เมษายน
วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน
พวกคุณเคยอยู่ห่างไกลจากพระเจ้าและเป็นศัตรูกับพระองค์เพราะใจพวกคุณคิดแต่จะทำชั่ว แต่ตอนนี้พระเจ้าให้พวกคุณคืนดีกับพระองค์โดยให้ท่านผู้นั้นตายในร่างกายมนุษย์—คส. 1:21, 22
ถ้าผู้คนไม่ได้แสดงความเชื่อในค่าไถ่ของพระเยซู พระเจ้าจะถือว่าพวกเขาเป็นศัตรู เพราะอย่างนั้น พวกเราจึงมีหน้าที่ไปบอกคนอื่นว่าพวกเขาสามารถเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้ อัครสาวกยอห์นบอกว่า “คนที่แสดงความเชื่อในลูกของพระเจ้าจะมีชีวิตตลอดไป ส่วนคนที่ไม่เชื่อฟังลูกของพระองค์จะไม่ได้ชีวิต แต่จะถูกพระเจ้าลงโทษตลอดไป” (ยน. 3:36) พวกเรามีความสุขที่ได้รู้ว่าค่าไถ่ของพระเยซูช่วยเราให้คืนดีและเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้ (2 คร. 5:18-20) พวกเราสอนผู้คนให้รู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า ช่วยพวกเขาให้รู้จักและมาเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของงานประกาศที่เราทำ ห16.07 4:8-10
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 14 นิสาน) ยอห์น 19:1-42
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน
ขอให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ—มธ. 6:9
สิ่งแรกที่พระเยซูอธิษฐานก็คือขอให้ชื่อของพระยะโฮวาเป็นที่เคารพนับถือ หรือศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ในสายตาของทุกคน เนื่องจากพระยะโฮวาบริสุทธิ์ กฎหมายของพระองค์และทุกสิ่งที่พระองค์ทำก็บริสุทธิ์ไร้ที่ติ แต่ในสวนเอเดน ซาตานใช้เล่ห์เหลี่ยมตั้งข้อสงสัยว่าพระเจ้ามีสิทธิ์ที่จะตั้งมาตรฐานให้กับมนุษย์หรือไม่ ซาตานโกหกเกี่ยวกับพระยะโฮวา มันทำให้พระองค์เสียชื่อเสียง (ปฐก. 3:1-5) ในทางกลับกัน พระเยซูรักชื่อพระยะโฮวาและพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้ชื่อนั้นได้รับการเคารพนับถือ (ยน. 17:25, 26) ท่านทำอย่างไร? โดยทางการกระทำและการสอน พระเยซูช่วยคนอื่นให้เห็นว่ามาตรฐานของพระยะโฮวาถูกต้องและมีเหตุผล ทุกอย่างที่พระองค์บอกให้เราทำนั้นดีกับตัวเราเสมอ (สด. 40:8-10) การที่พระเยซูรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าจนวันตายเป็นการพิสูจน์ว่ามนุษย์สมบูรณ์สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน ห17.02 2:2-4
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 15 นิสาน) มัทธิว 27:62-66 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก: 16 นิสาน) ยอห์น 20:1
วันอังคารที่ 3 เมษายน
ลูกแกะของพระองค์ได้รับ . . . ความนับถือ เกียรติยศ—วว. 5:13
“ลูกแกะ” ที่พูดถึงในวิวรณ์ 5:13 ก็คือพระเยซูคริสต์ เรารู้ได้อย่างไร? ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านถูกเรียกว่า “ลูกแกะของพระเจ้าที่จะรับบาปของโลกไป” (ยน. 1:29) นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เราควรให้เกียรติพระเยซู ลองคิดดูสิว่าจะมีกษัตริย์องค์ไหนในโลกที่เต็มใจตายเพื่อเป็นค่าไถ่ให้ประชาชนของเขา พระเยซูสมควรได้รับเกียรติเพราะ “ท่านเป็นกษัตริย์เหนือทุกคนที่ปกครองเป็นกษัตริย์และเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทุกคน” (1 ทธ. 6:14-16) คุณคงรู้สึกแบบเดียวกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในสวรรค์ที่ร้องเพลงว่า “ลูกแกะของพระเจ้าที่เคยถูกฆ่าสมควรจะได้รับฤทธิ์อำนาจ ทรัพย์สมบัติ สติปัญญา กำลัง ความนับถือ เกียรติยศ และคำสรรเสริญ” (วว. 5:12) นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เราควรให้เกียรติพระเยซู และถ้าเราให้เกียรติพระเยซูก็เท่ากับว่าเราให้เกียรติพระยะโฮวาด้วย การให้เกียรติพระเยซูและพ่อของท่านจะช่วยให้เราได้ชีวิตตลอดไป—สด. 2:11, 12; ยน. 5:23 ห17.03 1:3, 4
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 16 นิสาน) ยอห์น 20:2-18
วันพุธที่ 4 เมษายน
ถ้าคุณให้ผมกลับไป . . . ผมจะได้เป็นผู้นำคุณแน่นะ—วนฉ. 11:9
