มกราคม
วันอังคารที่ 1 มกราคม
คนชั่วไม่สามารถเข้าใจเรื่องความยุติธรรม—สภษ. 28:5
ทุกวันนี้ เรากำลังเข้ามาใกล้จุดจบของสมัยสุดท้าย เราเห็นคนชั่วเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขา “งอกงามเหมือนวัชพืช” (สดุดี 92:7) ดังนั้น เราไม่แปลกใจเลยที่หลายคนไม่ยอมรับมาตรฐานของพระเจ้า เปาโลบอกคริสเตียนว่า “ให้เป็นเหมือนเด็กในเรื่องความชั่ว” แต่ “ให้คิดแบบคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว” คือมีความเข้าใจเต็มที่ (1 โครินธ์ 14:20) เราจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? ข้อคัมภีร์วันนี้บอกว่า “คนที่ขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาจะเข้าใจทุกอย่าง” นี่หมายความว่าเขาสามารถเข้าใจทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อจะเป็นคนที่พระยะโฮวาพอใจได้ และสุภาษิต 2:7, 9 สอนเราว่าพระยะโฮวาให้สติปัญญากับคนที่ทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วเขาก็จะ “เข้าใจความถูกต้องชอบธรรม ความเที่ยงธรรม และความยุติธรรม และจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าความดีคืออะไร” โนอาห์ ดาเนียล และโยบมีสติปัญญาจากพระเจ้า (เอเสเคียล 14:14) ผู้รับใช้ของพระเจ้าในทุกวันนี้ก็มีสติปัญญาจากพระเจ้าเหมือนกัน แล้วคุณล่ะ? คุณมีสติปัญญาจากพระเจ้าไหม? เพื่อที่คุณจะ “เข้าใจทุกอย่าง” ที่ต้องทำเพื่อให้พระยะโฮวาพอใจ คุณต้องรู้จักพระองค์จริง ๆ ห18.02 น. 8 ว. 1-3
วันพุธที่ 2 มกราคม
พวกเขาจึงรับบัพติศมาในนามของพระเยซูผู้เป็นนาย—กจ. 19:5
ไม่ควรมีใครกดดันหรือบังคับลูกและนักศึกษาให้รับบัพติศมา พระยะโฮวาไม่ได้บังคับเราให้มารับใช้พระองค์ (1 ยอห์น 4:8) ตอนที่เราสอน เราต้องช่วยเขาให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่ตัวเขาเองจะสร้างสายสัมพันธ์กับพระยะโฮวา และถ้านักศึกษารักและเห็นค่าความจริงที่ได้เรียนเกี่ยวกับพระองค์และต้องการจริง ๆ ที่จะทำทุกอย่างที่คริสเตียนแท้ควรทำ นั่นจะกระตุ้นให้เขาอยากรับบัพติศมา (2 โครินธ์ 5:14, 15) ไม่มีการกำหนดอายุคนที่จะรับบัพติศมา แต่ละคนไม่เหมือนกัน นักศึกษาบางคนอาจก้าวหน้าเร็วกว่าคนอื่น วันที่รับบัพติศมาเป็นวันที่มีความสุขมาก และเป็นเวลาที่ควรจะคิดอย่างดีว่าการอุทิศตัวและรับบัพติศมาหมายถึงอะไรบ้าง เพื่อจะทำตามข้อเรียกร้องทุกอย่างของคริสเตียนแท้ได้ เราต้องใช้ความพยายามมาก นี่เป็นเหตุผลที่พระเยซูเปรียบเทียบการมาเป็นสาวกของท่านกับการรับแอก สาวกของพระเยซูต้อง “ไม่ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อท่านที่ตายแทนเขาและถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว”—2 โครินธ์ 5:15; มัทธิว 16:24 ห18.03 น. 6-7 ว. 14-17
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม
อย่าลืมแสดงน้ำใจต้อนรับแขก เพราะบางคนที่ทำอย่างนั้นได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว—ฮบ. 13:2
คุณเคยลังเลที่จะแสดงน้ำใจต้อนรับแขกไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็อาจพลาดโอกาสที่จะมีช่วงเวลาที่มีความสุขและพลาดโอกาสที่จะได้เพื่อนที่รักกันตลอดไป ถ้าคุณรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว การแสดงน้ำใจต้อนรับแขกเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยคุณไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นอีกต่อไป แต่ทำไมบางคนลังเลที่จะแสดงน้ำใจต้อนรับ? ต่อไปนี้เป็นสาเหตุบางอย่าง อย่างหนึ่งคือผู้รับใช้พระยะโฮวามีงานยุ่งมากและมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่าง บางคนอาจรู้สึกว่าไม่มีเวลาหรือไม่มีแรงพอที่จะต้อนรับใคร ถ้าคุณรู้สึกแบบนั้น คุณอาจต้องเปลี่ยนตารางเวลาเพื่อสามารถแสดงน้ำใจต้อนรับแขกหรือตอบรับคำชวนของคนอื่น นี่เป็นเรื่องสำคัญเพราะคัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นให้เราแสดงน้ำใจต้อนรับแขก ดังนั้น การแสดงน้ำใจต้อนรับแขกเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่คุณอาจต้องลดเวลาในการทำสิ่งที่สำคัญน้อยกว่า ห18.03 น. 16 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม
ผมต้องประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าที่เมืองอื่นด้วย เพราะพระเจ้าส่งผมมาเพื่อทำงานนี้—ลก. 4:43
