เมษายน
วันจันทร์ที่ 1 เมษายน
ท่านให้ของขวัญที่เป็นมนุษย์—อฟ. 4:8
เราจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่ผู้ดูแลทำได้อย่างไร? วิธีหนึ่งคือ โดยเลียนแบบความเชื่อและตัวอย่างที่ดีของพวกเขา และอีกวิธีหนึ่งก็คือ การทำตามคำแนะนำของพวกเขาที่มาจากคัมภีร์ไบเบิล (ฮีบรู 13:7, 17) ผู้ดูแลรักเราและอยากให้เราสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น ถ้าพวกเขาสังเกตว่าเราขาดการประชุมหรือไม่ค่อยกระตือรือร้นเหมือนเดิม พวกเขาจะช่วยเราทันที พวกเขาจะฟังเรา แล้วก็ให้กำลังใจเราด้วยความรักรวมทั้งให้คำแนะนำที่เหมาะสมจากคัมภีร์ไบเบิล คุณมองว่าความช่วยเหลือจากพวกเขาเป็นการแสดงความรักจากพระยะโฮวาไหม? ขอจำไว้ว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ดูแลจะให้คำแนะนำเรา ดังนั้น คุณจะทำอย่างไรเพื่อที่ผู้ดูแลจะให้คำแนะนำคุณง่ายขึ้น? คุณต้องถ่อมตัว รู้จักขอบคุณ และเป็นคนที่คุยด้วยง่าย ถ้าคุณมองว่าความช่วยเหลือจากพวกเขาเป็นการแสดงความรักจากพระเจ้า คุณจะได้ประโยชน์ และผู้ดูแลก็จะทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างมีความสุข ห18.03 น. 31-32 ว. 15-16
วันอังคารที่ 2 เมษายน
ลูกของเรา ขอให้ฉลาดขึ้นและทำให้เราดีใจ เพื่อเราจะตอบคนที่เยาะเย้ยเราได้—สภษ. 27:11
เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันและใช้เวลาไม่เท่ากันกว่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่ เด็กบางคนเข้าใจความจริง ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ เองได้อย่างฉลาด และอยากรับบัพติศมาตั้งแต่อายุน้อย ๆ ส่วนคนอื่นอาจยังไม่พร้อมที่จะรับบัพติศมาจนกว่าจะโตขึ้นอีกหน่อย พ่อแม่ที่ฉลาดจะไม่กดดันลูกให้รับบัพติศมา แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเขาจะช่วยให้ลูกก้าวหน้าตามที่ลูกทำได้ด้วยตัวของลูกเอง พ่อแม่จะดีใจที่ลูกทำตามข้อคัมภีร์วันนี้ แต่พวกเขาควรจำไว้ว่าเป้าหมายของพวกเขาคือช่วยลูกให้เข้ามาเป็นสาวก พ่อแม่ต้องคิดถึงเป้าหมายนี้เสมอและถามตัวเองว่า ‘ลูกของฉันมีความรู้พอแล้วไหมที่จะอุทิศชีวิตให้พระเจ้าและรับบัพติศมา?’ ห18.03 น. 9 ว. 6
วันพุธที่ 3 เมษายน
เขาไม่ผิดสัญญาแม้จะต้องเสียผลประโยชน์—สด. 15:4
ถ้ามีคนชวนเราและเรารับปากแล้ว เราไม่ควรยกเลิกเว้นแต่จะเกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ คนที่ชวนเราอาจเตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้ต้อนรับเราแล้วและถ้าเรายกเลิกนัด ความพยายามทั้งหมดของเขาจะสูญเปล่า (มัทธิว 5:37) บางคนยกเลิกนัดของคนหนึ่งเพราะเห็นว่าของอีกคนหนึ่งดีกว่า คุณคิดว่าการทำแบบนี้เป็นการแสดงความรักและความนับถือไหม? เราควรจะเห็นคุณค่าไม่ว่าคนที่ชวนเราไปจะเตรียมอะไรไว้ให้ (ลูกา 10:7) ถ้าจำเป็นต้องยกเลิกนัดจริง ๆ มันจะเป็นการแสดงความรักและคิดถึงความรู้สึกของเขา ถ้าเราบอกให้เขารู้ล่วงหน้าเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่นก็สำคัญด้วย ในบางวัฒนธรรม การมีแขกมาหาโดยไม่ได้นัดไว้ก่อนเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่บางวัฒนธรรม ถ้าเราจะไปหาใครเราต้องบอกเขาล่วงหน้าก่อน บางวัฒนธรรม ถือเป็นการแสดงมารยาทถ้าจะปฏิเสธการชวนครั้งแรกหรือครั้งที่สองแล้วค่อยตอบรับครั้งถัดไป แต่ในบางวัฒนธรรม ถ้าชวนครั้งแรกแล้วไม่ไปถือเป็นเรื่องที่น่าเกลียด ดังนั้น เพื่อจะเป็นแขกที่ดี เราควรพยายามเต็มที่ที่จะทำให้พี่น้องมีความสุขที่ได้ชวนเรา ห18.03 น. 18 ว. 20-21
วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน
ก้าวหน้าไปเพื่อจะได้เป็นผู้ใหญ่—ฮบ. 6:1
จำไว้ว่าการมีแต่ความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลอย่างเดียวมันไม่พอที่จะทำให้เราเป็นคนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้า (1 พงศ์กษัตริย์ 4:29, 30; 11:4-6) ดังนั้น นอกจากการมีความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว เราต้องทำอะไรอีก? เราต้องพยายามทำให้ความเชื่อเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ (โคโลสี 2:6, 7) วิธีหนึ่งที่สำคัญคือการศึกษาหนังสือทำอย่างไรให้พระเจ้ารักเราเสมอ? การทำอย่างนี้จะช่วยคุณให้เอาหลักการในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ในชีวิต ถ้าคุณศึกษาหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ก็ยังมีหนังสือเล่มอื่น ๆ อีกที่คุณจะใช้ในการศึกษาค้นคว้าเพื่อจะช่วยให้คุณมีความเชื่อที่เข้มแข็งได้ (โคโลสี 1:23) นอกจากนั้น เรายังต้องคิดใคร่ครวญเรื่องที่เราได้เรียนและขอพระยะโฮวาช่วยเราให้เห็นวิธีที่จะเอาเรื่องที่เรียนไปใช้ในชีวิต ตอนที่เราศึกษาและคิดใคร่ครวญ เราควรมีเป้าหมายอะไร? เป้าหมายของเราคือ เพื่อให้รู้สึกอยากมากขึ้นที่จะเชื่อฟังและทำให้พระองค์พอใจ (สดุดี 40:8; 119:97) นอกจากนั้น เราต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะไม่ให้อะไรมาทำให้เราเลิกสนิทกับพระยะโฮวา—ทิตัส 2:11, 12 ห18.02 น. 24-25 ว. 7-9
