้รับการดลใจให้เขียนว่า “ให้อดทนจนถึงที่สุดเพราะนั่นจะเป็นการฝึกตัวคุณ เพื่อพวกคุณจะเป็นคนดีพร้อมไม่ขาดตกบกพร่องเลย” (ยก. 1:4) เราจะ “อดทนจนถึงที่สุด” ได้อย่างไร? ตอนที่เราเจอกับปัญหา เราอาจสังเกตได้ว่าตัวเรามีจุดอ่อนอะไร เราอาจต้องพัฒนาคุณลักษณะบางอย่างมากขึ้น เช่น ความอดทน ความรัก และการเห็นคุณค่าสิ่งต่าง ๆ ดังนั้น ตอนที่เราอดทนกับปัญหา เราก็ฝึกพัฒนาลักษณะนิสัยแบบคริสเตียนให้ดีขึ้น เนื่องจากความอดทนทำให้เราเป็นคริสเตียนที่ดีขึ้น ดังนั้น เราต้องไม่ทำสิ่งที่ขัดกับกฎหมายของพระยะโฮวาเพื่อจะได้ไม่ต้องทนอีกต่อไป ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องอดทนต่อสู้กับความคิดผิด ๆ เรื่องเพศ อย่ายอมแพ้การล่อใจนั้น ขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเพื่อจะเอาชนะความคิดผิด ๆ ได้ คุณต้องอดทนกับสมาชิกในครอบครัวที่ต่อต้านคุณไหม? อย่ายอมแพ้ ขอให้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไป ขอจำไว้ว่า เพื่อเราจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้า เราต้องอดทน—รม. 5:3-5; ยก. 1:12 ห16.04 2:15, 16
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์
ให้ถ่อมตัวและมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง—ฟป. 2:3
เรารู้ว่าพระยะโฮวาไม่ได้มองว่าใครคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งดีกว่าคนอื่น ๆ สำหรับพระองค์แล้วทุกคนมีค่าเท่ากัน พระองค์สร้างพวกเราให้แตกต่างกัน และพวกเราสามารถชื่นชมกับความแตกต่างหลากหลายนั้น พระเจ้าไม่ได้อยากให้เราทิ้งพื้นเพและวัฒนธรรมต่าง ๆ ของเรา แต่พระองค์ก็ไม่อยากให้เราคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ๆ (รม. 10:12) เราไม่ควรภูมิใจในเชื้อชาติหรือประเทศบ้านเกิดของเราและคิดว่าเราดีกว่าคนอื่น ๆ ถ้าเรารู้สึกอย่างนั้น เราก็จะรักษาความเป็นกลางได้ยากขึ้น เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นในศตวรรษแรก มีพี่น้องฮีบรูบางคนไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องกรีกที่เป็นแม่ม่ายเพราะเขาเป็นอีกเชื้อชาติหนึ่ง (กจ. 6:1) เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มมีความภูมิใจผิด ๆ แบบนี้? ถ้ามีพี่น้องผู้ชายหรือผู้หญิงบางคนที่มาจากที่อื่นแนะนำคุณ คุณคิดทันทีเลยไหมว่า ‘วิธีที่เราทำกันที่นี่ดีกว่า’ และไม่ยอมรับคำแนะนำนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้น ขอจำคำแนะนำที่สำคัญจากข้อคัมภีร์วันนี้ไว้ ห16.04 4:12, 13
วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์
ผมต้องประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า—ลก. 4:43
พระเยซูประกาศ “ข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” ท่านอยากให้สาวกทำอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วใครล่ะที่กำลังประกาศข่าวสารนั้นอยู่ทั่วโลก? (มธ. 28:19) มีแต่พยานพระยะโฮวาที่ทำอย่างนั้น ขอสังเกตว่าบาทหลวงมิชชันนารีที่เดินทางไปในหลายประเทศพูดกับพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งอย่างไร เขาเล่าให้พี่น้องของเราฟังว่าในทุกประเทศที่เขาไป เขาถามพวกพยานฯ ว่ากำลังประกาศข่าวสารอะไร บาทหลวงบอกว่า “พวกพยานฯ โง่มาก พวกเขาตอบเหมือนกันหมดว่า ‘ข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า’” คำพูดของบาทหลวงคนนั้นให้ข้อพิสูจน์ว่าพวกเราไม่ได้โง่ แต่พวกเราเป็นคริสเตียนแท้ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน (1 คร. 1:10) รัฐบาลของพระเจ้าก็เป็นข่าวสารหลักของวารสารหอสังเกตการณ์ ด้วยเหมือนกัน มีการแปลวารสารนี้ใน 254 ภาษา และผลิตแต่ละฉบับออกมาเกือบ 59 ล้านเล่มโดยเฉลี่ย วารสารหอสังเกตการณ์ จึงเป็นวารสารที่มีการจำหน่ายจ่ายแจกมากที่สุดในโลก! ห16.05 2:6
วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์
ให้แต่ละคนทำตามที่ตั้งใจไว้—2 คร. 9:7
