มีนาคม
วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม
พวกเขาก็ขับไล่เยฟธาห์—วนฉ. 11:2
พวกพี่น้องทั้งอิจฉาและเกลียดเยฟธาห์ พวกเขาไล่เยฟธาห์ออกไปจากแผ่นดินที่จริง ๆ แล้วเป็นของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย (วนฉ. 11:1-3) แต่เมื่อพวกผู้นำมาขอให้เขาช่วย เยฟธาห์ก็ช่วยพวกเขาทันที (วนฉ. 11:4-11) การต่อสู้เพื่อชื่อเสียงของพระยะโฮวาและเพื่อประชาชนของพระองค์สำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตัวของเขา เยฟธาห์ตั้งใจรักษาความเชื่อในพระยะโฮวา ความตั้งใจนี้เองที่ทำให้พระเจ้าอวยพรทั้งเขาและชาติอิสราเอล (ฮบ. 11:32, 33) ถ้าพี่น้องคริสเตียนทำให้เราผิดหวัง หรือถ้าเรารู้สึกว่าเขาทำบางอย่างที่ไม่ดีกับเรา เราจะทำอะไร? เราไม่ควรยอมให้ความรู้สึกเจ็บใจทำให้เราไม่อยากรับใช้พระยะโฮวา ขออย่าเลิกไปประชุมหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับประชาคม เมื่อเจอกับเรื่องยุ่งยาก เราต้องเลียนแบบเยฟธาห์และใช้หลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้ผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต เพื่อที่เราเองก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีเหมือนกัน—รม. 12:20, 21; คส. 3:13 ห16.04 1:7, 9, 10
วันศุกร์ 2 มีนาคม
เราจึงไม่ท้อถอย—2 คร. 4:1
เราต้องอดทนจนถึงที่สุด ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ลองคิดถึงภาพเรือที่กำลังจม เพื่อจะรอดชีวิต คนที่อยู่ในเรือต้องพยายามว่ายน้ำให้ถึงฝั่ง คนที่ยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มว่ายก็จะจมน้ำ ส่วนคนที่ว่ายจนเกือบจะถึงฝั่งแล้วแต่กลับยอมแพ้ก็จะจมเหมือนกัน ถ้าเราอยากอยู่ในโลกใหม่ เราต้องอดทนต่อ ๆ ไป ขอเราเลียนแบบวิธีคิดของเปาโลที่บอกว่าเรา “ไม่ย่อท้อ” (2 คร. 4:1, 16) เหมือนกับเปาโล เรามั่นใจเต็มที่ว่าพระยะโฮวาจะช่วยเราให้อดทนจนถึงที่สุด เปาโลเขียนว่าเรา “ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดด้วยความช่วยเหลือจากผู้นั้นที่รักพวกเรา ผมมั่นใจว่า ไม่ว่าความตาย หรือชีวิต หรือทูตสวรรค์ หรือรัฐบาล หรือสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ หรือสิ่งที่จะมีในอนาคต หรืออำนาจ หรือความสูง หรือความลึก หรือสิ่งอื่น ๆ ที่ถูกสร้างมา จะไม่มีทางขัดขวางความรักที่พระเจ้าแสดงต่อเราผ่านทางพระคริสต์เยซูผู้เป็นนายของเราได้”—รม. 8:37-39 ห16.04 2:17, 18
วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม
ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป แล้วเขาจะได้รับจากพระองค์—ยก. 1:5
ขอพระยะโฮวาให้ช่วยคุณทำสิ่งที่ถูกต้องเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ที่อาจทำให้คุณรักษาความเป็นกลางได้ยาก คุณอาจถูกจับเข้าคุกหรือถูกลงโทษเพราะคุณซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น คุณต้องอธิษฐานขอความกล้าหาญเพื่อที่คุณจะอธิบายกับคนอื่น ๆ ได้ว่าทำไมคุณต้องรักษาความเป็นกลาง คุณมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะช่วยคุณให้อดทนได้ (กิจ. 4:27-31) พระยะโฮวาให้คัมภีร์ไบเบิลกับเราเพื่อช่วยให้เราเข้มแข็ง ขอเราคิดทบทวนข้อต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลที่ช่วยเราให้รักษาความเป็นกลาง ลองพยายามคิดดูว่าคุณได้เรียนรู้อะไรและพยายามท่องจำข้อเหล่านั้นให้ขึ้นใจ การทำอย่างนี้จะช่วยคุณเสมอแม้แต่ตอนที่คุณไม่มีคัมภีร์ไบเบิล นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลยังช่วยให้ความหวังที่คุณมีเกี่ยวกับคำสัญญาของพระเจ้าชัดเจนขึ้น เราต้องมีความหวังแบบนั้นเพื่อจะอดทนกับการทดสอบได้ (รม. 8:25) ลองเลือกข้อคัมภีร์เกี่ยวกับโลกใหม่ที่คุณชอบเป็นพิเศษ และนึกภาพตัวเองอยู่ที่นั่น ห16.04 4:14, 15
วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม
สิ่งที่คุณได้รับมาฟรี ๆ ก็ให้คนอื่นไปฟรี ๆ—มธ. 10:8
พวกนักเทศน์ของคริสตจักรไม่ได้ประกาศเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า และถ้าพวกเขาพูดถึงรัฐบาลนี้ พวกเขาหลายคนก็จะบอกว่ารัฐบาลนี้อยู่ในใจ (ลก. 17:21) พวกเขาไม่ได้สอนว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่อยู่บนสวรรค์และมีพระเยซูเป็นผู้ปกครอง พวกเขาไม่ได้อธิบายว่าอีกไม่นานรัฐบาลของพระเจ้าจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ และจะทำให้ความชั่วหมดไปจากโลก (วว. 19:11-21) นอกจากนั้น พวกเขามักคิดถึงพระเยซูในภาพของทารกในวันคริสต์มาส เห็นได้ชัดว่า พวกผู้นำของคริสตจักรไม่รู้เลยว่าพระเยซูจะทำอะไรในฐานะที่ท่านเป็นกษัตริย์ พวกเขาจึงไม่มีแรงกระตุ้นที่ถูกต้องในการประกาศ สาวกของพระเยซูไม่ควรทำงานประกาศเพื่อเรี่ยไรเงิน หรือเพื่อมีเงินมาสร้างตึกสวย ๆ ให้คนอื่นประทับใจ เราไม่ควรทำให้งานประกาศของเราเป็นเหมือนการทำธุรกิจ (2 คร. 2:17, เชิงอรรถ) สาวกของพระเยซูไม่ควรขอค่าจ้างสำหรับงานประกาศของเขา—กจ. 20:33-35 ห16.05 2:7, 8