วันศุกร์ที่ 5 เมษายน
ความเชื่อทำให้ [โนอาห์] เป็นที่ยอมรับของพระเจ้า—ฮบ. 11:7
เราจะมีความเชื่อเหมือนโนอาห์ได้ เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเอียด รักสิ่งที่เราได้เรียน และเอาสิ่งที่เราเรียนไปใช้เมื่อต้องเลือกหรือตัดสินใจ (1 เปโตร 1:13-15) เมื่อทำอย่างนั้นความเชื่อและสติปัญญาจากพระเจ้าจะปกป้องเราจากเล่ห์เหลี่ยมของซาตานและอิทธิพลของโลกนี้ (2 โครินธ์ 2:11) หลายคนในโลกรักความรุนแรง ชอบทำผิดศีลธรรมทางเพศ และทำตามความต้องการผิด ๆ (1 ยอห์น 2:15, 16) นอกจากนั้น พวกเขาไม่สนใจความจริงที่ว่าโลกชั่วนี้ใกล้ถึงจุดจบอยู่แล้ว ถ้าความเชื่อของเราไม่เข้มแข็ง เราก็อาจเริ่มคิดอย่างนั้นก็ได้ อย่าลืมว่าเมื่อพระเยซูเปรียบเทียบสมัยของเรากับสมัยโนอาห์ ท่านไม่ได้พูดถึงความรุนแรงหรือการผิดศีลธรรมทางเพศแต่พูดถึงอันตรายของการสนใจอย่างอื่นจนไม่สนใจรับใช้พระเจ้า (มัทธิว 24:36-39) ขอถามตัวเองว่า ‘การใช้ชีวิตของฉันแสดงให้เห็นไหมว่าฉันรู้จักพระเจ้าจริง ๆ? ความเชื่อกระตุ้นฉันให้ทำสิ่งที่ถูกต้องตามมาตรฐานของพระเจ้าและประกาศกับคนอื่น ๆ ด้วยไหม?’ คำตอบของคุณจะช่วยให้รู้ว่าคุณ “ใช้ชีวิตอย่างที่พระเจ้าเที่ยงแท้พอใจ” เหมือนโนอาห์หรือเปล่า—ปฐมกาล 6:9 ห18.02 น. 9-10 ว. 8-10
วันเสาร์ที่ 6 เมษายน
ขอให้คุณอยู่ห่าง ๆ คนพวกนั้นไว้—2 ทธ. 3:5
เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ติดต่อเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย เราอาจต้องทำงานกับพวกเขา เจอพวกเขาที่โรงเรียน หรืออยู่บ้านเดียวกับพวกเขาด้วยซ้ำ แต่เราไม่จำเป็นต้องคิดและทำเหมือนกับพวกเขา อะไรจะช่วยเราได้? เราต้องพยายามสนิทกับพระยะโฮวาให้มากขึ้นโดยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและเป็นเพื่อนสนิทกับคนที่รักพระองค์ ในขณะเดียวกัน เราต้องพยายามช่วยคนอื่นให้มารู้จักพระยะโฮวาด้วย คุณควรพยายามหาโอกาสประกาศ และขอพระองค์ให้ช่วยคุณพูดอย่างที่ควรพูดและพูดในเวลาที่เหมาะสม เราควรให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นพยานพระยะโฮวา ถ้าเราทำอย่างนั้นความประพฤติที่ดีของเราจะทำให้พระองค์ได้รับเกียรติไม่ใช่ตัวเรา พระองค์สอนให้เรา “ปฏิเสธการทำชั่วและความต้องการแบบโลก และสอนเราให้ใช้ชีวิตในยุคนี้อย่างมีเหตุผล ทำสิ่งที่ถูกต้อง และมีความเลื่อมใสพระเจ้า” (ทิตัส 2:11-14) ถ้าเราเลียนแบบพระยะโฮวาและทำสิ่งที่พระองค์อยากให้เราทำ คนอื่นก็จะสังเกตเห็น บางคนอาจถึงกับบอกว่า “พวกเราอยากไปกับคุณ เพราะพวกเราได้ยินว่าพระเจ้าอยู่กับพวกคุณ”—เศคาริยาห์ 8:23 ห18.01 น. 31 ว. 17-18
วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน
คนจะเห็นแก่ตัว—2 ทธ. 3:2
นี่หมายความว่าการรักตัวเองเป็นเรื่องผิดไหม? ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องปกติที่จะรักตัวเองและมันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นด้วย พระยะโฮวาสร้างเราให้เป็นแบบนั้น พระเยซูบอกว่า “ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง” (มาระโก 12:31) นี่หมายความว่า เรารักคนอื่นไม่ได้ถ้าเราไม่รักตัวเอง คัมภีร์ไบเบิลยังบอกด้วยว่า “สามีก็เหมือนกัน ควรรักภรรยาเหมือนรักร่างกายตัวเอง ผู้ชายที่รักภรรยาก็รักตัวเอง ไม่มีผู้ชายคนไหนเกลียดร่างกายตัวเอง มีแต่จะดูแลและทะนุถนอม” (เอเฟซัส 5:28, 29) ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าเราต้องรักตัวเองในแบบที่เหมาะสม การรักตัวเองที่พูดถึงใน 2 ทิโมธี 3:2 เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว คนที่เป็นแบบนั้นจะคิดถึงตัวเองมากเกินไป (โรม 12:3) เขาสนใจตัวเองมากกว่าใครในโลก และพอมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น เขาก็จะโทษคนอื่นแทนที่จะโทษตัวเอง คนที่รักตัวเองมากเกินไปแบบนี้ไม่ได้มีความสุขจริง ๆ ห18.01 น. 23 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 8 เมษายน
ให้แสดงความขอบคุณ—คส. 3:15
ตอนที่เราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเรากำลังฟังพระยะโฮวาพูด และตอนที่เราอธิษฐานเราก็กำลังพูดกับพระองค์ อย่าคิดว่าการอธิษฐานเป็นแค่กิจวัตรที่ต้องทำแบบพอเป็นพิธีหรือเป็นเหมือน ‘คาถาขอพร’ ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ การอธิษฐานเป็นการพูดคุยกับพระยะโฮวาจริง ๆ คิดดูสิ พระเจ้าผู้สร้างคุณอยากฟังคุณพูด! (ฟีลิปปี 4:6) ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะกังวลเรื่องอะไร คัมภีร์ไบเบิลบอกให้คุณ “มอบภาระของคุณไว้กับพระยะโฮวา” (สดุดี 55:22) พี่น้องหลายล้านคนทั่วโลกสามารถยืนยันกับคุณได้ว่าการทำแบบนี้ช่วยพวกเขาจริง ๆ และมันก็จะช่วยคุณด้วย ถึงอย่างนั้น เราไม่ควรอธิษฐานเฉพาะตอนที่เราอยากให้พระยะโฮวาช่วย บางครั้ง เราอาจกังวลมากกับปัญหาของเราจนไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องดี ๆ มากมายในชีวิตเรา ถ้าเป็นอย่างนั้นขอลองทำแบบนี้ ทุกวันลองคิดถึงเรื่องดี ๆ อย่างน้อย 3 เรื่องที่คุณอยากขอบคุณพระยะโฮวา แล้วก็อธิษฐานขอบคุณพระองค์ ห17.12 น. 25-26 ว. 10-11
