พฤษภาคม
วันพุธที่ 1 พฤษภาคม
ให้ยึดคำสั่งสอนของพ่อไว้ อย่าปล่อยมันไป รักษาไว้ให้ดี เพราะมันคือชีวิตของลูก—สภษ. 4:13
การถูกสั่งสอนอาจทำให้เจ็บ แต่การไม่ยอมรับการสั่งสอนจากพระเจ้าจะทำให้เจ็บมากกว่า (ฮีบรู 12:11) ให้เรามาดูตัวอย่างที่ไม่ดีของคาอิน ตอนที่พระยะโฮวาเห็นคาอินเกลียดน้องของตัวเองและอยากฆ่าเขา พระองค์เตือนคาอินว่า “ทำไมเจ้าโกรธและหน้าตาบึ้งตึงอย่างนี้? ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจมาทำดี เราจะพอใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยน บาปก็จะซุ่มคอยตะครุบเจ้าอยู่ที่ประตู เจ้าน่าจะเอาชนะมันไม่ใช่หรือ?” (ปฐมกาล 4:6, 7) แต่คาอินไม่ฟังพระยะโฮวา เขาฆ่าน้องชายตัวเอง และเขาต้องรับผลจากสิ่งที่เขาทำตลอดชีวิตที่เหลือ (ปฐมกาล 4:11, 12) ถ้าคาอินยอมรับการสั่งสอนจากพระเจ้า เขาก็ไม่ต้องเจ็บมากขนาดนี้ พระยะโฮวาไม่อยากให้เราต้องเจ็บโดยไม่จำเป็น (อิสยาห์ 48:17, 18) ดังนั้น “ขอให้ฟังคำสั่งสอน จะได้ฉลาดขึ้น”—สุภาษิต 8:33 ห18.03 น. 32 ว. 18-20
วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม
ผมดาเนียลได้ค้นดูในหนังสือ—ดนล. 9:2
ดาเนียลรู้จักพระยะโฮวาได้อย่างไร? พ่อแม่ของดาเนียลคงต้องสอนเขาให้รักพระยะโฮวาและรักคำสอนของพระองค์ ดาเนียลทำอย่างนั้นตลอดชีวิตของเขา แม้แต่ตอนที่เขาอายุมากแล้ว เขาก็ยังศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์อย่างละเอียด ดาเนียลรู้จักพระยะโฮวาอย่างดี และรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งที่พระองค์ทำเพื่อชาวอิสราเอล เราเห็นเรื่องนี้ได้ในคำอธิษฐานจากใจของดาเนียลในดาเนียล 9:3-19 ที่แสดงถึงความถ่อมตัวของเขา ขอคุณอ่านคำอธิษฐานนี้ คิดใคร่ครวญอย่างดี ไม่ง่ายเลยสำหรับชาวยิวที่ซื่อสัตย์จะรับใช้พระยะโฮวาตอนอยู่ในบาบิโลนซึ่งเป็นชาติที่ไม่ได้นับถือพระองค์ ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาสั่งชาวยิวว่า “ให้พวกเจ้าอยู่อย่างสงบสุขในเมืองที่เราให้พวกเจ้าไปเป็นเชลยอยู่นั้น” (เยเรมีย์ 29:7) แต่พระองค์ก็ยังสั่งพวกเขาให้นมัสการพระองค์ผู้เดียวอย่างสุดหัวใจด้วย (อพยพ 34:14) ดาเนียลเชื่อฟังคำสั่งทั้ง 2 อย่างนี้ได้อย่างไร? สติปัญญาจากพระเจ้าช่วยดาเนียลให้รู้ว่าเขาต้องเชื่อฟังพระยะโฮวามากกว่าผู้นำที่เป็นมนุษย์ หลายร้อยปีต่อมา พระเยซูก็สอนหลักการเดียวกันนี้—ลูกา 20:25 ห18.02 น. 10 ว. 11-12
วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม
ทำเครื่องหมายบนหน้าผากคน—อสค. 9:4
คุณกำลังทนกับปัญหาและความยากลำบากเพราะเจ็บป่วย มีปัญหาเรื่องเงิน หรือถูกข่มเหงไหม? บางครั้ง สิ่งที่คุณเจอทำให้คุณรับใช้พระยะโฮวาอย่างไม่มีความสุขไหม? ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้น การเรียนรู้เรื่องราวของโนอาห์ ดาเนียล และโยบจะให้กำลังใจคุณ พวกเขาก็เป็นคนไม่สมบูรณ์แบบซึ่งมีปัญหาและข้อท้าทายเหมือนกับเราในทุกวันนี้ บางครั้งชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในอันตรายด้วยซ้ำ แต่พวกเขายังคงซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา และพระองค์มองว่าพวกเขาเป็นตัวอย่างในเรื่องความเชื่อและการเชื่อฟัง (เอเสเคียล 14:12-14) ในปี 612 ก่อนคริสต์ศักราชตอนที่เอเสเคียลเขียนเอเสเคียล 14:14 เขาอยู่ที่บาบิโลน (เอเสเคียล 1:1; 8:1) ตอนนั้นเป็นเวลา 5 ปีก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลายในปี 607 ก่อน ค.ศ. และมีเพียงไม่กี่คนในกรุงเยรูซาเล็มที่มีความเชื่อและเชื่อฟังเหมือนกับโนอาห์ ดาเนียล และโยบ พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่จะรอดชีวิต (เอเสเคียล 9:1-5) ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน เฉพาะคนทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายตาพระเจ้าเหมือนโนอาห์ ดาเนียล และโยบเท่านั้นจะรอดชีวิตผ่านจุดจบของโลกชั่วนี้—วิวรณ์ 7:9, 14 ห18.02 น. 3-4 ว. 1-3
วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม
ขอให้คิดถึงผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ตอนที่คุณยังเป็นหนุ่มเป็นสาว—ปญจ. 12:1
ถ้าคุณเป็นวัยรุ่น ให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันไปประชุมกับไปประกาศแค่เพราะพ่อแม่อยากให้ทำไหม? หรือฉันพยายามสร้างสายสัมพันธ์กับพระยะโฮวาด้วยตัวเอง?’ ที่จริง ไม่ว่าเราจะอายุน้อยหรืออายุมาก เราทุกคนต้องมีเป้าหมายในงานรับใช้ เป้าหมายนี้จะช่วยเราให้สนิทกับพระเจ้ามากขึ้น (ปัญญาจารย์ 12:13) เมื่อเรารู้แล้วว่าเราควรปรับปรุงจุดไหนบ้างเราก็ต้องเริ่มเปลี่ยน นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะมันจะทำให้เราได้ชีวิตหรือไม่ก็จบลงด้วยความตาย (โรม 8:6-8) แม้พระยะโฮวาไม่ได้คาดหมายให้เราทำได้อย่างสมบูรณ์แบบและพระองค์ก็ให้พลังบริสุทธิ์เพื่อช่วยเรา แต่เราก็ต้องออกความพยายามเองด้วย ถึงบางครั้งเราจะสนุกกับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล แต่เราไม่ควรคิดว่าเราจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลเอาสนุกเหมือนอ่านนิยาย เราต้องพยายามหาความจริงที่มีค่าซึ่งให้ประโยชน์กับเรา ห18.02 น. 25 ว. 10-11
วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม
คุณยังรออะไรอีก? ให้คุณรีบรับบัพติศมา—กจ. 22:16
นี่ไม่ได้หมายความว่าลูกต้องรู้รายละเอียดทุกอย่างของทุกเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลก่อนถึงจะอุทิศตัวและรับบัพติศมาได้ สาวกของพระคริสต์ทุกคนยังต้องเรียนต่อไปหลังจากรับบัพติศมาแล้ว (โคโลสี 1:9, 10) ถ้าอย่างนั้นคนที่อยากจะบัพติศมาต้องมีความรู้พื้นฐานมากแค่ไหนถึงจะรับบัพติศมาได้? ประสบการณ์ของครอบครัวหนึ่งในอดีตช่วยพ่อแม่ในทุกวันนี้ได้ (กิจการ 16:25-33) ในปีคริสต์ศักราช 50 เปาโลเดินทางไปเมืองฟีลิปปีซึ่งเป็นการเดินทางรอบที่ 2 ในงานมิชชันนารีของเขา ตอนอยู่ที่นั่นเขากับสิลาสถูกใส่ร้าย ถูกจับ และถูกขังคุก ตอนกลางคืนเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ซึ่งทำให้ประตูคุกทุกบานเปิดออก ผู้คุมคิดว่านักโทษทุกคนหนีไปหมดแล้วจึงคิดจะฆ่าตัวตาย แต่เปาโลห้ามเขาไว้ เปาโลกับสิลาสสอนความจริงเรื่องพระเยซูให้ผู้คุมกับครอบครัว พวกเขาทั้งครอบครัวเชื่อสิ่งที่ได้เรียนเกี่ยวกับพระเยซูและยอมรับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะเชื่อฟังท่าน พวกเขาจึงรับบัพติศมาทันที ห18.03 น. 10 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม
ประชาชนที่มีพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าก็มีความสุข—สด. 144:15
พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีความสุข และคนที่เป็นประชาชนของพระองค์ก็มีความสุขด้วย ไม่เหมือนกับคนที่รักตัวเองมากเกินไปที่คิดจะเอาแต่ได้ ผู้รับใช้พระยะโฮวามีความสุขเพราะเขาชอบให้คนอื่น (กิจการ 20:35; 2 ทิโมธี 3:2) เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มรักตัวเองมากกว่ารักพระเจ้า? ลองคิดถึงคำแนะนำที่ฉลาดนี้ดูสิ “อย่าทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือถือว่าตัวเองสำคัญ แต่ให้ถ่อมตัวและมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ให้เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นด้วย” (ฟีลิปปี 2:3, 4) ดังนั้น เราอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันทำตามคำแนะนำนี้ไหม? ฉันหาวิธีช่วยคนอื่นในประชาคมหรือที่เขตประกาศไหม?’ หลายครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะสละเวลาและกำลังเพื่อคนอื่น นี่อาจหมายถึงเราต้องพยายามมากและเสียสละบางอย่างที่เราชอบ แต่ขอจำไว้ว่า ไม่มีอะไรทำให้เรามีความสุขได้มากเท่ากับการรู้ว่าพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดในเอกภพพอใจในตัวเรา ห18.01 น. 23 ว. 6-7
วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม
ให้พวกคุณคอยตรวจสอบตัวเองว่ายังใช้ชีวิตตามความเชื่อของคริสเตียนอยู่ไหม—2 คร. 13:5
เราจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? เราต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันเชื่อจริง ๆ ไหมว่านี่เป็นองค์การเดียวที่พระยะโฮวาเลือกให้ทำตามความประสงค์ของพระองค์? ฉันประกาศและสอนข่าวดีเต็มกำลังความสามารถของฉันไหม? สิ่งที่ฉันทำแสดงให้เห็นไหมว่าฉันเชื่อจริง ๆ ว่าตอนนี้เป็นสมัยสุดท้ายและการปกครองของซาตานใกล้จะจบแล้ว? ฉันไว้วางใจพระยะโฮวาและพระเยซูสุดหัวใจเหมือนตอนที่ฉันอุทิศตัวให้กับพระองค์ไหม?’ (มัทธิว 24:14; 2 ทิโมธี 3:1; ฮีบรู 3:14) การคิดถึงคำถามเหล่านี้จะช่วยให้เรา ‘ทดสอบตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเราเป็นคนอย่างไรจริง ๆ’ วิธีหนึ่งที่คุณสามารถเตรียมตัวสำหรับการประชุมอนุสรณ์ได้ คือการอ่านและการคิดใคร่ครวญบทความที่อธิบายว่าทำไมเหตุการณ์นี้ถึงสำคัญมาก (ยอห์น 3:16; 17:3) วิธีเดียวที่เราจะมีชีวิตตลอดไปคือการรู้จักพระยะโฮวาและเชื่อในพระเยซูลูกชายของพระองค์ เพื่อจะเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมอนุสรณ์ เราอาจเลือกเรื่องที่จะศึกษาส่วนตัวซึ่งช่วยให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับพระยะโฮวาและพระเยซูมากขึ้น ห18.01 น. 13 ว. 5-6
วันพุธที่ 8 พฤษภาคม
ไม่มีใครจะมาหาผมได้ นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ใช้ผมมาจะชักนำเขา—ยน. 6:44
ตอนที่คุณอ่านคัมภีร์ไบเบิล อ่านหนังสือต่าง ๆ ขององค์การ และเข้าร่วมการประชุม คุณได้ยินประสบการณ์ของคนอื่นว่าพระยะโฮวาได้ช่วยพวกเขารักษาความซื่อสัตย์อย่างไร แต่เพื่อคุณจะสนิทกับพระองค์มากขึ้น คุณต้องเจอด้วยตัวเองว่าพระองค์ช่วยคุณ คุณได้เจอด้วยตัวเองอย่างไรว่าพระยะโฮวาดีขนาดไหน? มีวิธีพิเศษวิธีหนึ่งที่พี่น้องคริสเตียนทุกคนได้เจอด้วยตัวเองว่าพระยะโฮวาดีขนาดไหน นั่นคือพระองค์เชิญเราเป็นส่วนตัวให้เข้ามารู้จักและสนิทกับพระองค์และลูกของพระองค์ คุณอาจคิดว่า ‘พระยะโฮวาชักนำพ่อแม่ของฉันมาหาพระองค์ ส่วนฉันก็แค่ตามพวกเขาเข้ามา’? ขอจำไว้ว่าเมื่อคุณได้อุทิศตัวให้พระยะโฮวาและรับบัพติศมาแล้ว คุณก็มีความสัมพันธ์กับพระองค์ในแบบที่พิเศษและเป็นความสัมพันธ์ที่มีแค่คุณกับพระองค์เท่านั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ถ้าใครรักพระเจ้า พระองค์ก็รู้จักคนนั้น” (1 โครินธ์ 8:3) ขอให้คุณเห็นค่าที่พระยะโฮวาให้คุณมาอยู่ในองค์การของพระองค์ ห17.12 น. 26 ว. 12-13
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม
พระยะโฮวารักใคร พระองค์ก็สั่งสอนคนนั้น—ฮบ. 12:6
คำว่า “ถูกสั่งสอน” หลายคนอาจคิดถึงการถูกว่า ถูกตำหนิ หรือถูกลงโทษ แต่คำว่า “สั่งสอน” ในคัมภีร์ไบเบิลมีความหมายมากกว่านั้นและมีความหมายในแง่ดีด้วย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าการสั่งสอนเป็นประโยชน์กับเรา และบางครั้งยังพูดถึงคำนี้ว่าเกี่ยวข้องกับความรู้ สติปัญญา ความรัก และชีวิต (สุภาษิต 1:2-7; 4:11-13) การสั่งสอนดีสำหรับเรา เพราะว่าเมื่อพระเจ้าสั่งสอนเราก็แสดงว่าพระองค์รักและอยากให้เรามีชีวิตตลอดไป (ฮีบรู 12:6) ก็จริงที่บางครั้งการสั่งสอนจากพระเจ้าหมายถึงการลงโทษด้วย แต่มันก็ไม่เคยโหดร้ายหรือทำร้ายเรา ที่จริง ความหมายสำคัญที่สุดของคำว่า “สั่งสอน” เกี่ยวข้องกับการสอน เช่น พ่อแม่สอนลูกที่เขารัก พวกเราที่เป็นคริสเตียนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระเจ้า (1 ทิโมธี 3:15) พระยะโฮวาพ่อของเรามีสิทธิ์ที่จะบอกว่าอะไรถูกอะไรผิด และตอนที่เราไม่เชื่อฟัง พระองค์ก็มีสิทธิ์ที่จะสั่งสอนเรา นอกจากนั้น เมื่อเราได้รับผลจากการกระทำที่ไม่ดีของเรา นี่ก็เป็นการสั่งสอนด้วยความรักจากพระยะโฮวาซึ่งเตือนเราว่าสำคัญมากแค่ไหนที่ต้องเชื่อฟังพระองค์—กาลาเทีย 6:7 ห18.03 น. 23 ว. 1 และ น. 24 ว. 3
วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม
คนที่มีความรู้จะไม่พูดมาก และคนที่รู้จักแยกแยะจะสงบปากสงบคำ—สภษ. 17:27
บางทีคุณอาจเป็นวัยรุ่นและรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจคุณหรือเข้มงวดกับคุณมากเกินไป นี่อาจทำให้คุณเซ็งมากจนเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเป็นพยานฯดีรึเปล่า แต่ถ้าคุณเลิกรับใช้พระยะโฮวา คุณก็จะรู้ว่าไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่จะรักคุณได้มากเท่ากับพ่อแม่ที่เป็นพยานฯ และเพื่อนในประชาคม คุณคิดว่าพ่อแม่จะเป็นห่วงคุณจริง ๆ ไหมถ้าพวกเขาไม่เคยว่าไม่เคยสอนคุณเลย? (ฮีบรู 12:8) พ่อแม่ของคุณไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้น วิธีที่พ่อแม่สอนอาจไม่ถูกใจคุณ แต่อย่าไปมองตรงนั้น ให้เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงพูดและทำอย่างนั้น ใจเย็น ๆ ไว้ อย่าเพิ่งหงุดหงิดหรือใช้อารมณ์ขอให้ตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น โดยยอมรับคำแนะนำและเต็มใจเรียนรู้ไม่ว่าคนที่สอนจะใช้วิธีไหนก็ตาม—สุภาษิต 1:8 ห17.11 น. 29 ว. 16-17
วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม
คุณไม่มีความรักแบบที่คุณมีในตอนแรก—วว. 2:4
คุณอาจได้เห็นวัยรุ่นหลายคนที่รับบัพติศมาแล้วแต่หลังจากนั้นกลับเริ่มสงสัยว่าการใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้ามันดีจริง ๆ ไหม บางคนถึงกับทิ้งความจริงไป คุณจึงอาจเป็นห่วงว่าในอนาคตลูกที่กำลังเริ่มรับใช้พระยะโฮวาอาจไม่รักความจริงเหมือนตอนแรก ๆ คุณจะช่วยลูกของคุณให้รักความจริงอยู่เสมอแล้ว “เติบโตและได้รับความรอด” ได้อย่างไร? (1 เปโตร 2:2) คำตอบเรื่องนี้อยู่ในสิ่งที่เปาโลเขียนถึงทิโมธีที่ว่า “ให้ทำตามสิ่งที่ได้เรียนรู้จนมั่นใจแล้วต่อ ๆ ไป คุณก็รู้ว่าคุณเรียนมาจากใคร และคุณรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ [พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู] ตั้งแต่ยังเป็นทารก ซึ่งให้สติปัญญาที่จะทำให้คุณรอดได้โดยความเชื่อในพระคริสต์เยซู” (2 ทิโมธี 3:14, 15) ขอสังเกตว่าเปาโลบอกว่าทิโมธี (1) รู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (2) เรียนรู้จนมั่นใจ และ (3) มีสติปัญญาที่จะทำให้รอดได้โดยความเชื่อในพระคริสต์เยซู ห17.12 น. 18-19 ว. 2-3
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม
ผู้รับใช้ของเราจะโห่ร้องด้วยความยินดีเพราะพวกเขามีใจชื่นบาน แต่พวกเจ้าจะร้องเพราะเจ็บปวดใจ—อสย. 65:14
หลายศาสนามีคำสอนเรื่องนรก เรี่ยไรเงิน หรือสนับสนุนนักการเมือง จึงไม่น่าแปลกใจที่มีคนมากขึ้นเรื่อย ๆ บอกว่าพวกเขาไม่ต้องนับถือศาสนาอะไรก็มีความสุขได้ คนเรามีความสุขได้โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับศาสนาเท็จ แต่ไม่มีใครมีความสุขได้จริง ๆ ถ้าเขาไม่ได้นมัสการพระยะโฮวา “พระเจ้าผู้มีความสุข” และเป็นเพื่อนกับพระองค์ (1 ทิโมธี 1:11) ทุกอย่างที่พระยะโฮวาทำ พระองค์ทำเพื่อช่วยคนอื่น เราที่เป็นผู้รับใช้พระองค์ก็มีความสุขเพราะเราพยายามหาวิธีช่วยคนอื่นด้วย (กิจการ 20:35) ตัวอย่างเช่น ลองคิดดูสิว่าการนมัสการแท้ช่วยให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขอย่างไร เราเรียนว่าเราต้องให้เกียรติและซื่อสัตย์ต่อคู่ของเรา เราต้องสอนลูกให้นับถือคนอื่น และเราต้องรักครอบครัวเราจริง ๆ การนมัสการแท้ช่วยประชาชนของพระยะโฮวาให้แสดงความรักกับพี่น้องและรับใช้ด้วยกันในประชาคมอย่างมีสันติสุข ห17.11 น. 21 ว. 6-7
วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม
ผมนี่น่าสมเพชจริง ๆ—รม. 7:24