พระเยซูเป็นตัวอย่างดีที่สุดของคนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้า ไม่มีใครเทียบท่านได้ ตลอดช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่และทำงานรับใช้บนโลก ท่านทำให้เห็นว่าท่านอยากเลียนแบบพ่อของท่าน พระเยซูคิด รู้สึก และทำเหมือนกับพระยะโฮวา ท่านทำตามความต้องการและใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ (ยอห์น 8:29; 14:9; 15:10) ตัวอย่างเช่น ลองเปรียบเทียบความเมตตาสงสารของพระยะโฮวากับความรู้สึกของพระเยซูที่อิสยาห์และมาระโกพูดถึง (อิสยาห์ 63:9; มโก. 6:34) เราพร้อมเสมอที่จะแสดงความเมตตาสงสารต่อคนที่ต้องการความช่วยเหลือเหมือนพระเยซูไหม? เราให้ความสำคัญกับงานประกาศและงานสอนข่าวดีเหมือนกับพระเยซูไหม? คนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้าจะเป็นคนที่เมตตาสงสาร เห็นอกเห็นใจและพยายามช่วยคนอื่น ห18.02 น. 21 ว. 12
วันเสาร์ที่ 5 มกราคม
[เลี้ยงดูลูก] ด้วยคำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา—อฟ. 6:4
การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในโลกทุกวันนี้ (2 ทิโมธี 3:1-5) ตอนที่เด็กคลอดออกมา เขาไม่ได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดในทันที และความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขาก็ยังไม่ถูกฝึก ดังนั้น เขาจำเป็นต้องถูกสั่งสอนเพื่อจะฝึกใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในแบบที่ถูกต้อง (โรม 2:14, 15) นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งอธิบายว่า คำภาษากรีกที่แปลว่า “การสั่งสอน” อาจหมายถึง “การพัฒนาเด็ก” หรือการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ เมื่อพ่อแม่สั่งสอนลูกด้วยความรัก ลูกจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและรู้ว่าพ่อแม่เป็นห่วงเขา นอกจากนั้น ลูกจะรู้ว่าแม้จะมีอิสระแต่ก็ต้องมีขอบเขต และทุกอย่างที่เขาทำจะมีผลตามมา ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากที่พ่อแม่คริสเตียนต้องพึ่งคำแนะนำจากพระยะโฮวาในการเลี้ยงลูก แต่ละประเทศและแต่ละยุคสมัยมีแนวคิดเรื่องการเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน ถึงอย่างนั้น พ่อแม่ที่เชื่อฟังพระยะโฮวาจะไม่เดาเอาเองว่าเขาควรทำอะไร เขาจะไม่พึ่งประสบการณ์หรือความคิดของมนุษย์ ห18.03 น. 30 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม
ขอให้ทำทุกอย่างด้วยความนับถือและความเกรงกลัวเพื่อจะได้รับความรอด—ฟป. 2:12
ถึงคุณจะยังอยู่กับพ่อแม่ แต่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาต้องเป็นหน้าที่รับผิดชอบของคุณ คุณต้องสนิทกับพระองค์เอง ทำไมสำคัญที่จะจำเรื่องนี้ไว้เสมอ? เพราะพอคุณเริ่มเป็นวัยรุ่น อารมณ์และความรู้สึกของคุณก็ไม่เหมือนกับตอนที่เป็นเด็ก แถมคุณยังต้องเจอปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อน วัยรุ่นผู้หญิงคนหนึ่งบอกว่า “ตอนเป็นเด็ก การไม่ได้กินเค้กวันเกิดที่โรงเรียนเพราะเป็นพยานฯ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่พอโตขึ้นและความรู้สึกทางเพศรุนแรงขึ้น ตอนนั้นแหละที่ต้องเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าการเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้ามันดีที่สุดเสมอ” คนที่รับบัพติศมาตอนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ต้องเจอกับการทดสอบความเชื่อในแบบที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน เช่น ปัญหาชีวิตคู่ ปัญหาสุขภาพ หรือปัญหาเกี่ยวกับงาน แต่ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไร เราทุกคนต้องเจอกับสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ทดสอบความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา—ยากอบ 1:12-14 ห17.12 น. 24 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 7 มกราคม
ถ้าโกรธ ก็อย่าทำบาป—อฟ. 4:26
คนส่วนใหญ่คงไม่เคยเจออะไรเลวร้ายเท่าดาวิด แต่เพื่อนของพระเจ้าคนนี้ไม่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเจ็บแค้น เขาเขียนว่า “อย่าโกรธและอย่าโมโห อย่าหงุดหงิดแล้วไปทำชั่ว” (สดุดี 37:8) เหตุผลสำคัญที่สุดที่เราจะหายโกรธคนอื่นก็คือ เราอยากเลียนแบบพระยะโฮวา พระองค์ “ไม่ลงโทษพวกเราให้สมกับบาปของพวกเรา” แต่ให้อภัยเรา (สดุดี 103:10) นอกจากนั้น การไม่เก็บความโกรธยังให้ประโยชน์อีกหลายอย่างด้วย ตัวอย่างเช่น ความโกรธอาจทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูงและปัญหาทางเดินหายใจ ทำลายตับกับตับอ่อน และยังทำให้ระบบย่อยอาหารมีปัญหา นอกจากนั้น ตอนที่เราโกรธ เราจะคิดอะไรไม่ค่อยรอบคอบ เราอาจพูดหรือทำสิ่งที่ทำให้คนอื่นเจ็บ ซึ่งอาจทำให้เรารู้สึกแย่ไปอีกนาน ดังนั้นการสงบสติอารมณ์ไว้จึงดีกว่าเยอะ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ใจที่สงบทำให้สุขภาพดี” (สุภาษิต 14:30) แล้วถ้าพี่น้องทำให้เราเจ็บล่ะ เราควรทำอย่างไรและเราจะสร้างสันติสุขกับเขาได้อย่างไร? เราสามารถใช้คำแนะนำที่ฉลาดของคัมภีร์ไบเบิลได้ ห18.01 น. 10 ว. 14-15
วันอังคารที่ 8 มกราคม
พระองค์จะไม่ทิ้งผมไว้ในหลุมศพ พระองค์จะไม่ปล่อยให้คนที่ภักดีต่อพระองค์ต้องลงหลุม—สด. 16:10