เยฟธาห์ไม่ได้เป็นแค่นักรบที่เก่งกล้าเท่านั้น แต่เขารู้ประวัติศาสตร์ชาติอิสราเอลและกฎหมายของโมเสสเป็นอย่างดีด้วย พอเยฟธาห์ได้รู้วิธีที่พระยะโฮวาดูแลจัดการประชาชนของพระองค์ เขาก็เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับมาตรฐานของพระเจ้าเรื่องอะไรถูกอะไรผิด (วนฉ. 11:12-27) เยฟธาห์ใช้สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ในชีวิตของเขาเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ เขารู้ว่าพระยะโฮวาอยากให้ประชาชนของพระองค์รักกัน และรู้ว่าพระองค์รู้สึกอย่างไรกับความโกรธและการแก้แค้น นอกจากนั้น กฎหมายของโมเสสยังสอนให้รู้ว่าเขาไม่ควรมองข้ามคนที่ต้องการความช่วยเหลือแม้คนนั้นจะเกลียดเขาก็ตาม (อพย. 23:5; ลนต. 19:17, 18) เยฟธาห์อาจได้ประโยชน์จากตัวอย่างของโยเซฟด้วย เขาคงได้เรียนรู้ว่าโยเซฟแสดงความกรุณาต่อพี่น้องทั้ง ๆ ที่พวกเขาเกลียดชังโยเซฟ (ปฐก. 37:4; 45:4, 5) การคิดถึงตัวอย่างนี้น่าจะช่วยเยฟธาห์ให้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ สิ่งที่พี่น้องของเยฟธาห์ทำต้องทำให้เขาเจ็บปวดจริง ๆ แต่การต่อสู้เพื่อชื่อเสียงของพระยะโฮวาและเพื่อประชาชนของพระองค์สำคัญกว่าความรู้สึกส่วนตัวของเขา—วนฉ. 11:1-3 ห16.04 1:8, 9
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน
พวกเขาตั้งใจ . . . มารวมกลุ่มกัน—กจ. 2:42
ประชาชนของพระยะโฮวารอคอยที่จะได้มาเจอกัน ตัวอย่างเช่น คริสเตียนในศตวรรษแรกตั้งใจมาเจอกันเพื่อนมัสการพระยะโฮวาและเรียนเกี่ยวกับพระองค์ แน่นอน คุณเองก็คงเป็นคนหนึ่งที่รอคอยเวลาที่จะได้มาประชุม แต่เหมือนกับพี่น้องหลายคน คุณอาจรู้สึกว่ายากที่จะเข้าร่วมประชุมเป็นประจำ บางที คุณอาจต้องทำงานหลายชั่วโมง หรือต้องทำหลายอย่างจนเหนื่อย การเห็นค่าของการประชุมจะช่วยกระตุ้นเราให้พยายามมาประชุมเป็นประจำ พี่น้องของเราบางคนไม่สามารถเข้าร่วมประชุมเป็นประจำได้เพราะมีปัญหาบางอย่างที่พวกเขาควบคุมไม่ได้ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจป่วยหนัก ผู้ดูแลสามารถช่วยพวกเขาให้ฟังการประชุมได้ พวกผู้ดูแลอาจช่วยติดตั้งโทรศัพท์เพื่อให้พี่น้องฟังการประชุม หรืออาจบันทึกเสียงของการประชุมไปให้พวกเขาฟัง ห16.04 3:3
วันศุกร์ที่ 6 เมษายน
ขอให้กล้าหาญไว้ ผมชนะโลกแล้ว—ยน. 16:33
การคิดถึงตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาช่วยเราให้มีสติปัญญาและความกล้าหาญ ลองคิดถึงชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก พวกเขาทั้งสามคนไม่ยอมนมัสการรูปเคารพที่เป็นเหมือนตัวแทนของรัฐบาลบาบิโลน (ดนล. 3:16-18) เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลส่วนนี้ช่วยพยานฯ ในทุกวันนี้ให้กล้าหาญและไม่ยอมนมัสการธงชาติในประเทศที่เขาอยู่ พระเยซูก็ไม่เข้าร่วมกับการเมืองหรือเรื่องต่าง ๆ ที่ทำให้ผู้คนแบ่งแยก ท่านรู้ว่าตัวอย่างที่ดีของท่านช่วยสาวกได้ พระเยซูบอกว่า “ขอให้กล้าหาญไว้” พี่น้องในประชาคมของคุณก็ช่วยคุณให้รักษาความเป็นกลางได้ ถ้ามีคนอื่นในประชาคมรู้ว่าคุณต้องเจอกับอะไร พวกเขาก็จะสามารถให้กำลังใจคุณ คุณน่าจะขอพวกเขาให้อธิษฐานเผื่อคุณ และถ้าเราอยากให้พี่น้องช่วยเหลือเราและอธิษฐานเผื่อเรา เราเองก็น่าจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน—มธ. 7:12 ห16.04 4:16, 18
วันเสาร์ที่ 7 เมษายน
ประชาชนของท่านจะเต็มใจเสนอตัว—สด. 110:3
มีการเรี่ยไรที่หอประชุมหรือที่การประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวาไหม? ไม่เลย งานของพวกเขาทั้งหมดได้รับการสนับสนุนจากการบริจาคด้วยความสมัครใจ (2 คร. 9:7) ถึงจะเป็นอย่างนั้น ในปี 2015 พยานพระยะโฮวาใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 2 พันล้านชั่วโมงในการประกาศข่าวดี และสอนคัมภีร์ไบเบิลให้ผู้คนมากกว่า 9 ล้านคนในแต่ละเดือน พวกเขาไม่ได้รับค่าจ้างที่ออกไปประกาศ แต่พวกเขายินดีใช้เงินของตัวเองเพื่อทำงานนี้ นักวิจัยคนหนึ่งพูดถึงงานที่พยานฯ ทำว่า “เป้าหมายของพวกเขาคือการประกาศและการสอน” เขายังบอกอีกว่าพวกพยานฯ ไม่มีนักเทศน์ที่ได้รับเงิน ดังนั้น ถ้าพวกเราไม่ได้ประกาศเพราะเงิน แล้วอะไรกระตุ้นพวกเราให้ประกาศ? พวกเราเต็มใจทำงานนี้เพราะเรารักพระยะโฮวาและรักผู้คน ความคิดแบบนี้ทำให้คำพยากรณ์ในข้อคัมภีร์วันนี้เกิดขึ้นจริง ห16.05 2:9
วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน
สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น อย่างแรกคือบริสุทธิ์ แล้วก็ทำให้มีสันติสุข มีเหตุผล พร้อมจะเชื่อฟัง เต็มไปด้วยความเมตตา ทำให้เกิดผลดีมากมาย—ยก. 3:17