คุณอาจคิดจะเป็นไพโอเนียร์ คุณอาจพยายามเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิตแล้วเพื่อจะมีเวลาประกาศมากขึ้น แต่คุณก็ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะมีความสุขจริง ๆ ได้ไหมถ้ามีเงินและสิ่งของน้อยลง จริง ๆ แล้วคัมภีร์ไบเบิลก็ไม่ได้บอกว่าเราต้องเป็นไพโอเนียร์ เรารับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์โดยเป็นผู้ประกาศก็ได้ แต่อีกด้านหนึ่ง พระเยซูบอกว่าพระยะโฮวาจะอวยพรคนที่เสียสละเพื่อรัฐบาลของพระเจ้า (ลก. 18:29, 30) และคัมภีร์ไบเบิลก็ยังบอกว่าพระยะโฮวาจะพอใจมากถ้าเราทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อสรรเสริญพระองค์ และพระองค์อยากให้เรารับใช้พระองค์อย่างมีความสุข (สด. 119:108) ถ้าเราอธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ และคิดใคร่ครวญ เราก็จะตัดสินใจในแบบที่เหมาะกับสภาพการณ์ของเราและในแบบที่พระเจ้าจะอวยพรเรา ห16.05 3:13
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์
ขอให้คิดถึงผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ตอนที่คุณยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก่อนถึงช่วงที่ยากลำบาก—ปญจ. 12:1
คริสเตียนที่ไม่ได้เป็นวัยรุ่นแล้วไม่ควรมองว่าสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ สำหรับวัยรุ่นไม่เหมาะกับพวกเขา ปัญหาหลายอย่างที่พูดถึงในบทความเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคริสเตียนทุกคน ตัวอย่างเช่น พวกเราทุกคนต้องกล้าที่จะอธิบายความเชื่อของเรา ต้องควบคุมอารมณ์ ต้องเอาชนะแรงกดดันที่มาจากคนอื่น ต้องระวังการคบเพื่อนและความบันเทิงที่ไม่ดี ดังนั้น ถึงแม้ข้อมูลเหล่านั้นจะเขียนขึ้นสำหรับวัยรุ่น แต่ข้อมูลนั้นก็มาจากคัมภีร์ไบเบิลและมีประโยชน์สำหรับคริสเตียนทุกคน บทความต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นสำหรับวัยรุ่นสามารถช่วยพวกเขาให้สนิทกับพระยะโฮวามากขึ้นด้วย นอกจากนี้คริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ก็สามารถได้รับประโยชน์ด้วย—ปญจ. 12:13 ห16.05 5:15, 16
วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์
ชาวอิสราเอล ฟังให้ดี พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา และพระยะโฮวามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น ให้รักพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณสุดหัวใจ สุดชีวิต และสุดความคิด—ฉธบ. 6:4, 5
“พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา และพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น” นี่เป็นถ้อยคำที่มีพลังจริง ๆ ข้อเตือนใจนี้ช่วยให้ชาวอิสราเอลเข้มแข็งพอที่จะอดทนกับปัญหาเมื่อพวกเขาเข้าไปพิชิตแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาไว้ ถ้อยคำเหล่านี้ก็ช่วยให้เราเข้มแข็ง เพื่อจะผ่านความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่และมีส่วนทำให้เกิดสันติสุขและความเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่เป็นสวนอุทยานในอนาคต ให้เรานมัสการพระยะโฮวาเพียงผู้เดียวเสมอ เราต้องรักและรับใช้พระองค์สุดหัวใจ สุดความคิด และสุดกำลัง ให้เราพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาสันติสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องของเรา ถ้าเราทำอย่างนี้ต่อ ๆ ไป พระเยซูจะตัดสินว่าเราเป็นแกะ และเราจะเห็นถ้อยคำของท่านเป็นจริงที่ว่า “มาสิ พวกคุณที่ได้รับพรจากพ่อของผม มารับประโยชน์จากรัฐบาลของพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้พวกคุณตั้งแต่เริ่มมีโลกนี้”—มธ. 25:34 ห16.06 3:2, 20
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์
หัวใจทรยศยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด—ยรม. 17:9
ความหยิ่งอาจทำให้เราหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง และถ้าเราเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่ได้เป็นดินเหนียวที่อ่อนนุ่ม คุณเคยโกรธพี่น้องไหม? คุณเคยเสียใจไหมที่สูญเสียสิทธิพิเศษอะไรบางอย่างไป? เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้คุณทำอย่างไร? คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก หรือคุณเห็นว่าการมีสันติสุขกับพี่น้องและการรักษาความภักดีต่อพระยะโฮวาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด? (สด. 119:165; คส. 3:13) การทำบาปอยู่เรื่อย ๆ และถึงกับปกปิดไว้จะทำให้เรายอมรับคำแนะนำที่มาจากพระเจ้ายากขึ้น และอาจทำให้เราทำบาปอย่างอื่นได้ง่ายขึ้นด้วย (ปญจ. 8:11) พี่น้องคนหนึ่งเคยชอบดูภาพลามก เขายอมรับว่า “ผมเริ่มวิพากษ์วิจารณ์พวกผู้ดูแล” การทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องทำให้สายสัมพันธ์ของเขากับพระยะโฮวาเสียไป และในที่สุด พอคนอื่นรู้เรื่องที่เขาทำ เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ดูแล จริงอยู่ เราทุกคนเป็นคนบาป ถ้าเราไม่ขอให้พระเจ้าให้อภัยเราและช่วยเรา แต่กลับเป็นคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนที่มาให้คำแนะนำเรา หรือเรามักหาข้อแก้ตัวเมื่อทำผิด เราก็อาจกลายเป็นเหมือนดินแข็ง ห16.06 2:5, 6
