มีนาคม
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม
ให้ถ่อมตัวและมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง—ฟป. 2:3
มีใครในประชาคมที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดีไหม? ถ้าคุณไม่พยายามเอาชนะความรู้สึกนี้ คุณจะรู้สึกไม่ชอบเขาไปตลอด คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า ถ้าคุณแสดงน้ำใจต้อนรับแขก คุณจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคนอื่นดีขึ้น แม้แต่กับศัตรูด้วยซ้ำ (สุภาษิต 25:21, 22) ถ้าคุณชวนบางคนไปที่บ้าน คุณอาจเอาชนะความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเขาได้ และคุณกับเขาอาจมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น คุณอาจจะเริ่มเห็นส่วนดีของเขาเหมือนที่พระยะโฮวาเห็นตอนที่พระองค์ชักนำเขาให้รู้จักความจริงในคัมภีร์ไบเบิล (ยอห์น 6:44) ถ้าคุณแสดงความรักกับพี่น้องโดยชวนคนที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะถูกชวน มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับเขาดีขึ้น แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าคุณชวนเขาเพราะคุณรักเขา? แล้วคุณจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร? วิธีหนึ่งคือการใช้คำแนะนำจากข้อคัมภีร์วันนี้ เราต้องมองว่าพี่น้องมีหลายอย่างที่ดีกว่าเราจริง ๆ ลองคิดว่าพี่น้องของเราดีกว่าเราในด้านไหนบ้าง บางทีเราสามารถเรียนรู้หลายสิ่งจากพวกเขาได้ เช่น ความเชื่อ ความอดทน หรือคุณลักษณะแบบคริสเตียนอื่น ๆ การคิดถึงคุณลักษณะที่ดีของพวกเขาจะช่วยให้เรารักพวกเขามากขึ้นและทำให้เราแสดงน้ำใจต้อนรับแขกได้ง่ายขึ้น ห18.03 น. 17 ว. 18-19
วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม
[พระยะโฮวา] ไม่อยากให้ใครต้องถูกทำลาย—2 ปต. 3:9
สำหรับพ่อแม่บางคน หนึ่งในการทดสอบที่ยากที่สุดเรื่องการเชื่อฟังก็คือตอนที่ลูกถูกตัดสัมพันธ์ พี่น้องหญิงคนหนึ่งมีลูกสาวที่ถูกตัดสัมพันธ์และออกจากบ้านไป เธอยอมรับว่า “ตอนที่ฉันอ่านหนังสือขององค์การ ฉันพยายามมองหาช่องโหว่เพื่อจะไปหาลูกสาวกับหลานสาวของฉันได้” แต่สามีพยายามช่วยเธอให้เห็นว่าพวกเขาต้องภักดีต่อพระยะโฮวา ตอนนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาที่จะช่วยลูก พวกเขาไม่ควรไปแทรกแซงการสั่งสอนที่มาจากพระองค์ หลายปีต่อมา ลูกสาวก็ได้กลับมาเป็นพยานฯ อีกครั้ง แม่พูดว่า “ลูกนับถือเราสองคนมากเพราะรู้ว่าเราเชื่อฟังพระเจ้า” ถ้าลูกของคุณถูกตัดสัมพันธ์ คุณจะ “วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ” ไหม? คุณจะแสดงให้พระองค์เห็นไหมว่าคุณไม่ “พึ่งความเข้าใจของตัวเอง”? (สุภาษิต 3:5, 6) ดังนั้น คุณที่เป็นพ่อแม่ แม้ว่าตอนที่คุณเชื่อฟังพระองค์คุณจะรู้สึกเจ็บ แต่ขอให้ไว้ใจต่อ ๆ ไปว่าการสั่งสอนและคำแนะนำของพระยะโฮวาถูกต้องเสมอ ให้เชื่อฟังการสั่งสอนของพระองค์ อย่าต่อต้านเลย ห18.03 น. 31 ว. 12-13
วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม
ให้ . . . ไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก—มธ. 28:19
ถึงคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ระบุว่าอายุเท่าไรถึงจะรับบัพติศมาได้ ข้อคัมภีร์ที่มัทธิว 28:19 ซึ่งพระเยซูสั่งให้เรา “สอนคนให้เป็นสาวก” หมายถึงการสอนบางคนอย่างมีเป้าหมายเพื่อช่วยเขาให้เป็นนักเรียนหรือเป็นสาวก สาวกคือคนที่เรียนและเข้าใจสิ่งที่พระเยซูสอนและตั้งใจที่จะทำตามท่าน ดังนั้น ตั้งแต่ลูกเกิด พ่อแม่ควรสอนลูกโดยมีเป้าหมายว่าจะช่วยลูกอุทิศชีวิตให้กับพระยะโฮวาและรับบัพติศมาเป็นสาวกของพระคริสต์ ก็จริงที่เด็กทารกยังไม่มีคุณสมบัติจะรับบัพติศมา แต่คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าแม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็เข้าใจและรักความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้ ตัวอย่างเช่น ทิโมธีเป็นสาวกคนหนึ่งที่ตัดสินใจรับใช้พระยะโฮวาตั้งแต่อายุยังน้อย เขามีความเชื่อเข้มแข็ง (2 ทิโมธี 1:5; 3:14, 15) ตอนที่ทิโมธีซึ่งเป็นคริสเตียนอายุเกือบ 20 หรือ 20 ต้น ๆ เปาโลได้เลือกเขาเป็นเพื่อนร่วมเดินทางในงานมิชชันนารี—กิจการ 16:1-3 ห18.03 น. 9 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม
เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่อย่างต่อเนื่อง—อฟ. 4:23
ก่อนจะบัพติศมา เราเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่างซึ่งมีผลต่อทุกแง่มุมในชีวิตของเรา แต่มันไม่ได้จบแค่ตอนรับบัพติศมา เพราะเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ เราทุกคนจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองต่อ ๆ ไป (ฟีลิปปี 3:12, 13) ไม่ว่าเราจะอายุน้อยหรืออายุมากแล้ว เราอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันรู้สึกได้ไหมว่าฉันให้พลังของพระเจ้าชี้นำและสนิทกับพระองค์มากขึ้น? ฉันเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นไหม? ความคิดและการกระทำของฉันที่การประชุมบอกว่าฉันเป็นคนอย่างไร? เรื่องที่ฉันคุยกับคนอื่นแสดงให้เห็นอย่างไรว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันต้องการจริง ๆ ในชีวิต? นิสัยการศึกษาส่วนตัวและการแต่งกายบอกว่าฉันเป็นคนอย่างไร? ตอนที่ได้รับคำแนะนำ ฉันทำอย่างไร? ตอนที่ถูกล่อใจให้ทำผิด ฉันทำอย่างไร? ฉันก้าวหน้าเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่แล้วไหม?’ (เอเฟซัส 4:13) คำถามเหล่านี้จะช่วยให้รู้ว่าเราเป็นคนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้าและสนิทกับพระองค์มากแค่ไหน ห18.02 น. 24 ว. 4-5