คัมภีร์ไบเบิลสอนว่าเราต้องหลีกเลี่ยงความบันเทิงทุกชนิดที่ทำให้เราคิดหรืออยากทำสิ่งที่ไม่ดีไม่สะอาด และถ้าเราเข้าใจชัดเจนว่าพระยะโฮวารักและเกลียดอะไร ก็ง่ายขึ้นที่จะรู้ว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหนได้ ดูหนังเรื่องไหนได้ หรือเล่นเกมอะไรได้ เราจะได้ไม่ต้องถามคนอื่นอยู่ตลอด เมื่อเราต้องตัดสินใจ ส่วนใหญ่แล้วก็มีหลายทางเลือกที่เราเลือกได้และทำให้พระยะโฮวาพอใจ แต่เมื่อเราต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ คงจะดีที่เราจะถามผู้ดูแลหรือพี่น้องที่มีประสบการณ์เพื่อขอคำแนะนำ (ทต. 2:3-5; ยก. 5:13-15) แน่นอน เราต้องไม่ขอให้พวกเขาตัดสินใจแทนเรา แทนที่จะทำอย่างนั้น เราควรคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้จากคัมภีร์ไบเบิล และตัดสินใจด้วยตัวเอง (ฮบ. 5:14) อัครสาวกเปาโลบอกว่า “แต่ละคนจะต้องแบกความรับผิดชอบของตัวเอง”—กท. 6:5 ห16.05 3:15, 16
วันจันทร์ที่ 9 เมษายน
เมื่อก่อนผมเคยเป็นคนหมิ่นประมาทพระเจ้า ข่มเหงคนของพระองค์ และเป็นคนอวดดี—1 ทธ. 1:13
พระยะโฮวาไม่ได้มองผู้คนแบบเดียวกับเรา พระองค์มองที่หัวใจและดูว่าเราแต่ละคนเป็นอย่างไรจริง ๆ (1 ซม. 16:7ข) เราเห็นเรื่องนี้ได้ตอนที่พระองค์ก่อตั้งประชาคมคริสเตียน พระองค์ชักนำคนที่ดูเหมือนไร้ค่าเข้ามาหาพระองค์และลูกของพระองค์ (ยน. 6:44) ตัวอย่างเช่น พระเจ้าชักนำฟาริสีคนหนึ่งที่ชื่อเซาโล พระยะโฮวามองที่หัวใจของเซาโลและไม่ได้มองว่าเขาเป็นแค่ดินเหนียวที่ไม่มีค่าอะไร (สภษ. 17:3) แทนที่จะคิดอย่างนั้น พระยะโฮวาเห็นว่าเซาโลจะถูกนวดปั้นให้เป็นภาชนะที่ “เลือกไว้” ได้ และจะประกาศ “ให้กับคนต่างชาติรวมทั้งกษัตริย์และคนอิสราเอล” (กจ. 9:15) พระยะโฮวายังเลือกคนที่พระองค์จะนวดปั้นอีกหลายคนให้เป็น “ภาชนะที่ใช้ในโอกาสพิเศษ” ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยเมาเหล้า เคยทำผิดศีลธรรมทางเพศ และเป็นขโมย (รม. 9:21; 1 คร. 6:9-11) ตอนที่คนเหล่านั้นศึกษาคัมภีร์ไบเบิล พวกเขาก็มีความเชื่อในพระยะโฮวามากขึ้น และยอมให้พระองค์นวดปั้นพวกเขา ห16.06 1:4
วันอังคารที่ 10 เมษายน
พวกเจ้าอยู่ในมือเราเหมือนดินเหนียวที่อยู่ในมือช่างปั้นหม้อ—ยรม. 18:6
เพื่อช่วยเราให้เป็นเหมือนดินที่อ่อนนุ่มอยู่เสมอ พระเจ้าให้เรามีคัมภีร์ไบเบิล มีประชาคม และให้ทำงานรับใช้ การอ่านคัมภีร์ไบเบิลแล้วคิดใคร่ครวญทุกวันจะช่วยเราให้เป็นเหมือนดินเหนียวที่อ่อนนุ่มในมือของพระยะโฮวาที่พร้อมจะให้พระองค์นวดปั้น พระยะโฮวาสั่งให้กษัตริย์ของอิสราเอลคัดลอกกฎหมายของพระองค์และอ่านทุกวัน (ฉธบ. 17:18, 19) พวกอัครสาวกรู้ว่า การอ่านพระคัมภีร์แล้วคิดใคร่ครวญเป็นเรื่องสำคัญมากในงานรับใช้ พวกเขาใช้ข้อความจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูหลายร้อยครั้งในงานเขียนของพวกเขา และตอนที่ไปประกาศ พวกเขาก็สนับสนุนให้ประชาชนใช้พระคัมภีร์ด้วย (กจ. 17:11) คล้ายกัน เราก็เห็นว่าการอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันแล้วคิดใคร่ครวญเป็นเรื่องสำคัญ (1 ทธ. 4:15) การทำอย่างนี้จะช่วยเราให้ถ่อมตัวอยู่เสมอ แล้วพระยะโฮวาก็จะนวดปั้นเราได้ ห16.06 2:10
วันพุธที่ 11 เมษายน
ทุกคนจะรู้ว่าพวกคุณเป็นสาวกของผม เมื่อพวกคุณรักกัน—ยน. 13:35
ในสมัยนี้ ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาก็แสดงความรักแบบนี้ต่อกันแม้ชาติต่าง ๆ ทำสงครามกัน ตัวอย่างเช่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มีคนประมาณ 55 ล้านคนถูกฆ่า แต่ประชาชนของพระยะโฮวาไม่ได้มีส่วนในสงครามนั้นเลย (มคา. 4:1, 3) พวกเขาจึง “พ้นจากความรับผิดชอบต่อความตายของทุกคน” (กจ. 20:26, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) ประชาชนของพระเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ แม้พวกเขามีศัตรูตัวร้าย คือซาตานคอยขัดขวางอยู่ มันเป็น “พระเจ้าของโลกนี้” (2 คร. 4:4) ซาตานควบคุมองค์กรทางการเมืองของโลกนี้อยู่ และยังควบคุมสื่อต่าง ๆ ที่ใช้แพร่ข่าวสารออกไป มันใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อพยายามหยุดงานประกาศข่าวดี แต่มันก็ไม่สามารถหยุดงานนี้ได้ ซาตานรู้ว่าเวลาของมันเหลือน้อยแล้ว มันจึงพยายามต่อไปเพื่อให้เราเลิกนมัสการพระยะโฮวา—วว. 12:12 ห16.06 4:3, 4
วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน
ดูดอกไม้ในทุ่งสิ—มธ. 6:28