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์
เลิกกังวลได้แล้วกับเรื่องชีวิต—มธ. 6:25
สาวกของพระเยซูเป็นห่วงว่าจะมีกินมีดื่มหรือมีเสื้อผ้าใส่ไหม ดังนั้น ในคำบรรยายบนภูเขา พระเยซูบอกพวกเขาว่า “เลิกกังวลได้แล้วกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่” ท่านอยากช่วยพวกเขาให้เข้าใจว่าทำไมไม่ควรกังวลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ท่านรู้ดีว่าถึงมันจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตแต่ถ้าพวกเขากังวลมากเกินไป พวกเขาก็อาจลืมสิ่งที่สำคัญกว่า พระเยซูเป็นห่วงพวกสาวกมากถึงขนาดเตือนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก 4 ครั้งในคำบรรยายบนภูเขา (มธ. 6:27, 28, 31, 34) พระเยซูรู้ว่าผู้คนจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง และท่านก็รู้ด้วยว่าสาวกของท่านจะมีชีวิตอยู่ “ในสมัยสุดท้าย” ซึ่ง “เป็นช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก” (2 ทธ. 3:1) ที่จริง หลายคนในทุกวันนี้ตกงาน และข้าวของก็แพงขึ้นเรื่อย ๆ ในหลายที่ผู้คนยากจนและไม่มีอะไรจะกิน แต่พระเยซูรู้ดีว่า “ชีวิตสำคัญกว่าอาหารและร่างกายสำคัญกว่าเสื้อผ้า” ห16.07 1:8, 9
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์
ผมมาเป็นผู้รับใช้ที่ช่วยพวกคุณให้มาเข้าใจความลับศักดิ์สิทธิ์นี้เพราะผมได้รับความกรุณาที่ยิ่งใหญ่เป็นของขวัญจากพระเจ้า—อฟ. 3:7
เนื่องจากเราไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ เราจึงไม่คู่ควรที่จะได้รับความกรุณาจากพระองค์ ที่จริง สิ่งที่เราสมควรได้รับก็คือความตาย กษัตริย์โซโลมอนบอกว่า “ในโลกนี้ไม่มีคนดีสักคนที่ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องและไม่ทำบาปเลย” (ปญจ. 7:20) อัครสาวกเปาโลก็บอกว่า “ทุกคนทำบาปและไม่ได้แสดงคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้าอย่างที่ควรจะแสดง” และ “ค่าจ้างที่บาปจ่ายคือความตาย” (รม. 3:23; 6:23ก) แต่เพราะพระยะโฮวารักมนุษย์มาก พระองค์จึงส่ง “ลูกคนเดียว” ของพระองค์มาตายแทนพวกเรา นี่เป็นการแสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด (ยน. 3:16) เปาโลบอกว่า “ตอนนี้พระเยซูได้รับเกียรติยศและความสง่างามแล้วเพราะท่านยอมสละชีวิต ท่านถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เล็กน้อยเพื่อมาตายแทนทุกคน ซึ่งเป็นการแสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” (ฮบ. 2:9) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ของขวัญที่พระเจ้าให้คือชีวิตตลอดไปผ่านทางพระคริสต์เยซูผู้เป็นนายของเรา”—รม. 6:23ข ห16.07 3:3, 4
วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์
เราจะให้เขามีผู้ช่วยคนหนึ่งมาเป็นคู่ที่เหมาะกับเขา—ปฐก. 2:18
เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะแต่งงาน แต่การแต่งงานครั้งแรกเริ่มต้นอย่างไรและมีจุดประสงค์อะไร? การรู้เรื่องนี้ช่วยให้เรามีความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแต่งงานและได้รับประโยชน์สูงสุดจากการมีชีวิตคู่ ตอนแรก พระเจ้าสร้างอาดัมมนุษย์คนแรกและบอกให้เขาตั้งชื่อสัตว์ อาดัมเห็นว่าสัตว์ทุกชนิดมีคู่ของมัน “แต่เขาก็ยังไม่มีผู้ช่วยที่มาเป็นคู่ที่เหมาะกับเขา” พระเจ้าจึงทำให้อาดัมหลับสนิท และเอาซี่โครงของเขาออกมาซี่หนึ่ง แล้วสร้างให้เป็นผู้หญิง พระยะโฮวาพาผู้หญิงคนนั้นมาหาอาดัม และเธอก็เป็นภรรยาของเขาตั้งแต่นั้นมา (ปฐก. 2:20-24) เราเห็นได้ว่าชีวิตคู่เป็นของขวัญจากพระยะโฮวา หลายปีต่อมา พระเยซูพูดถึงสิ่งที่พระยะโฮวาพูดในสวนเอเดน ท่านบอกว่า “ผู้ชายจะจากพ่อแม่ไปผูกพันใกล้ชิดกับภรรยา แล้วทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียว” (มธ. 19:4, 5) เนื่องจากพระเจ้าเอาซี่โครงของอาดัมมาสร้างเป็นผู้หญิงคนแรก เขาสองคนจึงรู้ว่าพวกเขาเป็นเหมือนคนคนเดียวกัน พระยะโฮวาไม่เคยอยากให้สามีภรรยาหย่ากันหรือมีคู่มากกว่าหนึ่งคน ห16.08 1:1, 2