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม
อย่าคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น แต่ให้คิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย—1 คร. 10:24
คุณชอบสไตล์การแต่งตัวแบบหนึ่งมาก แต่คุณก็รู้ว่าถ้าพี่น้องในประชาคมบางคนเห็นก็จะรู้สึกไม่ดี แล้วอะไรจะช่วยคุณให้รู้ว่าพระยะโฮวาคิดอย่างไรในเมื่อคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้พูดถึงสไตล์การแต่งตัวแบบนั้น? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ส่วนผู้หญิงก็ควรแต่งตัวให้เหมาะสม เป็นแบบสุภาพเรียบร้อยและแบบคนที่มีสติดี ไม่ใช่ทำผมแบบสวยหรู ประดับประดาตัวด้วยทองคำ ไข่มุก หรือเสื้อผ้าราคาแพง ๆ แต่ให้แต่งตัวให้เหมาะกับผู้หญิงที่บอกว่าตัวเองนับถือพระเจ้า” (1 ทธ. 2:9, 10) แน่นอน คำแนะนำนี้เป็นประโยชน์สำหรับผู้รับใช้พระยะโฮวาทุกคน รวมทั้งพี่น้องชายด้วย ถ้าเรารักพี่น้อง และคิดถึงความรู้สึกของเขา เราจะแต่งตัวแบบสุภาพเรียบร้อย เพื่อจะไม่ทำให้เขาไม่สบายใจหรือรู้สึกไม่ดี—1 คร. 10:23; ฟป. 3:17 ห16.05 3:14
วันอังคารที่ 6 มีนาคม
พระยะโฮวา จนถึงตอนนี้พระองค์ก็ยังเป็นพ่อของเรา พวกเราเป็นดินเหนียว ส่วนพระองค์เป็นช่างปั้นหม้อ เราเป็นผลงานของพระองค์—อสย. 64:8
ตอนที่อาดัมกบฏต่อพระเจ้าผู้สร้างตัวเขา อาดัมไม่ได้เป็นลูกของพระองค์อีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้นก็มีลูกหลานของอาดัมหลายคนที่เลือกพระยะโฮวาเป็นผู้ปกครองพวกเขา (ฮบ. 12:1) พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้าและแสดงให้เห็นว่าพวกเขาอยากให้พระองค์เป็นพ่อและเป็นผู้นวดปั้นตัวเขา ไม่ใช่ซาตาน (ยน. 8:44) การที่พวกเขาภักดีต่อพระเจ้าทำให้เรานึกถึงข้อคัมภีร์วันนี้ คนที่นมัสการพระยะโฮวาในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน พวกเขาพยายามถ่อมตัวและเชื่อฟังพระองค์ พวกเขาถือว่าเป็นเกียรติที่ได้เรียกพระยะโฮวาว่าพ่อ และอยากให้พระองค์นวดปั้นพวกเขา เราเต็มใจจะเป็นเหมือนดินเหนียวที่อ่อนนุ่มที่พระเจ้าจะปั้นให้เป็นภาชนะต่าง ๆ ที่มีค่าไหม? เรามองพี่น้องแต่ละคนว่าเป็นชิ้นงานที่พระองค์กำลังนวดปั้นอยู่ไหม? ห16.06 1:2, 3
วันพุธที่ 7 มีนาคม
ให้พวกคุณคอยตรวจสอบตัวเองว่ายังใช้ชีวิตตามความเชื่อของคริสเตียนอยู่ไหม—2 คร. 13:5
เราก็ใกล้จะถึงโลกใหม่แล้ว นี่เป็นเวลาที่ต้องพิสูจน์ความเชื่อของเรา เราจึงต้องตรวจสอบว่าเรามีความเชื่อแค่ไหน แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรล่ะว่าเรามีความเชื่อที่เข้มแข็ง? ให้เราดูคำพูดของพระเยซูที่มัทธิว 6:33 แล้วถามตัวเองว่า ‘เป้าหมายและการตัดสินใจของฉันแสดงให้เห็นไหมว่า ฉันเชื่อคำพูดของพระเยซูจริง ๆ? ฉันจะยอมขาดการประชุมหรือไม่ออกประกาศเพื่อจะหาเงินมากขึ้นไหม? ฉันจะทำอย่างไรถ้าต้องทำงานหนักขึ้นและใช้เวลามากขึ้น? ฉันจะปล่อยให้โลกนี้หล่อหลอมฉันและอาจถึงกับทำให้ฉันเลิกรับใช้พระยะโฮวาไหม?’ ถ้าเราไม่ทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการคบหาที่ไม่ดี เรื่องการตัดสัมพันธ์ หรือความบันเทิง เราอาจกลายเป็นคนใจแข็งกระด้าง คุณควรทำอย่างไรถ้าคุณเริ่มเป็นอย่างนี้? คุณต้องรีบตรวจสอบความเชื่อของคุณ ขอให้ซื่อสัตย์กับตัวเองโดยใช้คัมภีร์ไบเบิลเสมอเพื่อแก้ไขความคิดของคุณ ห16.06 2:8, 9
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม
คนจำนวนน้อยจะเพิ่มเป็นจำนวนพัน คนตัวเล็กจะกลายเป็นชาติใหญ่—อสย. 60:22
มีองค์การหนึ่งซึ่งประกอบด้วยผู้คนจากทั่วโลกที่รักพระยะโฮวาและอยากรับใช้พระองค์ คนเหล่านี้คือพยานพระยะโฮวา ถึงแม้พวกเขามีข้อบกพร่องและทำอะไรผิดพลาด แต่พระยะโฮวาก็ให้พลังบริสุทธิ์ชี้นำประชาชนของพระองค์ ในปี ค.ศ. 1914 มีคนจำนวนเพียงเล็กน้อยที่นมัสการพระยะโฮวา แต่เพราะพระองค์อวยพรงานประกาศของพวกเขา จึงทำให้หลายล้านคนได้เรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและเข้ามาเป็นพยานของพระองค์ พระยะโฮวาพูดถึงการเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งนี้ในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้และกล่าวเพิ่มว่า “เรายะโฮวาจะเร่งให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม” ทุกวันนี้ เราเห็นอย่างชัดเจนว่าคำพยากรณ์นี้เกิดขึ้นจริง ประชาชนของพระยะโฮวาเป็นเหมือนชาติใหญ่ชาติหนึ่ง ที่จริง มีหลายประเทศทั่วโลกที่มีประชากรน้อยกว่าประชาชนของพระยะโฮวาทั้งหมดรวมกันด้วยซ้ำ ห16.06 4:1, 2
