กุมภาพันธ์
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์
โนอาห์ทำตามที่พระเจ้าสั่ง เขาทำตามทุกอย่าง—ปฐก. 6:22
โนอาห์ไม่รู้ว่าจะต้องสร้างเรืออย่างไร เขาพึ่งพระยะโฮวาและ “ทำตามทุกอย่าง” ที่พระองค์บอก ผลเป็นอย่างไร? เรือที่โนอาห์สร้างช่วยชีวิตเขาและครอบครัวให้รอด โนอาห์ยังเป็นพ่อที่ประสบความสำเร็จด้วย เพราะอะไรเขาถึงประสบความสำเร็จ? เพราะเขาพึ่งสติปัญญาของพระเจ้า เขาเลยสอนลูกและเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำอย่างนั้นในช่วงก่อนน้ำท่วมโลกซึ่งตอนนั้นมีแต่ความชั่ว (ปฐมกาล 6:5) ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณจะ “ทำตามทุกอย่าง” ที่พระยะโฮวาบอกได้อย่างไร? คุณต้องเชื่อฟังพระยะโฮวา พระองค์ให้คำแนะนำผ่านทางคัมภีร์ไบเบิลและองค์การเพื่อช่วยคุณให้เลี้ยงลูกอย่างประสบความสำเร็จ และคุณควรทำตามคำแนะนำนั้น เขาบอกว่าพ่อแม่นั่นแหละที่เป็นคนช่วยเขาให้สนิทกับพระยะโฮวา เรารู้ว่าถึงแม้พ่อแม่พยายามสอนลูกเต็มที่แล้ว แต่ลูกก็อาจทิ้งพระยะโฮวาได้ พ่อแม่ที่ทำสุดความสามารถจะไม่รู้สึกผิดต่อพระยะโฮวา และพวกเขายังหวังได้ว่าสักวันหนึ่งลูกจะกลับมาหาพระองค์ ห18.03 น. 30 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์
ให้ยินดีต้อนรับกัน—1 ปต. 4:9
คุณเคยอยากแสดงน้ำใจต้อนรับแขกแต่รู้สึกว่าทำไม่ได้ไหม? อาจเป็นเพราะคุณขี้อายและกลัวว่าแขกจะเบื่อ หรือคุณอาจไม่ค่อยมีเงินและกลัวว่าคุณไม่สามารถต้อนรับแขกของคุณได้ดีเท่ากับพี่น้องคนอื่น ๆ คุณไม่จำเป็นต้องมีบ้านหรูเพื่อเอาไว้ต้อนรับแขก แต่ถ้ามันสะอาดเรียบร้อยและคุณต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง แขกของคุณก็มีความสุขมากแล้ว คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป เพราะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือความรักที่คุณมีต่อแขก วิธีหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือการสนใจแขก (ฟีลิปปี 2:4) คนส่วนใหญ่ชอบเล่าประสบการณ์ในชีวิต และโอกาสเดียวที่เราอาจจะได้ฟังประสบการณ์ของพวกเขาก็คือตอนที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ผู้ดูแลคนหนึ่งเขียนว่า “การชวนเพื่อนที่ประชาคมมาบ้านช่วยให้ผมเข้าใจพวกเขาดีขึ้นและทำให้ผมมีเวลาทำความรู้จักพวกเขา โดยเฉพาะทำให้รู้ว่าพวกเขามารู้จักความจริงได้ยังไง” ถ้าคุณสนใจแขก คุณก็ทำให้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขสำหรับทุกคน ห18.03 น. 17 ว. 15-17
วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์
คุณยังรออะไรอีก? ให้คุณรีบรับบัพติศมา—กจ. 22:16
พ่อแม่อยากช่วยให้ลูกตัดสินใจอย่างฉลาด แต่ถ้าการรับบัพติศมาถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีเหตุผลที่ดี มันก็อาจทำลายความสัมพันธ์ของลูกกับพระยะโฮวาได้ (ยากอบ 4:17) ก่อนที่ลูกจะรับบัพติศมา พ่อแม่ที่ฉลาดเลยอยากมั่นใจว่าลูกพร้อมแล้วที่จะมาเป็นสาวกของพระคริสต์ ผู้ดูแลหมวดบางคนสังเกตว่ามีวัยรุ่นหลายคนที่โตมาในครอบครัวพยานฯ แต่ยังไม่ได้รับบัพติศมา บางคนอายุเกือบ 20 แล้ว แถมบางคนอายุตั้ง 20 กว่าด้วยซ้ำ พวกเขาส่วนใหญ่ไปประชุม ไปประกาศ และคิดว่าตัวเองเป็นพยานฯ แต่ก็ยังไม่ยอมอุทิศชีวิตให้พระยะโฮวาและรับบัพติศมา ที่เป็นอย่างนั้น อาจเป็นเพราะพ่อแม่ของพวกเขาคิดว่าลูกยังไม่พร้อม ห18.03 น. 8 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์
ขอ . . . ให้คิดแบบเดียวกับพระคริสต์เยซู—รม. 15:5
เพื่อจะเป็นเหมือนพระคริสต์ เราต้องเรียนรู้วิธีคิดของท่าน เราต้องรู้ว่าท่านรู้สึกอย่างไร และเป็นคนแบบไหน แล้วเราก็ต้องเลียนแบบตัวอย่างของท่าน สำหรับพระเยซูสายสัมพันธ์ระหว่างท่านกับพระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้น ยิ่งเราเป็นเหมือนพระเยซูมากเท่าไรเราก็ยิ่งเหมือนพระยะโฮวามากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมเราต้องเรียนที่จะคิดแบบพระเยซู แล้วเราจะเรียนที่จะคิดแบบพระเยซูได้อย่างไร? สาวกของท่านเคยเห็นท่านทำการอัศจรรย์ ฟังท่านสอนคนมากมาย เห็นท่านรักษาคนหลายประเภท และยังเห็นว่าท่านทำตามความคิดของพระยะโฮวา (กิจการ 10:39) ถึงแม้ตอนนี้เราจะไม่เห็นพระเยซู แต่เรามีหนังสือข่าวดีที่เขียนโดยมัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์นซึ่งช่วยให้เรารู้จักท่านมากขึ้น เมื่อเราอ่านและคิดใคร่ครวญหนังสือ 4 เล่มนี้ เราจะรู้วิธีคิดของพระเยซู นี่จะช่วยให้เรา “เดินตามรอยเท้าของท่านอย่างใกล้ชิด” แล้วเราก็จะ “คิดอย่างเดียวกับท่าน”—1 เปโตร 2:21; 4:1 ห18.02 น. 22 ว. 15-16
วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์
ความเชื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ยินข่าวดี—รม. 10:17
ตั้งแต่สมัยที่อาดัมกับเอวามีลูก ผู้คนเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาได้จาก 3 วิธีคือ (1) จากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์สร้าง (2) จากผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ ของพระองค์ และ (3) จากการที่เขาได้เห็นว่าการเชื่อฟังพระเจ้ามีประโยชน์กับตัวเขาอย่างไร (อิสยาห์ 48:18) เมื่อโนอาห์สังเกตสิ่งที่พระเจ้าสร้าง โนอาห์เห็นหลักฐานว่าพระองค์มีอยู่จริงและได้เรียนรู้ว่าพระองค์มีคุณลักษณะอะไรบ้าง นี่ทำให้โนอาห์เข้าใจว่าพระยะโฮวามีพลังอำนาจมากและเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวเท่านั้น (โรม 1:20) ดังนั้น โนอาห์ไม่ได้แค่เชื่อในพระเจ้า แต่เขามีความเชื่อที่มั่นคงในพระองค์ด้วย โนอาห์คงต้องได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระยะโฮวาจากญาติ ๆ เช่น จากลาเมคพ่อของเขาที่เชื่อในพระเจ้าและเกิดตอนที่อาดัมยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนั้น โนอาห์ยังอาจได้เรียนจากเมธูเสลาห์ปู่ของเขา รวมทั้งยาเรดพ่อของปู่ทวดซึ่งตายตอนที่โนอาห์อายุ 366 ปี (ลูกา 3:36, 37) โนอาห์รักสิ่งที่เขาเรียน และนั่นกระตุ้นเขาให้รับใช้พระยะโฮวา—ปฐมกาล 6:9 ห18.02 น. 9 ว. 4-5
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์
อย่าโกรธจนถึงดวงอาทิตย์ตก—อฟ. 4:26
พอพี่น้องคริสเตียนหรือคนในครอบครัวพูดหรือทำอะไรให้เราเจ็บ เราอาจรู้สึกแย่มาก ๆ แล้วถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เรามองข้ามไม่ได้ล่ะ? เราจะเจ็บแค้นเป็นปี ๆ ไหม? หรือเราจะทำตามคำแนะนำที่ฉลาดของคัมภีร์ไบเบิลโดยรีบเคลียร์กับคนนั้นให้เรียบร้อยไหม? ยิ่งเราชักช้าไม่ยอมปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย มันก็ยิ่งยากขึ้นที่เราจะสร้างสันติสุข คุณจะทำอะไรเพื่อสร้างสันติสุขกับเขา? อย่างแรกคุณต้องอธิษฐานถึงพระยะโฮวา ขอพระองค์ช่วยให้คุณกับเขาคุยกันดี ๆ จำไว้ว่าพี่น้องคนนั้นก็เป็นเพื่อนของพระยะโฮวา (สดุดี 25:14) พระองค์ดีกับเขา และพระองค์ก็อยากให้เราทำแบบนั้นด้วย (สุภาษิต 15:23; มัทธิว 7:12; โคโลสี 4:6) อย่างที่สอง ให้คิดดี ๆ ว่าจะพูดอะไรกับพี่น้องคนนั้น อย่าคิดไปเองว่าเขาตั้งใจทำให้คุณเจ็บ ขอให้เต็มใจยอมรับว่าคุณเองก็อาจมีส่วนที่ทำให้เกิดเรื่อง ห18.01 น. 10 ว. 15-16
วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์
ผมรักพวกคุณอย่างไร ก็ให้พวกคุณรักกันอย่างนั้นด้วย—ยน. 13:34
ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาแตกต่างกับคนส่วนใหญ่ในโลกอย่างมากเพราะพวกเขามีความรักแท้ให้คนอื่น เรื่องนี้เป็นความจริงมาตลอด ที่จริง พระเยซูบอกว่ากฎหมายที่สำคัญที่สุดอันดับสองในกฎหมายของโมเสสก็คือให้รักคนอื่น กฎหมายข้อนี้เป็นรองก็แค่กฎหมายที่บอกให้รักพระเจ้า (มัทธิว 22:38, 39) พระเยซูยังบอกด้วยว่า ผู้คนจะรู้ว่าใครเป็นคริสเตียนแท้ก็ต้องดูจากการที่พวกเขารักกัน (ยอห์น 13:35) คริสเตียนแท้จะรักแม้แต่ศัตรู (มัทธิว 5:43, 44) พระเยซูแสดงว่าท่านรักผู้คนจริง ๆ พระเยซูเดินทางไปเมืองต่าง ๆ เพื่อบอกคนอื่นเกี่ยวกับข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ท่านรักษาคนตาบอด คนง่อย คนโรคเรื้อน และคนหูหนวก ท่านยังปลุกคนให้ฟื้นขึ้นจากตายด้วย (ลูกา 7:22) พระเยซูทำถึงขนาดสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด พระเยซูเลียนแบบความรักของพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ พยานพระยะโฮวาทั่วโลกเลียนแบบพระเยซูและแสดงความรักกับคนอื่น ห18.01 น. 29-30 ว. 11-12
วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์
ผมมีกำลังทนได้ทุกสิ่งเพราะพระองค์ให้กำลังกับผม—ฟป. 4:13