วันอาทิตย์ 11 กุมภาพันธ์
[พระเยซู] ก็เดินทางไปสอนและประกาศในเมืองใกล้เคียง—มธ. 11:1
พระเยซูไม่ได้พูดกับผู้คนเป็นกลุ่มอย่างเดียวแต่ท่านพูดกับผู้คนเป็นส่วนตัวด้วย พระเยซูพูดอย่างเป็นกันเอง ตัวอย่างเช่น ตอนที่ผู้หญิงคนหนึ่งมาตักน้ำจากบ่อใกล้ ๆ เมืองสิคาร์ พระเยซูพูดได้น่าฟังจึงทำให้เธอสนใจ (ยน. 4:5-30) พระเยซูพูดกับคนเก็บภาษีชื่อมัทธิวซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเลวี พระเยซูชวนเขาให้มาเป็นสาวก มัทธิวตอบรับและหลังจากนั้นเขาก็เชิญพระเยซูกับคนอื่น ๆ ไปที่บ้านเพื่อกินอาหาร ที่นั่น พระเยซูพูดคุยกับหลายคน (มธ. 9:9; ลก. 5:27-39) ถึงแม้นาธานาเอลพูดบางอย่างที่ไม่ดีเกี่ยวกับคนที่มาจากนาซาเร็ธ แต่พระเยซูก็พูดดีกับเขา นี่ทำให้นาธานาเอลเปลี่ยนวิธีที่เขามองพระเยซูที่มาจากนาซาเร็ธ และเขาอยากเรียนรู้มากขึ้นจากท่าน (ยน. 1:46-51) จากตัวอย่างของพระเยซูเราได้เรียนว่า เราต้องพูดคุยกับผู้คนแบบเป็นกันเองและเป็นมิตร เพราะถ้าทำอย่างนั้น เขาก็อยากจะฟังเรามากกว่า ถ้าเราฝึกคนใหม่ให้พูดแบบนี้ พวกเขาก็จะสนุกกับงานประกาศมากขึ้น ห16.08 4:7-9
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์
ภรรยาไม่ควรไปจากสามี . . . ส่วนสามีก็ไม่ควรทิ้งภรรยา—1 คร. 7:10, 11
เมื่อมีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้น คู่สมรสบางคู่อาจตัดสินใจแยกกันอยู่หรือหย่า เราไม่ควรมองว่าการแยกกันอยู่เป็นเรื่องเล่น ๆ ถึงแม้ว่าการแยกกันอยู่อาจดูเหมือนเป็นทางแก้ปัญหาร้ายแรงที่เกิดขึ้น แต่หลายครั้งการทำอย่างนี้กลับสร้างปัญหามากขึ้น ตอนที่พระเยซูพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าบอกเกี่ยวกับการสมรสครั้งแรก ท่านบอกว่า “สิ่งที่พระเจ้าผูกไว้คู่กันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย” (มธ. 19:3-6; ปฐก. 2:24) ดังนั้น พระยะโฮวาอยากให้สามีและภรรยาอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต (1 คร. 7:39) เราทุกคนต้องจำไว้เสมอว่าเราต้องให้การกับพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ การคิดแบบนี้จะช่วยให้เรารีบแก้ปัญหาก่อนที่เรื่องจะบานปลายจนกลายเป็นปัญหาร้ายแรง ห16.08 2:10, 11
วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์
อย่าให้ความชั่วชนะคุณได้—รม. 12:21
เราต้องตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะอะไร? ศัตรูของเราอาจโจมตีตอนที่เรากำลังอ่อนแอหรือไม่ได้ตั้งตัว ดังนั้น ถ้าเราสู้กับซาตานต่อ ๆ ไป เราจะชนะได้! ตอนแรกเราอาจจะตั้งการ์ดป้องกัน แต่ถ้าเมื่อไรเราปล่อยให้การ์ดตกและหยุดสู้ ซาตาน โลกของมัน และความอ่อนแอของเราก็จะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้น อย่ายอมแพ้ อย่าท้อแท้ อย่าให้มือของคุณอ่อนแรง และอย่าปล่อยให้การ์ดตก (1 ปต. 5:9) เพื่อเราจะชนะ เราต้องจำไว้เสมอถึงเหตุผลที่เราต้องสู้ เราสู้เพราะเราอยากให้พระเจ้ายอมรับและให้พรกับเรา ฮีบรู 11:6 บอกว่า “คนที่เข้ามาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์มีอยู่จริง และต้องเชื่อว่าพระองค์ให้รางวัลกับคนที่เสาะหาพระองค์อย่างจริงจัง” การเสาะหาพระยะโฮวาอย่างจริงจังหมายความว่าเราต้องพยายามอย่างจริงจังเพื่อจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้า—กจ. 15:17 ห16.09 2:4, 5
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์
ให้คุณทำทุกสิ่งแบบที่จะทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ—1 คร. 10:31
คัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำที่ใช้ได้จริง และช่วยเราตัดสินใจอย่างฉลาดเพื่อให้เกียรติพระเจ้า ที่จริง การเลือกเสื้อผ้าของเราก็แตกต่างกันไป เพราะสไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันและเงินในกระเป๋าก็มีไม่เท่ากัน แต่ถึงอย่างนั้น เสื้อผ้าที่เราเลือกก็ควรเป็นแบบสุภาพเรียบร้อย สะอาด เหมาะกับโอกาสและเป็นที่ยอมรับของคนในท้องถิ่น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอเสื้อผ้าที่เรียบร้อยเหมาะสม หลายร้านก็ขายเฉพาะเสื้อผ้าตามแฟชั่นเท่านั้น เพราะฉะนั้น อาจต้องใช้เวลาและความพยายามมากหน่อยที่จะหาชุด เสื้อ กระโปรง สูท หรือกางเกงที่เหมาะสมและไม่ฟิตเกินไป แต่ถ้าเราใส่เสื้อผ้าที่ดูดีและเหมาะสม พี่น้องจะสังเกตเห็นและรู้สึกขอบคุณที่เราพยายามทำอย่างนั้น มันคุ้มที่เราจะเสียสละความชอบของเราในการแต่งตัว เพราะเราจะมีความสุขที่ได้ยกย่องสรรเสริญพ่อที่รักของเรา ห16.09 3:15, 16