วันอังคารที่ 9 เมษายน
คุณรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยังเป็นทารก ซึ่งให้สติปัญญาที่จะทำให้คุณรอดได้—2 ทธ. 3:15
แต่ละปีมีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นแสนคนอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาและรับบัพติศมา ในจำนวนนั้นมีวัยรุ่นหลายคนที่โตมาในครอบครัวพยานฯ และได้เลือกแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด (สดุดี 1:1-3) ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณคงรอคอยที่จะเห็นลูกของคุณรับบัพติศมา (เทียบกับ 3 ยอห์น 4) ถ้าคุณมีลูก คุณคงต้องอยากให้ลูกรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตอนนี้ก็คือพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูกับภาคภาษากรีก แม้แต่เด็กที่ยังเล็กมากก็สามารถเรียนเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลได้ องค์การของพระยะโฮวามีหนังสือต่าง ๆ มากมายรวมทั้งวีดีโอที่ช่วยให้พ่อแม่สามารถสอนลูก ในภาษาของคุณมีอะไรบ้างที่คุณจะใช้ได้? จำไว้ว่าลูกของคุณต้องมีความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา ห17.12 น. 18 ว. 1 และ น. 19 ว. 4
วันพุธที่ 10 เมษายน
สามีเป็นผู้นำของภรรยา—อฟ. 5:23
บางทีคุณอาจเป็นพี่น้องหญิงที่มีสามีไม่เป็นพยานฯ คุณจะทำอย่างไรถ้ารู้สึกว่าสามีไม่ได้ปฏิบัติกับคุณอย่างที่เขาควรทำ? คุณอาจโกรธเขา ทะเลาะกับเขา และเถียงเขา แต่การทำอย่างนี้จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นไหม? ถึงคุณจะเถียงชนะ คุณคิดว่าคุณจะช่วยเขาให้อยากเข้ามาเป็นพยานฯ ไหม? คงไม่แน่ ๆ แต่ถ้าคุณนับถือบทบาทของสามีที่เป็นหัวหน้าครอบครัว คุณก็จะช่วยครอบครัวให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขและทำให้พระยะโฮวาได้รับการยกย่องสรรเสริญ ตัวอย่างที่ดีของคุณอาจถึงกับทำให้สามีอยากเข้ามาเป็นพยานฯ และในที่สุด ทั้งคุณกับเขาก็จะได้รางวัล (1 เปโตร 3:1, 2) บางทีคุณอาจเป็นพี่น้องชายที่มีภรรยาไม่เป็นพยานฯ คุณจะทำอย่างไรถ้ารู้สึกว่าภรรยาไม่นับถือคุณ? ถ้าคุณพยายามแสดงว่าใครใหญ่โดยการตะคอกใส่ภรรยา เธอจะนับถือคุณไหม? คงไม่แน่ ๆ พระเจ้าคาดหมายให้คุณเป็นสามีที่แสดงความรักและเลียนแบบพระเยซู พระเยซูผู้นำของประชาคมคริสเตียนแสดงความรักและความอดทนเสมอ (ลูกา 9:46-48) ถ้าคุณเลียนแบบพระเยซู ภรรยาของคุณก็อาจอยากเข้ามาเป็นพยานฯ ด้วยเหมือนกัน ห17.11 น. 28-29 ว. 13-14
วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน
ผู้ที่สร้างทุกสิ่งก็คือพระเจ้า—ฮบ. 3:4
คนทั่วไปในโลกไม่สนใจหลักการต่าง ๆ ของพระยะโฮวา และถ้าเราไม่ระวัง ความคิดแบบนั้นอาจมีผลทำให้ความเชื่อของเราค่อย ๆ ลดลงและเราอาจเริ่มไม่เชื่อว่าการทำตามหลักการของพระเจ้าดีที่สุด เราเห็นแนวคิดแบบคนทั่วไปในโลกจากทีวี อินเทอร์เน็ต และคนในที่ทำงานหรือที่โรงเรียน ดังนั้น เราควรทำอะไรเพื่อจะหลีกเลี่ยงอิทธิพลที่ไม่ดีเหล่านี้? ความคิดแบบนี้มีอยู่ทั่วไปในหลายประเทศทั่วโลก คนที่คิดและพูดแบบนี้อาจไม่ได้คิดอย่างจริงจังว่าพระเจ้ามีจริงไหม แต่พวกเขาแค่ชอบที่จะมีอิสระทำอะไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ (สดุดี 10:4) ส่วนคนอื่น ๆ ก็พูดว่า “ถึงฉันจะไม่เชื่อพระเจ้า แต่ฉันก็มีหลักในการใช้ชีวิต” พวกเขาอาจคิดว่าการพูดแบบนี้มันดูฉลาดดี มีเหตุผลไหมที่จะเชื่อว่าไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง? บางคนอาจสับสนเมื่อเขาหาคำตอบโดยอาศัยวิทยาศาสตร์ แต่เราสามารถคิดถึงความจริงง่าย ๆ ลองคิดดูสิ บ้านจะเกิดขึ้นมาเองโดยไม่มีใครสร้างได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้! บ้านต้องมีคนสร้าง ห17.11 น. 20-21 ว. 2-4
วันศุกร์ที่ 12 เมษายน
พระองค์สั่งให้เขียนหนังสือที่บันทึกชื่อคนที่พระองค์จดจำ คือคนที่เกรงกลัวพระยะโฮวาและระลึกถึงชื่อของพระองค์—มลค. 3:16