พระเยซูเตือนพวกเราให้คิดถึงวิธีที่พระยะโฮวาดูแลสิ่งที่พระองค์สร้าง พระเยซูใช้ตัวอย่างของ “ดอกไม้ในทุ่ง” ดอกไม้แต่ละดอกสวยงามในตัวมันเอง ดอกไม้เหล่านี้ไม่ต้องตัดเสื้อสำหรับตัวเอง แต่ดอกไม้สวยงามมากจนพระเยซูบอกว่า “แม้แต่กษัตริย์โซโลมอนตอนที่แต่งตัวเต็มยศก็ยังไม่งามเท่ากับดอกไม้ดอกหนึ่งที่อยู่ในทุ่งเลย” ลองคิดถึงสิ่งที่พระเยซูพูดต่อจากนี้ ท่านบอกว่า “ถ้าพระเจ้าตกแต่งดอกไม้ใบหญ้าในทุ่ง . . . พระองค์จะไม่ตกแต่งคุณมากกว่านั้นหรือ พวกคุณมีความเชื่อน้อยจริง ๆ” (มธ. 6:29, 30) พระยะโฮวาจะดูแลพวกเขาแน่ ๆ แต่สาวกของพระเยซูต้องมีความเชื่อมากกว่านี้ (มธ. 8:26; 14:31; 16:8; 17:20) พวกเขาต้องวางใจว่าพระยะโฮวาต้องการดูแลพวกเขา และมั่นใจว่าพระองค์จะทำอย่างนั้นจริง ๆ แล้วเราล่ะ? เราเชื่อไหมว่าพระยะโฮวาจะดูแลเราเหมือนกัน? ห16.07 1:15, 16
วันศุกร์ที่ 13 เมษายน
แต่ละคนได้รับความสามารถตามความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ซึ่งพระเจ้าแสดงออก . . . ดังนั้น ให้ใช้ความสามารถตามขนาดที่ได้รับมาเพื่อรับใช้กันในฐานะคนรับใช้ที่ดี—1 ปต. 4:10
ไม่ว่าพวกเราจะเจอกับปัญหาอะไรในชีวิต พระยะโฮวาจะช่วยเราให้รับมือได้ (1 ปต. 1:6) พระยะโฮวาแสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ในหลาย ๆ ทาง เราจึงได้รับสิ่งดีมากมายจากพระองค์ สิ่งหนึ่งที่เราได้รับคือ ได้รับการอภัยบาป เพราะพระยะโฮวาแสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ เราถึงได้รับการอภัยบาป แต่พระองค์จะให้อภัยเราก็ต่อเมื่อเรากลับใจจริง ๆ และพยายามต่อสู้กับความต้องการผิด ๆ ของเราต่อ ๆ ไป (1 ยน. 1:8, 9) เปาโลบอกว่า “พระเจ้าช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืดและย้ายเรามาอยู่ใต้การปกครองของลูกที่รักของพระองค์ ลูกของพระเจ้าท่านนี้ปลดปล่อยเราด้วยค่าไถ่และทำให้เราได้รับการอภัยบาป” (คส. 1:13, 14) เราเห็นคุณค่าความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความรู้สึกนี้น่าจะกระตุ้นเราให้สรรเสริญพระองค์ การได้รับการอภัยบาปเปิดโอกาสให้เราได้รับสิ่งดีอื่น ๆ อีกมากมาย ห16.07 3:7-9
วันเสาร์ที่ 14 เมษายน
เขาจะบดขยี้หัวเจ้า—ปฐก. 3:15
แม้ซาตานจะทำให้เกิดปัญหาในสวนเอเดน แต่พระยะโฮวาก็ช่วยให้มนุษย์มีความหวังในอนาคตได้ ความหวังนี้อยู่ที่คำพยากรณ์แรกของคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าจะส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากทูตสวรรค์กลุ่มนี้มา “บดขยี้” ซาตาน และเปิดโอกาสให้มนุษย์ที่เชื่อฟังมีชีวิตตลอดไปบนโลกเหมือนที่พระยะโฮวาตั้งใจอยากให้มนุษย์คู่แรกมี (ยน. 3:16) การกบฏของอาดัมและเอวาส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อชีวิตคู่ของพวกเขาและของทุกคู่หลังจากนั้น เช่น เอวาและผู้หญิงทุกคนต้องคลอดลูกอย่างเจ็บปวด พวกเธอเรียกร้องความรักและความเอาใจใส่จากสามี ส่วนสามีก็ชอบใช้อำนาจและบางครั้งก็ถึงกับทำร้ายภรรยาทั้งทางคำพูดและการกระทำ (ปฐก. 3:16) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระยะโฮวาอยากให้สามีนำหน้าครอบครัวด้วยความรัก ส่วนภรรยาควรยอมอยู่ใต้อำนาจสามี (อฟ. 5:33) ถ้าคู่สมรสทำแบบนี้ ปัญหาหลายอย่างก็จะหมดไป ห16.08 1:6, 7
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน
คุณที่เป็นภรรยา ถ้าคุณอยู่กับสามีต่อไป คุณอาจจะช่วยเขาให้รอดก็ได้ คุณที่เป็นสามี ถ้าคุณอยู่กับภรรยาต่อไป คุณอาจจะช่วยเธอให้รอดก็ได้—1 คร. 7:16
คัมภีร์ไบเบิลให้เหตุผลว่าทำไมเป็นเรื่องที่ดีที่คู่สมรสจะอยู่ด้วยกันถึงแม้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้นมัสการพระยะโฮวา (1 โครินธ์ 7:12-14) ฝ่ายที่ไม่เป็นพยานฯ จะ “บริสุทธิ์” เพราะเขาแต่งงานกับผู้รับใช้ของพระเจ้า ลูก ๆ ของพวกเขาก็จะ “บริสุทธิ์” และได้รับการปกป้องจากพระเจ้า เราเห็นตัวอย่างที่ดีของพี่น้องชายหญิงหลายคนที่ได้ช่วยคู่ของเขาให้มารับใช้พระยะโฮวาอัครสาวกเปโตรแนะนำคริสเตียนที่เป็นภรรยาให้ยอมอยู่ใต้อำนาจสามี ‘เพื่อว่าถ้าสามีไม่เชื่อถ้อยคำของพระเจ้า ความประพฤติของเธอก็อาจชนะใจเขาได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด เพราะเขาได้เห็นความประพฤติที่ดีและความนับถือจากใจของเธอ’—1 ปต. 3:1-4 ห16.08 2:14, 15
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน
ตอนนี้ขอให้รักกันอย่างสุดหัวใจ—1 ปต. 1:22