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม
คุณมีค่ามากกว่านกไม่ใช่หรือ?—มธ. 6:26
พระเยซูมั่นใจว่าถ้าพ่อของท่านดูแลนก พระองค์ก็จะดูแลเราด้วย (1 ปต. 5:6, 7) เหมือนกับนก เราไม่ควรเป็นคนขี้เกียจ เราต้องทำงานไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชผักไว้กิน หรือทำงานหาเงินเพื่อซื้ออาหาร พระยะโฮวาจะอวยพรความพยายามของเรา แต่ถ้าเรายังมีเงินหรืออาหารไม่พออีก พระองค์สามารถให้สิ่งจำเป็นกับเราได้ ตัวอย่างเช่น พระองค์อาจให้คนอื่น ๆ แบ่งปันสิ่งที่เขามีกับเรา นอกจากพระยะโฮวาจะดูแลเรื่องอาหาร พระองค์ยังจัดเตรียมให้นกมีที่อยู่ พระองค์ให้มันมีความสามารถสร้างรัง และพระองค์สร้างวัสดุที่พวกนกจะเอาไปใช้ในการสร้างรังด้วย ดังนั้น พระองค์ก็สามารถช่วยเราให้มีที่อยู่ที่เหมาะสมสำหรับครอบครัวเราได้เหมือนกัน ตอนที่พระเยซูพูดข้อคัมภีร์วันนี้ ท่านคงกำลังคิดว่า อีกไม่นานท่านจะสละชีวิตเพื่อมนุษย์ทุกคน (เทียบกับลก. 12:6, 7) พระเยซูไม่ได้ตายเพื่อนกหรือเพื่อสัตว์อื่น ๆ แต่ท่านตายเพื่อเราจะมีชีวิตตลอดไป—มธ. 20:28 ห16.07 1:11-13
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม
อย่าให้บาปมีอำนาจเหนือคุณ เพราะคุณไม่ได้อยู่ใต้กฎหมายของโมเสส แต่พระเจ้าแสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่กับคุณ—รม. 6:14
ทำไมเราถึงมีบาปและตาย? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความตายมีอำนาจเหมือนกษัตริย์เพราะการทำผิดของคนคนเดียว” เนื่องจากเราเป็นลูกหลานของอาดัมเราจึงเป็นคนบาปและต้องตาย (รม. 5:12, 14, 17) ถึงอย่างนั้น เราเลือกได้ว่าจะไม่ยอมให้บาปมีอำนาจเหนือเรา หรือควบคุมชีวิตเรา (รม. 5:20, 21) ถึงแม้เราเป็นคนบาป แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้บาปมีอำนาจเหนือเรา ดังนั้น ถ้าเราทำบาป เราควรแสดงความเชื่อในค่าไถ่โดยขอพระยะโฮวายกโทษให้เรา แล้วความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจะกระตุ้นเราให้ทำอะไร? เปาโลบอกว่าเมื่อเราเห็นพระเจ้าแสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ นี่จะกระตุ้นเราให้ “ปฏิเสธการทำชั่วและความต้องการแบบโลก” และยังกระตุ้นเราให้ “ใช้ชีวิตในยุคนี้อย่างมีเหตุผล ทำสิ่งที่ถูกต้อง และมีความเลื่อมใสพระเจ้า”—ทต. 2:11, 12 ห16.07 3:5, 6
วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม
[พระเจ้า] สร้างเป็นผู้หญิงแล้วพามาหาเขา—ปฐก. 2:22
การแต่งงานครั้งแรกของมนุษย์ล้มเหลวเพราะอาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระยะโฮวา ซาตาน “งูตัวแรก” หลอกเอวาให้ไปกินผลไม้จาก “ต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว” ซาตานบอกว่าถ้าเธอกินผลจากต้นไม้นั้น เธอจะตัดสินใจได้เองว่าอะไรดีอะไรชั่ว เอวาไม่ได้ให้เกียรติอาดัมที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เธอตัดสินใจเองและกินผลไม้นั้นโดยไม่ได้คุยกับสามีก่อน ส่วนอาดัมก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เขารับผลไม้นั้นจากภรรยามากิน (วว. 12:9; ปฐก. 2:9, 16, 17; 3:1-6) ตอนที่พระยะโฮวาถามว่าทำไมพวกเขาทำแบบนี้ อาดัมโทษภรรยาว่า “ผู้หญิงที่พระองค์ยกให้ผมนั่นแหละเอาผลของต้นนั้นให้ผม ผมถึงได้กิน” ส่วนเอวาก็โทษงูที่มาหลอกเธอ (ปฐก. 3:12, 13) คำแก้ตัวของอาดัมและเอวาฟังไม่ขึ้นเลย พวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระยะโฮวาจึงตัดสินว่าสองคนนี้เป็นกบฏ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเตือนใจพวกเราในทุกวันนี้ว่า ชีวิตคู่จะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อทั้งสามีและภรรยาเชื่อฟังพระยะโฮวา และรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ห16.08 1:1, 4, 5
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม
สิ่งที่พระเจ้าผูกไว้คู่กันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย—มธ. 19:6