ทำไมการเข้าร่วมประชุมอนุสรณ์ถึงสำคัญมากสำหรับเรา? เหตุผลหนึ่งคือ การเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ เป็นวิธีหนึ่งที่เรานมัสการพระยะโฮวา เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาและพระเยซูสังเกตเห็นคนที่พยายามสุดความสามารถที่จะเข้าร่วมการประชุมที่สำคัญที่สุดนี้ของปี เราอยากให้พระยะโฮวาและพระเยซูเห็นว่าเราจะอยู่ที่การประชุมอนุสรณ์แน่นอน เว้นแต่จะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไปประชุมอนุสรณ์ เมื่อเราพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าการประชุมต่าง ๆ สำคัญกับเราขนาดไหน เราก็ทำให้พระยะโฮวามีเหตุผลเพิ่มขึ้นที่จะเก็บชื่อของเราไว้ใน “หนังสือที่บันทึกชื่อคนที่พระองค์จดจำ” หนังสือเล่มนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า “หนังสือรายชื่อคนที่จะได้ชีวิต” หนังสือนี้มีชื่อของทุกคนที่พระยะโฮวาอยากจะให้พวกเขาได้ชีวิตตลอดไป (วิวรณ์ 20:15) ในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนการประชุมอนุสรณ์ เราน่าจะใช้เวลามากขึ้นในการอธิษฐานและคิดใคร่ครวญว่าเราสนิทกับพระยะโฮวามากแค่ไหน—2 โครินธ์ 13:5 ห18.01 น. 13 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 13 เมษายน
เขาจะหนีไปที่เมืองไหนก็ได้ในเมืองต่าง ๆ นั้น—ยชว. 20:4
ทันทีที่คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาเข้าไปในเมืองลี้ภัย เขาก็จะปลอดภัย พระยะโฮวาบอกว่า “เมืองพวกนั้นจะเป็นเมืองที่พวกเจ้าใช้ลี้ภัย” (โยชูวา 20:2, 3) พระองค์ไม่ได้สั่งว่าคนที่ถูกตัดสินคดีไปแล้วจะต้องถูกตัดสินคดีเดิมซ้ำอีก และคนที่มีสิทธิ์แก้แค้นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองนั้นเพื่อจะฆ่าเขา เมื่อคนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาอยู่ในเมืองลี้ภัย เขาอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพระยะโฮวา ชีวิตของเขาไม่ได้เหมือนกับอยู่ในคุก เขายังทำงาน ช่วยคนอื่น และรับใช้พระยะโฮวาอย่างปลอดภัยและไม่ต้องกังวลอะไร เขามีชีวิตที่มีความสุขได้จริง ๆ ผู้รับใช้พระเจ้าบางคนที่ทำบาปร้ายแรงยังคงรู้สึกผิดอยู่แม้ว่าเขาได้กลับใจแล้ว บางคนถึงกับรู้สึกว่าพระยะโฮวาไม่มีทางลืมความผิดของเขา ถ้าคุณรู้สึกแบบนี้ ขอให้มั่นใจว่าเมื่อพระองค์ให้อภัยคุณ พระองค์ก็ให้อภัยคุณจริง ๆ และไม่จดจำความผิดนั้นอีกเลย คุณไม่ต้องรู้สึกผิดไปตลอด ห17.11 น. 9 ว. 6 และ น. 11 ว. 13-14
วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน
เมื่อพี่น้อง . . . เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ก็เป็นเรื่องดีและน่าชื่นชมจริง ๆ—สด. 133:1
วิธีที่เราจะช่วยให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันคืออะไร? คือการคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดว่าขนมปังกับเหล้าองุ่นหมายถึงอะไรจริง ๆ เราน่าจะคิดใคร่ครวญเรื่องนี้ก่อนการประชุมอนุสรณ์ และยิ่งในคืนนั้นเราควรจะคิดเรื่องนี้เป็นพิเศษ (1 โครินธ์ 11:23-25) ขนมปังไม่ใส่เชื้อหมายถึงร่างกายที่สมบูรณ์แบบของพระเยซูที่ท่านสละเป็นเครื่องบูชา เหล้าองุ่นแดงหมายถึงเลือดของท่าน เราต้องจำไว้ว่าเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูเกี่ยวข้องกับการกระทำด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 2 อย่าง นั่นคือ พระยะโฮวาให้ลูกชายมาตายเพื่อเรา และพระเยซูเต็มใจสละชีวิตของท่านเพื่อเรา เมื่อเราคิดใคร่ครวญว่าพระยะโฮวาและพระเยซูรักเราขนาดไหน นั่นจะทำให้เรารักพระองค์ทั้งสอง และความรักของเราที่มีต่อพระยะโฮวาจะทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ห18.01 น. 15 ว. 11
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก: 9 นิสาน) มัทธิว 26:6-13
วันจันทร์ที่ 15 เมษายน
พระเจ้าแสดงความรักต่อเราอย่างชัดเจนเมื่อพระองค์ให้ลูกคนเดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อท่านจะเปิดโอกาสให้เราได้ชีวิต—1 ยน. 4:9
พระยะโฮวารักมนุษย์มาก ที่จริง พระองค์เห็นว่าพวกเรามีค่ามากถึงขนาดที่ส่งพระเยซูลูกชายของพระองค์มาตายเพื่อเราจะมีโอกาสได้ชีวิตตลอดไป (ยน. 3:16) ถ้าพระยะโฮวาไม่ทำตามที่พระองค์สัญญาไว้เกี่ยวกับอนาคต ซาตานและพวกที่ต่อต้านพระองค์ก็จะเป็นฝ่ายถูก ซาตานกล่าวหาว่าพระยะโฮวาโกหกและไม่ให้มนุษย์ได้รับสิ่งดี ๆ และยังกล่าวหาด้วยว่าพระองค์ปกครองแบบไม่ยุติธรรม ส่วนพวกผู้ต่อต้านก็เยาะเย้ยคำสัญญาของพระองค์โดยบอกว่า “ไหนล่ะ การประทับของท่านที่สัญญาไว้? ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายของเรา ทุกอย่างก็ยังเหมือนกับตอนเริ่มต้นที่พระเจ้าสร้างโลก” (2 ปต. 3:3, 4) แต่พระยะโฮวาจะทำตามที่สัญญาแน่นอน พระองค์จะทำให้แน่ใจว่าเมื่อสิทธิการปกครองของพระองค์ได้รับการพิสูจน์ นั่นจะหมายถึงความรอดของมนุษย์ที่เชื่อฟังด้วย (อสย. 55:10, 11) การปกครองของพระยะโฮวามีความรักเป็นพื้นฐาน ดังนั้น เรามั่นใจได้ว่าพระองค์จะรักและเห็นค่าผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์เสมอ—อพย. 34:6 ห17.06 น. 23 ว. 7
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 9 นิสาน) มัทธิว 21:1-11, 14-17
วันอังคารที่ 16 เมษายน
[พระเจ้า] รักเราและให้ลูกของพระองค์มาเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเราเพื่อให้เราคืนดีกับพระองค์—1 ยน. 4:10