พระยะโฮวาอยากให้ผู้รับใช้ของพระองค์รับใช้กันและรักกันเหมือนพี่น้อง (ลก. 22:24-27) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเยซูให้ทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของท่านเพื่อช่วยคนอื่น (มธ. 20:28) โดร์คัสก็ “ทำสิ่งดี ๆ มากมายและช่วยเหลือคนยากคนจน” (กจ. 9:36, 39) ส่วนมารีย์ก็ “ทำงานหนัก” เพื่อพี่น้องในโรม (รม. 16:6) เราจะช่วยคนใหม่ให้เข้าใจได้อย่างไรว่าการช่วยพี่น้องคนอื่น ๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก? เราน่าจะชวนคนใหม่ไปเยี่ยมคนสูงอายุและคนป่วยกับเรา หรือถ้าเรามีลูก เราน่าจะพาลูกไปด้วยถ้าเห็นว่าเหมาะสม ผู้ดูแลอาจชวนวัยรุ่นหรือคนใหม่ให้ช่วยผู้สูงอายุ อาจจะช่วยเตรียมอาหารหรือซ่อมบ้านให้พวกเขา ถ้าวัยรุ่นและคนใหม่เห็นวิธีที่พี่น้องดูแลกัน พวกเขาก็จะทำแบบนั้นด้วย และได้เรียนจากตัวอย่างที่ดีของผู้ดูแลในการคิดถึงวิธีช่วยพี่น้องคนอื่น—รม. 12:10 ห16.08 4:13, 14
วันอังคารที่ 17 เมษายน
เปรียบได้กับคนที่ได้ยินข่าวสารนั้นและเข้าใจจริง ๆ จึงเกิดผลให้เห็น—มธ. 13:23
พี่น้องหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งในฝรั่งเศสบอกว่า “ครูที่โรงเรียนของฉันแปลกใจที่ได้รู้ว่ายังมีนักเรียนที่เชื่อคัมภีร์ไบเบิลอยู่” ผู้คนจำนวนมากในทุกวันนี้ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าที่สร้างตัวเรา ถ้าคุณเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวาที่ยังเป็นวัยรุ่น หรือเป็นคนที่กำลังเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ บางครั้งคุณอาจสงสัยว่าคุณจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่ามีพระเจ้าที่สร้างตัวคุณ คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้คิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องที่เราอ่านหรือได้ยินและพยายามคิดหาเหตุผล คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความสุขุมรอบคอบจะปกป้องลูก” การเป็นคนสุขุมรอบคอบหรือเป็นคนรู้จักคิดจะปกป้องคุณได้อย่างไร? ถ้าเราคิดเป็น เราก็จะไม่ไปหลงเชื่อคำสอนผิด ๆ ที่ทำลายความเชื่อของเรา (สภษ. 2:10-12) เพื่อเราจะมีความเชื่อที่เข้มแข็งในพระยะโฮวา เราต้องรู้จักพระองค์เป็นอย่างดี (1 ทธ. 2:4) ดังนั้น ตอนที่อ่านคัมภีร์ไบเบิลหรือหนังสือต่าง ๆ ที่มาจากองค์การ คุณต้องไม่อ่านแบบผ่าน ๆ แต่คุณควรใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่าน และพยายามเข้าใจเรื่องที่อ่าน ห16.09 4:1-3
วันพุธที่ 18 เมษายน
ให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี—รม. 12:21
ถึงเราจะมีชีวิตในวัยเด็กที่เลวร้าย หรือชีวิตเราในตอนนี้ดูเหมือนไม่มีทางออก แต่เราก็ต้องสู้และไม่ยอมแพ้ ถ้าเราทำอย่างนั้น เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะอวยพร (ปฐก. 39:21-23) ในทุกวันนี้ เราทุกคนก็ต้องเจอกับปัญหามากมาย คุณอาจต้องทนความไม่ยุติธรรม ความลำเอียง การเยาะเย้ย หรือต้องเจอเรื่องร้าย ๆ เพราะโดนคนอิจฉา แทนที่จะท้อแท้ อย่าลืมว่าอะไรได้ช่วยยาโคบ ราเชล และโยเซฟให้รับใช้พระยะโฮวาอย่างมีความสุขต่อ ๆ ไปได้ พวกเขาให้ความสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต แล้วพระองค์ก็ให้กำลังและอวยพรพวกเขา พวกเขาไม่ยอมแพ้ สู้ต่อไป อธิษฐานหลายครั้งหลายหนและทำสิ่งที่สอดคล้องกับคำอธิษฐานของพวกเขา เนื่องจากเรามีชีวิตในสมัยสุดท้าย เราต้องคิดถึงความหวังในอนาคตเสมอ คุณพยายามอย่างหนักที่จะทำให้พระเจ้าพอใจไหม? ห16.09 2:8, 9
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน
ผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า คือ . . . ความเชื่อ—กท. 5:22
ตัวอย่างความเชื่อของพ่อแม่เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าคุณมีความเชื่อที่เข้มแข็งในพระยะโฮวา ลูก ๆ ของคุณจะสังเกตเห็น และจะเรียนจากตัวอย่างของคุณ ดังนั้น คุณต้องทำให้ความเชื่อของคุณเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้ลูก ๆ เห็นว่าคุณมั่นใจว่าพระยะโฮวามีอยู่จริงและพระองค์สำคัญกับคุณขนาดไหน ตัวอย่างเช่น พ่อแม่คู่หนึ่งในเบอร์มิวดามีเรื่องกังวลใจ พวกเขาอธิษฐานกับลูกสาวเพื่อขอให้พระยะโฮวาชี้นำ และพวกเขาบอกลูกให้อธิษฐานเองด้วย พวกเขาเล่าว่า “เราบอกลูกสาวคนโตว่า ‘หนูต้องวางใจในพระยะโฮวานะ ขยันรับใช้พระองค์ และไม่ต้องกังวลมากเกินไป’ พอลูกเห็นผลที่เกิดขึ้น เธอก็รู้ว่าพระยะโฮวากำลังช่วยเรา นี่ทำให้เธอมีความเชื่อในพระเจ้าและคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นจริง ๆ” คุณที่เป็นพ่อแม่ อย่าลืมว่าคุณบังคับลูกให้มีความเชื่อไม่ได้ คุณเป็นคนปลูกและรดน้ำ แต่พระยะโฮวาเท่านั้นเป็นผู้ทำให้เติบโต (1 คร. 3:6) ดังนั้น ขอให้พยายามอย่างเต็มที่ในการสอนลูกที่คุณรักให้รู้จักพระยะโฮวา อธิษฐานขอพลังจากพระองค์ให้ช่วยเขาให้มีความเชื่อ ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะอวยพรความพยายามทั้งหมดของคุณ—อฟ. 6:4 ห16.09 5:16-18