ทุกวันนี้ ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาหลายคนรู้สึกท้อและเป็นทุกข์เหมือนเปาโล ทำไม? เพราะแม้เราอยากทำให้พระยะโฮวาพอใจ แต่เราเป็นคนบาปและไม่สมบูรณ์แบบ เราจึงรู้สึกไม่ดีเมื่อไม่ได้ทำให้พระองค์พอใจ คริสเตียนบางคนที่ทำบาปร้ายแรงถึงกับรู้สึกว่าพระยะโฮวาไม่มีวันที่จะให้อภัยเขาจริง ๆ คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่าถ้าเราหวังพึ่งพระยะโฮวาและให้พระองค์เป็นที่ลี้ภัย เราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดมากเกินไป (สดุดี 34:22) หลังจากที่เปาโลพูดว่า เขาเป็นคน “น่าสมเพช” เพราะเขาไม่ได้ทำตามที่พระยะโฮวาบอกทุกอย่าง เขาก็พูดอีกว่า “ขอขอบคุณพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เป็นนายของเรา” (โรม 7:25) เปาโลหมายความว่าอย่างไร? แม้ว่าในอดีตเปาโลได้ทำบาปและเขาก็ยังต้องต่อสู้กับความต้องการผิด ๆ อยู่ แต่เขามั่นใจว่าพระยะโฮวาให้อภัยเขาโดยอาศัยค่าไถ่ของพระเยซูเพราะเขากลับใจแล้ว เราเองก็เหมือนกัน เนื่องจากพระเยซูจ่ายค่าไถ่ไปแล้ว เราจึงไม่ต้องมีความรู้สึกผิดมารบกวนใจ เรารู้สึกสงบใจและสบายใจได้ (ฮีบรู 9:13, 14) ในฐานะมหาปุโรหิตของเรา พระเยซู “ช่วยคนที่เข้าหาพระเจ้าผ่านทางท่านให้รอดได้อย่างสมบูรณ์ เพราะท่านมีชีวิตอยู่และอ้อนวอนแทนพวกเขาได้เสมอ”—ฮีบรู 7:24, 25 ห17.11 น. 8 ว. 1-2 และ น. 12 ว. 15
วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม
ขอให้คุณปฏิญาณไว้กับพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณและทำตามนั้น—สด. 76:11
เราจะแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเราทำตามคำปฏิญาณการอุทิศตัวที่ให้ไว้กับพระยะโฮวา? ที่จริง “ทุกวัน” เราต้องเจอการทดสอบไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ วิธีที่เรารับมือกับการทดสอบจะแสดงให้เห็นว่าเราใกล้ชิดกับพระยะโฮวาขนาดไหน (สดุดี 61:8) ตัวอย่างเช่น คุณจะทำอย่างไรถ้ามีคนที่ทำงานหรือที่โรงเรียนมาจีบคุณ? คุณจะปฏิเสธเขาและแสดงให้เห็นว่าคุณอยากเชื่อฟังพระยะโฮวาไหม? (สุภาษิต 23:26) หรือถ้าคุณเป็นคนเดียวในครอบครัวที่นมัสการพระยะโฮวา คุณอธิษฐานขอพระองค์ช่วยคุณให้ทำตัวสมกับเป็นคริสเตียนตลอดเวลาไหม? ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน คุณขอบคุณพระยะโฮวาทุกวันที่พระองค์รักและชี้นำคุณไหม? คุณจัดเวลาไว้เพื่ออ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันไหม? ที่จริง เราสัญญาว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เราอุทิศตัวให้พระองค์แล้ว ถ้าเราเชื่อฟังและให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพระยะโฮวา เราก็กำลังแสดงให้พระองค์เห็นว่าเราเป็นของพระองค์และรักพระองค์ เราจะไม่นมัสการแบบพอเป็นพิธี แต่การนมัสการพระเจ้าเกี่ยวข้องกับทุกแง่มุมในชีวิตของเรา ห17.10 น. 23 ว. 11-12
วันพุธที่ 15 พฤษภาคม
เป็นเรื่องดีที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของพวกเรา—สด. 147:1
นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเคยบอกไว้ว่า “ถ้อยคำช่วยคุณให้เข้าใจความคิด เสียงดนตรีช่วยคุณให้เข้าใจความรู้สึก แต่เพลงช่วยคุณให้เข้าใจทั้งความคิดและความรู้สึก” เพลงของเราช่วยเราให้สรรเสริญและแสดงความรักต่อพระยะโฮวาผู้เป็นพ่อในสวรรค์ของเรา และยังทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับพระองค์ด้วย ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่การร้องเพลงจึงมีบทบาทสำคัญในการนมัสการบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการร้องคนเดียวหรือร้องกับพี่น้องของเรา แล้วคุณล่ะ? คุณรู้สึกอย่างไรกับการร้องเพลงให้ดังเต็มเสียงที่หอประชุม? คุณรู้สึกอายไหม? ในบางวัฒนธรรม ผู้ชายอาจรู้สึกอึดอัดที่ต้องร้องเพลงต่อหน้าคนอื่น ความคิดแบบนี้อาจส่งผลที่ไม่ดีกับทั้งประชาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผู้ดูแลไม่ค่อยกล้าร้องเพลงหรือมัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำอย่างอื่นในช่วงการร้องเพลง (สดุดี 30:12) การร้องเพลงเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการพระยะโฮวา ดังนั้น เราไม่อยากพลาดส่วนนี้ หรือเดินไปที่อื่นในช่วงที่มีการร้องเพลง ห17.11 น. 3 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม
อย่าคิดว่าผมมาทำให้โลกสงบสุข ผมไม่ได้มาทำให้เกิดความสงบสุข แต่มาทำให้แตกแยก—มธ. 10:34
เราทุกคนอยากมีชีวิตที่สงบสุข ไม่มีความกังวล เราจึงขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่พระองค์ให้เรามี “สันติสุขของพระเจ้า” สันติสุขนี้คือความสงบใจที่ช่วยให้เราไม่มีความคิดหรือความรู้สึกที่ไม่ดี (ฟีลิปปี 4:6, 7) และเนื่องจากเราได้อุทิศตัวให้กับพระยะโฮวา เราจึงมี “สันติสุขกับพระเจ้า” ด้วย ซึ่งก็คือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ (โรม 5:1, เชิงอรรถ) ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำให้โลกทั้งโลกมีแต่สันติสุข เรามีชีวิตอยู่ในสมัยสุดท้ายซึ่งมีปัญหามากมายที่ทำให้วิตกกังวล และโลกนี้ก็มีคนชั่วอยู่เต็มไปหมด (2 ทิโมธี 3:1-4) นอกจากนั้น เรายังต้องต่อสู้กับซาตานและคำสอนผิด ๆ ของมัน (2 โครินธ์ 10:4, 5) แต่สิ่งที่ทำให้เรากังวลและเครียดมากที่สุดอาจเป็นการต่อต้านจากญาติ ๆ ที่ไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา พวกเขาบางคนอาจเยาะเย้ยความเชื่อของเราหรือกล่าวหาว่าเราทำให้ครอบครัวแตกแยก นอกจากนั้น พวกเขาบางคนอาจถึงกับบอกว่าจะตัดญาติกับเราถ้าเราไม่เลิกรับใช้พระยะโฮวา ห17.10 น. 12 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม
ผมรักกฎหมายของพระองค์จริง ๆ ผมใคร่ครวญกฎหมายนั้นตลอดวัน—สด. 119:97
เมื่อภาษามีการเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบด้วย ฉบับแปลที่เคยอ่านง่ายตอนที่ออกมาใหม่ ๆ ก็กลายเป็นฉบับที่อ่านยากในเวลาต่อมา ตัวอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือฉบับแปลคิงเจมส์ ที่พิมพ์ออกมาครั้งแรกในปี 1611 ฉบับนี้เป็นฉบับแปลภาษาอังกฤษที่มีคนนิยมมากที่สุดฉบับหนึ่ง และคำที่ใช้ในฉบับแปลคิงเจมส์ ถึงกับมีอิทธิพลกับภาษาอังกฤษด้วย ตอนที่ฉบับแปลคิงเจมส์ ออกมาเป็นครั้งแรก คำภาษาอังกฤษที่ใช้ในฉบับแปลนั้นฟังดูทันสมัย แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำที่ใช้ในฉบับแปลนั้นกลายเป็นคำที่โบราณและเข้าใจยาก สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับฉบับแปลภาษาอื่นในยุคแรก ๆ ด้วย ดังนั้น เราดีใจมากที่มีคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลโลกใหม่ ซึ่งใช้คำที่ทันสมัย ฉบับแปลนี้มีมากกว่า 150 ภาษาในแบบครบชุดหรือบางส่วน นี่หมายความว่าผู้คนส่วนใหญ่ในโลกสามารถอ่านฉบับแปลนี้ได้ในภาษาของตัวเอง ฉบับแปลนี้ใช้คำที่ทันสมัยและชัดเจนทำให้ข่าวสารที่มาจากพระเจ้าเข้าถึงหัวใจผู้อ่านได้ง่ายขึ้น ห17.09 น. 19 ว. 5-6
วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม
ลูกของเรา ขอให้ฉลาดขึ้นและทำให้เราดีใจ—สภษ. 27:11
เด็กวัยรุ่นต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญหลายเรื่อง พวกเขาต้องกล้าตัดสินใจว่าจะคบใครเป็นเพื่อน จะดูหนังฟังเพลงหรือเล่นเกมแบบไหน จะทำอย่างไรเพื่อจะรักษาความสะอาดทางศีลธรรมอยู่เสมอ และจะรับบัพติศมาเมื่อไร พวกเขาต้องมีความกล้าหาญเมื่อตัดสินใจเรื่องแบบนี้เพราะพวกเขากำลังทำสิ่งที่ซาตานไม่ชอบ ซาตานมันต้องการจะเยาะเย้ยพระเจ้าและมาตรฐานของพระองค์ เด็กวัยรุ่นยังต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเขาจะมีเป้าหมายอะไรในชีวิต ในบางประเทศเด็กวัยรุ่นถูกกดดันให้เรียนสูงเพื่อจะมีงานที่ได้เงินเยอะ ๆ ส่วนในประเทศอื่น ๆ ที่มีสภาพเศรษฐกิจไม่ดี เด็กวัยรุ่นอาจรู้สึกว่าต้องทุ่มเททำงานช่วยเหลือครอบครัว ถ้าเด็กวัยรุ่นแสดงความกล้าหาญโดยตั้งเป้ารับใช้พระยะโฮวาและให้การปกครองของพระองค์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต พระองค์ก็จะอวยพรพวกเขาและจะช่วยพวกเขาให้มีสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว ในศตวรรษแรก ชายหนุ่มทิโมธีให้งานรับใช้พระเจ้ามาเป็นอันดับแรก คุณก็ทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน—ฟป. 2:19-22 ห17.09 น. 29-30 ว. 10-12
วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม
เจ้าต้องพูดถึงข้อกฎหมายนี้เสมอ . . . เพื่อจะทำทุกอย่างตามที่เขียนไว้ในกฎหมายนั้นได้อย่างครบถ้วน แล้วเจ้าจะประสบความสำเร็จในชีวิต และตัดสินใจได้อย่างฉลาดสุขุม—ยชว. 1:8
การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างดีเป็นประจำสามารถช่วยเราควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น คัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราควบคุมตัวเองเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างและถ้าเราไม่ควบคุมตัวเองเราจะได้ผลเสียอะไรบ้าง พระยะโฮวาให้มีตัวอย่างเหล่านี้เพื่อพวกเรา (รม. 15:4) ดังนั้น เป็นเรื่องฉลาดที่คุณจะอ่าน ศึกษา และคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ให้พยายามคิดว่าจะใช้เรื่องที่อ่านกับตัวคุณและครอบครัวได้อย่างไร และอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้ทำตามคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล ถ้าคุณรู้ว่ามีจุดอ่อนและขาดการควบคุมตัวเองในด้านไหน คุณก็ต้องยอมรับ อธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้น และพยายามหาวิธีที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น (ยก. 1:5) นอกจากนั้น ให้พยายามค้นคว้าหาคำแนะนำจากหนังสือและสื่อต่าง ๆ ขององค์การที่จะช่วยคุณได้ ห17.09 น. 6 ว. 15-16
วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม
ปลูกฝัง [สวมใส่ เชิงอรรถ] ลักษณะนิสัยใหม่—คส. 3:10
“ลักษณะนิสัยใหม่” เป็นสิ่งที่ “ถูกสร้างขึ้นตามที่พระเจ้าต้องการ” (อฟ. 4:24) แต่เป็นไปได้จริง ๆ ไหมที่เราจะ “สวมใส่” หรือ “ปลูกฝัง” ลักษณะนิสัยใหม่นี้? ได้สิ พระยะโฮวาสร้างมนุษย์ตามแบบพระองค์ เราจึงสามารถเลียนแบบลักษณะที่ดีต่าง ๆ ของพระเจ้าได้ (ปฐก. 1:26, 27; อฟ. 5:1) เปาโลอธิบายว่าความไม่ลำเอียงเป็นส่วนสำคัญของลักษณะนิสัยใหม่ เขาบอกว่า “ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างคนกรีกกับคนยิว คนเข้าสุหนัตกับคนไม่เข้าสุหนัต คนต่างชาติ คนสิเทีย ทาส หรือคนที่มีอิสระ” ในประชาคม ไม่ควรมีใครรู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเพราะเชื้อชาติ ประเทศบ้านเกิด หรือสถานะทางสังคม เพราะอะไร? เพราะเราทุกคนที่เป็นสาวกของพระเยซู “เป็นหนึ่งเดียวกัน” (คส. 3:11; กท. 3:28) ถ้าเรา “สวมใส่” ลักษณะนิสัยใหม่ เราจะปฏิบัติกับทุกคนด้วยความนับถือและให้เกียรติไม่ว่าเขาจะมีเชื้อชาติหรือภูมิหลังแบบไหน—รม. 2:11 ห17.08 น. 22 ว. 1 และ น. 23 ว. 3-4
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม
พระยะโฮวายังรอ—อสย. 30:18
พระยะโฮวาไม่เคยขอให้เราทำสิ่งที่พระองค์เองไม่เต็มใจทำ พระองค์วางตัวอย่างที่ดีที่สุดเกี่ยวกับการเต็มใจรอ (2 ปต. 3:9) ตัวอย่างเช่น หลายพันปีก่อน ในสวนเอเดนซาตานกล่าวหาว่าพระยะโฮวาไม่ยุติธรรม แต่พระองค์ “รอ” วันที่ชื่อของพระองค์จะได้รับการยกย่องสรรเสริญอย่างเต็มที่ ผลจากการที่พระองค์รอจะทำให้ทุกคนที่ “ตั้งตาคอยพระองค์” ได้รับพรที่ยอดเยี่ยมมากมาย (อสย. 30:18) พระเยซูก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เต็มใจรอ ตอนอยู่บนโลกพระเยซูรักษาความซื่อสัตย์จนตาย และในปี 33 ท่านนำคุณค่าของเครื่องบูชาไถ่ไปให้พระยะโฮวาในสวรรค์ แต่ท่านต้องรอจนถึงปี 1914 ถึงจะเริ่มปกครองเป็นกษัตริย์ (กจ. 2:33-35; ฮบ. 10:12, 13) ไม่ใช่แค่นั้น พระเยซูต้องรอจนถึงสิ้นสมัยพันปีกว่าที่ศัตรูของท่านทั้งหมดจะถูกทำลาย (1 คร. 15:25) แต่พรต่าง ๆ ที่ตามมามันคุ้มค่าที่จะรอ ห17.08 น. 7 ว. 16-17
วันพุธที่ 22 พฤษภาคม
พระเจ้า . . . ให้กำลังใจเราทุกครั้งที่เจอความยากลำบาก—2 คร. 1:3, 4