คุณอาจจะรับบัพติศมาตั้งแต่เป็นเด็กหรือวัยรุ่น แต่คุณก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับข้อท้าทายอะไรบ้างในอนาคตเพื่อคุณจะรักษาความซื่อสัตย์ได้ ขอจำไว้เสมอว่าคำสัญญาที่คุณให้กับพระยะโฮวาเป็นคำสัญญาแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่ว่าคุณจะทำตามหรือไม่ทำก็ได้ นี่หมายความว่าคุณสัญญากับพระเจ้าองค์สูงสุดว่าจะรับใช้พระองค์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และถึงเพื่อน ๆ หรือพ่อแม่ของคุณจะเลิกรับใช้พระองค์ คุณก็จะไม่เลิก (สดุดี 27:10) ไม่ว่าต้องเจอกับอะไร คุณสามารถขอให้พระยะโฮวาช่วยคุณให้รักษาสัญญาได้ (ฟีลิปปี 4:11-12) พระยะโฮวาอยากให้คุณเป็นเพื่อนกับพระองค์ แต่คุณก็ต้องออกความพยายามที่จะรักษาความเป็นเพื่อนนั้นและทำทุกอย่างเพื่อจะได้รับความรอด ฟีลิปปี 2:12 บอกว่า “ขอให้ทำทุกอย่างด้วยความนับถือและความเกรงกลัวเพื่อจะได้รับความรอด” ดังนั้น คุณต้องคิดอย่างจริงจังว่าควรทำอะไรบ้างเพื่อจะสนิทกับพระยะโฮวาและรักษาความซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณไม่ควรคิดง่าย ๆ ว่าทำได้อยู่แล้วไม่มีปัญหา แต่คุณควรจำไว้ว่าแม้แต่บางคนที่รับใช้พระเจ้ามาหลายปีก็กลับไม่ได้รักษาความซื่อสัตย์ไว้เสมอ ห17.12 น. 24 ว. 4, 6-7
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์
ผมขอถวายให้พระองค์จากใจ—1 พศ. 29:17
พระยะโฮวาให้เกียรติและให้โอกาสเราสนับสนุนงานที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับรัฐบาลของพระองค์ พระองค์รับรองว่าถ้าเราทำอย่างนั้นพระองค์จะอวยพรเรา (มาลาคี 3:10) พระยะโฮวาสัญญาว่าถ้าเราให้อย่างใจกว้าง เราก็จะได้รับสิ่งดี ๆ (สุภาษิต 11:24, 25) พระยะโฮวายังบอกเราว่า เราจะมีความสุขถ้าเราให้ เพราะ “การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กิจการ 20:35) เราสามารถสอนลูกและพี่น้องใหม่ ๆ ทั้งโดยคำพูดและการกระทำของเรา เพื่อช่วยให้พวกเขารู้ว่าจะสนับสนุนงานนี้และรับพรมากมายได้อย่างไร ทุกอย่างที่เรามีมาจากพระยะโฮวา เมื่อเราคืนให้พระองค์ เราก็แสดงว่าเรารักพระองค์และเห็นค่าทุกสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อเรา ตอนที่ชาวอิสราเอลบริจาคเพื่อสร้างวิหาร พวกเขา “มีความสุขที่ได้เอาของมาถวายด้วยความสมัครใจ” (1 พงศาวดาร 29:9) พระยะโฮวาให้หลายสิ่งกับเรา ขอเราคืนให้กับพระองค์ แล้วเราก็จะมีความสุขแท้ ห18.01 น. 21 ว. 18–19
วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์
เป็นไปตามลำดับ คือ พระคริสต์เป็นคนแรก จากนั้นก็เป็นคนของพระคริสต์ที่จะมีชีวิตอีกในช่วงการประทับของท่าน—1 คร. 15:23
การฟื้นขึ้นจากตายอันดับแรกซึ่งก็คือการฟื้นขึ้นจากตายไปสวรรค์เริ่มขึ้นไม่นานหลังจากการประทับของพระคริสต์เริ่มต้น ผู้ถูกเจิมที่ยังอยู่บนโลกในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่จะ “ถูกรับไปในเมฆ” (1 เธสะโลนิกา 4:13-17; มัทธิว 24:31) นั่นหมายความอย่างไร? คนเหล่านั้นที่ “ถูกรับไป” จะ “ไม่ต้องหลับอยู่ในความตาย” คือพวกเขาจะไม่ตายอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พอพวกเขาตาย พวกเขาก็ “จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด ในช่วงสั้น ๆ แค่พริบตาเดียว ระหว่างการเป่าแตรครั้งสุดท้าย” (1 โครินธ์ 15:51, 52) ในทุกวันนี้ คริสเตียนที่ซื่อสัตย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้ถูกเจิมและไม่ได้ถูกเลือกให้ร่วมปกครองกับพระคริสต์ในสวรรค์ แต่พวกเขากำลังตั้งตารอคอย “วันของพระยะโฮวา” ที่โลกชั่วจะถูกทำลาย ไม่มีใครสามารถบอกได้จริง ๆ ว่านี่จะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่เรามีหลักฐานว่าใกล้จะถึงวันนั้นแล้ว (1 เธสะโลนิกา 5:1-3) เมื่อโลกใหม่ของพระเจ้ามาก็จะมีการฟื้นขึ้นจากตายอีกแบบหนึ่ง ในตอนนั้นผู้คนจะถูกปลุกขึ้นมามีชีวิตบนโลกและมีความหวังที่จะมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบและไม่ตายอีกต่อไปเลย ห17.12 น. 11 ว. 15 และ น. 12 ว. 18-19
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์
ถ้าที่ไหนมีความอิจฉาริษยาและน้ำใจชิงดีชิงเด่น ที่นั่นก็มีความวุ่นวายและความชั่วร้ายทุกอย่าง—ยก. 3:16