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน
ให้พร่ำสอนลูก ๆ ด้วยคำสอนนี้—ฉธบ. 6:7
พี่น้องที่ชื่อเสิร์จและมิวเรียล หลังจากที่รับใช้ในเขตภาษาต่างประเทศมากกว่า 3 ปี พวกเขาเริ่มสังเกตว่าลูกชายวัย 17 ของเขาไม่สนุกกับการประกาศและการประชุม เสิร์จเล่าว่า “พอเห็นว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป ลูกของเราจะไม่ก้าวหน้า เราจึงตัดสินใจย้ายกลับไปที่ประชาคมเดิม” อะไรจะช่วยพ่อแม่ให้ตัดสินใจว่าจะย้ายกลับไป? อย่างแรก พ่อแม่ต้องเช็กดูตัวเองก่อนว่ามีเวลาและกำลังมากพอที่จะทั้งสอนลูก ๆ ให้รักพระยะโฮวาและสอนภาษาใหม่ให้กับลูก ๆ ด้วยได้ไหม อย่างที่สอง พ่อแม่ต้องสังเกตลูก ๆ ถ้าเห็นว่าพวกเขาไม่อยากไปประกาศ ไปประชุม หรือรับใช้ในเขตภาษาต่างประเทศ พ่อแม่อาจตัดสินใจย้ายกลับไปประชาคมที่ใช้ภาษาที่ลูก ๆ เข้าใจดีที่สุด หลังจากนั้น ถ้าลูก ๆ มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา พ่อแม่ก็อาจตัดสินใจย้ายกลับไปรับใช้ในประชาคมภาษาต่างประเทศอีกก็ได้—ฉธบ. 6:5-7 ห16.10 2:14, 15
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน
เพราะความเชื่อ เมื่อโนอาห์ได้รับคำเตือนจากพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่ยังไม่เห็น เขาก็แสดงความเกรงกลัวพระเจ้าและสร้างเรือเพื่อช่วยคนในครอบครัวให้รอด—ฮบ. 11:7
เนื่องจากโนอาห์เชื่อในสิ่งที่พระยะโฮวาบอก เขาจึงสร้างเรือใหญ่ ตอนนั้นเพื่อนบ้านของโนอาห์อาจถามเขาก็ได้ว่าทำไมถึงต้องสร้างเรือ เรามั่นใจได้ว่าโนอาห์ไม่ได้ทำเป็นเฉย ๆ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าโนอาห์เป็น “ผู้ประกาศแนวทางที่ถูกต้อง” โนอาห์เตือนผู้คนว่าพระเจ้าจะให้มีน้ำท่วมมาทำลายความชั่ว เขาอาจจะพูดประโยคเดียวกันกับที่พระยะโฮวาบอกเขาว่า “เราตัดสินใจแล้วว่าจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เพราะโลกนี้มีแต่ความรุนแรงที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ . . . เราจะทำให้น้ำท่วมโลกเพื่อทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในโลก ทุกสิ่งบนแผ่นดินจะตายหมด” จากนั้น โนอาห์ก็คงจะอธิบายให้ผู้คนเข้าใจว่าพวกเขาต้องทำอะไรเพื่อจะรอดชีวิต โนอาห์คงพูดเหมือนกับที่พระยะโฮวาสั่งเขาว่า “เข้าไปในเรือ”—ปฐก. 6:13, 17, 18; 2 ปต. 2:5 ห16.10 4:7
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน
มนุษย์กำหนดแนวทางชีวิตของตัวเองไม่ได้—ยรม. 10:23
ในคัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวาชี้นำพ่อแม่เกี่ยวกับวิธีสอนลูก คริสเตียนต้องระวังที่จะไม่ให้ความคิดของคนทั่วไปในโลกมีผลกับตัวเขา (อฟ. 2:2) ตัวอย่างเช่น ในบางประเทศ พ่อมักคิดว่า ‘แม่ต้องเป็นคนสอนลูก’ แต่คัมภีร์ไบเบิลมีคำสั่งที่ชัดเจนว่าพ่อต้องสอนลูกเรื่องพระยะโฮวา (อฟ. 6:4) พ่อและแม่ที่รักพระยะโฮวาอยากให้ลูกของเขาสนิทกับพระองค์เหมือนกับซามูเอลตอนที่ยังเป็นเด็ก (1 ซม. 3:19) เป็นเรื่องฉลาดที่จะคิดก่อนว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกไว้อย่างไรก่อนที่เราจะทำการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ เกี่ยวกับครอบครัวและงานของเรา เราจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา เพราะเราไม่สามารถกำหนดแนวทางชีวิตของตัวเองได้ ห16.11 3:14, 15
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน
เมื่อผมมองดูท้องฟ้าซึ่งเป็นผลงานของพระองค์ และดวงจันทร์กับดวงดาวที่พระองค์สร้างไว้ ผมก็คิดว่า มนุษย์เป็นใครกันพระองค์จึงคิดถึงเขา?—สด. 8:3, 4
ถ้าเราสังเกตสิ่งที่พระเจ้าสร้าง เราเห็นได้ชัดว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่มีระเบียบ พระองค์ “ใช้สติปัญญาวางฐานรากของโลก และใช้ความเข้าใจทำให้ฟ้าสวรรค์มั่นคง” (สภษ. 3:19) มีหลายสิ่งที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าสร้าง ที่จริง “เราได้ยินแค่เสียงกระซิบที่แผ่วเบาของพระองค์เท่านั้น” (โยบ 26:14) แต่ถึงแม้ว่าเราจะรู้ไม่มาก เราก็เห็นชัดเจนว่าเอกภพของเราเป็นระเบียบมากจริง ๆ ดวงดาวเป็นล้าน ๆ ดวงโคจรอยู่ในอวกาศอย่างเป็นระเบียบ เราอาจคิดถึงวิธีที่ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ เรื่องน่าทึ่งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ถ้าพระยะโฮวาไม่ได้จัดระเบียบการโคจรของดวงดาวต่าง ๆ เมื่อเราคิดถึงวิธีที่พระเจ้าสร้างโลกและ “ฟ้าสวรรค์ด้วยสติปัญญา” เราก็อยากจะสรรเสริญพระองค์ นมัสการพระองค์ และซื่อสัตย์ต่อพระองค์—สด. 136:1, 5-9 ห16.11 2:3