วันอังคารที่ 5 มีนาคม
ประชาชนที่มีพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าก็มีความสุข—สด. 144:15
เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมือนกับสมัยไหนในประวัติศาสตร์มนุษย์ คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าไว้ว่าพระยะโฮวาจะรวบรวมชนฝูงใหญ่ “จากทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกชนชาติ และทุกภาษา” คนเหล่านั้นเป็น “ชาติใหญ่” ที่มีมากกว่า 8 ล้านคน พวกเขาเป็นประชาชนที่มีความสุขซึ่งกำลัง “ทำงานรับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ให้พระองค์ทั้งวันทั้งคืน” (วิวรณ์ 7:9, 15; อิสยาห์ 60:22) ไม่เคยมีคนมากขนาดนี้มาก่อนที่ได้มารักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ ถึงอย่างนั้น คัมภีร์ไบเบิลยังบอกล่วงหน้าอีกว่า ในสมัยของเรา คนที่ไม่ใช่เพื่อนของพระเจ้าจะมีความรักแบบผิด ๆ ซึ่งเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว อัครสาวกเปาโลบอกไว้ว่าในสมัยสุดท้าย ผู้คนจะ “รักตนเอง” “รักเงิน” และ “รักสนุกมากกว่ารักพระเจ้า” (2 ทิโมธี 3:1-4, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย ) ความรักที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ตรงกันข้ามกับความรักที่เรามีต่อพระเจ้า ความรักแบบนี้ทำให้โลกมีแต่ความเห็นแก่ตัวและ “ความยุ่งยากลำบาก” ห18.01 น. 22 ว. 1-2
วันพุธที่ 6 มีนาคม
คนที่ขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาจะเข้าใจทุกอย่าง—สภษ. 28:5
โนอาห์ได้เรียนรู้เรื่องพระเจ้า เขาจึงมีความเชื่อและมีสติปัญญาจากพระองค์ สิ่งนี้ปกป้องเขาจากสิ่งที่ไม่ดีหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันช่วยไม่ให้เขาทำสิ่งที่จะทำให้พระยะโฮวาเสียใจ ตัวอย่างเช่น โนอาห์อยากเป็นเพื่อนกับพระเจ้า เขาจึงไม่เป็นเพื่อนกับคนที่ไม่เชื่อและไม่สนใจพระองค์ คนพวกนั้นชื่นชมพวกปีศาจที่แข็งแกร่งและมีพลังอำนาจเหนือมนุษย์ พวกเขาอาจพยายามนมัสการพวกมันด้วยซ้ำ แต่โนอาห์ไม่เหมือนคนพวกนั้น พวกปีศาจที่ลงมาอยู่ในโลกหลอกเขาไม่ได้ (ปฐมกาล 6:1-4, 9) นอกจากนั้น โนอาห์รู้ด้วยว่าพระยะโฮวาอยากให้มนุษย์มีลูกหลานจนเต็มโลก (ปฐมกาล 1:27, 28) พอเขาเห็นพวกปีศาจมีภรรยาและมีลูกด้วยกัน เขารู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ผิด และยิ่งเขาเห็นลูกของพวกนั้นตัวโตและแข็งแรงผิดมนุษย์มนา เขาก็ยิ่งมั่นใจว่ามันไม่ถูก ในที่สุด พระยะโฮวาบอกโนอาห์ว่าพระองค์จะทำให้น้ำท่วมโลกเพื่อทำลายคนชั่วพวกนี้ให้หมด โนอาห์เชื่อคำเตือนของพระองค์ เขาจึงสร้างเรือและทำให้เขากับครอบครัวรอดชีวิต—ฮีบรู 11:7 ห18.02 น. 9 ว. 8
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม
ผมได้ทำหน้าที่นี้ก็เพราะความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า—1 คร. 15:10
ถ้าคุณทำผิดร้ายแรง พระยะโฮวาพร้อมจะให้อภัย พระองค์อยากช่วยคุณให้กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์เหมือนเดิม แต่คุณต้องยอมรับความช่วยเหลือของพระองค์ผ่านทางผู้ดูแลในประชาคม (สุภาษิต 24:16; ยากอบ 5:13-15) ดังนั้น อย่ารีรอ ชีวิตตลอดไปของคุณขึ้นอยู่กับการทำแบบนี้ แต่ถ้าคุณยังคงรู้สึกผิดไม่หายหลังจากที่คุณได้รับการอภัยบาปนานแล้ว คุณควรทำอย่างไร? บางครั้งอัครสาวกเปาโลรู้สึกท้อแท้เพราะความผิดที่เขาเคยทำในอดีต เขาบอกว่า “ผมต่ำต้อยที่สุดในพวกอัครสาวก และผมไม่เหมาะที่จะถูกเรียกว่าอัครสาวกด้วยซ้ำ เพราะผมเคยข่มเหงประชาคมของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 15:9) พระยะโฮวายอมรับเปาโลแม้เขาจะเคยทำผิดมาก่อน พระองค์ยังกรุณากับเขาโดยให้เขาได้ทำหน้าที่พิเศษ และพระองค์อยากให้เปาโลมั่นใจว่าพระองค์รักเขา ถ้าคุณรู้สึกเสียใจจริง ๆ กับสิ่งที่เคยทำผิดในอดีตและคุณได้อธิษฐานบอกพระยะโฮวาไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในกรณีที่จำเป็นคุณก็ได้คุยกับผู้ดูแลในประชาคมไปแล้วด้วย พระยะโฮวาก็จะให้อภัยคุณแน่นอน ขอให้เชื่อว่าพระยะโฮวาให้อภัยคุณแล้วเหมือนอย่างที่พระองค์พูดจริง ๆ—อิสยาห์ 55:6, 7 ห18.01 น. 11 ว. 17-18
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม
เข้าไปใกล้ชิดกับพระเจ้า แล้วพระองค์จะเข้ามาใกล้ชิดกับคุณ—ยก. 4:8