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์
พระองค์กางท้องฟ้าด้านเหนือไว้บนความว่างเปล่า และให้โลกห้อยอยู่โดยไม่ติดกับอะไร—โยบ 26:7
ตอนที่คุณใช้ตัวอย่าง คุณก็กำลังช่วยลูก ๆ ให้ใช้ความคิดและจินตนาการ นี่จะช่วยลูก ๆ ให้คิดเกี่ยวกับบทเรียนที่คุณกำลังพยายามสอนเขา ช่วยเขาให้เข้าใจชัดเจนขึ้น จำเรื่องที่เรียนได้ และสนุกกับการเรียนมากขึ้น ตอนที่คุณจะสอนลูกให้รู้ว่าทุกสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกนั้นถูกต้อง คุณก็ใช้ตัวอย่างได้ด้วยเหมือนกัน เช่น คุณอาจจะอ่านข้อคัมภีร์ในวันนี้ แต่อย่าเพิ่งบอกลูกทันทีว่าข้อมูลที่อยู่ในข้อนี้ต้องมาจากพระยะโฮวา แทนที่จะทำอย่างนั้น พยายามช่วยลูกให้จินตนาการว่า ถ้าลูกเป็นเพื่อนของโยบที่ไม่เชื่อว่าโลกลอยอยู่ได้โดยไม่ติดกับอะไร บอกให้ลูกพยายามแย้งว่าสิ่งที่โยบบอกเป็นเรื่องไม่จริง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่าวัตถุขนาดใหญ่เหมือนกับโลกจะลอยอยู่ในอวกาศได้ คุณอาจให้ลูกเอาบอลหรือหินมาก้อนหนึ่ง แล้วให้เขาแสดงให้ดูว่าเป็นไปไม่ได้ที่มันจะลอยอยู่กลางอากาศได้ด้วยตัวมันเอง แต่มันจะต้องอยู่บนอะไรสักอย่าง หลังจากนั้น คุณก็ค่อยสรุปให้ลูกฟังว่า ในสมัยของโยบคงไม่มีใครเห็นด้วยกับข้อเขียนของเขาที่ว่าโลกลอยอยู่ได้โดยไม่ติดกับอะไร เพราะยังไม่มีกล้องดูดาวหรือยานอวกาศ แต่ตอนนี้เราพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่โยบเขียนเป็นเรื่องจริง การสอนแบบนี้จะช่วยให้ลูกมั่นใจว่า ทั้ง ๆ ที่มีการเขียนคัมภีร์ไบเบิลมานานแล้ว แต่ข้อมูลทุกอย่างก็ถูกต้องเสมอเพราะข้อมูลเหล่านั้นมาจากพระยะโฮวา—นหม. 9:6 ห16.09 5:9, 12
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์
เชื่อในใจ—รม. 10:9
ถ้าเรามีความเชื่อในพระยะโฮวาและพระเยซู เราจะไม่เพียงแค่รู้ว่าพระองค์ทั้งสองได้ทำอะไรเพื่อพวกเรา และจะทำอะไรเพื่อพวกเราอีก แต่ความเชื่อที่เรามีจากหัวใจจะกระตุ้นให้เราอยากใช้ชีวิตตามที่พระองค์บอก และอยากช่วยคนอื่นให้รู้จักพระยะโฮวาและพระเยซูด้วย เพื่อที่เราจะได้ชีวิตตลอดไปในโลกใหม่ของพระเจ้า เราต้องมีความเชื่อและรักษาความเชื่อที่เรามีให้เข้มแข็งอยู่เสมอ ความเชื่อเป็นเหมือนต้นไม้ เราต้องรดน้ำต้นไม้เสมอเพื่อที่มันจะแข็งแรงและเติบโตขึ้น แต่ถ้าเราไม่รดน้ำให้พอ ต้นไม้นั้นก็จะเหี่ยวและเฉาตายในที่สุด คล้ายกัน เราต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะ “มั่นคงในความเชื่อ” และ “มีความเชื่อเพิ่มขึ้น”—ทต. 2:2; 2 ธส. 1:3; ลก. 22:32; ฮบ. 3:12 ห16.10 4:4, 5
วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์
หัวหน้าข้าราชสำนักตั้งชื่อใหม่ให้พวกเขา ให้ดาเนียลชื่อเบลเทชัสซาร์—ดนล. 1:7
ตอนที่ดาเนียลและเพื่อน ๆ ต้องไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ชาวบาบิโลนพยายามกดดันให้พวกเขานับถือศาสนาและทำตามธรรมเนียมของที่นั่น คนพวกนั้นใช้วิธีอะไร? พวกเขาพยายามสอน ‘ภาษาของชาวเคลเดีย’ และตั้งชื่อภาษาของพวกบาบิโลนให้ดาเนียลกับเพื่อน ๆ (ดนล. 1:3-7) ชื่อใหม่ของดาเนียลเกี่ยวข้องกับพระเบลซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญในบาบิโลน ดังนั้น เป็นไปได้ว่ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ต้องการให้ดาเนียลเชื่อว่า พระของชาวบาบิโลนมีพลังอำนาจมากกว่าพระยะโฮวาพระเจ้าของดาเนียล (ดนล. 4:8) ตอนที่ดาเนียลอยู่ที่บาบิโลน มีคนเอาอาหารของกษัตริย์ที่อร่อยมากมาให้ดาเนียลกิน แต่ดาเนียล “ตั้งใจ” จะเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้า (ดนล. 1:8) ทั้ง ๆ ที่อยู่ต่างประเทศ ดาเนียลมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาเสมอ เขาศึกษา “ม้วนหนังสือศักดิ์สิทธิ์หลายม้วน” ที่มีในภาษาฮีบรู (ดนล. 9:2, เชิงอรรถ) ถึงแม้ว่าเขามาอยู่ในบาบิโลนประมาณ 70 ปีแล้ว แต่คนอื่น ๆ ก็ยังรู้จักเขาในชื่อดาเนียลซึ่งเป็นชื่อภาษาฮีบรู—ดนล. 5:13 ห16.10 2:7, 8
วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์
ไม่ว่าพลังของพระเจ้าไปที่ไหนหรือให้พวกเขาไปที่ไหน พวกเขาก็ไปที่นั่น—อสค. 1:20