วันอังคารที่ 24 เมษายน
พวกเขาจะเป็นประชาชนของพระยะโฮวาที่ถวายเครื่องบูชาอย่างที่พระองค์ยอมรับ—มลค. 3:3
มาลาคี 3:1-3 อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ กับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตั้งแต่ปี 1914 จนถึงต้นปี 1919 พระยะโฮวาพระเจ้า “ผู้เป็นนายองค์สูงสุด” และพระเยซูคริสต์ “ทูตตามสัญญา” ได้มาตรวจสอบ “ลูกหลานเลวี” ซึ่งก็คือพวกผู้ถูกเจิม หลังจากพระยะโฮวาทำการปรับเปลี่ยนและชำระพวกเขาให้สะอาดแล้ว พวกเขาก็พร้อมที่จะทำงานมอบหมายใหม่ ในปี 1919 พระเยซูแต่งตั้ง “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” ทาสเหล่านี้ได้รับมอบหมายให้ชี้นำและ “แจกจ่ายอาหาร” ให้ผู้รับใช้ของพระเจ้า (มธ. 24:45) ในที่สุด ประชาชนของพระเจ้าก็เป็นอิสระจริง ๆ จากบาบิโลนใหญ่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็ได้เรียนรู้มากขึ้นว่าพระยะโฮวาต้องการอะไร และความรักที่เขามีต่อพระองค์ก็มากขึ้นด้วย พวกเขารู้สึกขอบคุณสำหรับพรที่มาจากพระองค์จริง ๆ ห16.11 5:14
วันพุธที่ 25 เมษายน
“เพื่อที่จะมีอาหารในวิหาร แล้วเราจะเปิดประตูท้องฟ้าและเทพรให้จนไม่ขาดอะไรเลย แล้วดูสิว่าเราทำอย่างที่พูดจริง ๆ ไหม” พระยะโฮวาผู้เป็นจอมทัพพูดไว้อย่างนั้น—มลค. 3:10
พระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อสัญญาว่าจะอวยพรผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ภักดี นี่เป็นวิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาแสดงว่ารักเรา เรารักพระองค์ “เพราะพระองค์รักเราก่อน” (1 ยน. 4:19) เมื่อเรารักพระเจ้ามากขึ้น ความเชื่อของเราก็จะมากขึ้นด้วย และเราจะมั่นใจมากขึ้นว่าพระยะโฮวาจะให้รางวัลคนที่พระองค์รัก (ฮบ. 11:6) พระยะโฮวาเป็นผู้ให้รางวัล และนิสัยที่โดดเด่นอย่างหนึ่งของพระองค์ก็คือชอบให้รางวัลผู้รับใช้ของพระองค์ ดังนั้น เราจะบอกว่าเราเชื่อพระเจ้าเต็มที่ไม่ได้ถ้าเราไม่มั่นใจว่าพระเจ้าจะให้รางวัลคนที่เสาะหาพระองค์อย่างจริงจัง เพราะ “ความเชื่อคือความมั่นใจเพราะมีเหตุผลหนักแน่นว่าสิ่งที่หวังไว้จะเกิดขึ้น” (ฮบ. 11:1) ความเชื่อเป็นความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าพระเจ้าจะอวยพรคนที่ซื่อสัตย์ภักดี พระองค์เชิญให้เราวางใจพระองค์และให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะอวยพรเรา เราขอบคุณพระองค์โดยตอบรับคำเชิญที่ให้ลองดูว่าพระองค์จะทำอย่างที่พูดจริง ๆ ไหม ห16.12 4:1-3
วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน
การสนใจแต่ความต้องการของร่างกายจะจบลงด้วยความตาย—รม. 8:6
แม้แต่คนที่รับใช้พระยะโฮวามานานหลายปีก็อาจเริ่ม “สนใจแต่ความต้องการของร่างกาย” นี่หมายความว่าเปาโลกำลังเตือนไม่ให้เราคิดเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน การทำงาน การพักผ่อน หรือเรื่องความรักเลยไหม? ไม่เป็นอย่างนั้นแน่ ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต แม้แต่พระเยซูก็มีความสุขกับการกิน แถมท่านยังเลี้ยงอาหารคนอื่นด้วย และท่านก็รู้ว่าท่านต้องมีเวลาพักผ่อน นอกจากนั้น เปาโลก็บอกว่าการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตคู่? คำว่า “สนใจแต่” และ “มัวแต่คิดถึง” ในภาษากรีกเกี่ยวข้องกับการให้ความคิดทั้งหมดและแผนการทั้งหมดอยู่ที่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง นักวิชาการคนหนึ่งอธิบายว่าคำนี้ใช้กับคนที่ “หมกมุ่นกับเรื่องหนึ่งและพูดแต่เรื่องนั้นตลอด” เขาสนใจแต่ความต้องการที่เห็นแก่ตัวของเขา และยอมให้ความต้องการนั้นมาควบคุมชีวิตของเขา ห16.12 2:5, 9, 10
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน
คุณเป็นใครถึงมาตัดสินคนอื่น?—ยก. 4:12