เพื่อจะเป็นเพื่อนกับพระยะโฮวา เราต้องฟังพระองค์และต้องพูดคุยกับพระองค์ด้วย วิธีหลักที่เราจะฟังพระองค์ได้ก็คือการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล นี่หมายถึงการอ่านและคิดใคร่ครวญสิ่งที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลรวมทั้งหนังสือและสื่อต่าง ๆ ขององค์การ การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่การท่องจำข้อมูลแบบที่คุณทำตอนจะสอบที่โรงเรียน แทนที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นเหมือนการเดินทางที่น่าตื่นเต้นที่คุณจะได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เกี่ยวกับพระยะโฮวา เมื่อทำอย่างนี้ คุณจะใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นและพระองค์ก็จะเข้ามาใกล้ชิดกับคุณมากขึ้นด้วย องค์การของพระยะโฮวามีเครื่องมือมากมายที่คุณจะใช้ในโปรเจคศึกษาส่วนตัวของคุณได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเข้าไปในเว็บไซต์ jw.org มี “คู่มือประกอบการเรียน” ของหนังสือ “เรียนคัมภีร์ไบเบิลแล้วได้อะไร?” คู่มือนี้ช่วยคุณให้มีความเชื่อมากขึ้น—สดุดี 119:105 ห17.12 น. 25 ว. 8-9
วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม
สัตว์เหล่านี้จะไม่ทำอันตราย หรือทำให้เกิดความเสียหายเลย ไม่ว่าที่ไหนบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา—อสย. 11:9
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้? คัมภีร์ไบเบิลบอกต่อไปว่า “เพราะความรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาจะมีเต็มโลก” สัตว์ต่าง ๆ ไม่สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาได้ ดังนั้น คำพยากรณ์นี้เป็นภาพเปรียบเทียบที่พูดถึงคนที่เปลี่ยนนิสัยของเขา (อิสยาห์ 11:6, 7) พี่น้องของเราหลายคนเคยดุร้ายเหมือนหมาป่าแต่ตอนนี้กลับอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างสงบสุข เราสามารถอ่านประสบการณ์ของพวกเขาใน “คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน” ที่อยู่ในแท็บ “คำสอนของคัมภีร์ไบเบิล” ในเว็บไซต์ jw.org พวกเราหลายคนที่เป็นประชาชนของพระเจ้าเคยเป็นคนดุร้ายแต่ตอนนี้ได้ “ปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นตามที่พระเจ้าต้องการ ซึ่งเป็นไปตามความถูกต้องชอบธรรมและความภักดีแท้” (เอเฟซัส 4:23, 24) เมื่อผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็รู้ว่าต้องทำตามมาตรฐานของพระองค์ นี่ช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาเชื่อ วิธีที่เขาคิด และสิ่งที่เขาทำ การทำอย่างนี้ไม่ง่ายเลย แต่พระเจ้าจะให้พลังของพระองค์ช่วยคนที่อยากทำให้พระองค์พอใจ ห18.01 น. 31 ว. 15-16
วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม
[คนจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย] ตามลำดับ—1 คร. 15:23
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคนเหล่านั้นที่ไปสวรรค์ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย “ตามลำดับ” ดังนั้น เราจึงเชื่อมั่นได้ว่าการฟื้นขึ้นจากตายบนโลกนี้จะเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบระเบียบ แต่เราอาจสงสัยว่า คนเหล่านั้นที่เพิ่งตายได้ไม่นานจะถูกปลุกในช่วงแรกของสมัยหนึ่งพันปีของพระคริสต์ไหม เพื่อคนที่รักและรู้จักเขาจะได้ต้อนรับเขา? พวกผู้ชายที่ซื่อสัตย์ในอดีตซึ่งเป็นผู้นำที่มีความสามารถจะถูกปลุกขึ้นมาก่อนไหม เพื่อพวกเขาจะช่วยจัดระเบียบประชาชนของพระเจ้าในโลกใหม่? ส่วนคนที่ไม่เคยรับใช้พระยะโฮวาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?พวกเขาจะถูกปลุกเมื่อไรและที่ไหน? ดีกว่าที่เราจะรอดูต่อไป เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะทำสิ่งต่าง ๆ ที่น่าตื่นเต้นแน่นอน จนกว่าจะถึงเวลานั้น เราควรทำให้ความเชื่อของเราในพระยะโฮวามีมากขึ้น พระองค์สัญญาผ่านทางพระเยซูว่าคนที่ตายไปแล้วจะยังอยู่ในความทรงจำของพระองค์ และพวกเขาจะกลับมามีชีวิตอีก—ยอห์น 5:28, 29; 11:23 ห17.12 น. 12 ว. 20-21
วันจันทร์ 11 มีนาคม
คนที่เป็นภรรยา ให้เชื่อฟังสามี เพราะเป็นสิ่งที่สาวกของพระคริสต์ควรทำ คนที่เป็นสามี ให้รักภรรยาเสมอและอย่าเกรี้ยวกราดกับเธอ คนที่เป็นลูก ให้เชื่อฟังพ่อแม่เสมอ—คส. 3:18-20
คุณเห็นด้วยไหมว่าคำแนะนำนี้ช่วยครอบครัวคุณจริง ๆ? พระยะโฮวาแนะนำสามีว่า “คนที่เป็นสามี ให้รักภรรยาเสมอและอย่าเกรี้ยวกราดกับเธอ” (1 โคโลสี 3:19) สามีที่รักภรรยาจะให้เกียรติภรรยาโดยฟังความคิดเห็นของเธอและทำให้เธอรู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เธอพูด (1 เปโตร 3:7) ถึงแม้สามีจะไม่สามารถทำทุกอย่างที่ภรรยาขอได้ แต่การฟังจะช่วยเขาให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น (สุภาษิต 15:22) สามีที่รักภรรยาจะไม่เรียกร้องให้ภรรยามานับถือเขา แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เขาจะพยายามทำตัวให้ภรรยาอยากนับถือเขาจากใจ ถ้าสามีรักภรรยาและลูก ทั้งครอบครัวก็จะมีความสุขในการรับใช้พระยะโฮวาและได้รางวัลชีวิต ห17.11 น. 28 ว. 12 และ น. 29 ว. 15
วันอังคารที่ 12 มีนาคม
ระวังให้ดี อย่าให้ใครมาชักชวนให้หลงด้วยปรัชญาและคำหลอกลวงเหลวไหล . . . ของโลก—คส. 2:8