ตั้งแต่ตอนที่พระยะโฮวาสัญญาเรื่องค่าไถ่ในปฐมกาล 3:15 มันก็เหมือนกับว่าได้มีการสละชีวิตเป็นค่าไถ่ไปแล้ว และหลังจากนั้น 4,000 ปี พระยะโฮวาก็ให้ชีวิตลูกคนเดียวของพระองค์กับมนุษย์ (ยอห์น 3:16) พวกเรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่พระยะโฮวารักเรามากขนาดนี้ เราจะแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวได้ไหมทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ? ได้สิ พระยะโฮวาสร้างเราตามแบบพระองค์ นั่นแปลว่าเราสามารถเลียนแบบพระองค์ได้ เราเห็นเรื่องนี้ได้จากตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์หลายคน เช่น อาเบลแสดงว่าเขารักพระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัวโดยถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่เขามีให้พระองค์ (ปฐมกาล 4:3, 4) โนอาห์แสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวโดยการประกาศข่าวสารของพระเจ้าเป็นเวลาหลายปีทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครฟัง (2 เปโตร 2:5) ส่วนอับราฮัมก็แสดงว่าเขารักพระเจ้ามากกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเต็มใจเสียสละแม้กระทั่งอิสอัคลูกชายของเขา (ยากอบ 2:21) เช่นเดียวกับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ เราก็อยากแสดงความรักแบบนี้ถึงแม้มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายก็ตาม ห17.10 น. 8 ว. 3-4
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 10 นิสาน) มัทธิว 21:18, 19; 21:12, 13; ยอห์น 12:20-50
วันพุธที่ 17 เมษายน
มหาปุโรหิตของเราเห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของเรา เพราะท่านเคยผ่านการทดสอบทุกอย่างมาแล้วเหมือนเรา แต่ก็ไม่ได้ทำบาป—ฮบ. 4:15
ในปัจจุบัน พระเยซูมหาปุโรหิตของเราก็ช่วยให้เรามีเหตุผลที่จะมั่นใจว่า “เราจะได้รับความเมตตาและความกรุณานั้นจากพระองค์เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ” (ฮีบรู 4:16) ดังนั้น เราต้องเชื่อในค่าไถ่ของพระเยซู แต่คุณต้องคิดว่าค่าไถ่นั้นเป็นประโยชน์กับตัวคุณเอง (กาลาเทีย 2:20, 21) ขอให้เชื่อว่าเพราะค่าไถ่ พระยะโฮวาจึงให้อภัยบาปคุณ และขอให้เชื่อว่าเพราะค่าไถ่ คุณจะมีความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไป ค่าไถ่ของพระเยซูเป็นของขวัญที่พระยะโฮวาให้คุณ และหลังจากที่พระยะโฮวาให้อภัยบาปเราแล้ว เราก็ไม่ต้องกลัวว่าพระองค์จะรื้อฟื้นเรื่องนั้นขึ้นมาหรือเอาเรื่องนั้นมาลงโทษเราอีก (สดุดี 103:8-12) เรามั่นใจได้เต็มร้อยว่าพระยะโฮวาให้อภัยเรา ห17.11 น. 11-12 ว. 14-17
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 11 นิสาน) มัทธิว 21:33-41; 22:15-22; 23:1-12; 24:1-3
วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน
ผม . . . ขอเพื่อคนที่เชื่อผมเพราะได้ฟังพวกเขาด้วย พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับผม และผมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราด้วย เพื่อโลกจะเชื่อว่าพระองค์ใช้ผมมา—ยน. 17:20, 21
ในคืนที่มีอาหารมื้อเย็นของพระคริสต์ครั้งแรก พระเยซูได้อธิษฐานถึงพระยะโฮวาพ่อของท่านซึ่งเป็นคำอธิษฐานที่พิเศษมาก ท่านพูดว่าท่านกับพ่อของท่านเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษจริง ๆ และท่านยังอธิษฐานขอให้พวกสาวกทั้งหมดของท่านเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย พระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานนี้ของลูกชายที่รักของพระองค์แน่นอน การประชุมอนุสรณ์แสดงว่าพยานพระยะโฮวาเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าการประชุมอื่น ในบางประเทศ คนทั่วไปถือว่าเป็นเรื่องแปลกมากหรือถึงกับเป็นเรื่องไม่เหมาะสมด้วยซ้ำที่ผู้คนต่างเชื้อชาติจะมาประชุมทางศาสนาด้วยกัน แต่พระยะโฮวากับพระเยซูไม่รู้สึกแบบนั้นแต่กลับมองว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก ในฐานะคนของพระยะโฮวา เราไม่แปลกใจที่เราเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนี้ พระยะโฮวาบอกล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น—อสค. 37:15-17; ศคย. 8:23 ห18.01 น. 14 ว. 7-9
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 12 นิสาน) มัทธิว 26:1-5, 14-16; ลูกา 22:1-6
วันประชุมอนุสรณ์
หลังดวงอาทิตย์ตก
วันศุกร์ที่ 19 เมษายน
หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งไปแล้ว กลายมาเป็นหินหัวมุมหลัก—สด. 118:22