ตั้งแต่ปี 1919 “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” เป็นช่องทางเดียวที่พระเยซูใช้เพื่อช่วยผู้รับใช้ของพระเจ้าให้เข้าใจว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรและทำตามคำสอนนั้น (มธ. 24:45-47) ถ้าเราเชื่อฟังสิ่งที่บอกในคัมภีร์ไบเบิล เราก็รักษาประชาคมให้สะอาด สงบสุข และเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้น ขอให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเยซูและติดตามการชี้นำของทาสที่ซื่อสัตย์ไหม?’ คัมภีร์ไบเบิลบอกให้เรารู้ว่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในสวรรค์ก็ถูกจัดระเบียบด้วย ตัวอย่างเช่น เอเสเคียลเห็นนิมิตหนึ่งซึ่งมีพระยะโฮวานั่งอยู่บนราชรถซึ่งเคลื่อนที่ไปทุกทิศทางอย่างรวดเร็วตามที่พระองค์อยากให้ไป (อสค. 1:4-28) อีกไม่นานพระเยซูคริสต์กับทูตสวรรค์จะทำลายโลกชั่วทั้งหมด จะไม่มีใครที่ดูถูกพระยะโฮวาและชื่อของพระองค์ หรือวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของพระองค์อีกต่อไป ห16.11 3:9, 10
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์
ให้กำลังใจกัน และทำสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นเมื่อเห็นว่าวันนั้นใกล้มาถึงแล้ว—ฮบ. 10:25
เราประชุมกันเป็นประจำ เพราะที่นั่นเราได้เรียนเกี่ยวกับพระยะโฮวาและได้ให้กำลังใจกัน (1 คร. 14:31) คนที่รับใช้พระยะโฮวามานานก็ต้องการกำลังใจด้วยเหมือนกัน ลองคิดถึงโยชูวา ตอนที่ชาวอิสราเอลกำลังจะเข้าไปในแผ่นดินที่พระยะโฮวาสัญญา พระองค์เลือกโยชูวาให้นำหน้าพวกเขา แต่ถึงแม้ว่าโยชูวาจะรับใช้พระยะโฮวามานานหลายปี พระองค์ก็ยังบอกให้โมเสสให้กำลังใจโยชูวา พระยะโฮวาบอกว่า “ให้แต่งตั้งโยชูวาขึ้นมาแทนเจ้าและให้กำลังใจเขา ช่วยเขาให้เข้มแข็ง เพราะเขาจะเป็นคนนำประชาชนพวกนี้ข้ามแม่น้ำไป เขาจะช่วยให้ประชาชนครอบครองแผ่นดินซึ่งเจ้าจะได้เห็นนั้น” (ฉธบ. 3:27, 28) โยชูวาต้องการกำลังใจ เพราะหลังจากนั้นชาติอิสราเอลจะต้องทำสงครามหลายครั้ง และแพ้สงครามอย่างน้อยหนึ่งครั้งด้วย (ยชว. 7:1-9) ในทุกวันนี้ เราสามารถให้กำลังใจผู้ดูแลในประชาคมและผู้ดูแลหมวด เพราะพวกเขาทำงานหนักเพื่อดูแลผู้รับใช้ของพระเจ้า—1 ธส. 5:12, 13 ห16.11 1:12, 13
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์
ผมจะให้คุณดูการตัดสินลงโทษผู้หญิงโสเภณีคนสำคัญที่นั่งบนน้ำมากมาย—วว. 17:1
พวกนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรู้ว่า การแค่บอกคนในครอบครัว เพื่อนสนิท และสมาชิกในโบสถ์ว่าพวกเขาไม่สนับสนุนศาสนาเท็จอีกต่อไปนั้นยังไม่พอ พวกเขาอยากบอกคนทั้งโลกให้รู้ว่า บาบิโลนใหญ่ทำตัวเหมือนผู้หญิงโสเภณี ดังนั้น ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 1917 จนถึงช่วงต้นปี 1918 มีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมากกว่าหนึ่งพันคนแจกแผ่นพับ 10 ล้านแผ่นอย่างกระตือรือร้น แผ่นพับนั้นมีหัวเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า “การล่มจมของบาบิโลน” แผ่นพับนั้นเปิดโปงความจริงเกี่ยวกับคริสต์ศาสนจักร คุณคงพอจะนึกภาพออกว่าพวกผู้นำโบสถ์ต่าง ๆ จะโกรธขนาดไหน แต่พวกนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็ไม่หยุด พวกเขาตั้งใจจะประกาศต่อ ๆ ไป และเชื่อฟังพระเจ้าที่ “เป็นผู้ปกครองสูงสุด . . . มากกว่ามนุษย์” (กจ. 5:29) นี่แสดงให้เห็นอะไร? นี่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าคริสเตียนชายหญิงเหล่านี้ไม่ได้ตกเป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเขากำลังแยกตัวออกจากศาสนาเท็จและกำลังช่วยคนอื่น ๆ ให้ทำแบบเดียวกัน ห16.11 5:2, 4
วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์
คนที่ใช้ชีวิตตามความต้องการของร่างกายก็มัวแต่คิดถึงสิ่งที่สนองความต้องการของร่างกาย แต่คนที่ใช้ชีวิตตามที่พลังของพระเจ้าชี้นำก็สนใจแต่สิ่งที่พลังนั้นอยากให้เราทำ—รม. 8:5
บางคนคิดว่าเปาโลหมายถึงคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนและคนที่เป็นคริสเตียน แต่จริง ๆ แล้วเปาโล “เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงทุกคนที่พระเจ้ารักและเรียกให้มาเป็นคนบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ในกรุงโรม” (รม. 1:7) ดังนั้น คนทั้งสองแบบที่เปาโลพูดถึงนั้นเป็นคริสเตียนอยู่แล้ว เปาโลเชื่อมโยง “คนที่ใช้ชีวิตตามความต้องการของร่างกาย” กับ “ตัณหาชั่วที่ทำงานอยู่ในตัวเรา” (รม. 7:5) ดังนั้น เมื่อเปาโลพูดถึง “คนที่ใช้ชีวิตตามความต้องการของร่างกาย” เขาก็กำลังหมายถึงคนที่สนใจและทำตามความต้องการที่ผิดบาปของตัวเอง คนพวกนี้ทำทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ ห16.12 2:5, 7