ถ้าเราไม่ควบคุมความรู้สึกที่ไม่ถูกต้อง เราอาจเริ่มทำสิ่งที่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะทำ เช่น บางคนชอบให้คนอื่นมายกย่องให้เกียรติตัวเขา บางคนอิจฉาคนอื่น ส่วนบางคนก็ไม่ควบคุมความโกรธของตัวเอง นิสัยแบบนี้แหละที่ทำให้หลายคนกลายเป็นคนทำเกินสิทธิ์ เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับบางคนในคัมภีร์ไบเบิลด้วย เช่น อับซาโลม อุสซียาห์ และเนบูคัดเนสซาร์ พระยะโฮวาทำให้พวกเขาสำนึกว่าพวกเขาต้องเป็นคนถ่อมตัว (2 ซม. 15:1-6; 18:9-17; 2 พศ. 26:16-21; ดนล. 5:18-21) ยังมีเหตุผลอย่างอื่นอีกที่ผู้คนไม่ได้แสดงความเจียมตัวในบางครั้ง ลองคิดถึงตัวอย่างของอาบีเมเลคกับเปโตร (ปฐก. 20:2-7; มธ. 26:31-35) สองคนนี้เป็นคนชอบทำเกินสิทธิ์ไหม? เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาทำเพราะไม่รู้ความจริงทั้งหมด? หรือลงมือทำโดยไม่คิดให้ดีก่อน? เนื่องจากเราอ่านหัวใจคนอื่นไม่ได้ เราจึงไม่ควรตัดสินว่าพวกเขาคิดอย่างไรจริง ๆ ห17.01 3:9, 10
วันเสาร์ที่ 28 เมษายน
แม่ม่ายคนนี้ ถึงจะยากจนมาก ก็ยังอุตส่าห์บริจาคเงินทั้งหมดที่เธอมีสำหรับเลี้ยงชีวิต—ลก. 21:4
คล้ายกับแม่ม่ายยากจน พี่น้องหลายคนของเราในทุกวันนี้แสดงว่าเขาวางใจในพระยะโฮวาเหมือนกัน ถ้าพวกเขาให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต พระยะโฮวาก็จะให้สิ่งที่จำเป็นกับพวกเขาแน่นอน (มธ. 6:33) ขอดูตัวอย่างของพี่น้องชายคนหนึ่งที่ชื่อว่ามัลคอล์ม ในช่วงหลายปีที่เขากับภรรยารับใช้พระยะโฮวา พวกเขาได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีและเวลาที่เลวร้าย เขาเล่าว่า “ชีวิตคาดเดาไม่ได้ ไม่แน่นอน และรับมือได้ยากด้วย แต่พระยะโฮวาอวยพรคนที่พึ่งพระองค์” มัลคอล์มแนะนำให้เราทำอะไร? เขาบอกว่า “เราควรอธิษฐานขอให้เราเกิดผลและขันแข็งในการรับใช้พระยะโฮวาเท่าที่เราจะทำได้ คิดถึงสิ่งที่เราทำได้ ไม่ใช่สิ่งที่เราทำไม่ได้” โลกนี้กำลัง “ชั่วร้ายขึ้นเรื่อย ๆ” เราจึงคาดหมายได้เลยว่าเราจะเจอปัญหามากขึ้นเรื่อย ๆ (2 ทธ. 3:1, 13) ดังนั้น เรายิ่งไม่ควรจมปลักอยู่กับปัญหาและความลำบากของเรา แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราต้องวางใจในพระยะโฮวาอย่างเต็มที่และสนใจแต่สิ่งที่เราทำได้ ห17.01 1:17-19
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน
เจ้าจะไม่ได้เป็นคนสร้างวิหารให้เรา—1 พศ. 17:4
ดาวิดอยากสร้างวิหารที่สวยงามให้พระยะโฮวามาก แต่พระยะโฮวาไม่ได้อยากให้ดาวิดเป็นคนสร้างวิหาร อย่างที่ข้อคัมภีร์วันนี้บอก ถึงแม้พระยะโฮวาสัญญากับดาวิดว่าพระองค์จะอวยพรเขาต่อ ๆ ไป แต่พระองค์จะให้โซโลมอนลูกชายของดาวิดเป็นคนสร้างวิหาร ดาวิดคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? (1 พศ. 17:1-4, 8, 11, 12; 29:1) ถึงดาวิดอยากสร้างวิหารของพระยะโฮวามากและคำสั่งของพระองค์อาจทำให้เขาผิดหวัง แต่ดาวิดก็ยังสนับสนุนอย่างเต็มที่ในโครงการที่โซโลมอนลูกชายของเขาดูแล ดาวิดช่วยจัดระเบียบคนงาน รวบรวมเหล็ก ทองแดง เงิน ทองคำ และไม้ เขาไม่ได้เป็นห่วงว่าใครจะได้รับการยกย่องจากการสร้างวิหารนี้ ซึ่งต่อมาวิหารนี้ก็ได้ชื่อว่าวิหารของโซโลมอนไม่ใช่วิหารของดาวิด นอกจากนั้น ดาวิดยังให้กำลังใจโซโลมอนว่า “ลูกพ่อ ขอให้พระยะโฮวาอยู่กับลูก ขอให้ลูกประสบความสำเร็จและสร้างวิหารของพระยะโฮวา”—1 พศ. 22:11, 14-16 ห17.01 5:6, 7
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน
ขอช่วยพวกเราและอภัยบาปของพวกเราเพื่อเห็นแก่ชื่อของพระองค์—สด. 79:9
ถึงแม้เราอาจถูกข่มเหง แต่เราจะพยายามทุกวิถีทางที่จะใช้ชีวิตตามที่พระยะโฮวาสอนเรา เมื่อเราใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์แบบนี้ เราก็กำลังทำให้ชื่อของพระองค์ได้รับการยกย่องสรรเสริญ (มธ. 5:14-16) เราพิสูจน์ว่ากฎหมายของพระยะโฮวายอดเยี่ยมและซาตานเป็นตัวโกหก แต่เนื่องจากเราไม่สมบูรณ์แบบ เราจึงทำผิดพลาดหลายครั้ง และเมื่อไรที่เราพลาดทำผิด เราก็ต้องกลับใจและพยายามไม่ทำอะไรให้พระยะโฮวาเสียชื่ออีก ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ถูกเจิมหรือเป็น “แกะอื่น” พระยะโฮวาก็ให้อภัยบาปของเราถ้าเรามีความเชื่อในค่าไถ่ พระเจ้ายอมรับคนที่นมัสการพระองค์และอุทิศชีวิตให้พระองค์ พระองค์ยอมรับคริสเตียนผู้ถูกเจิมและถือว่าพวกเขาเป็นลูก ส่วน “แกะอื่น” ก็เป็นที่ยอมรับของพระองค์ด้วย และพระองค์ถือว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของพระองค์ (ยน. 10:16; รม. 5:1, 2; ยก. 2:21-25) ดังนั้น ตั้งแต่ตอนนี้ค่าไถ่ทำให้เราสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราและเป็นที่ยอมรับของพระองค์ นอกจากนั้น ค่าไถ่ยังช่วยให้เราทำให้ชื่อของพระองค์ได้รับความเคารพนับถือ ห17.02 2:5, 6