“ช่างก่อสร้าง” ที่ “ทิ้ง” เมสสิยาห์คือพวกผู้นำชาวยิว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สนใจหรือไม่ยอมรับพระเยซูในฐานะพระคริสต์เท่านั้น ชาวยิวหลายคน “ทิ้ง” ท่านโดยเรียกร้องให้ปีลาตฆ่าท่าน (ลูกา 23:18-23) พวกเขาต้องรับผิดชอบการตายของพระเยซู ถ้าพระเยซูถูก “ทิ้ง” และถูกฆ่า ท่านจะมาเป็น “หินหัวมุมหลัก” ได้อย่างไร? สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อท่านถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายเท่านั้น เปโตรบอกพวกเขาว่า ‘พระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธที่พวกคุณได้ประหารท่านบนเสาแต่พระเจ้าได้ปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว’ (กิจการ 3:15; 4:5-11; 1 เปโตร 2:5-7) ทันทีที่พระเยซูได้ฟื้นขึ้นจากตาย ท่านจะเป็นผู้เดียวที่ชื่อของท่านจะ “ช่วยพวกเราให้รอดได้”—กิจการ 4:12; เอเฟซัส 1:20 ห17.12 น. 9-10 ว. 6-9
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 13 นิสาน) มัทธิว 26:17-19; ลูกา 22:7-13 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก: 14 นิสาน) มัทธิว 26:20-56
วันเสาร์ที่ 20 เมษายน
พวกคุณก็ประกาศการตายของผู้เป็นนายจนกว่าท่านจะมา—1 คร. 11:26
เมื่อพูดถึงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามา พระเยซูบอกว่า “พวกเขาจะเห็น ‘ลูกมนุษย์’ มาบนเมฆในท้องฟ้าด้วยอำนาจและรัศมีแรงกล้า และท่านจะส่งพวกทูตสวรรค์ของท่านออกไปพร้อมกับเสียงแตรดังสนั่น และทูตสวรรค์จะรวบรวมคนที่พระเจ้าเลือกไว้จากทั้งสี่ทิศ” (มัทธิว 24:29-31) พระเยซูจะ “รวบรวมคนที่พระเจ้าเลือก” ตอนที่ท่านพาคริสเตียนผู้ถูกเจิมทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่บนโลกไปสวรรค์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นหลังจากความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เริ่มต้น แต่จะเกิดก่อนสงครามอาร์มาเกดโดน ในสงครามนี้พระเยซูกับผู้ถูกเจิม 144,000 คนจะต่อสู้กับกษัตริย์ทั้งหลายบนโลกและจะชนะ (วิวรณ์ 17:12-14) เราจะประชุมอนุสรณ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่พระเยซู “มา” รวบรวมผู้ถูกเจิม ห18.01 น. 16 ว. 15
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 14 นิสาน) มัทธิว 27:1, 2, 27-37
วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน
พระเจ้าปลุกพระเยซูคนนี้ให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว—กจ. 2:32
พระเยซูอยู่ในสวรรค์และ “มีชีวิตอยู่ตลอดไป” (วิวรณ์ 1:5, 18; โรม 6:9; โคโลสี 1:18; 1 เปโตร 3:18) ท่านได้สัญญากับอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ว่าพวกเขาจะได้ร่วมปกครองกับท่านในสวรรค์ (ลูกา 22:28-30) เปาโลเขียนว่า “พระคริสต์ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว และเป็นคนแรกที่ถูกปลุกให้ฟื้นจากตาย” แล้วเปาโลก็บอกว่าจะมีคนอื่นอีกที่จะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายไปสวรรค์ เขาบอกว่า “แต่จะเป็นไปตามลำดับ คือ พระคริสต์เป็นคนแรก จากนั้นก็เป็นคนของพระคริสต์ที่จะมีชีวิตอีกในช่วงการประทับของท่าน” (1 โครินธ์ 15:20, 23) “การประทับ” ของพระคริสต์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 1914 ตอนนี้เรากำลังมีชีวิตอยู่ในช่วง “การประทับ” ของท่าน และใกล้ถึงเวลาที่โลกชั่วนี้จะจบลงแล้ว ห17.12 น. 10 ว. 11 และ น. 11 ว. 14-16
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 15 นิสาน) มัทธิว 27:62-66 (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก: 16 นิสาน) มัทธิว 28:2-4
วันจันทร์ที่ 22 เมษายน
เราเองเป็นผู้ปลอบโยนเจ้า—อสย. 51:12
พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักเราเคยเจอความสูญเสียด้วยเหมือนกัน พระองค์สูญเสียผู้รับใช้หลายคน เช่น อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ โมเสส และกษัตริย์ดาวิด (กดว. 12:6-8; มธ. 22:31, 32; กจ. 13:22) คัมภีร์ไบเบิลทำให้เรามั่นใจว่าพระยะโฮวารอคอยที่จะปลุกคนที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นขึ้นมาจากความตาย (โยบ 14:14, 15) ในตอนนั้น พวกเขาจะมีความสุขและมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนั้น พระยะโฮวาเคยสูญเสียลูกชายคนโตของพระองค์ด้วย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระองค์รักพระเยซูมาก (สภษ. 8:22, 30) เราคงนึกภาพไม่ออกว่าพระยะโฮวาเสียใจขนาดไหนตอนที่พระองค์มองลูกชายตายอย่างเจ็บปวด (ยน. 5:20; 10:17) เรามั่นใจได้เลยว่าพระยะโฮวาจะช่วยเรา ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกเจ็บปวดและเศร้าโศกเสียใจ เราไม่ต้องกลัวและไม่ต้องอายที่จะอธิษฐานระบายความรู้สึกกับพระองค์ เราได้กำลังใจมากที่รู้ว่าพระยะโฮวาเข้าใจความรู้สึกของเรา และพระองค์จะให้กำลังใจเราในแบบที่เราต้องการจริง ๆ—2 คร. 1:3, 4 ห17.07 น. 13 ว. 3-5
การอ่านพระคัมภีร์ช่วงการประชุมอนุสรณ์: (เหตุการณ์ตอนกลางวัน: 16 นิสาน) มัทธิว 28:1, 5-15
วันอังคารที่ 23 เมษายน
พระเจ้าไม่ทำสิ่งที่ชั่ว พระองค์จึงไม่มีวันลืมงานที่พวกคุณทำและความรักที่พวกคุณมีต่อชื่อของพระองค์—ฮบ. 6:10