ถ้าเราพยายามแสดงความรักและความกรุณาจากใจจริง เราก็จะไม่อิจฉาคนอื่น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความรักอดกลั้นและเมตตากรุณา ความรักไม่อิจฉาริษยา” (1 โครินธ์ 13:4) เพื่อเราจะไม่เป็นคนขี้อิจฉา เราต้องมองเรื่องต่าง ๆ อย่างที่พระยะโฮวามอง เราต้องมองพี่น้องชายหญิงของเราว่าเป็นเหมือนอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเดียวกันซึ่งร่างกายนั้นก็คือประชาคมคริสเตียน เหมือนกับที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยดีใจไปด้วย” (1 โครินธ์ 12:16-18, 26) ถ้ามีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกับพี่น้องของเราคนหนึ่ง เราก็จะดีใจกับเขา ไม่อิจฉาเขา ลองคิดถึงตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของโยนาธานลูกชายของกษัตริย์ซาอูลดูสิ โยนาธานไม่อิจฉาที่ดาวิดถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์แทนเขา โยนาธานถึงกับให้กำลังใจและช่วยเหลือดาวิดด้วย (1 ซามูเอล 23:16-18) เราจะแสดงความรักและความกรุณาเหมือนโยนาธานได้ไหม? ห17.11 น. 27 ว. 10-11
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์
ท่านจะไม่พิพากษาตามที่ตาเห็น หรือตัดสินแค่ตามที่หูได้ยิน ท่านจะให้ความเป็นธรรมกับคนจน จะว่ากล่าวตักเตือนผู้คนอย่างตรงไปตรงมา—อสย. 11:3, 4
พระยะโฮวาให้บันทึกกฎหมายนั้นไว้ในคัมภีร์ไบเบิล พระองค์ต้องการให้เราเข้าใจและเอา “เรื่องที่สำคัญกว่า” ของกฎหมายนั้นไปใช้ ซึ่งก็คือหลักการที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย (มัทธิว 23:23) กฎหมายของโมเสสมี “เค้าโครงของความรู้และความจริง” ซึ่งสอนเราเกี่ยวกับพระยะโฮวาและหลักการของพระองค์ (โรม 2:20) เรื่องเมืองลี้ภัยที่อยู่ในกฎหมายของโมเสสสอนผู้ดูแลว่าจะ “พิพากษาอย่างยุติธรรม” ได้อย่างไร และสอนเราทุกคนว่าจะ “รักและเมตตากัน” ได้อย่างไร (เศคาริยาห์ 7:9) แม้ว่าเราไม่อยู่ใต้กฎหมายของโมเสส แต่พระยะโฮวาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความยุติธรรมและความเมตตายังเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพระองค์ เรารู้สึกเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้นมัสการพระเจ้าแบบนี้ ขอให้เราเลียนแบบคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระองค์และหวังพึ่งพระองค์ให้เป็นที่ลี้ภัยของเรา ห17.11 น. 13-14 ว. 2-3 และ น. 17 ว. 18-19
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์
คนที่พบสติปัญญาและมีความเข้าใจก็มีความสุข—สภษ. 3:13
พี่น้องที่สอนบนเวทีต้องแน่ใจว่าข้อคัมภีร์เป็นส่วนสำคัญที่สุดในคำบรรยาย (ยน. 7:16) ดังนั้น คุณต้องระวังมากที่จะไม่ให้วิธีพูดของคุณ ประสบการณ์หรือตัวอย่างที่คุณใช้เด่นกว่าคัมภีร์ไบเบิล นอกจากนั้น คุณต้องจำไว้ว่าการอ่านข้อคัมภีร์อย่างเดียวไม่ใช่การสอนคัมภีร์ไบเบิล ที่จริง ถ้าคุณอ่านข้อคัมภีร์หลายข้อมากเกินไปคนส่วนใหญ่ก็จะจำไม่ได้ ดังนั้น คุณต้องเลือกให้ดีว่าจะใช้ข้อคัมภีร์ข้อไหนบ้าง และตอนที่บรรยายคุณก็ต้องให้เวลากับการอ่านข้อคัมภีร์ อธิบาย ยกตัวอย่าง และพูดถึงวิธีที่จะนำข้อคัมภีร์นั้นไปใช้ (นหม. 8:8) คุณต้องพยายามเข้าใจว่าข้อคัมภีร์แต่ละข้อเกี่ยวข้องกับโครงเรื่องอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณต้องอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วยคุณถ่ายทอดเรื่องต่าง ๆ ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิลได้—อสร. 7:10 ห17.09 น. 26 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์
กลับมาหาเราเถอะ แล้วเราจะกลับไปหาพวกเจ้า—ศคย. 1:3
ในปี 537 ก่อนคริสต์ศักราช ประชาชนของพระยะโฮวามีความสุขมากที่ได้เป็นอิสระหลังจากตกเป็นเชลยในบาบิโลนอยู่ 70 ปี พวกเขาตื่นเต้นที่จะได้กลับไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อสร้างวิหารขึ้นใหม่และนมัสการพระยะโฮวาที่นั่น ในปีถัดมาพวกเขาก็วางฐานรากวิหาร จน 16 ปีผ่านไปวิหารก็ยังไม่เสร็จ ประชาชนของพระยะโฮวาต้องได้รับคำเตือนให้กลับมาหาพระองค์และเลิกคิดถึงแต่ตัวเองดังนั้น ในปี 520 ก่อนคริสต์ศักราช พระยะโฮวาจึงส่งผู้พยากรณ์เศคาริยาห์มาเตือนประชาชนให้คิดถึงเหตุผลที่พระองค์ช่วยให้พวกเขาเป็นอิสระจากบาบิโลน น่าสนใจที่ชื่อของเศคาริยาห์หมายความว่า “พระยะโฮวาระลึกถึง” ถึงแม้ชาวยิวจะลืมไปแล้วว่าพระยะโฮวาเคยทำอะไรเพื่อพวกเขา แต่พระองค์กลับไม่เคยลืมพวกเขา (เศคาริยาห์ 1:3, 4) พระยะโฮวาสัญญาว่าจะช่วยพวกเขาฟื้นฟูการนมัสการแท้ แต่พระองค์ก็เตือนด้วยว่าพระองค์จะยอมรับการนมัสการของพวกเขาก็ต่อเมื่อพวกเขาให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพระองค์ ห17.10 น. 21-22 ว. 2-3