ทำไมคู่สมรสบางคู่ถึงเจอกับปัญหาร้ายแรง? หลายครั้งก็เพราะพวกเขาถูกเลี้ยงดูมาไม่เหมือนกัน และมีวิธีแสดงอารมณ์ความรู้สึกไม่เหมือนกัน ส่วนบางคนพอชีวิตคู่ของเขาไม่ได้เป็นแบบที่เขาคาดหวังไว้ เขาก็รู้สึกผิดหวังหรือโกรธ นอกจากนั้น บางคู่ยังมีปัญหากับพ่อแม่หรือครอบครัวของอีกฝ่ายหนึ่ง หรือปัญหาเกี่ยวกับวิธีใช้เงินหรือวิธีเลี้ยงลูก ถึงแม้จะมีปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ เราดีใจที่เห็นว่าคู่สมรสคริสเตียนส่วนใหญ่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เพราะพวกเขายอมให้พระเจ้าชี้นำ เวลามีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้น คู่สมรสควรขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล พวกผู้ดูแลมีประสบการณ์มากและสามารถช่วยคู่สมรสให้ใช้คำแนะนำของพระเจ้าในชีวิตได้ นอกจากนั้น คู่สมรสควรอธิษฐานขอพลังบริสุทธิ์จากพระยะโฮวา พลังนั้นจะช่วยพวกเขาให้ใช้หลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลและแสดงลักษณะนิสัยที่ดีแบบคริสเตียน—กท. 5:22, 23 ห16.08 2:11-13
วันอังคารที่ 13 มีนาคม
ต่อไปนี้คุณจะไปหาคนแทนที่จะหาปลา—ลก. 5:10
พระเยซูมีเวลาแค่ 3 ปีครึ่งที่จะทำงานรับใช้ และท่านยุ่งมาก แต่ถ้ามีคนสนใจอยากฟังสิ่งที่ท่านสอน พระเยซูก็ให้เวลาพวกเขาและสอนพวกเขาหลายอย่าง เช่น วันหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาที่ชายฝั่งเพื่อฟังท่าน พระเยซูกับเปโตรเอาเรือออกจากฝั่งเล็กน้อยและสอนผู้คนจากบนเรือ หลังจากนั้น ท่านก็อยากสอนบางอย่างกับเปโตรด้วย พระเยซูทำการอัศจรรย์โดยให้เปโตรจับปลาได้จำนวนมาก จากนั้น ท่านก็พูดกับเปโตรตามข้อคัมภีร์วันนี้ ผลเป็นอย่างไร? เปโตรกับคนที่อยู่กับเขา “ก็ทิ้งทุกอย่างและตามท่านไป” (ลก. 5:1-11) นิโคเดมัสอยากเรียนรู้จากพระเยซูมากขึ้น แต่เนื่องจากเขาเป็นสมาชิกของศาลแซนเฮดริน เขากลัวว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไรถ้าเห็นเขาคุยกับพระเยซู นิโคเดมัสจึงไปหาพระเยซูในตอนกลางคืนเพื่อจะไม่มีใครเห็น พระเยซูไม่ได้ไล่เขาแต่กลับให้เวลาและอธิบายความจริงที่สำคัญกับเขา (ยน. 3:1, 2) พระเยซูเต็มใจให้เวลาเสมอเพื่อสอนผู้คนเกี่ยวกับความจริงและช่วยพวกเขาให้มีความเชื่อมากขึ้น คล้ายกัน เราก็ควรเต็มใจไปเยี่ยมผู้คนในเวลาที่เขาสะดวก และเราต้องให้เวลากับเขาเพื่อช่วยเขาให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิล ห16.08 4:10, 11
วันพุธที่ 14 มีนาคม
ใช้ชีวิตตามแนวทางของพระเจ้าด้วยความเจียมตัว—มคา. 6:8
ถ้าเราเจียมตัว เราจะคิดเสมอว่าพระยะโฮวาบริสุทธิ์สะอาดและมาตรฐานของพระองค์ดีที่สุดสำหรับเรา และถ้าเราถ่อมตัวและเจียมตัว เราก็จะทำตามมาตรฐานของพระเจ้าในชีวิตของเรา ความเจียมตัวจะช่วยเราให้เคารพความรู้สึกและความคิดเห็นของคนอื่นด้วย เสื้อผ้าที่เราเลือกใส่ควรแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเราเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา พระองค์มีมาตรฐานสูงและเราก็อยากทำตามมาตรฐานนั้น พี่น้องชายหญิงของเราส่วนใหญ่น่าชมเชยจริง ๆ ที่แต่งตัวดีและมีความประพฤติที่ดี ซึ่งทำให้คนที่มีหัวใจดีมาสนใจข่าวที่จะช่วยชีวิตเขาและทำให้พระยะโฮวาได้รับการยกย่องสรรเสริญ ห16.09 3:18-20
วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม
คุณต่อสู้กับพระเจ้าและกับมนุษย์จนชนะ—ปฐก. 32:28
ยาโคบตั้งใจมาก สู้ไม่ถอย และพยายามสุดกำลังเพื่อจะได้รับพร (ปฐก. 32:24-26) แล้วพระยะโฮวาก็อวยพรความพยายามของยาโคบและตั้งชื่อใหม่ให้เขาว่าอิสราเอลซึ่งหมายความว่า “ผู้ที่ต่อสู้กับพระเจ้า ผู้ที่ไม่ยอมแพ้พระเจ้า” ยาโคบได้รับรางวัลที่เราเองก็อยากได้ คือเป็นที่ยอมรับของพระยะโฮวาและได้รับพรจากพระองค์ ราเชล ภรรยาที่รักของยาโคบอยากเห็นว่าพระยะโฮวาจะทำตามคำสัญญาของพระองค์ที่จะอวยพรลูกหลานยาโคบอย่างไร แต่ก็มีอุปสรรคเพราะราเชลมีลูกไม่ได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงในสมัยนั้นเสียใจและรู้สึกแย่มาก ๆ ราเชลสู้ต่อไปและไม่ยอมแพ้ได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่เธอต้องเจอกับเรื่องแย่ ๆ? เธอไม่เลิกหวัง แทนที่จะทำอย่างนั้น ราเชลสู้ต่อไปโดยอธิษฐานถึงพระยะโฮวาหลายครั้งหลายหน พระเจ้าฟังคำอธิษฐานจากใจของราเชล และเธอได้รับพรเพราะในที่สุดเธอก็มีลูกได้—ปฐก. 30:8, 20-24 ห16.09 2:6, 7
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม
ถ้อยคำของพระเจ้ามีชีวิต ทรงพลัง คมยิ่งกว่าดาบสองคม—ฮบ. 4:12