ประมาณปี 60-61 ในช่วงที่อัครสาวกเปาโลเป็นนักโทษในกรุงโรม เขาเขียนถึงพี่น้องในเมืองโคโลสีและอธิบายว่าทำไมพวกเขาต้องมี ‘ความเข้าใจที่เกิดจากพลังของพระเจ้า’ ซึ่งก็คือความสามารถที่จะมองเรื่องต่าง ๆ อย่างที่พระยะโฮวามอง (โคโลสี 1:9) เปาโลบอกว่า “ผมพูดเรื่องนี้ก็เพื่อไม่ให้มีใครมาหลอกลวงพวกคุณได้ ถึงแม้เขาจะใช้คำพูดจูงใจที่น่าฟัง ระวังให้ดี อย่าให้ใครมาชักชวนให้หลงด้วยปรัชญาและคำหลอกลวงเหลวไหลตามที่มนุษย์สอนต่อ ๆ กันมาและตามแนวคิดต่าง ๆ ของโลก ซึ่งไม่ได้มาจากพระคริสต์” (โคโลสี 2:4, 8) จากนั้น เปาโลก็อธิบายว่าทำไมแนวคิดของคนส่วนใหญ่ถึงไม่ถูกต้องและทำไมหลายคนชอบแนวคิดแบบนั้น ตัวอย่างเช่น แนวคิดบางอย่างอาจทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาฉลาดกว่าหรือดีกว่าคนอื่น ดังนั้น เปาโลจึงเขียนจดหมายเพื่อช่วยให้พี่น้องไม่คล้อยตามความคิดแบบคนทั่วไปในโลกและไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีแบบพวกเขา—โคโลสี 2:16, 17, 23 ห17.11 น. 20 ว. 1
วันพุธที่ 13 มีนาคม
ถ้ามือหรือเท้าของคุณทำให้คุณหลงทำผิด ตัดมันทิ้งไปเลย—มธ. 18:8
คริสเตียนอาจต้องยอมสละอะไรบ้างเพื่อพระยะโฮวาจะเมตตาเขาต่อ ๆ ไป? เขาต้องพร้อมจะยอมสละแม้แต่สิ่งที่เขาชอบถ้าสิ่งนั้นอาจทำให้เขาทำผิด (มัทธิว 18:9) ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีเพื่อนและการคบกับพวกเขาอาจทำให้คุณทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ คุณจะเลิกคบพวกเขาไหม? ถ้าคุณรู้สึกยากที่จะควบคุมการดื่มเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คุณจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้คุณดื่มมากเกินไปไหม? ถ้าคุณรู้สึกยากที่จะควบคุมความต้องการที่จะทำผิดศีลธรรมทางเพศ คุณจะหลีกเลี่ยงหนัง เว็บไซต์ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้คุณมีความคิดที่ไม่สะอาดไหม? ขอจำไว้ว่า การยอมสละอะไรก็ตามเพื่อจะเชื่อฟังกฎหมายของพระยะโฮวาคุ้มค่าแน่นอน ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าความรู้สึกที่ว่าพระยะโฮวาไม่ยอมรับเรา และก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าความรู้สึกที่ว่าพระยะโฮวา ‘รักเราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด’—อิสยาห์ 54:7, 8 ห17.11 น. 11 ว. 12
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม
นั่นคือคำสาปแช่งที่ถูกส่งไป . . . เพราะทุกคนที่ขโมยยังไม่ถูกลงโทษ—ศคย. 5:3
คุณสังเกตอะไรไหม? ที่เศคาริยาห์ 5:3, 4 บอกว่าคำสาปแช่งจะ “เข้าไปในบ้านของขโมย” และมันจะ “อยู่ในบ้านนั้นแล้วทำลายบ้าน” ดังนั้น พระยะโฮวาจะเปิดโปงและจัดการกับการกระทำที่ไม่ดีทุกอย่างในกลุ่มคนที่เป็นประชาชนของพระเจ้า ถึงแม้คนที่ขโมยจะปกปิดสิ่งที่เขาทำไม่ให้ตำรวจ นายจ้าง ผู้ดูแลในประชาคม หรือพ่อแม่รู้ แต่เขาปิดเรื่องนั้นกับพระยะโฮวาไม่ได้ พระองค์จะเปิดโปงการขโมยทุกรูปแบบ (ฮีบรู 4:13) เราดีใจที่ได้อยู่กับผู้คนที่พยายามสุดความสามารถที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ “ในทุกเรื่อง” (ฮีบรู 13:18) พระยะโฮวาเกลียดการขโมยทุกรูปแบบ พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้รู้จักและเชื่อฟังหลักการต่าง ๆ ของพระยะโฮวาเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกและผิด และได้ใช้ชีวิตในแบบที่ไม่ทำให้พระองค์เสื่อมเสียชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราไม่ต้องถูกพิพากษาตอนที่พระองค์มาจัดการคนที่ไม่เชื่อฟัง ห17.10 น. 22 ว. 6-7
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม
พยายามเต็มที่ที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วยพลังของพระเจ้า และมีสันติสุขที่ผูกพันคนเราให้เป็นหนึ่งเดียว—อฟ. 4:3
สันติสุขกับพี่น้องเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ถึงแม้เราอาจรู้สึกว่ามีคนเข้าใจเราผิด หรือรู้สึกว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรม เราก็ควรทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อสร้างสันติสุขและอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน (โรม 12:17, 18) ถ้าเราทำให้คนอื่นเจ็บใจเราต้องขอโทษเขา แต่คำขอโทษต้องมาจากใจจริง สันติสุขเป็นสิ่งสำคัญมากในชีวิตคู่ สามีภรรยาไม่ควรทำเป็นรักกันตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่พออยู่ด้วยกันตามลำพังก็ไม่ยอมคุยกัน พูดกันแรง ๆ หรือถึงกับลงไม้ลงมือกัน เราต้องพร้อมที่จะให้อภัยอย่างใจกว้างด้วย ถ้ามีคนทำให้เราโกรธ เราต้องให้อภัยและลืมความเจ็บใจนั้นให้ได้ เพื่อที่เราจะให้อภัยจริง ๆ เราต้องเลิกคิดถึงสิ่งที่เขาทำกับเรา ความรัก “ไม่จดจำเรื่องที่ทำให้เจ็บใจ” (1 โครินธ์ 13:4, 5) ที่จริง การเก็บความโกรธไว้ก็มีแต่จะทำลายความสัมพันธ์ที่เรามีกับพี่น้องรวมทั้งความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวา—มัทธิว 6:14, 15 ห17.10 น. 10 ว. 14-15
วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม
คุณก็จะรู้ว่าพระยะโฮวาผู้เป็นจอมทัพส่งผมมาหาคุณ—ศคย. 6:15
ข่าวสารของเศคาริยาห์มีผลอย่างไรกับชาวยิวในตอนนั้น? พระยะโฮวาสัญญาว่าจะช่วยและปกป้องคุ้มครองเพื่อพวกเขาจะสร้างวิหารจนเสร็จ คำสัญญานี้ทำให้พวกเขามีความหวัง แต่พวกเขาอาจสงสัยว่าคนแค่ไม่กี่คนจะทำงานใหญ่ขนาดนี้ให้สำเร็จได้อย่างไร ดังนั้น เศคาริยาห์จึงบอกบางอย่างกับพวกเขาเพื่อให้พวกเขาไม่ต้องกลัวหรือสงสัยอีกต่อไป นอกจากเฮลดัย โทบียาห์ และเยดายาห์ที่มาช่วยพวกเขาแล้ว พระยะโฮวาบอกว่าจะมีอีกหลายคน ‘มาช่วยสร้างวิหารของพระยะโฮวา’ ชาวยิวมั่นใจว่าพระยะโฮวาจะสนับสนุนงานที่พวกเขาทำ พวกเขากลับไปสร้างวิหารอย่างกล้าหาญทั้ง ๆ ที่กษัตริย์เปอร์เซียสั่งห้ามงานนี้อย่างเป็นทางการ การสั่งห้ามนี้เป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งขวางทางพวกเขา แต่พระยะโฮวาก็เอามันออกไปได้ ในที่สุด การสร้างวิหารก็เสร็จในปี 515 ก่อนคริสต์ศักราช (เอสรา 6:22; เศคาริยาห์ 4:6, 7) สิ่งที่พระยะโฮวาบอกพวกเขายังหมายถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นซึ่งกำลังเกิดขึ้นในสมัยของเราด้วย ห17.10 น. 29 ว. 17
วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม
ลูกต้องกล้าหาญ . . . และลงมือทำงานได้แล้ว—1 พศ. 28:20
โซโลมอนได้รับงานมอบหมายพิเศษ พระยะโฮวาให้เขาดูแลงานก่อสร้างวิหารในกรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นหนึ่งในงานก่อสร้างที่สำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา วิหารนี้จะ “ยิ่งใหญ่และสง่างาม” ความงดงามของวิหารนี้จะเลื่องลือไปทั่ว และยิ่งกว่านั้น วิหารนี้จะเป็น “วิหารของพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้” (1 พศ. 22:1, 5, 9-11) กษัตริย์ดาวิดมั่นใจว่าพระเจ้าจะช่วยเหลือโซโลมอนลูกชายของเขา แต่เขาก็เป็นห่วงเพราะโซโลมอน “อายุยังน้อยและไม่มีประสบการณ์” โซโลมอนจะกล้าพอไหมที่จะรับงานมอบหมายสำคัญนี้? หรือเขาจะคิดว่าเขาอายุยังน้อยและไม่มีประสบการณ์ก็เลยไม่ยอมรับงานนี้? เพื่อจะทำงานนี้ให้สำเร็จได้ โซโลมอนต้องกล้าหาญและลงมือทำงาน ถ้าโซโลมอนไม่มีความกล้าหาญ เขาก็จะกลัวจนไม่กล้าทำอะไร เขาอาจไม่กล้าแม้แต่จะเริ่มงานก่อสร้างนั้นซึ่งมันจะแย่ยิ่งกว่าการทำงานไม่สำเร็จเสียอีก เหมือนกับโซโลมอน เราต้องให้พระยะโฮวาช่วยเราให้เป็นคนกล้าหาญและลงมือทำงานที่พระองค์บอกให้เราทำ ห17.09 น. 28 ว. 1-2 และ น. 29 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม
คำพูดของพระเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป—อสย. 40:8
ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีคัมภีร์ไบเบิล? คุณจะไม่มีคำแนะนำดี ๆ ที่ช่วยคุณในแต่ละวัน คุณจะไม่รู้ความจริงเรื่องพระเจ้า เรื่องชีวิต และเรื่องอนาคต นอกจากนั้น คุณจะไม่รู้เลยว่าในอดีตพระยะโฮวาได้ทำอะไรบ้างเพื่อมนุษย์ เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่ชีวิตเราไม่ได้เป็นแบบนั้น พระยะโฮวาให้คัมภีร์ไบเบิลกับเรา และพระองค์สัญญาว่าคำพูดของพระองค์ที่อยู่ในนั้นจะคงอยู่ตลอดไป อัครสาวกเปโตรยกข้อความในอิสยาห์ 40:8 ขึ้นมา และถึงแม้ว่าข้อคัมภีร์นี้ไม่ได้พูดเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับตัวคัมภีร์ไบเบิลเป็นเล่ม ๆ แต่ข้อนี้หมายถึงคำพูดของพระเจ้าที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล (1 ปต. 1:24, 25) เป็นเวลาหลายศตวรรษมีหลายคนพยายามอย่างมากที่จะแปลคัมภีร์ไบเบิลทั้ง ๆ ที่มีการต่อต้านและความยากลำบาก พวกเขาพยายามทำให้หนังสือนี้หาอ่านได้ง่ายสำหรับทุกคน สิ่งที่พวกเขาทำตรงกับสิ่งที่พระยะโฮวาต้องการ พระองค์อยากให้ผู้คนมากเท่าที่เป็นไปได้ “รอดและได้รับความรู้ที่ถูกต้องเรื่องความจริง”—1 ทธ. 2:3, 4 ห17.09 น. 18 ว. 1-2
วันอังคารที่ 19 มีนาคม
ตัวคุณซึ่งเป็นภรรยาของเขา จะให้ผมทำเรื่องชั่ว ๆ อย่างนี้ได้ยังไง? มันเป็นการทำบาปต่อพระเจ้า—ปฐก. 39:9
สิ่งที่เกิดขึ้นกับโยเซฟก็เกิดขึ้นกับพี่น้องวัยรุ่นของเราหลายคนในทุกวันนี้ด้วย (ปฐก. 39:7) ขอดูตัวอย่างของคิมเบอร์ลี เพื่อนที่โรงเรียนของเธอชอบคุยอวดกันเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา คิมเบอร์ลีไม่มีเรื่องแบบนั้นมาคุยกับพวกเขา เธอยอมรับว่าการที่เธอแตกต่างกับคนอื่น บางครั้งมันทำให้เธอรู้สึกเหมือน “ถูกทิ้งและเหงา” เพื่อนที่โรงเรียนคิดว่าเธอโง่ที่ไม่มีแฟน แต่จริง ๆ แล้วคิมเบอร์ลีฉลาดที่ไม่ได้ทำแบบนั้น เธอรู้ดีว่าการล่อใจให้มีเพศสัมพันธ์มีพลังมากตอนช่วงวัยรุ่น (2 ทธ. 2:22) นักเรียนคนอื่น ๆ ชอบถามเธอว่ายังบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า นี่ทำให้เธอมีโอกาสอธิบายว่าทำไมเธอถึงยังบริสุทธิ์อยู่ พวกเราภูมิใจในตัวพี่น้องวัยรุ่นทุกคนซึ่งตั้งใจแน่วแน่ที่จะต้านแรงกดดันในการทำผิดศีลธรรมทางเพศ และพระยะโฮวาก็ภูมิใจในตัวพวกเขาด้วยแน่นอน ห17.09 น. 4 ว. 8 และ น. 5 ว. 10
วันพุธที่ 20 มีนาคม
อย่าหงุดหงิดแล้วไปทำชั่ว—สด. 37:8