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์
ให้กรุณาต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน—อฟ. 4:32
ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสุขภาพจิตบอกว่าถ้าเราแสดงความสงสาร เราก็จะมีสุขภาพดีขึ้นและมีความสัมพันธ์กับคนอื่นดีขึ้นด้วย เมื่อคุณได้ช่วยคนที่ทนทุกข์ คุณจะมีความสุขขึ้น มีความหวังมากขึ้น เหงาน้อยลง และคิดลบน้อยลงด้วย การแสดงความสงสารให้ประโยชน์กับตัวคุณจริง ๆ เมื่อเราช่วยคนอื่น ๆ ด้วยความรัก เราก็จะรู้สึกดีและสบายใจเพราะรู้ว่าเรากำลังทำสิ่งที่พระยะโฮวาอยากให้เราทำ ถ้าเรามีความสงสารเราก็จะเป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้น เป็นคู่สมรสที่ดีขึ้น และเป็นเพื่อนที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนั้น คนที่แสดงความสงสารคนอื่นก็มักจะได้รับความช่วยเหลือตอนที่พวกเขาต้องการ (มธ. 5:7; ลก. 6:38) ถึงแม้ว่าการแสดงความสงสารเป็นประโยชน์กับตัวเรา แต่เหตุผลหลักที่เราแสดงความสงสารก็คือเราอยากเลียนแบบพระยะโฮวาและทำให้พระองค์ได้รับการยกย่อง พระยะโฮวาเป็นแหล่งของความรักและความเมตตาสงสาร—สภษ. 14:31 ห17.09 น. 12 ว. 16-17
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์
เขาจะได้รับอำนาจ เขาจะนั่งบนบัลลังก์เป็นกษัตริย์และเป็นปุโรหิต—ศคย. 6:13
นอกจากจะเป็นกษัตริย์และมหาปุโรหิต พระเยซูยังถูกมอบหมายให้ ‘สร้างวิหารของพระยะโฮวา’ ในปี 1919 พระเยซูได้สร้างวิหารนี้โดยการช่วยให้ประชาชนของพระเจ้าเป็นอิสระจากอิทธิพลของศาสนาเท็จซึ่งก็คือบาบิโลนใหญ่ และฟื้นฟูประชาคมขึ้นมาใหม่ รวมทั้งแต่งตั้ง “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” ซึ่งก็คือกลุ่มพี่น้องชายผู้ถูกเจิมที่ชี้นำงานที่กำลังทำในวิหารโดยนัยที่ยิ่งใหญ่ส่วนที่อยู่บนโลก หรือการนมัสการที่บริสุทธิ์บนโลกนี้ (มัทธิว 24:45) นอกจากนั้น พระเยซูยังถลุงประชาชนของพระเจ้าและช่วยพวกเขาให้นมัสการพระองค์ในแบบที่สะอาดบริสุทธิ์ (มาลาคี 3:1-3) พระเยซูและคน 144,000 คนที่จะเป็นทั้งกษัตริย์และปุโรหิตจะปกครองเป็นเวลา 1,000 ปี ในช่วงเวลานั้น พวกเขาจะช่วยมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ให้กลายเป็นคนสมบูรณ์ หลังจากที่กษัตริย์และปุโรหิตเหล่านั้นทำงานเสร็จ จะมีแต่ผู้นมัสการแท้ของพระยะโฮวาเท่านั้นที่เหลืออยู่บนโลก ในที่สุด การนมัสการแท้จะได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มรูปแบบจริง ๆ ห17.10 น. 29 ว. 15-16
วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์
เขาต้องอยู่ใน [เมืองที่เขาลี้ภัย] จนกว่ามหาปุโรหิตจะตาย—กดว. 35:25
คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาต้องรีบหนีไปเมืองลี้ภัยที่ใกล้ที่สุดเพื่อจะได้รับการให้อภัย (โยชูวา 20:4) เขาจะรอดชีวิตก็ต่อเมื่อไปถึงเมืองนั้นและอยู่ที่นั่นจนกว่ามหาปุโรหิตจะตาย เขาต้องยอมสละทั้งงาน บ้านที่สะดวกสบาย และอิสระที่จะไปไหนมาไหน แต่มันคุ้มแน่นอน คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาจะต้องอยู่ในเมืองนั้นต่อ ๆ ไป ในทุกวันนี้ คนทำผิดที่กลับใจต้องทำบางอย่างด้วยเหมือนกันเพื่อจะได้รับการอภัยจากพระเจ้า เขาต้องเลิกทำผิด ซึ่งหมายถึงเขาต้องระวังที่จะไม่ทำอะไรก็ตามที่นำไปสู่การทำผิดร้ายแรงด้วย ดังนั้น ถ้าเราทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อเลิกทำผิด เราทำให้พระยะโฮวาเห็นว่า เราไม่ได้มองข้ามความผิดที่เราทำและไม่ได้คิดว่าพระยะโฮวาจะเมตตาเราโดยอัตโนมัติ—2 โครินธ์ 7:10, 11 ห17.11 น. 10-11 ว. 10-11
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์
ให้ยินดีต้อนรับกันโดยไม่บ่น—1 ปต. 4:9