เป็นเรื่องสำคัญที่จะสอนให้ลูกรู้ว่าพวกเขาจะมีความสุขที่สุดถ้าเชื่อฟังสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอก (สด. 1:1-3) ตัวอย่างเช่น คุณอาจให้ลูกนึกภาพว่าถ้าเขาจะไปอยู่บนเกาะ ๆ หนึ่ง แล้วต้องเลือกคนที่จะไปอยู่ด้วย เขาจะเลือกคนแบบไหน คุณอาจถามว่า “ลูกจะเอาคนนิสัยแบบไหนไปอยู่ด้วยถ้าลูกอยากให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข?” และคุณก็อ่านกาลาเทีย 5:19-23 เพื่อให้ลูกเห็นว่าพระยะโฮวาอยากให้คนแบบไหนอยู่ในโลกใหม่ของพระองค์ การทำอย่างนี้ คุณจะสามารถสอนบทเรียนสำคัญให้ลูกได้ถึง 2 บทเรียน บทเรียนแรกคือ พระยะโฮวากำลังสอนเราให้รู้วิธีใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นอย่างมีความสุขในทุกวันนี้ บทเรียนที่สอง พระองค์กำลังสอนเราให้รู้วิธีใช้ชีวิตในโลกใหม่ (อสย. 54:13; ยน. 17:3) คุณน่าจะเล่าให้ลูก ๆ ฟังด้วยว่าคัมภีร์ไบเบิลได้ช่วยพี่น้องของเราอย่างไร ตัวอย่างเช่น ลองหาบทความที่พูดถึงประสบการณ์ของพี่น้องในหนังสือและเว็บไซต์ของเรา เช่น บทความชุด “คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน” ในวารสารหอสังเกตการณ์ ห16.09 5:13, 14
วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม
ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด—อฟ. 5:16
ถึงแม้เราอาจยุ่งกับการทำงาน แต่เราต้องจัดเวลาไว้สำหรับการศึกษาส่วนตัวและการนมัสการประจำครอบครัว (อฟ. 5:15) เป้าหมายของเราต้องไม่ใช่แค่อ่านให้ได้เยอะ ๆ หรือเตรียมออกความคิดเห็นที่หอประชุมเท่านั้น แต่เราควรให้สิ่งที่อ่านและศึกษาเข้าถึงหัวใจ มีผลกับชีวิตของเรา และทำให้เรามีความเชื่อเข้มแข็งมากขึ้น เราต้องเป็นคนสมดุล ตอนที่เราศึกษา เราไม่ควรคิดว่าคนอื่นจะได้ประโยชน์อะไรเท่านั้น แต่เราต้องคิดถึงตัวเราเองด้วย (ฟป. 1:9, 10) เราต้องยอมรับว่า ตอนที่เราเตรียมการประกาศ เตรียมการประชุม เตรียมบรรยาย หรือเตรียมการสาธิต หลายครั้งเราคิดถึงแต่คนอื่น และลืมคิดถึงตัวเอง ขอดูตัวอย่างนี้ ถึงแม้พ่อครัวจะชิมอาหารที่เขาทำก่อนเสิร์ฟ แต่เขาไม่สามารถกินแค่นั้นแล้วก็อยู่ได้ ถ้าเขาอยากมีสุขภาพแข็งแรง เขาต้องเตรียมอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้กับตัวเองเสมอ คล้ายกัน ถ้าเราอยากจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา เราต้องศึกษาส่วนตัวเป็นประจำ การศึกษาที่ลึกซึ้งอย่างนั้นจะทำให้เราได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์และเหมาะกับตัวเราจริง ๆ ห16.10 2:10, 11
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม
เพราะความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าพระเจ้าจัดสิ่งต่าง ๆ ในเอกภพให้เป็นระบบด้วยคำพูดของพระองค์ สิ่งที่เรามองเห็นจึงเกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น—ฮบ. 11:3
คัมภีร์ไบเบิลอธิบายไว้ที่ฮีบรู 11:1 ว่าความเชื่อคืออะไร (1) ความเชื่อคือ “ความมั่นใจเพราะมีเหตุผลหนักแน่นว่าสิ่งที่หวังไว้จะเกิดขึ้น” สิ่งที่เราหวังไว้หมายรวมถึงคำสัญญาต่าง ๆ ของพระเจ้าเกี่ยวกับอนาคต เช่น เรามั่นใจว่าจะมีโลกใหม่ในอนาคตและจะไม่มีความชั่วอีกต่อไป (2) ความเชื่อคือ “ความแน่ใจเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมีจริง” เรามั่นใจว่าพระยะโฮวา พระเยซู ทูตสวรรค์ และรัฐบาลสวรรค์มีอยู่จริง ถึงแม้ว่าเรามองไม่เห็นก็ตาม เราจะแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเราเชื่อในคำสัญญาต่าง ๆ ของพระเจ้า และเชื่อในสิ่งที่เรามองไม่เห็น? เราทำอย่างนั้นได้โดยสิ่งที่เราพูดและทำ และวิธีที่เราใช้ชีวิต ห16.10 4:6
วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม
คอยให้กำลังใจกันทุก ๆ วัน—ฮบ. 3:13
พระยะโฮวาและพระเยซูเห็นค่าทุกสิ่งที่เราทำเพื่อพระองค์ ถึงแม้เราอาจทำไม่ได้มากอย่างที่อยากจะทำ (ลก. 21:1-4; 2 คร. 8:12) ดังนั้น เราก็น่าจะคิดถึงพี่น้องคนอื่นด้วย ตัวอย่างเช่น เรารู้ว่าพี่น้องสูงอายุที่น่ารักของพวกเราต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะมาประชุมและไปประกาศเป็นประจำ เราได้ชมและให้กำลังใจพวกเขาไหม? เราควรให้กำลังใจคนอื่นทุกครั้งที่ทำได้ เมื่อไรที่คุณสังเกตว่าคนอื่นทำอะไรดี ๆ ก็อย่าลืมชมเขา ตอนที่เปาโลกับบาร์นาบัสอยู่ที่เมืองอันทิโอก แคว้นปิสิเดีย พวกหัวหน้าที่ประชุมของชาวยิวบอกพวกเขาว่า “พี่น้อง พวกคุณมีอะไรจะพูดให้กำลังใจประชาชนหน่อยไหม?” เปาโลจึงใช้โอกาสนั้นพูดให้กำลังใจผู้คนที่นั่น (กจ. 13:13-16, 42-44) ถ้าเรามีโอกาสที่จะให้กำลังใจคนอื่น ทำไมไม่พูดออกมาล่ะ? ถ้าเราให้กำลังใจคนอื่น พวกเขาก็จะให้กำลังใจเราด้วย—ลก. 6:38 ห16.11 1:3, 15, 16
วันอังคารที่ 20 มีนาคม
พระยะโฮวามองไปทั่วทุกแห่ง เฝ้าดูทั้งคนชั่วและคนดี—สภษ. 15:3
ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในองค์การของพระเจ้าและได้รู้ว่าพระองค์อยากให้เราทำอะไร เมื่อเราได้รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อให้พระองค์พอใจ เราก็มีหน้าที่รับผิดชอบที่จะเชื่อฟังและทำสิ่งที่ถูกต้อง ถึงแม้มีผู้คนมากมายชอบทำความชั่ว แต่เราต้อง “เกลียดสิ่งชั่ว” เหมือนกับพระยะโฮวา (สด. 97:10) เราจะไม่เป็นเหมือนกับพวกคนที่ “เห็นดีเป็นชั่วและเห็นชั่วเป็นดี” (อสย. 5:20) เราอยากทำสิ่งที่พระยะโฮวาพอใจ เราจึงตั้งใจเป็นคนสะอาดในทุก ๆ ด้าน (1 คร. 6:9-11) สิ่งที่พระยะโฮวาบอกเราในคัมภีร์ไบเบิลก็เพื่อประโยชน์ของเราทั้งนั้น เรารักและอยากจะซื่อสัตย์ภักดีต่อพระองค์ เราจึงติดตามการชี้นำของพระองค์ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทั้งที่บ้าน ที่ประชาคม ที่ทำงาน ที่โรงเรียน และทุก ๆ ที่ที่เราอยู่ ห16.11 3:13
วันพุธที่ 21 มีนาคม
ให้ทุกคนยอมเชื่อฟังคนที่มีอำนาจปกครอง—รม. 13:1
ในช่วงปี 1914 ถึง 1919 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบางอย่าง พวกเขาไม่เข้าใจอย่างเต็มที่เกี่ยวกับคำสั่งที่พระยะโฮวาบอกให้เชื่อฟังรัฐบาล ถ้าเรามองพวกเขาเป็นกลุ่ม เราจะเห็นว่าบางครั้งพวกเขาไม่ได้รักษาความเป็นกลางในช่วงสงคราม ตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาบอกให้ประชาชนอธิษฐานในวันที่ 30 พฤษภาคม 1918 เพื่อขอสันติภาพ ในตอนนั้นวารสารหอสังเกตการณ์ ก็สนับสนุนให้นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอธิษฐานด้วย พี่น้องบางคนสนับสนุนทางการเงินเพื่อช่วยเหลือสงคราม และบางคนถึงกับไปเป็นทหารและสู้รบในสงครามเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบางอย่าง แต่ก็ไม่ถูกต้องที่เราจะสรุปว่าที่พวกเขาตกเป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่เพราะพวกเขาทำผิดจนต้องถูกลงโทษ ที่จริง พวกเขาได้แยกตัวและเกือบจะเป็นอิสระจากศาสนาเท็จแล้วตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1—ลก. 12:47, 48 ห16.11 5:9
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม
[เรา] ใช้ชีวิตตามที่พลังของพระเจ้าชี้นำ—รม. 8:4
ทำไมเปาโลถึงเตือนคริสเตียนผู้ถูกเจิมว่าพวกเขาต้องไม่ใช้ชีวิต “ตามความต้องการของร่างกาย”? และทำไมคริสเตียนทุกคนที่ซื่อสัตย์และเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าในทุกวันนี้ก็ต้องสนใจคำเตือนนี้ด้วย? เพราะไม่ว่าเราจะเป็นใคร เราก็อาจเริ่มปล่อยให้ความต้องการของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ตัวอย่างเช่น เปาโลบอกว่ามีพี่น้องบางคนในโรมตกเป็น “ทาสความต้องการของตัวเอง” ในข้อนี้ “ความต้องการของตัวเอง” อาจหมายถึงความต้องการเรื่องเพศ เรื่องอาหารการกิน หรือเรื่องอื่น ๆ ที่พวกเขาถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต (รม. 16:17, 18; ฟป. 3:18, 19; ยด. 4, 8, 12) และในอีกเหตุการณ์หนึ่งก็มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่ประชาคมเมืองโครินธ์ คริสเตียนคนหนึ่ง “อยู่กินกับภรรยาของพ่อตัวเอง” (1 คร. 5:1) นั่นเป็นเหตุผลที่เปาโลต้องเตือนคริสเตียนในสมัยนั้นให้ระวังการใช้ชีวิต “ตามความต้องการของร่างกาย” (รม. 8:5, 6) คำเตือนนี้ก็ใช้กับเราในทุกวันนี้ด้วย ห16.12 2:5, 8, 9
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม
ความวิตกกังวลทำให้หนักใจ แต่คำพูดดี ๆ ทำให้มีกำลังใจ—สภษ. 12:25
การระบายความรู้สึกให้คนที่คุณไว้ใจฟัง บอกเขาว่าคุณรู้สึกอย่างไรจริง ๆ ช่วยให้คุณหายกังวลได้ คนที่คุณไว้ใจอาจจะเป็นคู่สมรส เพื่อนสนิท หรือผู้ดูแลในประชาคม พวกเขาอาจช่วยคุณให้เข้าใจอะไร ๆ ดีขึ้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ถ้าไม่มีการปรึกษาหารือแผนการก็ล้มเหลว แต่ถ้ามีที่ปรึกษาหลายคนแผนการจะสำเร็จ” (สภษ. 15:22) การประชุมประชาคมก็ช่วยลดความกังวลได้ ที่หอประชุมแต่ละอาทิตย์คุณได้ใช้เวลาอยู่กับพี่น้อง พวกเขาเป็นห่วงเป็นใยคุณและอยากจะให้กำลังใจคุณ (ฮบ. 10:24, 25) การ “ให้กำลังใจกันและกัน” จะช่วยคุณให้เข้มแข็งและเอาชนะความกังวลได้ง่ายขึ้น—รม. 1:12 ห16.12 3:17, 18
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม
ฮันนาห์ . . . อธิษฐานถึงพระยะโฮวา—1 ซม. 1:10