ดาวิดไม่ได้บอกว่าเขาเองจะไม่ตายและจะไม่ได้ลงไปอยู่ในหลุมศพ คัมภีร์ไบเบิลบอกชัดเจนว่าดาวิดแก่ลงและ “ตายไปตามปู่ย่าตายายและถูกฝังไว้ที่เมืองของดาวิด” (1 พงศ์กษัตริย์ 2:1, 10) ถ้าอย่างนั้น คำสัญญานี้พูดถึงใคร? ไม่กี่สัปดาห์หลังจากพระเยซูตายและถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย เปโตรได้พูดกับหลายพันคนซึ่งมีทั้งชาวยิวและคนที่เปลี่ยนมาเป็นยิว (กิจการ 2:29-32) เปโตรย้ำกับพวกเขาว่าดาวิดตายและถูกฝัง และตอนที่เปโตรพูดว่าดาวิด “รู้ล่วงหน้าและบอกเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย” ของเมสสิยาห์ คัมภีร์ไบเบิลก็ไม่ได้บอกว่ามีใครไม่เห็นด้วย เปโตรยืนยันเรื่องที่เขาพูดโดยยกคำพูดของดาวิดที่สดุดี 110:1 (กิจการ 2:33-36) การที่เขาได้ยกเหตุผลต่าง ๆ ช่วยให้คนเหล่านั้นมั่นใจว่าพระเยซู “เป็นทั้งนายและพระคริสต์” พวกเขาจึงยอมรับว่าสดุดี 16:10 เกิดขึ้นจริงกับพระเยซูตอนที่ท่านถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย ห17.12 น. 10 ว. 10-12
วันพุธที่ 9 มกราคม
มีการชั่ง ตรวจนับ และจดบันทึกทุกสิ่งเป็นอย่างดี—อสร. 8:34
คณะกรรมการปกครองใช้เงินบริจาคอย่างซื่อสัตย์และสุขุม (มัทธิว 24:45) พวกเขาอธิษฐานเพื่อจะตัดสินใจได้อย่างดี และวางแผนการใช้เงินอย่างรอบคอบ (ลูกา 14:28) หลายร้อยปีต่อมา อัครสาวกเปาโลรวบรวมเงินเพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่ขาดแคลนในแคว้นยูเดีย เขาเตือนคนที่ถือเงินไปว่าให้ “ทำทุกสิ่งอย่างซื่อสัตย์ ทั้งในสายตาพระยะโฮวาและในสายตามนุษย์” (2 โครินธ์ 8:18-21) ทุกวันนี้ องค์การของเราเลียนแบบเอสรากับเปาโลและใช้เงินบริจาคอย่างรอบคอบ (เอสรา 8:24-33) ช่วงไม่กี่ปีมานี้มีโครงการใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นมากมาย องค์การของพระเจ้าก็ทำเหมือนกับครอบครัวนั้นโดยมองหาวิธีประหยัดเงินและวิธีทำงานให้ง่ายขึ้น เพื่อจะใช้เงินที่พี่น้องบริจาคอย่างเต็มใจให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ห18.01 น. 19-20 ว. 12-13
วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม
ขอให้สันติสุขจากพระคริสต์เป็นพลังควบคุมใจพวกคุณ—คส. 3:15
ความรักและความกรุณาช่วยเราให้อภัยคนอื่น ถ้าพี่น้องพูดให้เราเจ็บหรือทำให้เราเจ็บ เราน่าจะคิดถึงตอนที่ตัวเราเองก็เคยพูดหรือทำไม่ดีกับคนอื่นและพวกเขาก็ยังให้อภัย เราขอบคุณที่พวกเขารักและกรุณากับเรา (ปัญญาจารย์ 7:21, 22) ยิ่งกว่านั้น เราขอบคุณที่พระเยซูกรุณาเราและทำให้ผู้นมัสการแท้เป็นหนึ่งเดียวกัน เราทุกคนรักพระเจ้าองค์เดียวกัน ประกาศข่าวสารเดียวกัน และมีปัญหาหลายอย่างคล้าย ๆ กัน ถ้าเราแสดงความกรุณา ความรัก และให้อภัยกัน ประชาคมก็จะเป็นหนึ่งเดียว และการทำอย่างนี้ช่วยเราให้สนใจไปที่รางวัลเสมอ ความอิจฉาอาจทำให้เราพลาดรางวัล คัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าความอิจฉาอันตรายขนาดไหน ตัวอย่างเช่น คาอินอิจฉาอาเบลและฆ่าเขา โคราห์ ดาธาน กับอาบีรัมอิจฉาโมเสสและกบฏต่อต้านเขา กษัตริย์ซาอูลอิจฉาดาวิดและพยายามฆ่าเขา ห17.11 น. 27 ว. 9-10
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม
คุณต้องจัดการกับเรื่องนี้ ต้องสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียด—ฉธบ. 13:14
เมื่อผู้ดูแลต้องทำหน้าที่ในคณะกรรมการตัดสินความ เขาต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อตัดสินว่าคนที่ทำบาปร้ายแรงนั้นกลับใจจริง ๆ หรือไม่ การจะดูว่าใครคนหนึ่งกลับใจไม่ใช่เรื่องง่าย การกลับใจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเขาและความคิดของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำ (วิวรณ์ 3:3) คนที่ทำบาปต้องกลับใจเพื่อจะได้รับความเมตตา พระยะโฮวากับพระเยซูรู้จริง ๆ ว่าคนเราคิดอะไรและรู้สึกอย่างไรเพราะพระองค์อ่านใจคนเราได้ แต่ผู้ดูแลอ่านใจไม่ได้ ดังนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ดูแล คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนั้นกลับใจจริง ๆ ไหม? อย่างแรก ให้อธิษฐานขอสติปัญญาและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง (1 พงศ์กษัตริย์ 3:9) อย่างที่สอง คุณต้องค้นคว้าข้อมูลจากคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ที่มาจากทาสที่ซื่อสัตย์เพื่อช่วยคุณให้เห็นความแตกต่างระหว่าง “ความเสียใจแบบโลก” และ “ความเสียใจแบบที่พระเจ้าพอใจ” ซึ่งเป็นการกลับใจจริง ๆ (2 โครินธ์ 7:10, 11) คุณอาจทำอย่างนั้นได้โดยดูตัวอย่างคนที่กลับใจและคนที่ไม่กลับใจในคัมภีร์ไบเบิล และวิเคราะห์ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร คิดอะไร และลงมือทำอะไร ห17.11 น. 17 ว. 16-17