บางคนมีนิสัยโมโหง่าย ปากร้าย และชอบดูถูกคนอื่น นิสัยแบบนี้ทำให้ทั้งครอบครัวต้องเดือดร้อน คัมภีร์ไบเบิลเตือนเราว่าต้องไม่โกรธ ไม่พูดดูถูกเหยียดหยามและตวาด (อฟ. 4:31) สิ่งเหล่านี้มักทำให้เกิดความรุนแรงตามมา หลายคนในโลกทุกวันนี้มักคิดว่าการโกรธ หรือการแสดงพฤติกรรมที่รุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา แต่จริง ๆ แล้วการทำอย่างนั้นทำให้พระเจ้าเสื่อมเสียเกียรติ พี่น้องของเราหลายคนจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อจะปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ (คส. 3:8-10) การโกหกก็เป็นส่วนหนึ่งของลักษณะนิสัยเก่า ตัวอย่างเช่น หลายคนโกหกเพื่อจะไม่ต้องเสียภาษีหรือไม่ต้องรับผิดชอบกับความผิดที่เขาทำ แต่พระยะโฮวาเป็น “พระเจ้าแห่งความจริง” (สด. 31:5) พระองค์อยากให้เราทุกคนที่นมัสการพระองค์ “พูดความจริง” และ “อย่าโกหกกัน” (อฟ. 4:25; คส. 3:9) เห็นได้ชัดว่า เราต้องพูดความจริงถึงแม้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องน่าอายหรือเป็นเรื่องยากก็ตาม—สภษ. 6:16-19 ห17.08 น. 18 ว. 3, 5 และ น. 20 ว. 12-13, 15
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม
คำสั่งของพระองค์ก็ไปอย่างรวดเร็ว—สด. 147:15
ในทุกวันนี้ พระยะโฮวาชี้นำเราทางคัมภีร์ไบเบิล ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า ‘คำสั่งของพระองค์ไปอย่างรวดเร็ว’ ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะชี้นำให้เราเดินในทางที่ถูกต้องในเวลาที่เราต้องการพอดี ลองคิดดูสิว่าคุณได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ที่มาจาก “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” และได้ประโยชน์อะไรจากการดูรายการโทรทัศน์ JW เข้าเว็บไซต์ jw.org คุยกับผู้ดูแล และคบกับพี่น้อง (มธ. 24:45) คุณเคยเห็นด้วยตัวคุณเองไหมว่าพระยะโฮวาชี้นำคุณ “อย่างรวดเร็ว” จริง ๆ? ผู้เขียนหนังสือสดุดีรู้ว่า พระยะโฮวาได้เลือกชาติอิสราเอลโบราณมาเป็นประชาชนของพระองค์ พวกเขาเป็นชาติเดียวที่ได้รับ “คำสั่ง” และ “ข้อกำหนด” ของพระองค์ (สด. 147:19, 20) ในทุกวันนี้ เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ถูกเรียกตามชื่อของพระเจ้า เราขอบคุณที่ได้มารู้จักพระองค์ ขอบคุณที่มีคัมภีร์ไบเบิลชี้นำชีวิตเรา และขอบคุณที่เราสามารถใกล้ชิดกับพระองค์ได้ เหมือนกับผู้เขียนหนังสือสดุดีบท 147 คุณก็มีเหตุผลมากมายที่จะ “สรรเสริญยาห์” และสนับสนุนคนอื่น ๆ ให้ทำแบบเดียวกัน ห17.07 น. 20 ว. 15-16 และ น. 21 ว. 18
วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม
ทหารประจำการที่อยากให้นายพอใจคงไม่มัวยุ่งอยู่กับการค้าขายหาเลี้ยงชีพ—2 ทธ. 2:4
สาวกของพระเยซูในทุกวันนี้ซึ่งรวมถึงผู้รับใช้เต็มเวลามากกว่า 1 ล้านคนพยายามเต็มที่ที่จะทำตามคำแนะนำของเปาโลในข้อคัมภีร์วันนี้ พวกเขาไม่ยอมแพ้การล่อใจที่มีอยู่ในโฆษณาต่าง ๆ ของโลกที่เห็นแก่ตัวในทุกวันนี้ พวกเขาจำหลักการข้อหนึ่งได้ดีที่บอกว่า “คนที่ยืมจะเป็นทาสของคนให้ยืม” (สภษ. 22:7) ซาตานอยากให้เราทุ่มเทเวลาและพลังทั้งหมดให้กับระบบการค้าของโลก บางคนยอมเป็นหนี้ก้อนโตเพื่อจะมีบ้าน รถยนต์ การศึกษา หรือแม้กระทั่งเพื่อจัดงานแต่งงาน ถ้าเราไม่ระวัง เราอาจต้องใช้หนี้อยู่หลายปี ดังนั้น เราสามารถ “ลงมือทำอย่างฉลาด” โดยการใช้ชีวิตเรียบง่าย พยายามไม่สร้างหนี้ และใช้เงินให้น้อยลง การทำแบบนี้จะช่วยเราให้รับใช้พระเจ้าได้อย่างอิสระแทนที่จะเป็นทาสของระบบการค้าในโลกทุกวันนี้—1 ทธ. 6:10 ห17.07 น. 10 ว. 13
วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม
ผมจึงเห็นว่าคำสอนทุกอย่างของพระองค์ถูกต้อง ผมเกลียดทางที่ผิดทุกทาง—สด. 119:128
อีกเหตุผลหนึ่งที่พระยะโฮวามีสิทธิ์ที่จะปกครองก็คือ พระองค์ใช้อำนาจด้วยความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ พระเจ้าบอกว่า “เราคือยะโฮวา เป็นผู้แสดงความรักที่มั่นคง ความยุติธรรม และความถูกต้องชอบธรรมบนโลกเพราะเราพอใจอย่างนี้” (ยรม. 9:24) พระยะโฮวาไม่ต้องอาศัยกฎหมายของมนุษย์เพื่อช่วยให้พระองค์ตัดสินว่าอะไรถูกต้อง แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระองค์เองเป็นผู้ตั้งมาตรฐานว่าอะไรถูกอะไรผิด พระองค์ตั้งกฎหมายให้มนุษย์โดยอาศัยความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกไว้ว่า “ความถูกต้องชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นฐานรากแห่งบัลลังก์ของพระองค์” ดังนั้น กฎหมายทุกข้อ หลักการทุกอย่าง และการตัดสินใจอะไรก็ตามที่มาจากพระยะโฮวานั้นถูกต้องเสมอ (สด. 89:14) ซาตานอ้างว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ปกครองที่ไม่ยุติธรรม แต่มันก็ไม่สามารถทำให้ทั้งโลกมีแต่ความยุติธรรมได้ ห17.06 น. 28 ว. 5
วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม
พระยะโฮวา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด . . . คำพูดของพระองค์เป็นความจริง—2 ซม. 7:28
พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าแห่งความจริง (สด. 31:5) พระยะโฮวาเป็นพ่อที่ใจกว้าง พระองค์อยากให้เรารู้ความจริง จนถึงตอนนี้เราอาจรู้ความจริงหลายเรื่องจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลกับหนังสือต่าง ๆ ขององค์การ รวมทั้งการเข้าร่วมประชุมหมวด การประชุมภูมิภาค และการประชุมประชาคม เมื่อเราได้เรียนรู้ความจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ เราก็จะมี “ห้องเก็บสมบัติ” เหมือนกับที่พระเยซูบอกไว้ ห้องนี้จะสะสมความจริงซึ่งมี “สมบัติทั้งเก่าและใหม่” (มธ. 13:52) พระยะโฮวาจะช่วยเราให้มี “สมบัติ” เพิ่มขึ้นใน “ห้องเก็บสมบัติ” ถ้าเราค้นหาความจริงเหมือนค้นหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ (สภษ. 2:4-7) แต่เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร? เราต้องศึกษาส่วนตัวเป็นประจำ และศึกษาค้นคว้าคัมภีร์ไบเบิล หนังสือและสื่อต่าง ๆ ขององค์การอย่างละเอียด การทำอย่างนี้จะช่วยเราให้พบความจริงที่เราไม่เคยรู้มาก่อนซึ่งเป็นเหมือน ‘สมบัติใหม่’ (ยชว. 1:8, 9; สด. 1:2, 3) คล้ายกัน ถ้าเราเจอความจริงเรื่องหนึ่งแล้ว เราไม่ควรจะหยุดแค่นั้น เราควรจะพยายามค้นหาความจริงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ห17.06 น. 12 ว. 13-14
วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม
พวกเจ้าจะเรียกเรา และจะมาอธิษฐานถึงเรา และเราจะฟังพวกเจ้า—ยรม. 29:12
พี่น้องชายโสดคนหนึ่งคิดเกี่ยวกับข้อคัมภีร์ที่ 1 โครินธ์ 7:28 ที่บอกว่าคนที่แต่งงาน “จะมีความยุ่งยากในชีวิต” พี่น้องชายคนนี้ไปคุยกับผู้ดูแลสูงอายุคนหนึ่งที่แต่งงานแล้วและถามว่า “‘ความยุ่งยาก’ มันหมายถึงอะไรเหรอครับ? ถ้าผมแต่งงานแล้วต้องเจอความยุ่งยากอย่างนั้นผมจะทำยังไง?” ก่อนที่จะตอบคำถาม ผู้ดูแลชวนให้พี่น้องชายคนนั้นคิดถึงคำพูดของอัครสาวกเปาโลอีกข้อหนึ่งซึ่งบอกว่า พระยะโฮวาเป็น “พระเจ้าที่คอยให้กำลังใจในทุกสถานการณ์ พระองค์ให้กำลังใจเราทุกครั้งที่เจอความยากลำบาก” (2 คร. 1:3, 4) เรารู้ว่าพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักเรา พระองค์ให้กำลังใจตอนที่เราต้องเจอกับปัญหา คุณอาจคิดถึงประสบการณ์ของตัวคุณเอง คุณคงจำได้ว่าพระยะโฮวาเคยช่วยเหลือและแนะนำคุณอย่างไรทางคัมภีร์ไบเบิล เรามั่นใจได้ว่าพระองค์อยากให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนกับที่ผู้รับใช้ในสมัยก่อนได้รับ—ยรม. 29:11 ห17.06 น. 4 ว. 1-2
วันอังคารที่ 26 มีนาคม
พระยะโฮวาปกป้องคนต่างชาติ—สด. 146:9
พี่น้องผู้ลี้ภัยไม่ได้ต้องการแค่อาหารและเสื้อผ้าเท่านั้น พวกเขาต้องการการปลอบโยนและกำลังใจจากคัมภีร์ไบเบิลด้วย (มธ. 4:4) ผู้ดูแลน่าจะช่วยพี่น้องผู้ลี้ภัยให้ได้รับหนังสือในภาษาของพวกเขา และช่วยติดต่อกับพี่น้องที่พูดภาษาของเขาได้ การทำอย่างนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะพี่น้องผู้ลี้ภัยหลายคนต้องทิ้งทุกอย่างที่เขาคุ้นเคย พวกเขาคงต้องคิดถึงครอบครัว สังคม และประชาคมที่นั่นแน่ ๆ พวกเขาต้องการความรักจากพระยะโฮวาและความเมตตาจากเพื่อนคริสเตียน ถ้าพี่น้องผู้ลี้ภัยไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็อาจหันไปพึ่งคนอื่นที่ลี้ภัยมาจากประเทศเดียวกันซึ่งไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา (1 คร. 15:33) ถ้าเราช่วยพี่น้องให้รู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคม เราก็กำลังร่วมมือกับพระยะโฮวาในการ “ปกป้องคนต่างชาติ” พี่น้องผู้ลี้ภัยในทุกวันนี้ก็อาจไม่สามารถกลับไปบ้านเกิดได้ตราบใดที่พวกคนที่กดขี่ยังมีอำนาจปกครอง พวกเขาบางคนต้องเจ็บปวดเพราะเรื่องร้ายที่พวกเขาเจอ ดังนั้น คุณอาจถามตัวเองว่า ‘ถ้าฉันต้องเจอกับเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดแบบนี้ ฉันอยากจะให้คนอื่นทำกับฉันยังไง?’—มธ. 7:12 ห17.05 น. 6-7 ว. 15-16
วันพุธที่ 27 มีนาคม
ความรักของคนส่วนใหญ่ลดน้อยลง—มธ. 24:12
ความท้อแท้หรือหมดกำลังใจก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อและความรักที่มีต่อพระเจ้าลดน้อยลง เนื่องจากเรามีชีวิตอยู่ในโลกของซาตานจึงมีหลายอย่างที่ทำให้เราอาจรู้สึกท้อในบางครั้ง (1 ยน. 5:19) ตัวอย่างเช่น เราอาจมีปัญหาหลายอย่างเพราะอายุมากขึ้น สุขภาพแย่ลง หรือมีปัญหาเรื่องเงิน นอกจากนั้น เราอาจรู้สึกแย่ที่ทำอะไร ๆ ไม่ได้อย่างที่อยากจะทำ หรืออาจผิดหวังเมื่อเห็นสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวังไว้ แต่ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไรเราไม่ควรรู้สึกว่าพระยะโฮวาทอดทิ้งเรา ขอให้คิดถึงคำพูดที่ให้กำลังใจในสดุดี 136:23 ซึ่งบอกว่า “เมื่อพวกเราตกต่ำ พระองค์ก็นึกถึงพวกเรา เพราะพระองค์มีความรักที่มั่นคงตลอดไป” เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะฟังเมื่อเรา “อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ” และพระองค์จะตอบคำอธิษฐานของเรา—สด. 116:1; 136:24-26 ห17.05 น. 19 ว. 8
วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม
ถ้าคุณไม่ให้อภัยคนอื่น พระองค์ก็จะไม่ให้อภัยคุณเหมือนกัน—มธ. 6:15