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์
คนที่ได้รับการยกโทษความผิด . . . แล้วก็มีความสุข—สด. 32:1
บางครั้งคนเราอาจกังวลเกี่ยวกับความผิดพลาดที่เคยทำในอดีต ครั้งหนึ่งกษัตริย์ดาวิดก็เคยรู้สึกเครียดมากเพราะความผิดที่เขาทำ เขายอมรับว่า “ผมทุกข์ใจจนต้องร้องครวญครางออกมา” (สด. 38:3, 4, 8, 18) แต่ดาวิดก็ทำสิ่งที่ฉลาด เขาวางใจว่าพระยะโฮวาจะเมตตาและให้อภัย (สด. 32:2, 3, 5) ในบางครั้ง คุณอาจรู้สึกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ ตัวอย่างเช่น ตอนที่ดาวิดเขียนสดุดีบท 55 เขากลัวจะถูกฆ่า (สด. 55:2-5) แต่ดาวิดก็ไม่ยอมให้ความกังวลมาทำลายความมั่นใจที่มีในพระยะโฮวา เขาขอให้พระยะโฮวาช่วยแก้ปัญหา แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรบางอย่างด้วยเหมือนกัน (2 ซม. 15:30-34) บทเรียนที่ได้จากดาวิดก็คือ แทนที่จะยอมให้ความกังวลมาทำให้คุณเครียด คุณน่าจะทำสิ่งที่คุณทำได้เพื่อแก้ปัญหาและวางใจว่าพระยะโฮวาจะดูแลคุณ ห16.12 3:14, 15
วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์
เราทำผิดต่อพระยะโฮวาแล้ว—2 ซม. 12:13
ดาวิดให้พระยะโฮวาช่วย ตัวอย่างเช่น เขายอมรับการว่ากล่าวแก้ไขจากนาธันผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวา ดาวิดอธิษฐานถึงพระยะโฮวาและสารภาพบาปที่เขาทำ เขาแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการจริง ๆ ที่จะให้พระยะโฮวากลับมารักเขาเหมือนเดิม (สด. 51:1-17) แทนที่จะให้ความรู้สึกผิดกดดันตัวเขา ดาวิดเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง เขาไม่กลับไปทำผิดร้ายแรงซ้ำอีก หลายปีต่อมา ดาวิดตายอย่างคนที่ซื่อสัตย์ และพระยะโฮวาจดจำเขาว่าเป็นคนแบบนั้น (ฮบ. 11:32-34) เราได้เรียนอะไรจากตัวอย่างของดาวิด? ถ้าเราทำบาปร้ายแรง เราต้องกลับใจจริง ๆ สารภาพบาปกับพระยะโฮวา และขอให้พระองค์อภัยให้เรา (1 ยน. 1:9) เราต้องคุยกับผู้ดูแลในประชาคม เพราะพวกเขาสามารถช่วยให้ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวากลับมาดีเหมือนเดิม (ยก. 5:14-16) ถ้าเรายอมรับความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา เราก็กำลังแสดงว่าเราวางใจในคำสัญญาของพระองค์ที่บอกว่าจะให้อภัยเรา นอกจากนั้น เราต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเรา รับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไป และมองอนาคตด้วยความมั่นใจ—ฮบ. 12:12, 13 ห17.01 1:13, 14
วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์
ขอห้ามผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ให้ทำเกินสิทธิ์—สด. 19:13
การทำเกินสิทธิ์คืออะไร? คือการทำบางสิ่งที่เราไม่มีอำนาจหรือไม่มีสิทธิ์ที่จะทำ อาจเป็นเพราะเราหยิ่งหรือขาดความอดทน บางครั้งเราทุกคนอาจทำเกินสิทธิ์เพราะเราไม่สมบูรณ์ แต่จากตัวอย่างที่ไม่ดีของซาอูล เราเห็นว่าถ้าเราทำเกินสิทธิ์จนเป็นนิสัย พระยะโฮวาก็จะไม่พอใจเรามาก สดุดี 119:21 บอกว่า พระยะโฮวาจะ “ตำหนิคนอวดดี” หรือคนที่ทำเกินสิทธิ์ ทำไมพระองค์ทำแบบนั้น? การทำเกินสิทธิ์เป็นเรื่องร้ายแรง เพราะอะไร? อย่างแรก ถ้าเราทำเกินสิทธิ์ เราก็กำลังแสดงว่าเราไม่ให้เกียรติพระยะโฮวาซึ่งเป็นพระเจ้าและผู้ปกครองเรา อย่างที่สอง ถ้าเราทำสิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์หรืออำนาจที่จะทำ เราอาจจะมีปัญหาขัดแย้งกับคนอื่น ๆ (สภษ. 13:10) และสาม เป็นเรื่องน่าอายถ้าคนอื่นรู้ว่าเรากำลังทำในสิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะทำ (ลก. 14:8, 9) เราเห็นชัดเจนถึงเหตุผลที่พระยะโฮวาอยากให้เราเป็นคนเจียมตัว ห17.01 3:4, 5
วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์
พวกเขาทำบาปร้ายแรง พวกเขาไม่ใช่ลูกของพระองค์ ความผิดพลาดทั้งหมดก็มาจากตัวเขา—ฉธบ. 32:5