พระยะโฮวาต้องการให้เราเป็นคนใจกว้างกับพี่น้องของเรา (1 ยอห์น 3:17) แต่เราต้องมีความคิดและเจตนาที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแสดงน้ำใจกับคนอื่น เราอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันชวนเฉพาะเพื่อนสนิทหรือคนที่ฉันคิดว่าเป็นคนสำคัญในประชาคมมาที่บ้านของฉันไหม? ฉันชวนเฉพาะคนที่ฉันคิดว่าเขาจะให้อะไรฉันกลับคืนมาไหม? หรือฉันมีน้ำใจกับพี่น้องทุกคนถึงแม้ฉันจะไม่ได้สนิทกับเขา หรือเขาจะไม่ได้ให้ผลประโยชน์อะไรกับฉัน?’ (ลูกา 14:12-14) และถ้าพี่น้องมีปัญหาเพราะตัดสินใจไม่ฉลาดมาขอความช่วยเหลือจากเรา เราจะทำอย่างไร? หรือถ้ามีพี่น้องบางคนที่เราชวนมาที่บ้านแต่เขาก็ไม่เคยขอบคุณเราเลย เราจะรู้สึกอย่างไร? พระยะโฮวาบอกเราในข้อคัมภีร์วันนี้ เราจะมีความสุขถ้าเราได้ให้ด้วยเจตนาที่ถูกต้อง—กิจการ 20:35 ห17.10 น. 9 ว. 12
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์
จะให้ผมทำเรื่องชั่ว ๆ อย่างนี้ได้ยังไง? มันเป็นการทำบาปต่อพระเจ้า—ปฐก. 39:9
ภรรยาของโปทิฟาร์ชอบโยเซฟมากเพราะเขา “รูปหล่อหุ่นดี” เธอพยายามชักชวนให้โยเซฟไปนอนด้วยหลายครั้ง พอภรรยาโปทิฟาร์ดึงเสื้อโยเซฟ เขาก็วิ่งหนีเธอทันที เราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของโยเซฟ? ถ้าถูกล่อใจให้ฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าเราต้องเอาชนะมันให้ได้ (สภษ. 1:10) ก่อนมาเป็นพยานพระยะโฮวาพี่น้องบางคนเคยมีปัญหาเกี่ยวกับการกินมากเกินไป ดื่มหนัก สูบบุหรี่ ติดยา ผิดศีลธรรมทางเพศ หรือปัญหาอื่น ๆ และแม้แต่ตอนที่พวกเขารับบัพติศมาแล้ว บางครั้งพวกเขาก็ถูกล่อใจให้กลับไปทำแบบนั้นอีก ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณ ขอให้ใช้เวลาคิดถึงความสัมพันธ์ที่คุณมีกับพระยะโฮวา ลองคิดดูว่าความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์จะเป็นอย่างไรถ้าคุณยอมแพ้การล่อใจนั้น นอกจากนั้น คุณอาจคิดเอาไว้ก่อนว่ามีสถานการณ์แบบไหนที่อาจล่อใจคุณและคุณจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบนั้นได้อย่างไร (สด. 26:4, 5; สภษ. 22:3) เมื่อไรที่ถูกล่อใจ คุณต้องอธิษฐานถึงพระยะโฮวาขอให้คุณมีสติปัญญาและการควบคุมตัวเองเพื่อจะเอาชนะการล่อใจนั้นได้ ห17.09 น. 4-5 ว. 8-9
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์
ให้ใช้ทรัพย์ที่คุณมีในโลกนี้เพื่อผูกมิตรกับคนอื่นไว้ เพราะเมื่อทรัพย์นั้นหมด จะได้มีคนรับคุณไปอยู่ในที่อยู่ถาวร—ลก. 16:9
เราเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวาได้ถ้าเรายุ่งเกี่ยวกับระบบการค้าของโลกให้น้อยลงและพยายามแสวงหา “ทรัพย์แท้” นี่เป็นสิ่งที่อับราฮัมผู้ซื่อสัตย์ทำ เขาเชื่อฟังพระยะโฮวาและยอมย้ายออกจากเมืองเออร์ซึ่งเป็นเมืองที่ร่ำรวยไปอยู่ในเต็นท์เพราะเขาอยากเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา (ฮบ. 11:8-10) อับราฮัมเชื่อและวางใจในพระเจ้ามากกว่าทรัพย์สมบัติเสมอ (ปฐก. 14:22, 23) พระเยซูกระตุ้นทุกคนให้เลียนแบบความเชื่อของอับราฮัม ครั้งหนึ่งพระเยซูบอกชายหนุ่มคนหนึ่งที่รวยว่า “ถ้าคุณอยากทำความดีให้ครบจริง ๆ ก็ให้ไปขายทรัพย์สมบัติและเอาเงินไปแจกคนจน คุณจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วตามผมมา” (มธ. 19:21) ชายหนุ่มคนนั้นไม่มีความเชื่อเหมือนอับราฮัม แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีคนอื่นที่เชื่อและวางใจในพระเจ้า ห17.07 น. 10 ว. 12
วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์
[พระยะโฮวา] สัญญาว่าจะให้แผ่นดินนี้กับเขาและลูกหลานของเขาทั้ง ๆ ที่เขายังไม่มีลูก—กจ. 7:5
กว่าลูกหลานของอับราฮัมจะกลายเป็นชาติที่จะได้ไปอยู่ในแผ่นดินนั้น ต้องใช้เวลาถึง 430 ปีหลังจากที่เขาข้ามแม่น้ำยูเฟรติส (อพย. 12:40-42; กท. 3:17) อับราฮัมเต็มใจอดทนรอเพราะเขามั่นใจว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่รักษาสัญญา เขามีความเชื่อในพระองค์ (ฮีบรู 11:8-12) อับราฮัมมีความสุขที่ได้รอถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เห็นคำสัญญาของพระเจ้าเกิดขึ้นจริงทั้งหมดตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ลองคิดดูว่าอับราฮัมจะมีความสุขขนาดไหนตอนที่เขาถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายและมีชีวิตอยู่ในสวนอุทยานบนโลก เขาต้องตื่นเต้นดีใจแน่ ๆ เมื่อได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลและเห็นว่ามีการพูดถึงเรื่องราวชีวิตของเขาและครอบครัวมากขนาดไหน อับราฮัมคงต้องมีความสุขมากแน่ ๆ ที่ได้รู้ว่าเขามีบทบาทสำคัญในการทำให้ความประสงค์ของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกับเมสสิยาห์สำเร็จ เรามั่นใจได้ว่าอับราฮัมจะต้องรู้สึกว่าพรต่าง ๆ ที่เขาได้รับนั้นคุ้มค่าที่ได้รอ ห17.08 น. 5-6 ว. 10-11