วันเสาร์ที่ 12 มกราคม
[ลูก] จะ . . . ไม่เชื่อฟังพ่อแม่—2 ทธ. 3:2
ทุกวันนี้ มีหนัง รายการทีวี และหนังสือมากมายที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าการไม่เชื่อฟังพ่อแม่กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ยอมรับได้ แต่จริง ๆ ก็คือ การไม่เชื่อฟังทำลายครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคม และใคร ๆ ก็รู้เรื่องนี้มานานแล้ว ตัวอย่างเช่น ในกรีกโบราณ คนที่ทุบตีพ่อแม่จะเสียสิทธิ์ต่าง ๆ ในชุมชน และกฎหมายของโรมันก็บอกว่าถ้าใครทุบตีพ่อ เขาจะมีความผิดเหมือนฆ่าคน ที่สำคัญ คัมภีร์ไบเบิลทั้งภาคภาษาฮีบรูและกรีกมีคำสั่งให้ลูก ๆ นับถือพ่อแม่ (อพยพ 20:12; เอเฟซัส 6:1-3) อะไรจะช่วยลูกให้เชื่อฟังพ่อแม่ถึงแม้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำแบบนั้น? ถ้าลูกคิดถึงสิ่งดีต่าง ๆ ที่พ่อแม่ทำเพื่อเขา เขาก็จะเห็นคุณค่าและอยากจะเชื่อฟัง เด็ก ๆ และวัยรุ่นต้องเข้าใจด้วยว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราทุกคนคาดหมายให้เราเชื่อฟังพ่อแม่ นอกจากนั้น ถ้าลูกพูดถึงพ่อแม่ในแง่ดี เขาก็จะช่วยให้เพื่อน ๆ นับถือพ่อแม่ของตัวเองมากขึ้นด้วย ห18.01 น. 29 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม
พวกเขาแต่ละคนจะเป็นเหมือนที่กำบังให้พ้นลม เป็นเหมือนที่หลบให้พ้นพายุฝน และเป็นเหมือนลำธารในที่กันดาร เหมือนเงาของหินผาในดินแดนที่แห้งแล้ง—อสย. 32:2
ทุกวันนี้ คริสเตียนที่ทำบาปร้ายแรงต้องไปหาผู้ดูแล เพื่อผู้ดูแลจะช่วยเขาให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาเหมือนเดิม ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญมาก? เพราะว่า (1)พระยะโฮวาแต่งตั้งผู้ดูแลให้จัดการกับการทำบาปร้ายแรง (ยากอบ 5:14-16) (2)ผู้ดูแลจะช่วยคนทำบาปที่กลับใจให้ได้รับการยอมรับจากพระยะโฮวาอีกครั้ง และไม่กลับไปทำบาปซ้ำอีก (กาลาเทีย 6:1; ฮีบรู 12:11) (3)ผู้ดูแลได้รับการแต่งตั้งและถูกฝึกมาเพื่อให้กำลังใจคนทำบาปที่กลับใจและช่วยคนนั้นให้ไม่ต้องเจ็บปวดใจและรู้สึกผิดอีก พระยะโฮวาเรียกผู้ดูแลว่าเป็น “ที่หลบให้พ้นพายุฝน” (อิสยาห์ 32:2) การจัดเตรียมนี้เป็นวิธีหนึ่งที่แสดงว่าพระยะโฮวาเมตตาเราจริง ๆ ผู้รับใช้ของพระเจ้าหลายคนรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้คุยกับผู้ดูแลและรับความช่วยเหลือจากพวกเขา ห17.11 น. 10 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 14 มกราคม
ตอนที่ถูกสั่งสอน . . . มันเจ็บ—ฮบ. 12:11
เราต้องไม่ติดต่อกับคนที่ถูกตัดสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ การส่งข้อความ จดหมาย อีเมล หรือโซเชียลมีเดีย แต่อย่าเลิกหวัง ความรัก “หวังอยู่เสมอ” ดังนั้น เราหวังอยู่เสมอว่าคนที่เรารักจะกลับมาหาพระยะโฮวา (1 โครินธ์ 13:7) ถ้าคุณเห็นหลักฐานว่าสมาชิกในครอบครัวกำลังเปลี่ยนแปลงความคิดไปในทางที่ดีขึ้น คุณสามารถอธิษฐานให้เขาได้รับกำลังจากการอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และอธิษฐานให้เขาตอบรับคำเชิญของพระยะโฮวาที่ให้ “กลับมาหาเราเถอะ” (อิสยาห์ 44:22) พระเยซูบอกว่าเราต้องรักท่านมากกว่าใคร ๆ ในโลก และพระเยซูก็มั่นใจว่าพวกสาวกของท่านจะมีความกล้าที่จะรักษาความซื่อสัตย์ภักดีต่อท่านถึงแม้จะถูกครอบครัวต่อต้าน ดังนั้น ถ้าครอบครัวของคุณต่อต้านที่คุณติดตามพระเยซู คุณต้องพึ่งพระยะโฮวาโดยอธิษฐานขอให้พระองค์ช่วยคุณให้อดทนได้ (อิสยาห์ 41:10, 13) คุณจะมีความสุขที่รู้ว่าพระยะโฮวาและพระเยซูพอใจในตัวคุณ และจะให้รางวัลที่คุณซื่อสัตย์ภักดี ห17.10 น. 16 ว. 19-21
วันอังคารที่ 15 มกราคม
ให้ปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ—คส. 3:12
เมื่อเราเห็นคนที่ต้องทนทุกข์เพราะเจ็บป่วยและแก่ชรา เราก็รู้สึกสงสาร เรารอคอยเวลาที่ปัญหาเหล่านี้จะจบลง ดังนั้น เราจึงอธิษฐานขอให้รัฐบาลของพระเจ้ามา ในเวลาเดียวกัน เราจะพยายามทำทุกอย่างที่เราทำได้เพื่อช่วยคนป่วยและคนแก่ นักเขียนคนหนึ่งเขียนว่า แม่ของเขาอายุมากแล้วและเป็นโรคอัลไซเมอร์ วันหนึ่งแม่ไปห้องน้ำไม่ทันก็เลยถ่ายเปื้อนเสื้อผ้า ตอนที่แม่พยายามทำความสะอาดก็มีคนมากดกริ่ง พี่น้องพยานฯ 2 คนที่มาเยี่ยมแม่เป็นประจำรออยู่หน้าประตู พี่น้องสองคนเสนอว่าจะช่วย แม่ก็เลยบอกว่า “ฉันอายจังเลย แต่ขอช่วยได้ไหม” พี่น้องหญิงสองคนช่วยกันทำความสะอาด เสร็จแล้วพวกเขาก็ชงชาให้แม่และนั่งคุยกับแม่ นักเขียนคนนี้รู้สึกขอบคุณมากและบอกว่าพยานฯ “ทำตามสิ่งที่พวกเขาประกาศ” ความสงสารที่คุณมีต่อคนป่วยและคนแก่กระตุ้นคุณให้ทำทุกอย่างที่คุณทำได้เพื่อช่วยพวกเขาไหม?—ฟป. 2:3, 4 ห17.09 น. 9 ว. 5 และ น. 12 ว. 14
วันพุธที่ 16 มกราคม
อย่าให้เรารักด้วยลมปากเท่านั้น แต่ให้รักด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ—1 ยน. 3:18