เมื่อเรามีปัญหาสุขภาพหรือปัญหาอื่น ๆ ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เราต้องฝากความกังวลทั้งหมดไว้กับพระยะโฮวาและวางใจว่าพระองค์ห่วงใยเรา (1 ปต. 5:6, 7) เราควรทำสิ่งที่เราทำได้ เราควรรับประโยชน์จากการประชุมคริสเตียนและสิ่งอื่น ๆ ที่องค์การของพระยะโฮวาจัดเตรียมให้ (ฮบ. 10:24, 25) จะว่าอย่างไรถ้าคุณเป็นพ่อแม่คริสเตียนที่ซื่อสัตย์แต่ลูกของคุณเลิกรับใช้พระยะโฮวา? ผู้พยากรณ์ซามูเอลไม่สามารถบังคับลูก ๆ ของเขาที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วให้ซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าได้ (1 ซม. 8:1-3) เขาปล่อยให้พระยะโฮวาจัดการเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ซามูเอลก็ทำสิ่งที่ทำได้เพื่อรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าและทำให้พระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์พอใจ (สภษ. 27:11) ในทุกวันนี้พ่อแม่คริสเตียนหลายคนก็เจอปัญหาคล้ายกับซามูเอล แต่พวกเขาวางใจพระยะโฮวา พวกเขารู้ว่าพระยะโฮวาพร้อมเสมอที่จะต้อนรับคนบาปที่กลับใจ (ลก. 15:20) แต่ในขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็สามารถทำสิ่งที่ทำได้โดยพยายามรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้า แล้วหวังว่าตัวอย่างของเขาจะช่วยลูกให้กลับมาหาพระเจ้า ห17.01 1:15, 16
วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม
ให้ถ่อมตัวและมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง—ฟป. 2:3
ปกติแล้วคนที่ถ่อมตัวจะเป็นคนที่เจียมตัวด้วย เขาจะรู้ว่าตัวเองมีขีดจำกัดและจะถ่อมตัวยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง คนแบบนี้จะเต็มใจฟังความคิดเห็นของคนอื่นและเรียนรู้จากคนอื่น ๆ พระยะโฮวารักคนที่ถ่อมตัวมากจริง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล คนที่เจียมตัวรู้ขีดจำกัดของตัวเองว่าเขาทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้ และรู้ว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะทำไหม นี่ช่วยให้เขาให้เกียรติคนอื่น ๆ และปฏิบัติกับคนอื่นอย่างกรุณา โดยไม่รู้ตัว เราอาจคิดที่จะทำสิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เราอาจเริ่มคิดว่าเราสำคัญกว่าคนอื่นเพราะเราหรือคนที่เราสนิทด้วยมีหน้าที่สำคัญในประชาคม (รม. 12:16) หรือเราอาจพยายามทำตัวเป็นจุดสนใจ (1 ทธ. 2:9, 10) หรือเราอาจถึงขั้นเริ่มบอกคนอื่นว่าพวกเขาควรทำหรือไม่ควรทำอะไร—1 คร. 4:6 ห17.01 3:6-8
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม
ความงามของคนหนุ่มคือกำลังของเขา ความสง่าของคนชราคือผมหงอกของเขา—สภษ. 20:29
ในทุกวันนี้ งานประกาศก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ และองค์การของพระยะโฮวากำลังใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้ข่าวดีไปถึงผู้คนมากเท่าที่ทำได้ บางครั้งจึงเป็นเรื่องยากที่พี่น้องสูงอายุจะเรียนอะไรใหม่ ๆ (ลก. 5:39) นอกจากนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่พอเราแก่ลงก็จะไม่ค่อยมีแรง ดังนั้น จึงเหมาะที่พี่น้องที่อายุมากกว่าจะฝึกคนที่อายุน้อยกว่าให้รับหน้าที่รับผิดชอบในองค์การของพระยะโฮวามากขึ้น ซึ่งนั่นก็เป็นการแสดงความรักด้วย (สด. 71:18) ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนมีอำนาจจะให้คนที่อายุน้อยกว่ามาทำหน้าที่แทนเขา พี่น้องชายบางคนรู้สึกกลัวหรือเสียใจที่คิดว่าจะต้องสูญเสียงานมอบหมายที่เขารักมาก บางคนอาจเป็นห่วงว่าถ้าให้คนที่อายุน้อยกว่าทำ งานก็จะออกมาไม่ดี ส่วนคนอื่น ๆ อาจรู้สึกว่าไม่มีเวลาที่จะฝึกคนอื่น ในอีกด้านหนึ่ง พี่น้องชายที่อายุน้อยกว่าก็ต้องอดทนรอถ้าพวกเขายังไม่ได้รับหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น ห17.01 5:3, 4
วันอังคารที่ 27 มีนาคม
การพิสูจน์ความซื่อสัตย์ครั้งเดียวก็ทำให้คนทุกชนิดได้ชีวิต เพราะพระเจ้าถือว่าพวกเขาเป็นที่ยอมรับของพระองค์—รม. 5:18
พระเยซูเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบเหมือนกับที่อาดัมเคยเป็น (ยน. 1:14) แต่พระเยซูไม่เหมือนอาดัมตรงที่ว่า ท่านทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาอย่างที่พระองค์คาดหมายจากมนุษย์สมบูรณ์ได้อย่างครบถ้วน ถึงแม้พระเยซูต้องเจอกับการทดสอบที่ยากลำบากที่สุด แต่ท่านก็ไม่เคยฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าเลย พระเยซูเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ท่านตายเพื่อมนุษย์จะมีโอกาสที่จะไม่ต้องมีบาปและต้องตายอีก พระเยซูเป็นทุกอย่างที่อาดัมควรจะเป็น ท่านเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ และเป็นคนที่ซื่อสัตย์ภักดีและเชื่อฟังพระเจ้าทุกอย่าง (1 ทธ. 2:6) พระเยซูตายเพื่อพวกเรา และค่าไถ่ของท่านทำให้มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือเด็ก ๆ มีโอกาสมีชีวิตตลอดไป (มธ. 20:28) ค่าไถ่เป็นเหมือนกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกและทำให้สิ่งที่พระเจ้าตั้งใจไว้เกิดขึ้นจริง—2 คร. 1:19, 20 ห17.02 1:15, 16
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 9 นิสาน) ยอห์น 12:12-19; มาระโก 11:1-11