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์
ให้กำจัดแนวโน้มแบบโลกซึ่งอยู่ในอวัยวะของพวกคุณ คือการผิดศีลธรรมทางเพศ การกระทำที่ไม่สะอาด—คส. 3:5
คำว่า “การกระทำที่ไม่สะอาด” ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นคำที่มีความหมายกว้างกว่าการผิดศีลธรรมทางเพศ การกระทำที่ไม่สะอาดนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น ๆ ด้วย เช่น อาจหมายถึงการสูบบุหรี่ หรือการพูดตลกลามก (2 คร. 7:1; อฟ. 5:3, 4) การกระทำที่ไม่สะอาดนี้ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่ทำกันในที่ที่ไม่มีใครเห็น เช่น การอ่านหนังสือที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศหรือการดูสื่อลามก สิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นให้สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองซึ่งก็เป็นการกระทำที่ไม่สะอาดด้วย การดูสื่อลามกเป็นประจำทำให้เกิด “ความใคร่แบบที่ไม่มีการควบคุม” และอาจกลายเป็นคนเสพติดการมีเพศสัมพันธ์ นักวิจัยเคยบอกว่าการติดสื่อลามกก็คล้าย ๆ กับการติดเหล้าหรือติดยาเสพติด ดังนั้น นิสัยการดูสื่อลามกจึงส่งผลเสียหายร้ายแรงจริง ๆ นี่อาจทำให้เกิดความอับอายฝังอยู่ในใจ ทำงานไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ครอบครัวไม่มีความสุข หย่าร้าง และถึงขั้นฆ่าตัวตาย ห17.08 น. 19 ว. 8-9
วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์
พระองค์ทำให้กลอนประตูเมืองของเจ้าแข็งแรง พระองค์อวยพรลูก ๆ ของเจ้า พระองค์ให้เขตแดนของเจ้ามีความสงบสุข—สด. 147:13, 14
ตอนที่ชาวอิสราเอลเดินทางกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม ผู้เขียนหนังสือสดุดีคิดถึงวิธีที่พระยะโฮวาได้ช่วยพวกเขาตามข้อคัมภีร์วันนี้ การที่ผู้เขียนหนังสือสดุดีรู้ว่าพระยะโฮวาจะทำให้ประตูเมืองแข็งแรงช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัย และทำให้เขามั่นใจว่าพระยะโฮวาจะปกป้องประชาชนของพระองค์แน่นอน คุณอาจกังวลกับปัญหาต่าง ๆ ที่เจอ แต่พระยะโฮวาสามารถให้สติปัญญากับคุณเพื่อรับมือกับปัญหา ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า “พระองค์สั่งโลก คำสั่งของพระองค์ก็ไปอย่างรวดเร็ว” แล้วเขาก็พูดเกี่ยวกับหิมะ น้ำค้างแข็ง และลูกเห็บ และถามว่า “ใครจะทนความหนาวที่พระองค์ทำให้เกิดขึ้นได้?” จากนั้น เขาบอกอีกว่า “เมื่อพระองค์สั่ง มันก็ละลายไป” (สด. 147:15-18) พระเจ้าของเรารู้ทุกอย่างและทำได้ทุกอย่าง พระองค์ควบคุมลูกเห็บและหิมะได้ คุณจึงมั่นใจได้ว่าพระองค์จะช่วยคุณเอาชนะปัญหาต่าง ๆ ได้แน่นอน ห17.07 น. 20 ว. 14–15
วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวา พระเจ้าของเรา พระองค์สมควรจะได้รับการยกย่อง สรรเสริญ ความนับถือ และฤทธิ์อำนาจ เพราะพระองค์สร้างทุกสิ่ง—วว. 4:11
วิธีปกครองของพระยะโฮวาดีที่สุดและพระองค์สมควรจะได้รับการสนับสนุนจากเราสุดหัวใจ เพราะพระองค์สร้างทุกสิ่ง ดังนั้น พระองค์มีสิทธิ์ที่จะปกครองทุกคนไม่ว่าจะบนสวรรค์หรือบนโลก ซาตานไม่ได้สร้างอะไรสักอย่าง ดังนั้น มันไม่มีสิทธิ์ที่จะปกครองเอกภพ ทั้งซาตานและมนุษย์คู่แรกตั้งใจขัดคำสั่งพระยะโฮวา พวกเขากบฏต่อต้านอำนาจการปกครองของพระองค์ (ยรม. 10:23) มนุษย์ถูกสร้างให้มีอิสระในการเลือก แต่นี่หมายความว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของพระองค์ไหม? ไม่ การมีอิสระในการเลือกหมายถึงการมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจได้เอง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะกบฏต่อต้านพระยะโฮวาพระเจ้าผู้สร้างตัวเขา ดังนั้น การกบฏต่อต้านพระเจ้าเป็นการใช้อิสระในการเลือกแบบผิด ๆ มนุษย์ถูกสร้างมาให้อยู่ใต้การปกครองของพระยะโฮวาและต้องได้รับการชี้นำจากพระองค์ ห17.06 น. 27-28 ว. 2-4
วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์
ขอแค่ผมได้วิ่งจนถึงเส้นชัยและทำงานรับใช้ . . . ให้สำเร็จ—กจ. 20:24