เราน่าจะเต็มใจทำดีและทำสิ่งที่แสดงว่าเรารักคนอื่นถึงแม้ไม่มีใครเห็นสิ่งที่เราทำ (มัทธิว 6:1-4) เราควรจะให้เกียรติคนอื่นด้วย (โรม 12:10) พระเยซูให้เกียรติอัครสาวกโดยล้างเท้าให้พวกเขา (ยอห์น 13:3-5, 12-15) เราน่าจะพยายามจริง ๆ ที่จะเป็นคนถ่อมตัวเหมือนพระเยซูและรับใช้คนอื่น เรื่องนี้อาจจะไม่ง่าย แม้แต่พวกอัครสาวกก็ยังไม่เข้าใจอย่างเต็มที่ว่าทำไมพระเยซูทำอย่างนั้นจนถึงตอนที่พวกเขาได้รับพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า (ยอห์น 13:7) เราให้เกียรติคนอื่นโดยไม่คิดว่าเราดีกว่าเขาเพราะเราเรียนสูงกว่า รวยกว่า หรือได้สิทธิพิเศษในองค์การของพระเจ้า (โรม 12:3) นอกจากนั้น เราจะไม่อิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นได้รับคำชม แต่เราจะดีใจกับเขาถึงแม้เราอาจรู้สึกว่าตัวเราก็ควรได้รับคำชมเหมือนกัน ห17.10 น. 9 ว. 9-10
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม
ผมทำทุกอย่างเพื่อข่าวดี เพื่อผมจะได้ประกาศข่าวดีกับคนอื่น ๆ—1 คร. 9:23
พี่น้องหลายคนรู้สึกว่าการใช้คัมภีร์ไบเบิลในการประกาศมีผลอย่างมากกับผู้คน ตัวอย่างเช่น พี่น้องชายคนหนึ่งไปเยี่ยมผู้ชายสูงอายุที่ได้อ่านวารสารของเรามาหลายปีแล้ว วันหนึ่ง แทนที่พี่น้องจะแค่ให้วารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับล่าสุด เขาตัดสินใจอ่านข้อคัมภีร์ข้อหนึ่งในวารสารฉบับนั้น เขาอ่านที่ 2 โครินธ์ 1:3, 4 ซึ่งบอกว่า “พระองค์เป็นพ่อที่มีความเมตตากรุณาและเป็นพระเจ้าที่คอยให้กำลังใจในทุกสถานการณ์ พระองค์ให้กำลังใจเราทุกครั้งที่เจอความยากลำบาก” ข้อคัมภีร์นี้โดนใจผู้ชายคนนี้มากจนเขาขอให้พี่น้องอ่านซ้ำอีกครั้ง แล้วเขาก็บอกว่าตัวเขากับภรรยาต้องการกำลังใจมาก ข้อคัมภีร์นี้ทำให้ผู้ชายคนนี้อยากรู้มากขึ้นเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล การใช้คัมภีร์ไบเบิลในงานรับใช้มีพลังจริง ๆ!—กจ. 19:20 ห17.09 น. 26 ว. 9-10
วันศุกร์ที่ 18 มกราคม
ลองทำร้ายตัวเขาดูสิ เขาจะแช่งด่าพระองค์แน่ ๆ!—โยบ 2:5
การที่มารกล่าวหาพระยะโฮวาคงต้องทำให้พวกทูตสวรรค์ที่ภักดีรู้สึกช็อก โกรธ และรู้สึกรังเกียจสิ่งที่มันทำ แต่พระยะโฮวาไม่ทำอะไรอย่างหุนหัน พระองค์ไม่โกรธเร็ว พระองค์ทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและแสดงความยุติธรรมเมื่อจัดการกับการกบฏของซาตาน (อพย. 34:6; โยบ 2:2-6) ทำไมพระยะโฮวายอมปล่อยให้เวลาผ่านไป? เพราะพระองค์ไม่อยากให้ใครสักคนต้องถูกทำลาย แต่ “อยากให้ทุกคนกลับตัวกลับใจ” (2 ปต. 3:9) ตัวอย่างของพระยะโฮวาสอนเราว่าเราต้องคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะพูดและไม่ทำอะไรวู่วาม ดังนั้น ตอนที่คุณต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ขอให้ใช้เวลาคิดอย่างรอบคอบ อธิษฐานขอสติปัญญาเพื่อจะพูดและทำสิ่งที่ถูกต้อง (สด. 141:3) ตอนที่เราโกรธ รู้สึกไม่ดีหรือผิดหวัง ก็ง่ายที่เราจะทำอะไรโดยใช้แต่อารมณ์ นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนต้องมาเสียใจทีหลังว่าเขาได้พูดหรือทำอะไรโดยไม่คิด—สภษ. 14:29; 15:28; 19:2 ห17.09 น. 4 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 19 มกราคม
เอา [มงกุฎ] ไปสวมให้มหาปุโรหิตโยชูวาลูกเยโฮซาดัก—ศคย. 6:11
การสวมมงกุฎนั้นทำให้มหาปุโรหิตโยชูวากลายเป็นกษัตริย์ไหม? ไม่ได้เป็นอย่างนั้น โยชูวาไม่ได้เป็นลูกหลานของดาวิด เขาจึงเป็นกษัตริย์ไม่ได้ แต่การสวมมงกุฎนั้นเป็นภาพหมายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับผู้ที่จะมาเป็น “หน่อ” ซึ่งจะเป็นกษัตริย์และปุโรหิตที่จะอยู่ตลอดไป คัมภีร์ไบเบิลอธิบายว่าหน่อคือพระเยซูคริสต์ (อิสยาห์ 11:1; มัทธิว 2:23, เชิงอรรถ) พระเยซูเป็นทั้งกษัตริย์และมหาปุโรหิต ท่านเป็นผู้นำกองทัพทูตสวรรค์ของพระยะโฮวา พระเยซูทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ประชาชนของพระเจ้ารู้สึกปลอดภัยในโลกที่มีแต่ความรุนแรงนี้ (เยเรมีย์ 23:5, 6) อีกไม่นาน พระเยซูจะเอาชนะชาติต่าง ๆ ท่านจะสนับสนุนการปกครองของพระเจ้าและต่อสู้เพื่อปกป้องประชาชนของพระองค์ (วิวรณ์ 17:12-14; 19:11, 14, 15) แต่ก่อนจะถึงวันนั้น พระเยซูหรือ “หน่อ” มีงานยิ่งใหญ่ที่ต้องทำ ห17.10 น. 29 ว. 12-14
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม
ให้ทิ้งลักษณะนิสัยเก่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำ—คส. 3:9