ในทุกวันนี้ หลายล้านคนมีความสุขที่ได้ให้ “ของมีค่า” กับพระองค์ไม่ว่าจะเป็นเวลา กำลัง หรือทรัพย์สินเงินทอง โดยวิธีนี้ พวกเขากำลังสนับสนุนวิหารโดยนัยที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวาหรือการนมัสการที่บริสุทธิ์ของพระองค์ (สภษ. 3:9) พระยะโฮวาจะไม่มีวันลืมงานที่เราทำและความรักที่เรามีต่อพระองค์ ในสมัยสุดท้ายนี้ ประชาชนของพระยะโฮวาได้รับพรจากพระองค์และการชี้นำจากพระเยซู พวกเขาจึงสามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ พวกเรามีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์การที่ทั้งมั่นคงปลอดภัยและจะคงอยู่ตลอดไป ดังนั้น ขอให้คุณเห็นค่าที่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่เป็นประชาชนของพระเจ้า และขอให้ “ฟังเสียงของพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณ” (ศคย. 6:15) ถ้าคุณทำอย่างนี้ คุณจะได้รับการปกป้องคุ้มครองจากผู้ที่เป็นทั้งกษัตริย์และมหาปุโรหิต ขอคุณทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อสนับสนุนการนมัสการแท้ พระยะโฮวาจะปกป้องคุณในช่วงสุดท้ายที่เหลืออยู่นี้ และพระองค์จะคุ้มครองคุณตลอดไป ห17.10 น. 30 ว. 18-19
วันพุธที่ 24 เมษายน
ให้ใช้ทรัพย์ที่คุณมีในโลกนี้เพื่อผูกมิตรกับคนอื่นไว้ เพราะเมื่อทรัพย์นั้นหมด จะได้มีคนรับคุณไปอยู่ในที่อยู่ถาวร—ลก. 16:9
ในอนาคตสิ่งต่าง ๆ จะเลวร้ายลงกว่านี้อีก ระบบการเมือง ศาสนา และการค้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโลกซาตานจะจบลง ผู้พยากรณ์เอเสเคียลกับเศฟันยาห์บอกล่วงหน้าว่า เงินกับทองที่ดูเหมือนเป็นส่วนสำคัญของระบบการค้าจะไม่มีค่าอะไรเลย (อสค. 7:19; ศฟย. 1:18) ลองคิดดูว่าถ้าเรากำลังจะตายและเพิ่งมารู้ว่าที่ผ่านมาเราทิ้งทรัพย์แท้เพื่อแลกกับทรัพย์สมบัติที่มีในโลกนี้ เราจะรู้สึกอย่างไร? เราคงรู้สึกเหมือนกับผู้ชายคนหนึ่งที่ทำงานทั้งชีวิตเพื่อจะได้เงินมาก ๆ แต่สุดท้ายก็เพิ่งมารู้ว่าเงินที่ได้มาทั้งหมดเป็นเงินปลอม (สภษ. 18:11) ในอนาคตทรัพย์สมบัติของโลกนี้จะไม่มีค่าอะไร ดังนั้น อย่าพลาดโอกาสที่จะใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นในการผูกมิตรกับผู้ที่อยู่ในสวรรค์ ทุกสิ่งที่เราทำให้พระยะโฮวาและรัฐบาลของพระองค์จะทำให้เรามีความสุขจริง ๆ ห17.07 น. 11 ว. 16
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน
ให้พวกคุณเลียนแบบพระเจ้าอย่างลูกที่รักของพระองค์ และใช้ชีวิตด้วยความรักต่อไปเหมือนที่พระคริสต์รักเรา—อฟ. 5:1, 2
พี่น้องบางคนได้ทำบาปร้ายแรงและพยายามปกปิดไว้ นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาอายหรือไม่อยากทำให้คนอื่นผิดหวัง (สุภาษิต 28:13) แต่การปกปิดความผิดไม่ได้เป็นการแสดงความรักเพราะมันส่งผลเสียกับทั้งคนที่ทำผิดและคนอื่น ๆ เพราะอะไร? พระยะโฮวาอาจไม่อวยพรประชาคมโดยทางพลังบริสุทธิ์และประชาคมก็จะไม่มีความสงบสุข (เอเฟซัส 4:30) ดังนั้น ถ้าคริสเตียนคนไหนทำผิดร้ายแรง ความรักแท้จะกระตุ้นเขาให้บอกเรื่องนั้นกับผู้ดูแลเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็น (ยากอบ 5:14, 15) ในคุณลักษณะที่ดีทั้งหมด ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด (1 โครินธ์ 13:13) ความรักช่วยให้คนอื่นรู้ว่าใครเป็นสาวกแท้ของพระเยซู และใครเลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นแหล่งของความรัก เปาโลบอกว่าถ้าเขาไม่มีความรัก เขาก็ไม่มีค่าอะไรเลย (1 โครินธ์ 13:2) ขอเราทุกคนแสดงความรักต่อ ๆ ไป และไม่ใช่แค่ “รักด้วยลมปากเท่านั้น แต่ให้รักด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ”—1 ยอห์น 3:18 ห17.10 น. 11 ว. 17-18
วันศุกร์ที่ 26 เมษายน
พวกเราต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์—กจ. 5:29
โยเซฟแสดงความกล้าหาญตอนที่ภรรยาโปทิฟาร์มาชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย ถึงโยเซฟจะรู้ว่าเขาอาจต้องตกอยู่ในอันตรายถ้าเขาไม่ยอมทำตามที่เธอต้องการ แต่เขาก็ไม่ยอม เขาแสดงความกล้าหาญและปฏิเสธทันที (ปฐก. 39:10, 12) ราหับก็เป็นอีกตัวอย่างของคนที่กล้าหาญ ตอนที่คนสอดแนมไปที่บ้านของเธอในเมืองเยรีโค เธอแสดงความกล้าหาญโดยซ่อนคนสอดแนม 2 คนและช่วยพวกเขาหนีไปอย่างปลอดภัย (ยชว. 2:4, 5, 9, 12-16) ตอนที่พวกสะดูสีพยายามห้ามไม่ให้พวกเขาประกาศ อัครสาวกที่ซื่อสัตย์ซึ่งได้เห็นความกล้าหาญของพระเยซูและเลียนแบบท่านก็ไม่ยอมทำตามสิ่งที่คนพวกนั้นต้องการ (กจ. 5:17, 18, 27-29) โยเซฟ ราหับ พระเยซู และพวกอัครสาวกตั้งใจทำสิ่งที่ถูกต้อง ที่พวกเขาแสดงความกล้าหาญแบบนั้นไม่ใช่เพราะพวกเขามั่นใจในความสามารถของตัวเอง แต่เป็นเพราะพวกเขาพึ่งพระยะโฮวา ในบางครั้งเราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ต้องมีความกล้าหาญ และเราต้องพึ่งพระเจ้าไม่ใช่ตัวเราเอง—2 ทธ. 1:7 ห17.09 น. 29 ว. 6-9
วันเสาร์ที่ 27 เมษายน