อาดัมและเอวาไม่สามารถเลียนแบบคุณลักษณะของพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกต่อไป อาดัมเสียโอกาสที่จะมีอนาคตที่ดีเยี่ยม และไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ลูกหลานทั้งหมดของเขาด้วย อาดัมทำได้แค่เพียงถ่ายทอดความไม่สมบูรณ์ บาป และความตาย (รม. 5:12) อาดัมทำให้ลูกหลานของเขาเสียโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไป เขากับเอวาไม่สามารถมีลูกที่สมบูรณ์แบบได้ และลูก ๆ ของเขาก็ไม่สามารถมีลูกหลานที่สมบูรณ์แบบได้เหมือนกัน ตั้งแต่ที่ซาตานทำให้มนุษย์คู่แรกเป็นศัตรูกับพระเจ้า มันก็พยายามทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน (ยน. 8:44) พระยะโฮวายังรักมนุษย์อยู่ ถึงแม้อาดัมกับเอวาจะทิ้งพระองค์แต่พระองค์ก็ยังอยากให้มนุษย์เป็นเพื่อนกับพระองค์ และพระองค์ไม่อยากให้ใครสักคนต้องตาย (2 ปต. 3:9) ดังนั้น ทันทีหลังจากอาดัมกับเอวากบฏ พระเจ้าได้จัดเตรียมวิธีที่มนุษย์จะกลับมาเป็นเพื่อนกับพระองค์อีก—ยน. 3:16 ห17.02 1:12-14
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์
คนที่เสาะหาคำแนะนำจะมีสติปัญญา—สภษ. 13:10
เราต้องมองหาข้อดีของคนอื่นเหมือนที่พระยะโฮวาทำ แทนที่จะพยายามเป็นจุดสนใจหรือบอกคนอื่นว่าต้องทำอะไร เราจะขอคำแนะนำจากคนอื่นและเต็มใจยอมรับความคิดเห็นของพวกเขา ถ้ามีใครได้รับงานมอบหมายพิเศษบางอย่าง เราก็จะดีใจและมีความสุขไปกับเขาด้วย และเราจะขอบคุณพระยะโฮวาที่ยอมให้พวกเราทุกคนรับใช้พระองค์ (1 ปต. 5:9) ถ้าเรามองเรื่องต่าง ๆ จากมุมมองของพระเจ้า เราจะตัดสินใจในแบบที่พระองค์พอใจ ถ้าเราศึกษาคัมภีร์ไบเบิล อธิษฐาน และเอาสิ่งที่เราได้เรียนไปใช้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราก็จะตรงกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น (1 ทธ. 1:5) ดังนั้น เราต้องพยายามให้ผลประโยชน์ของคนอื่นมาก่อนตัวเรา ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ พระยะโฮวาสัญญาว่าจะ ‘ทำให้การฝึกอบรมของเราสำเร็จลุล่วง’ ซึ่งรวมถึงการที่เราจะเป็นคนเจียมตัวมากขึ้นด้วย—1 ปต. 5:10 ห17.01 4:17, 18
วันอังคาร 27 กุมภาพันธ์
ให้ถือว่าผู้ดูแลที่นำหน้าอย่างดีควรได้รับความนับถือมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานหนักในการพูดและการสอน—1 ทธ. 5:17
พี่น้องชายหญิงของเราสมควรได้รับเกียรติและความนับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชายที่นำหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลในประชาคม ผู้ดูแลหมวด คณะกรรมการสาขา และคณะกรรมการปกครอง พี่น้องชายเหล่านี้ทุกคนเอาใจใส่ความจำเป็นของประชาชนของพระเจ้า และคัมภีร์ไบเบิลก็เรียกพวกเขาว่าเป็น “ของขวัญที่เป็นมนุษย์” (อฟ. 4:8) ดังนั้น มีเหตุผลที่เราจะให้เกียรติและนับถือคนเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นคนชาติไหน มีการศึกษาและฐานะการเงินอย่างไร มีภูมิหลังแบบไหน และอายุเท่าไร พี่น้องคริสเตียนในศตวรรษแรกวางตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ พวกเขาให้เกียรติพี่น้องชายที่นำหน้า และเราในทุกวันนี้ก็น่าจะทำแบบเดียวกัน ถึงแม้ว่าตอนที่เราเจอพวกเขาเราจะไม่ทำอย่างกับว่าเราเจอทูตสวรรค์ แต่เราจะให้เกียรติและนับถือพวกเขาเพราะพวกเขาทำงานหนักและเป็นคนถ่อมตัว—2 คร. 1:24; วว. 19:10 ห17.03 1:13
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์
ทำไมถึงยกย่องผมว่าดี? ไม่มีใครดีจริง ๆ หรอกนอกจากพระเจ้าเท่านั้น—มก. 10:18
กษัตริย์เฮโรดอากริปปาที่ 1 ไม่เหมือนกับพระเยซูเลย วันหนึ่งที่การประชุมพิเศษ เฮโรดใส่ชุดกษัตริย์เต็มยศ พอคนที่มาชุมนุมได้เห็นและได้ยินเสียงของเฮโรด ก็ตะโกนว่า “นี่เป็นเสียงพระเจ้า ไม่ใช่เสียงมนุษย์” เฮโรดรู้สึกชอบมากที่มีคนมายกย่องสรรเสริญเขาแบบนี้ แต่ “ทันใดนั้นเอง ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาก็ลงโทษเฮโรดเพราะเขาไม่ได้ให้เกียรติพระเจ้า เขาจึงล้มป่วยและถูกหนอนกัดกินจนตาย” (กจ. 12:21-23) เห็นได้ชัดว่า พระยะโฮวาไม่ได้เลือกเฮโรดให้เป็นผู้นำประชาชนของพระองค์ แต่พระเยซูพิสูจน์ว่าพระยะโฮวาเลือกท่าน และพระเยซูให้เกียรติพระยะโฮวาผู้นำองค์ยิ่งใหญ่เสมอ พระยะโฮวาอยากให้พระเยซูเป็นผู้นำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่ไม่กี่ปี หลังจากที่พระเยซูถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย ท่านบอกสาวกว่า “พระเจ้ามอบอำนาจให้ผมปกครองทุกสิ่งในสวรรค์และบนโลกนี้แล้ว” ท่านบอกอีกว่า “จำไว้ว่า ผมจะอยู่กับพวกคุณเสมอจนถึงสมัยสุดท้ายของโลกนี้”—มธ. 28:18-20 ห17.02 3:20, 21