คุณจะทำอะไรเมื่อรู้ว่าเสื้อผ้าที่คุณใส่อยู่สกปรกและส่งกลิ่นเหม็น? คุณคงรีบถอดมันออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คล้ายกัน ถ้าเรารู้ว่ากำลังทำสิ่งที่พระยะโฮวาเกลียด เราก็ต้องรีบเปลี่ยนแปลงให้เร็วที่สุด เมื่อพูดถึงการกระทำที่ไม่ดี เปาโลบอกว่า “พวกคุณต้องกำจัดสิ่งต่อไปนี้ออกไป” สิ่งหนึ่งคือ การผิดศีลธรรมทางเพศ (โคโลสี 3:5-9) คำว่า “การผิดศีลธรรมทางเพศ” ในคัมภีร์ไบเบิลหมายถึง การมีเพศสัมพันธ์กับใครก็ตามที่ไม่ได้เป็นสามีหรือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อพูดถึงการผิดศีลธรรมทางเพศ เปาโลบอกว่าคริสเตียนต้อง “กำจัดแนวโน้มแบบโลกซึ่งอยู่ในอวัยวะของพวกคุณ” นี่หมายความว่าเราต้องพยายามอย่างมากที่จะกำจัดความต้องการผิด ๆ การทำแบบนี้อาจเป็นเรื่องยากมาก แต่เราทำได้! ห17.08 น. 18 ว. 5-6
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม
ผมจะอดทนรอจนพระเจ้าของผมมาช่วยให้รอด—มคา. 7:7
สภาพการณ์ยากลำบากที่เราต้องเจอในทุกวันนี้ไม่ต่างอะไรกับสมัยของผู้พยากรณ์มีคาห์ เขามีชีวิตอยู่ในสมัยที่กษัตริย์อาหัสปกครอง อาหัสเป็นกษัตริย์ที่ชั่วมาก นี่ทำให้มีการคอร์รัปชั่นและการทำชั่วมากมาย สิ่งต่าง ๆ เลวร้ายมากจนคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าผู้คนในตอนนั้น “ถนัดทำชั่ว” (มคา. 7:1-3) มีคาห์รู้ว่าเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์นั้นได้ ถ้าเรามีความเชื่อเหมือนมีคาห์ เราจะเต็มใจอดทนรอพระยะโฮวา เราไม่เป็นเหมือนกับนักโทษที่อยู่ในห้องขังรอวันที่จะถูกประหาร เขาจำใจรอและไม่อยากให้วันนั้นมาถึง แต่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เราเต็มใจอดทนรอพระยะโฮวาเพราะรู้ว่าเมื่อถึงเวลา พระองค์จะให้ชีวิตตลอดไปกับเราตามที่ได้สัญญาไว้ ดังนั้น ขอให้เรา “อดทนจนถึงที่สุดและอดกลั้นด้วยความยินดี” (คส. 1:11, 12) ในระหว่างที่เรารอ เราต้องระวังที่จะไม่บ่นว่าทำไมพระยะโฮวาจัดการเรื่องต่าง ๆ ช้าเกินไป เพราะถ้าเราทำแบบนั้น พระองค์จะไม่พอใจเรา—คส. 3:12 ห17.08 น. 4 ว. 6-7
วันอังคารที่ 22 มกราคม
พระยะโฮวายกย่องคนอ่อนน้อมถ่อมตน—สด. 147:6
เราต้องทำอะไรเพื่อจะได้ความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา? เราต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ และเพื่อจะมีสิ่งนี้ได้ เราต้องเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน (ศฟย. 2:3) คนอ่อนน้อมถ่อมตนจะรอคอยพระยะโฮวาให้จัดการกับความไม่ยุติธรรมและช่วยให้ความทุกข์ของเขาหมดไป คนแบบนี้แหละที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ ในทางตรงกันข้าม พระเจ้า “เหวี่ยงคนชั่วลงกับพื้น” (สด. 147:6ข) เราไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเราแน่ ๆ เราอยากได้ความรักที่มั่นคงจากพระองค์และอยากให้พระองค์รักเราเสมอ ดังนั้น เราต้องเกลียดสิ่งที่พระองค์เกลียด (สด. 97:10) ตัวอย่างเช่น เราต้องเกลียดการทำผิดศีลธรรมทางเพศ นี่หมายความว่าเราต้องหลีกเลี่ยงอะไรก็ตามที่อาจทำให้เราทำผิดศีลธรรม ซึ่งรวมถึงสื่อลามก (สด. 119:37; มธ. 5:28) การทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เราอาจต้องต่อสู้อย่างหนัก แต่มันคุ้มจริง ๆ เพราะพระยะโฮวาจะอวยพรเรา เราไม่สามารถต่อสู้กับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เราต้องให้พระยะโฮวาช่วยเรา เราต้องอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป ห17.07 น. 19-20 ว. 11-13
วันพุธที่ 23 มกราคม
คนที่เมตตาคนจนก็เหมือนให้พระยะโฮวายืม—สภษ. 19:17
เราสามารถใช้ทรัพย์สมบัติเพื่อสนับสนุนคนอื่นในงานรับใช้ ถึงแม้ตอนนี้เรารับใช้เต็มเวลาหรือย้ายไปรับใช้ในที่ที่มีความจำเป็นไม่ได้ แต่เราก็ยังช่วยคนอื่นได้ ตัวอย่างเช่น เงินบริจาคของเราสามารถช่วยค่าใช้จ่ายในการพิมพ์หนังสือต่าง ๆ และสนับสนุนงานประกาศในประเทศที่ยากจนซึ่งมีคนมากมายกำลังเข้ามาเรียนความจริง แต่คัมภีร์ไบเบิลในประเทศเหล่านั้นมีราคาแพงมาก เช่น ในคองโก มาดากัสการ์ และรวันดา คัมภีร์ไบเบิลหนึ่งเล่มอาจมีราคาเท่ากับค่าแรง 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือนเลยด้วยซ้ำ เป็นเวลาหลายปีที่พี่น้องต้องเลือกว่าจะเอาเงินไปซื้ออาหารให้ครอบครัวหรือซื้อคัมภีร์ไบเบิลสักเล่มหนึ่ง แต่ตอนนี้ เนื่องจากเงินบริจาคของพี่น้องคนอื่น ๆ และการทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “เฉลี่ยกัน” องค์การของพระยะโฮวาจึงแปลและแจกจ่ายคัมภีร์ไบเบิลฟรีให้กับทุกคน สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวรวมทั้งคนที่มาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจึงมีคัมภีร์ไบเบิลเป็นของตัวเอง—2 คร. 8:13-15 ห17.07 น. 9 ว. 11
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม
ลูกของเรา ขอให้ฉลาดขึ้นและทำให้เราดีใจ เพื่อเราจะตอบคนที่เยาะเย้ยเราได้—สภษ. 27:11