ให้ทิ้งลักษณะนิสัยเก่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำ—คส. 3:9
เป็นไปไม่ได้ที่เราจะทิ้งลักษณะนิสัยเก่าโดยอาศัยกำลังของเราเอง คนที่นิสัยไม่ดีต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งที่ช่วยพวกเขาก็คือพลังของคัมภีร์ไบเบิลและพลังบริสุทธิ์จากพระเจ้า (ลก. 11:13; ฮบ. 4:12) เพื่อเราจะได้ประโยชน์จากพลังนั้น เราต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันและคิดใคร่ครวญ เราต้องอธิษฐานถึงพระยะโฮวาบ่อย ๆ ต้องขอสติปัญญาและกำลังจากพระองค์ให้เราทำตามสิ่งที่เราได้เรียน (ยชว. 1:8; สด. 119:97; 1 ธส. 5:17) การเตรียมประชุมอย่างดีและการเข้าร่วมประชุมจะช่วยให้เราได้รับประโยชน์จากคัมภีร์ไบเบิลและพลังบริสุทธิ์ด้วย (ฮบ. 10:24, 25) นอกจากนั้น เราควรจะรับประโยชน์จากทุกอย่างที่องค์การของพระยะโฮวาให้เรา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือต่าง ๆ สถานีโทรทัศน์ JW แอปเจดับเบิลยูไลบรารี (JW Library) และเว็บไซต์ jw.org (ลก. 12:42) ถึงแม้มีนิสัยและการกระทำที่ไม่ดีหลายอย่างที่คริสเตียนต้องทิ้งและไม่กลับไปทำอีกเพื่อจะทำให้พระยะโฮวาพอใจ แต่เราก็ต้องปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ด้วย—คส. 3:10 ห17.08 น. 21 ว. 16-17
วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน
แต่ผมมั่นใจว่าพระองค์มีความรักที่มั่นคง ผมจะดีใจที่พระองค์ช่วยให้รอด—สด. 13:5
กษัตริย์ดาวิดต้องทนกับความไม่ยุติธรรมหลายอย่าง พระยะโฮวาแต่งตั้งเขาให้เป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลตอนที่เขายังเป็นหนุ่ม แต่เขาต้องรอถึง 15 ปี กว่าจะได้ปกครองแค่คนในตระกูลของเขาเอง (2 ซม. 2:3, 4) ในช่วงเวลานั้น บางครั้งดาวิดต้องหนีและใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะกษัตริย์ซาอูลอยากจะฆ่าเขา นี่ทำให้ดาวิดไม่มีบ้านอยู่ หลายครั้งเขาต้องไปอยู่ต่างแดนหรือตามถ้ำในที่กันดาร ในที่สุด ซาอูลก็ตายในสงคราม แต่ดาวิดก็ยังต้องรออีกประมาณ 7 ปี กว่าที่เขาจะได้เป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอล (2 ซม. 5:4, 5) ทำไมดาวิดเต็มใจอดทนรอ? ดาวิดมั่นใจว่าพระยะโฮวารักเขาและจะรักอย่างมั่นคงเสมอ เขาคิดถึงตอนที่พระองค์เคยช่วยเขา และเขารอคอยให้พระองค์จัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่เขาต้องเจอ (สด. 13:6) ดาวิดรู้ดีว่าคุ้มค่าที่จะรอคอยพรต่าง ๆ จากพระยะโฮวา ห17.08 น. 6-7 ว. 14-15
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน
พระเจ้าไม่ลำเอียง—กจ. 10:34
เมื่อเวลาผ่านไป ภาษาก็เปลี่ยนไป คำและสำนวนต่าง ๆ ที่ใช้ในสมัยก่อนกลับมีความหมายคนละอย่างกับที่ใช้ในปัจจุบัน นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับภาษาต่าง ๆ ที่มีการใช้กันในสมัยโบราณด้วย ภาษาฮีบรูและภาษากรีกที่ผู้คนพูดกันในทุกวันนี้แตกต่างจากภาษาที่ใช้ตอนที่เขียนคัมภีร์ไบเบิล คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่เข้าใจภาษาเหล่านั้นแล้วจึงต้องมีการแปลคัมภีร์ไบเบิล แต่มีบางคนคิดว่าถ้าเขาได้เรียนภาษาฮีบรูและกรีกโบราณ เขาก็จะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น แต่นี่อาจไม่ได้เป็นประโยชน์มากอย่างที่พวกเขาคิด เรารู้สึกขอบคุณมากที่มีการแปลคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มหรือบางส่วนออกไปเกือบ 3,000 ภาษาแล้ว พระยะโฮวาอยากให้ผู้คน “ทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกภาษา” ได้ประโยชน์จากคัมภีร์ไบเบิล (วว. 14:6) การรู้เรื่องนี้ทำให้เราใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น พระองค์เป็นพระเจ้าที่รักเราและไม่ลำเอียง ห17.09 น. 19 ว. 4
วันอังคารที่ 30 เมษายน
คนที่มีความรู้จะไม่พูดมาก และคนที่รู้จักแยกแยะจะสงบปากสงบคำ—สภษ. 17:27
ถ้าคุณมีญาติที่ถูกตัดสัมพันธ์ คุณก็ต้องควบคุมความรู้สึกของคุณเพื่อจะไม่ไปติดต่อกับเขาโดยไม่จำเป็น นี่อาจเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่ช่วยคุณก็คือการจำไว้ว่า คุณกำลังเลียนแบบพระยะโฮวาและทำสิ่งที่พระองค์ต้องการ กษัตริย์ดาวิดเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน ถึงซาอูลกับชิเมอีจะทำอะไรหลายอย่างเพื่อยั่วโมโหดาวิด แต่เขาก็ไม่ได้โกรธหรือใช้อำนาจจัดการพวกเขา (1 ซม. 26:9-11; 2 ซม. 16:5-10) ถึงอย่างนั้น ดาวิดก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ตลอด ในคัมภีร์ไบเบิลพูดถึงบาปที่เขาทำกับบัทเชบาและสิ่งที่เขาทำกับคนที่เห็นแก่ตัวอย่างนาบาล (1 ซม. 25:10-13; 2 ซม. 11:2-4) เราได้บทเรียนที่มีค่าอะไรจากดาวิด? อย่างแรก พี่น้องที่เป็นผู้ดูแลต้องควบคุมตัวเองเพื่อจะไม่ใช้อำนาจอย่างผิด ๆ อย่างที่สอง เราทุกคนไม่ควรมั่นใจในตัวเองมากเกินไปและคิดว่าจะไม่มีวันพ่ายแพ้การล่อใจ—1 คร. 10:12 ห17.09 น. 5-6 ว. 12-13