อย่างที่เราอ่านในกาลาเทีย 2:11-14 เปโตรกลายเป็นคนที่กลัวคน (สภษ. 29:25) ทั้ง ๆ ที่เขารู้ว่าพระยะโฮวาคิดอย่างไรกับคนต่างชาติ แต่เขาก็กลัวว่าคริสเตียนชาวยิวที่เข้าสุหนัตที่มาเยี่ยมเขาจากเยรูซาเล็มจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นเขาคบกับคริสเตียนชาวต่างชาติ อัครสาวกเปาโลต่อว่าเปโตรว่าเขาเป็นคนไม่จริงใจ เพราะอะไร? เพราะเปาโลได้ยินเปโตรพูดปกป้องคนต่างชาติ (กจ. 15:12) เปโตรถ่อมตัวและยอมรับการว่ากล่าวแก้ไขของเปาโล ไม่มีข้อคัมภีร์ไหนที่บอกว่าเปโตรต้องออกจากงานมอบหมายของเขา ที่จริง ต่อมาเปโตรได้รับการดลใจให้เขียนจดหมายสองฉบับซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูผู้นำประชาคมยังใช้เขาต่อไป (อฟ. 1:22) พี่น้องชายหญิงในประชาคมนั้นมีโอกาสเลียนแบบพระเยซูและพระเจ้าโดยการให้อภัยเปโตร เราหวังว่าจะไม่มีใครปล่อยให้ตัวเองสะดุดเพราะความผิดพลาดที่ผู้ชายที่ไม่สมบูรณ์คนนี้ได้ทำ ห17.04 น. 27 ว. 16-18
วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม
พระเจ้าตัดสินลงโทษเมืองโสโดมกับเมืองโกโมราห์โดยทำลายสองเมืองนั้นจนเป็นเถ้าถ่าน ซึ่งเป็นตัวอย่างเตือนคนที่ดูหมิ่นพระเจ้าให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา—2 ปต. 2:6
พระยะโฮวาทำลาย 2 เมืองนี้และแถบนั้นทั้งหมดเพื่อหยุดการทำชั่ว และพระองค์ยังให้เรื่องนี้ “เป็นตัวอย่างเตือนคนที่ดูหมิ่นพระเจ้าให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” เช่นเดียวกับตอนนั้นที่พระยะโฮวาจัดการกับการทำผิดศีลธรรมทางเพศจนไม่มีเหลือ พระองค์ก็จะทำแบบเดียวกันในสมัยของเราตอนที่พระองค์ทำลายโลกชั่วนี้ อะไรจะมาแทนที่การกระทำและกิจกรรมที่ไม่ดี? ในโลกใหม่เราจะได้ทำกิจกรรมมากมายที่ทำให้เรามีความสุข ลองคิดภาพว่าเราจะช่วยกันเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นสวนอุทยาน เราจะสร้างบ้านให้ตัวเองและคนที่เรารัก เราจะได้ต้อนรับหลายล้านคนที่ฟื้นขึ้นจากตาย และสอนพวกเขาเกี่ยวกับพระยะโฮวาและสิ่งที่พระองค์เคยทำให้มนุษย์ (อสย. 65:21, 22; กจ. 24:15) ในตอนนั้น เราจะได้ทำกิจกรรมมากมายที่สรรเสริญพระยะโฮวาและทำให้เรามีแต่ความสุข ห17.04 น. 12 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม
ใครก็ตามที่ออกจากประตูบ้าน . . . คนนั้นจะเป็นของพระยะโฮวา—วนฉ. 11:31
ตอนที่เยฟธาห์ปฏิญาณกับพระยะโฮวา เขาอาจคิดแล้วว่าลูกสาวของเขาน่าจะเป็นคนแรกที่ออกมาต้อนรับ แต่ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ก็ตาม การทำตามคำปฏิญาณที่ให้กับพระยะโฮวาไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทั้งเยฟธาห์และลูกสาวของเขา ตอนที่เยฟธาห์เห็นลูกสาววิ่งออกมา เขาบอกว่าหัวใจของเขาแตกสลาย ส่วนลูกสาวของเขาก็ออกไป ‘ร้องไห้เพราะจะต้องเป็นสาวบริสุทธิ์ไม่ได้แต่งงาน’ ทำไมพวกเขาถึงเสียใจขนาดนั้น? เยฟธาห์ไม่มีลูกชายสักคน และตอนนี้ลูกสาวคนเดียวของเขาต้องมาอยู่เป็นโสดและไม่มีลูก ดังนั้น ครอบครัวของเขาจะไม่มีใครสืบสกุลอีกต่อไป แต่สำหรับทั้งเยฟธาห์และลูกสาวมีบางอย่างที่สำคัญกว่าความรู้สึกของตัวเอง เยฟธาห์บอกว่า “พ่อสัญญากับพระยะโฮวาไว้แล้ว พ่อจะกลับคำไม่ได้” ลูกสาวของเขาก็พูดว่า “ทำตามที่สัญญาไว้เถอะค่ะ” (วนฉ. 11:35-39) เยฟธาห์และลูกสาวซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะยกเลิกคำปฏิญาณที่ทำกับพระองค์ ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากก็ตาม—ฉธบ. 23:21, 23; สด. 15:4 ห17.04 น. 4 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม
ผมจะอดทนรอ—มคา. 7:7
โยเซฟตกเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรม ทีแรก พวกพี่ชายขายเขาเป็นทาสตอนที่เขาอายุประมาณ 17 ปี จากนั้น เขาก็ถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ ว่าพยายามข่มขืนภรรยาของเจ้านายจนต้องถูกจับเข้าคุก (ปฐก. 39:11-20; สด. 105:17, 18) ถึงแม้ว่าโยเซฟเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าแต่ดูเหมือนเขาจะถูกลงโทษแทนที่จะได้รับพร แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เพราะหลังจากนั้น 13 ปีโยเซฟถูกปล่อยออกจากคุกและกลายเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจเป็นอันดับสองของอียิปต์ (ปฐก. 41:14, 37-43; กจ. 7:9, 10) ความไม่ยุติธรรมเหล่านั้นทำให้โยเซฟรู้สึกโมโหหรือผิดหวังไหม? เขารู้สึกไหมว่าพระยะโฮวาทิ้งเขา? ไม่เลย โยเซฟอดทนรอพระยะโฮวา อะไรช่วยเขาให้ทำอย่างนั้นได้? ความเชื่อในพระยะโฮวานั่นเอง โยเซฟรู้ว่าพระยะโฮวารู้และเห็นทุกอย่าง และพระองค์จะจัดการเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เราเห็นได้จากสิ่งที่เขาพูดกับพวกพี่ชาย โยเซฟบอกว่า “พวกพี่เคยคิดร้ายกับผมก็จริง แต่พระเจ้าตั้งใจให้เรื่องนั้นกลับเป็นผลดีเพื่อช่วยชีวิตผู้คนมากมายเอาไว้อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้” (ปฐก. 50:19, 20) โยเซฟรู้ว่าคุ้มค่าที่จะรอคอยพรต่าง ๆ ที่มาจากพระยะโฮวา ห17.08 น. 4 ว. 6 และ น. 6 ว. 12-13