วันพุธที่ 28 มีนาคม
ท่านยอมทนทุกข์ . . . เพราะท่านคิดถึงความยินดีที่รออยู่ข้างหน้า—ฮบ. 12:2
ลองคิดภาพว่าคุณอยู่ในอุโมงค์ที่ยาวและมืดมิด คุณอาจสงสัยว่าจะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งไหม ชีวิตของเราก็คล้าย ๆ กับการอยู่ในอุโมงค์แบบนั้น คุณอาจต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก และอาจรู้สึกว่าถูกรุมล้อมไปด้วยปัญหา แม้แต่พระเยซูก็อาจเคยรู้สึกแบบนั้น ตอนที่ท่านถูกตรึงอยู่บนเสาทรมาน ท่านต้องทั้งอับอายและเจ็บปวด นี่อาจเป็นเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของพระเยซู (ฮบ. 12:3) แต่อะไรช่วยท่านให้อดทนได้? พระเยซูเพ่งมองไปที่รางวัลที่จะได้รับเนื่องจากความอดทน และที่สำคัญที่สุด ท่านเพ่งมองไปที่การสรรเสริญชื่อของพระเจ้าและสนับสนุนการปกครองของพระองค์ พระเยซูรู้ดีว่าการทดสอบที่ท่านต้องเจอก็เกิดขึ้นแค่ชั่วคราว แต่รางวัลที่จะได้รับในสวรรค์จะมีอยู่ตลอดไป ในทุกวันนี้ เราอาจต้องเจอกับปัญหารุมเร้าและทำให้เจ็บปวด แต่ขอจำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จะอยู่แค่ชั่วคราว ห16.04 2:10
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 10 นิสาน) ยอห์น 12:20-50
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม
ท่านผู้นั้น [พระเยซู] จ่ายค่าไถ่ด้วยเลือดของท่านเพื่อปลดปล่อยเรา ความผิดของเราจึงได้รับการอภัย—อฟ. 1:7
ทุกวันนี้ ผู้คนมากมายไม่รู้สึกผิดเมื่อพวกเขาทำบาป พวกเขาก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ต้องมีค่าไถ่ หลายคนไม่รู้เลยว่าบาปคืออะไรจริง ๆ ไม่รู้ว่าบาปมีผลอะไรกับเรา และเราต้องทำอะไรเพื่อจะไม่ตกเป็นทาสของบาป คนที่จริงใจเห็นค่าความรักและความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวาที่ส่งลูกชายคนเดียวมาบนโลกเพื่อให้เราเป็นอิสระจากบาปและความตาย (1 ยน. 4:9, 10) เครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดที่พิสูจน์ว่าพระเจ้ารักเรา และทำให้เราเห็นว่าความกรุณาของพระองค์ยิ่งใหญ่ขนาดไหน การเรียนเรื่องนี้ทำให้สบายใจเพราะรู้ว่าถ้าเราแสดงความเชื่อในค่าไถ่ เราก็จะได้รับการอภัยบาปและไม่ต้องรู้สึกผิดไปตลอด (ฮบ. 9:14) นี่เป็นข่าวดีที่น่าบอกคนอื่นจริง ๆ ห16.07 4:6, 7
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 11 นิสาน) ลูกา 21:1-36
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม
[พระคริสต์] รับเอาความรอดตลอดไปมาให้เรา—ฮบ. 9:12
พระยะโฮวาช่วยให้เรามั่นใจว่าถ้าเรามีความเชื่อในค่าไถ่ พระองค์จะให้อภัยบาปของเรา บาปของเราจะถูก “ลบล้าง” (กจ. 3:19-21) ค่าไถ่ทำให้พระยะโฮวาสามารถรับมนุษย์บางคนเป็นลูกในสวรรค์ คนเหล่านี้เป็นผู้ถูกเจิม (รม. 8:15-17) พระเจ้าเชิญคนที่เป็น “แกะอื่น” ให้เป็นครอบครัวของพระองค์บนโลกด้วย หลังจากที่พวกเขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว จะมีการทดสอบครั้งสุดท้าย ถ้าพวกเขารักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้า พระองค์ก็จะรับพวกเขาเป็นลูกเหมือนกัน (รม. 8:20, 21; วว. 20:7-9) พระยะโฮวาจะรักลูก ๆ ของพระองค์ตลอดไป และค่าไถ่จะทำให้ทุกคนได้พรต่อไปไม่สิ้นสุด พระยะโฮวาให้ค่าไถ่ที่เป็นของขวัญที่มีค่านี้กับเรา และไม่มีใครสามารถเอาของขวัญนี้ไปจากเราได้ ห17.02 2:15, 16
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 12 นิสาน) มัทธิว 26:1-5, 14-16; ลูกา 22:1-6
วันประชุมอนุสรณ์
หลังดวงอาทิตย์ตก
วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม
ถ้าใครทำบาป เราก็มีผู้ช่วยที่อยู่กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ซึ่งผู้ช่วยนั้นก็คือพระเยซูคริสต์—1 ยน. 2:1
เมื่อคุณได้มาเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา พระองค์รู้อยู่แล้วว่าคุณจะยังทำผิดพลาดอยู่ แต่พระองค์ก็ยังอยากให้คุณเป็นเพื่อนกับพระองค์ พระยะโฮวารักพวกเรามาก พระองค์ถึงให้ของขวัญที่มีค่ากับเรา พระองค์ส่งพระเยซูลูกชายของพระองค์ลงมาบนโลกเพื่อที่ท่านจะสละชีวิตเป็นค่าไถ่ให้พวกเรา (ยน. 3:16) ตอนที่เราทำผิด เราสามารถขอให้พระยะโฮวายกโทษให้เรา และเพราะค่าไถ่นี่แหละ เราจึงมั่นใจว่าพระเจ้าจะให้อภัยเรา และเราจะยังเป็นเพื่อนกับพระองค์ได้ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนบาป—1 ทธ. 1:15 ห16.05 4:6, 7
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 13 นิสาน) มัทธิว 26:17-19; มาระโก 14:12-16; ลูกา 22:7-13 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก: 14 นิสาน) ยอห์น 13:1-5; 14:1-3