ประสบการณ์ของโยบให้กำลังใจเราอย่างไร? เรื่องราวของโยบทำให้เรารู้ว่าเมื่อเจอปัญหาในชีวิต นั่นไม่ได้หมายความว่าพระยะโฮวาไม่พอใจเรา แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ปัญหาที่เราเจอทำให้เรามีโอกาสสนับสนุนสิทธิการปกครองของพระองค์ได้ การอดทนอย่างซื่อสัตย์ “ทำให้พระเจ้าพอใจ” และทำให้เรามั่นใจในความหวังของเรามากขึ้น (โรม 5:3-5) ประสบการณ์ของโยบแสดงให้เห็นว่า “พระยะโฮวาเมตตาและมีความเห็นอกเห็นใจจริง ๆ” (ยก. 5:11) ดังนั้น ถ้าเราสนับสนุนสิทธิการปกครองของพระยะโฮวา พระองค์จะให้รางวัลเรา การรู้เรื่องนี้ช่วยเราให้ “อดทนจนถึงที่สุดและอดกลั้นด้วยความยินดี” (คส. 1:11) เวลาเจอปัญหาในชีวิต อาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะจดจ่อกับประเด็นเรื่องสิทธิการปกครองของพระเจ้า ดังนั้น เราต้องเตือนตัวเองเสมอว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะสนับสนุนสิทธิการปกครองของพระเจ้า ไม่ว่าจะต้องเจอกับปัญหาอะไรก็ตาม ห17.06 น. 26 ว. 15-16
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม
ระวังตัวให้ดี อย่าเป็นคนโลภ—ลก. 12:15
ผู้คนจำนวนมากในทุกวันนี้คิดว่าเขาต้องมีเสื้อผ้า โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์และสิ่งอื่น ๆ แบบใหม่ล่าสุด หลายคนเป็นคนนิยมวัตถุ พวกเขาใช้ชีวิตแบบที่ให้ความสำคัญกับทรัพย์สินเงินทองมากกว่าอะไรทั้งหมด แล้วคุณที่เป็นคริสเตียนล่ะ? อะไรสำคัญที่สุดสำหรับคุณ? ขอให้ลองถามตัวเองว่า ‘ฉันใช้เวลาคิดเรื่องรถหรือแฟชั่นใหม่ ๆ มากกว่าใช้เวลาเตรียมการประชุมไหม? ฉันยุ่งกับการทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันจนไม่ค่อยมีเวลาอธิษฐานหรืออ่านคัมภีร์ไบเบิลไหม?’ ถ้าเราไม่ระวัง เราจะรักทรัพย์สินเงินทองมากกว่ารักพระเยซู เราควรคิดถึงคำพูดของพระเยซูที่บอกในข้อคัมภีร์วันนี้พระเยซูบอกว่า “ไม่มีใครเป็นทาสนาย 2 คนได้” ท่านพูดอีกว่า “คุณจะเป็นทั้งทาสพระเจ้าและทาสทรัพย์สมบัติด้วยไม่ได้” เราจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพระยะโฮวาไม่ได้ ถ้าเรายังเอาแต่สนใจวัตถุเงินทอง (มธ. 6:24) เนื่องจากเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เราต้องต่อสู้ที่จะไม่ “ใช้ชีวิตเพื่อสนองความต้องการที่เป็นบาป” ซึ่งหมายรวมถึงการเป็นคนนิยมวัตถุด้วย—อฟ. 2:3 ห17.05 น. 25-26 ว. 15-16
วันเสาร์ที่ 26 มกราคม
ผมทำทุกอย่างเพื่อข่าวดี เพื่อผมจะได้ประกาศข่าวดีกับคนอื่น ๆ—1 คร. 9:23
เนื่องจากเราไม่สมบูรณ์แบบเราจึงเป็นเหมือนภาชนะดิน แต่ข่าวสารที่เราประกาศเป็นเหมือนสมบัติที่มีค่ามากเพราะข่าวสารนี้ช่วยทั้งเราและคนที่ฟังเราให้มีชีวิตตลอดไป อัครสาวกเปาโลพยายามอย่างมากเพื่อจะสอนคนอื่นเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า (รม. 1:14, 15; 2 ทธ. 4:2) ความรักที่เปาโลมีต่อข่าวดีได้ช่วยเขาให้ประกาศต่อไปทั้ง ๆ ที่เจอการต่อต้านอย่างรุนแรง (1 ธส. 2:2) เราจะรักงานรับใช้เหมือนกับเปาโลได้อย่างไร? วิธีหนึ่งที่เปาโลแสดงว่าเขารักงานรับใช้ก็คือ เปาโลพยายามใช้ทุกโอกาสเพื่อประกาศกับคนอื่น พวกเราก็น่าจะประกาศข่าวดีกับผู้คนตามบ้าน ตามที่สาธารณะ และทุกที่ที่เราอาจเจอพวกเขา เหมือนที่เปาโลและคริสเตียนในศตวรรษแรกทำ (กจ. 5:42; 20:20) เราน่าจะพยายามมองหาโอกาสเพื่อจะประกาศมากขึ้น ถ้าทำได้เราอาจรับใช้เป็นไพโอเนียร์สมทบหรือไพโอเนียร์ประจำ หรืออาจเรียนภาษาใหม่ ย้ายไปที่อื่น หรือย้ายไปต่างประเทศเลยก็ได้—กจ. 16:9, 10 ห17.06 น. 10-11 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม
ภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็ถูกย้ายออกจากที่—วว. 6:14
ความชั่วมากมายที่มีอยู่ในทุกวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยคนแค่ไม่กี่คนแต่เกิดจากองค์กรต่าง ๆ พวกองค์กรทางศาสนาหลอกลวงผู้คนหลายล้านคน พวกเขาโกหกเกี่ยวกับพระเจ้าและบอกว่าคัมภีร์ไบเบิลไม่น่าเชื่อถือ แถมยังหลอกลวงผู้คนเกี่ยวกับอนาคตของโลกและมนุษย์ รัฐบาลที่ทุจริตและหลอกลวงสนับสนุนสงคราม ความรุนแรงระหว่างเชื้อชาติ และกดขี่คนจนกับคนไม่มีทางสู้ รัฐบาลพวกนั้นร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้นเพราะเล่นพรรคเล่นพวกและรับสินบน นอกจากนั้น ยังมีบริษัทและองค์กรที่เห็นแก่ตัวซึ่งทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดมลพิษ เอาเปรียบผู้คนเพื่อจะทำให้คนแค่ไม่กี่คนมั่งคั่งร่ำรวย คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่ารัฐบาลและองค์กรทั้งหมดที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลของพระเจ้าจะถูกทำลาย—ยรม. 25:31-33 ห17.04 น. 11 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 28 มกราคม
เราจะไม่ทำให้เกิดหายนะตอนเขายังมีชีวิตอยู่—1 พก. 21:29