ถ้าเราเห็นค่างานรับใช้ของเรา เราก็จะทำเหมือนอัครสาวกเปาโล เราจะประกาศต่อ ๆ ไปแม้ต้องเจอการต่อต้าน (กจ. 14:19-22) ตัวอย่างเช่น ระหว่างปี 1930-1944 พี่น้องของเราในสหรัฐอเมริกาถูกข่มเหงอย่างรุนแรงแต่พวกเขาก็ยังประกาศต่อไป ตอนที่พวกเจ้าหน้าที่พยายามทำให้พวกเขาเลิกประกาศ พี่น้องของเราฟ้องศาลและชนะหลายคดี พี่น้องนอร์พูดในปี 1943 เกี่ยวกับคดีหนึ่งที่เราชนะในศาลสูงของสหรัฐว่าถ้าพี่น้องหยุดประกาศก็คงไม่มีการฟ้องศาลเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า เนื่องจากเรารักงานรับใช้ เราจึงไม่ยอมให้การกดขี่ข่มเหงมาทำให้เราเลิกประกาศ ถ้าเราเห็นค่างานรับใช้ของเรา เราจะไม่สนใจแต่จำนวนชั่วโมงที่เราส่งรายงาน แต่เราจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อ ‘ประกาศข่าวดีให้ทั่วถึง’—2 ทธ. 4:5 ห17.06 น. 12 ว. 11-12
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์
ให้รักพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณสุดหัวใจ สุดชีวิต และสุดความคิด—มธ. 22:37
ความรักต่อพระเจ้าช่วยเราให้ฟังคำสั่งของพระองค์ ช่วยเราให้อดทนและเกลียดสิ่งชั่ว (สด. 97:10) แต่ซาตานและโลกของมันพยายามทำลายความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและทำให้ความรักนั้นลดน้อยลงโลกนี้ทำให้มุมมองเกี่ยวกับความรักผิดเพี้ยนไป ผู้คนส่วนใหญ่ “เห็นแก่ตัว” และรักตัวเองแทนที่จะรักพระเจ้า (2 ทธ. 3:2) พวกเขาสนใจแต่ “ความต้องการของร่างกายที่มีบาป ความต้องการที่เกิดจากตา หรือการโอ้อวดทรัพย์สมบัติ” (1 ยน. 2:16) อัครสาวกเปาโลเตือนถึงผลที่จะเกิดขึ้นถ้าเราชอบทำแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาบอกว่า “การสนใจแต่ความต้องการของร่างกายจะจบลงด้วยความตาย” ทำไม? เพราะ “การสนใจแต่ความต้องการของร่างกายทำให้คนเราเป็นศัตรูกับพระเจ้า” (รม. 8:6, 7) คนที่ทุ่มเทชีวิตของเขาไปกับการหาเงินหรือหมกมุ่นแต่เรื่องเพศจะต้องผิดหวังและเจ็บปวด—1 คร. 6:18; 1 ทธ. 6:9, 10 ห17.05 น. 18 ว. 5–6
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์
ถ้าใครไม่อยากทำงาน ก็อย่าให้เขากิน—2 ธส. 3:10
เมื่อพี่น้องผู้ลี้ภัยแสดงความขอบคุณและไม่เรียกร้องมากเกินไป พวกเขาก็ทำให้พี่น้องท้องถิ่นมีความสุขจากการให้ แน่นอน แม้พี่น้องผู้ลี้ภัยจะต้องพยายามดูแลตัวเองให้ได้ในที่สุด ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้พวกเขามีความนับถือตัวเองและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องท้องถิ่น (2 ธส. 3:7-9) แต่ถึงอย่างนั้นพี่น้องผู้ลี้ภัยก็ยังจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือเวลาและความรักจากเรา เช่น เราน่าจะช่วยให้พวกเขารู้วิธีใช้รถโดยสารสาธารณะ รู้วิธีซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่ไม่แพง คุณอาจช่วยพวกเขาให้รู้วิธีหาซื้ออุปกรณ์สำหรับทำงาน เช่น จักรเย็บผ้าหรือเครื่องตัดหญ้า และที่สำคัญที่สุด คุณน่าจะช่วยพวกเขาให้มาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมใหม่ ถ้าทำได้คุณอาจไปรับพวกเขามาประชุม หรือคุณอาจอธิบายให้พวกเขาฟังว่าจะประกาศในเขตของประชาคมอย่างไรและทำงานรับใช้กับพวกเขา ห17.05 น. 5 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์
ให้เพาะความรู้สึกอยากรับถ้อยคำบริสุทธิ์ของพระเจ้า . . . ถ้อยคำนั้นจะทำให้พวกคุณเติบโตและได้รับความรอด—1 ปต. 2:2
หลายคนสนใจแต่สิ่งที่ตัวเองชอบและสิ่งที่ตัวเองต้องการจนทำให้ยากที่เขาจะเป็นคนสมดุลในเรื่องสมบัติวัตถุ (1 คร. 2:14) เพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงดูไม่ออกว่าอะไรมีค่าจริง ๆ สำหรับพระเจ้า ซึ่งนั่นทำให้เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด (ฮบ. 5:11-14) พวกเขาอยากได้อยากมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งมีทรัพย์สินเงินทองมากเท่าไรก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีก (ปญจ. 5:10) แต่การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำจะช่วยเราให้มีกำลังในการต้านทานความรู้สึกอยากได้อยากมีและสู้กับความคิดแบบนั้นได้ พระเยซูคิดใคร่ครวญสติปัญญาของพระยะโฮวา การทำอย่างนี้ช่วยท่านให้ต้านทานการล่อใจของซาตาน (มธ. 4:8-10) ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่อยากเป็นคนนิยมวัตถุ เราต้องฝึกใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลในชีวิตของเรา การทำอย่างนี้เป็นการแสดงให้พระเยซูเห็นว่าเรารักท่านมากกว่าทรัพย์สิ่งของ ห17.05 น. 26 ว. 17