พระยะโฮวาเป็น “ผู้ตรวจดูหัวใจ” และรู้ว่าพวกเราแต่ละคนเป็นอย่างไรจริง ๆ (สภษ. 17:3) ตอนที่ญาติพี่น้องกับเพื่อน ๆ ของนาโบทได้ยินว่าครอบครัวของอาหับจะไม่ถูกลงโทษในช่วงที่อาหับยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร? นี่อาจเป็นการทดสอบความเชื่อของพวกเขา แต่ความถ่อมตัวจะช่วยให้พวกเขายังมีความเชื่อในพระเจ้าต่อไปได้ ถ้าพวกเขาถ่อมตัว พวกเขาก็จะนมัสการพระยะโฮวาต่อ ๆ ไปและวางใจว่าพระองค์จะให้ความยุติธรรมเสมอ (ฉธบ. 32:3, 4) ในอนาคต ญาติพี่น้องของนาโบทจะได้รับพรที่ยอดเยี่ยมที่ได้เห็นคนที่พวกเขารักฟื้นขึ้นจากตาย นาโบทและพวกลูกชายจะได้รับความยุติธรรมจริง ๆ ในตอนนั้น (โยบ 14:14, 15; ยน. 5:28, 29) คนถ่อมตัวรู้ว่า “พระเจ้าเที่ยงแท้จะพิพากษาการกระทำทุกอย่าง รวมทั้งทุกสิ่งที่ทำกันลับ ๆ เพื่อจะตัดสินว่าอะไรดีอะไรชั่ว” (ปญจ. 12:14) ก่อนที่พระยะโฮวาจะตัดสินเรื่องอะไร พระองค์คิดถึงปัจจัยหลายอย่างที่เราไม่รู้ ดังนั้น ถ้าเราถ่อมตัว เราก็จะมีความเชื่อในพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป ห17.04 น. 24 ว. 8-9
วันอังคารที่ 29 มกราคม
เพื่อนแท้รักกันอยู่เสมอ—สภษ. 17:17
สภาพการณ์ที่ไม่ดีในโลกทำให้พี่น้องหลายคนต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย นี่อาจเป็นเรื่องที่ยากมาก ลองคิดดูสิ พวกเขาต้องเรียนหลายอย่างในเวลาเดียวกัน พวกเขาต้องเรียนภาษาใหม่ วัฒนธรรมใหม่ และกฎหมายใหม่ เช่น การจ่ายเงินกับการจ่ายภาษี การให้ลูกเข้าโรงเรียน และการอบรมสั่งสอนลูก ๆ คุณจะช่วยพี่น้องผู้ลี้ภัยที่ต้องเจอปัญหาเหล่านั้นอย่างอดทนและด้วยความนับถือไหม? (ฟป. 2:3, 4) บางครั้ง พวกเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจอาจเป็นต้นเหตุให้พี่น้องเหล่านี้ติดต่อกับประชาคมท้องถิ่นได้ยาก องค์กรทางภาครัฐบางแห่งอาจขู่ว่าจะหยุดให้ความช่วยเหลือพี่น้องหรือไม่อนุญาตให้อยู่ในประเทศนี้อีกต่อไปถ้าพวกเขาไม่ยอมทำงานบางอย่างซึ่งทำให้ไปประชุมไม่ได้ เนื่องจากพี่น้องผู้ลี้ภัยบางคนรู้สึกกลัวและไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยตัดสินใจทำงานนั้น ดังนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องไปพบกับพี่น้องผู้ลี้ภัยทันทีที่พวกเขาเดินทางมาถึง พวกเขาต้องการความมั่นใจว่าเราเป็นห่วงเขาจริง ๆ การแสดงความห่วงใยและให้ความช่วยเหลือจะทำให้เขามีความเชื่อมากขึ้น—สภษ. 12:25 ห17.05 น. 5 ว. 9-10
วันพุธที่ 30 มกราคม
ความรักของคนส่วนใหญ่ลดน้อยลง—มธ. 24:12
เหตุการณ์หนึ่งที่พระเยซูพูดถึงว่าเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า “สมัยสุดท้ายของโลกนี้” จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็คือ “ความรักของคนส่วนใหญ่ลดน้อยลง” (มธ. 24:3) เมื่อพระเยซูพูดถึงเรื่องนี้ ท่านหมายถึงใครเป็นอันดับแรก? ท่านหมายถึงคนยิวในศตวรรษแรกที่อ้างว่าเป็นประชาชนของพระเจ้าแต่กลับปล่อยให้ความรักต่อพระองค์ลดน้อยลง แต่คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่เหมือนชาวยิวพวกนั้น พวกเขากระตือรือร้นในการ “ประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูผู้เป็นพระคริสต์” และแสดงความรักต่อพระเจ้า ต่อพี่น้องร่วมความเชื่อ และต่อคนที่ยังไม่รู้จักความจริง คริสเตียนเหล่านี้รักษาความรักที่มีต่อพระเจ้าให้มั่นคงเสมอ (กจ. 2:44-47; 5:42) แต่น่าเสียดายที่มีคริสเตียนบางคนในศตวรรษแรกปล่อยให้ความรักของพวกเขาลดน้อยลง พระเยซูบอกคริสเตียนในเมืองเอเฟซัสสมัยศตวรรษแรกว่า “คุณไม่มีความรักแบบที่คุณมีในตอนแรก” (วว. 2:4) เป็นไปได้ว่าพวกเขาได้รับอิทธิพลจากผู้คนรอบข้างที่ชอบทำแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ—อฟ. 2:2, 3 ห17.05 น. 17 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม
เมื่อปฏิญาณไว้กับพระยะโฮวาแล้วต้องทำตามนั้น—มธ. 5:33
เยฟธาห์เป็นผู้นำและนักรบที่กล้าหาญ ส่วนฮันนาห์เป็นผู้หญิงถ่อมตัวที่คอยดูแลบ้านและสามี เยฟธาห์กับฮันนาห์เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา เขาทั้งสองคนมีอีกอย่างที่เหมือนกันด้วย ทั้งสองคนปฏิญาณกับพระยะโฮวาแล้วก็ทำตามอย่างซื่อสัตย์ พวกเขาเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมให้พวกเราในทุกวันนี้ที่ปฏิญาณกับพระเจ้า ในคัมภีร์ไบเบิล คำปฏิญาณคือคำมั่นสัญญาที่ให้กับพระเจ้าว่าจะทำหรือจะถวายอะไรบางอย่าง หรือสัญญาว่าจะทำงานเพื่อพระองค์หรือจะงดเว้นบางสิ่ง คนที่ต้องการปฏิญาณเลือกจะปฏิญาณด้วยตัวเขาเองไม่มีใครมาบังคับ พระยะโฮวามองว่าคำปฏิญาณนั้นเป็นเรื่องจริงจัง และคนที่ปฏิญาณต้องทำตามและต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ ในคัมภีร์ไบเบิล คำปฏิญาณถือเป็นเรื่องจริงจังและมีผลเหมือนกับคำสาบาน คำสาบานคือการพูดยืนยันหรือสัญญาอย่างหนักแน่นว่าจะทำหรือไม่ทำบางอย่าง—ปฐก. 14:22, 23; ฮบ. 6:16, 17 ห17.04 น. 3 ว. 1-2