ซูซีเล่าว่า “ตอนที่ลูกชายของเราตาย เรารู้สึกเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอยู่เป็นปี” พี่น้องอีกคนที่ภรรยาตายอย่างกะทันหันบอกว่าเขารู้สึก “เจ็บไปหมดทั้งตัวจนไม่รู้จะอธิบายยังไง” เรารู้สึกเสียใจที่หลายคนต้องมาเจอกับความเจ็บปวดแบบนี้ ในทุกวันนี้พี่น้องของเราหลายคนที่เสียคนที่รักไปไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ก่อนอาร์มาเกดโดน บางที คนที่คุณรักอาจตายจากไป หรือคนที่คุณรู้จักอาจกำลังเสียใจเพราะเรื่องนี้อยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณคงคิดว่า ‘คนที่กำลังเศร้าโศกเสียใจจะได้รับความช่วยเหลือให้รับมือกับเรื่องที่เจ็บปวดนี้ได้อย่างไร?’ บางคนบอกว่า เวลาจะช่วยเยียวยารักษาทุกสิ่ง แต่มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไหม? แม่ม่ายคนหนึ่งบอกว่า “คำพูดนี้ก็ถูก แต่ถ้าจะพูดให้ถูกกว่าก็คือเราทำอะไรกับเวลา เพราะสิ่งที่เราทำกับเวลาที่กำลังผ่านไปจะช่วยเยียวยารักษาหัวใจเราได้จริง ๆ” ขนาดแผลกายยังต้องใช้เวลาและการดูแลรักษา แผลใจก็ต้องใช้ทั้งเวลาและการดูแลรักษาเพื่อจะเยียวยาให้ดีขึ้น ห17.07 น. 12-13 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม
ชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระยะโฮวาทำ แล้วพระองค์จะให้ตามที่ใจคุณต้องการ—สด. 37:4
พระยะโฮวาอยากให้คุณวางแผนชีวิตแบบไหน? เพื่อคุณจะมีความสุข คุณต้องรู้จักพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์ เพราะพระองค์สร้างมนุษย์มาให้เป็นอย่างนี้ (สด. 128:1; มธ. 5:3) สัตว์ต่าง ๆ ไม่ได้ต้องการอะไรมากกับชีวิต แค่มันได้กินได้มีลูกก็พอแล้ว แต่พระยะโฮวาอยากให้คุณวางแผนอนาคตที่ทำให้คุณมีความสุขและมีชีวิตที่มีความหมาย พระเจ้าผู้สร้างของคุณเป็น “พระเจ้าผู้มีความรัก” และเป็น “พระเจ้าผู้มีความสุข” พระองค์สร้างมนุษย์ “ตามแบบพระองค์” (2 คร. 13:11; 1 ทธ. 1:11; ปฐก. 1:27) ดังนั้น คุณจะมีความสุขถ้าคุณเลียนแบบพระเจ้าแห่งความรัก คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กจ. 20:35) คุณเคยรู้สึกแบบเดียวกับข้อคัมภีร์นี้ไหม? นี่เป็นเรื่องจริง พระยะโฮวาจึงอยากให้คุณวางแผนชีวิตโดยมีแรงกระตุ้นจากความรักที่คุณมีต่อพระเจ้าและต่อคนอื่น ๆ—มธ. 22:36-39 ห17.07 น. 23 ว. 3
วันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม
พระยะโฮวาจะไม่หวงสิ่งดี ๆ ไว้จากคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์—สด. 84:11
พระยะโฮวาให้เกียรติเรา พระองค์ดูแลเราได้ดีกว่าที่เราดูแลตัวเองซะอีก พระยะโฮวารักมนุษย์ทุกคน แต่พระองค์ก็สนใจเราแต่ละคนเป็นส่วนตัวมากจริง ๆ ลองคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตดูสิ เป็นเวลาประมาณ 300 ปีที่พระยะโฮวาใช้พวกผู้วินิจฉัยให้นำหน้าชาวอิสราเอลและช่วยพวกเขาให้ชนะศัตรู ตอนที่พระองค์ดูแลคนทั้งชาติแบบนี้ พระยะโฮวาก็ยังสนใจคนแต่ละคนด้วย ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือเรื่องของผู้หญิงที่ชื่อรูธ รูธไม่ใช่คนอิสราเอล แต่เธอยอมทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อจะเข้ามาเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวา พระเจ้าให้รางวัลรูธ พระองค์ให้เธอมีสามีและลูกชาย ยิ่งกว่านั้น ลูกชายของรูธได้มาเป็นบรรพบุรุษของเมสสิยาห์ ไม่ใช่แค่นั้น พระยะโฮวายังให้มีการเขียนตัวอย่างชีวิตของรูธไว้ในหนังสือที่ใช้ชื่อของเธอซึ่งอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล คุณคิดว่าตอนที่รูธฟื้นขึ้นจากตาย เธอจะรู้สึกอย่างไรที่ได้รู้เรื่องเหล่านี้—นรธ. 4:13; มธ. 1:5, 16 ห17.06 น. 28-29 ว. 8-9
วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม
พลังบริสุทธิ์ . . . จะช่วยให้จำทุกเรื่องที่ผมเคยสอนได้—ยน. 14:26
ในปี 1970 ปีเตอร์อายุ 19 และเพิ่งเริ่มรับใช้ที่เบเธลอังกฤษ ปีเตอร์ไปประกาศตามบ้านและเจอผู้ชายไว้เคราที่อายุประมาณ 50 เขาถามผู้ชายคนนั้นว่าอยากเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้นไหม ผู้ชายคนนั้นรู้สึกตกใจที่ปีเตอร์ซึ่งเป็นแค่เด็กหนุ่มจะมาสอนคัมภีร์ไบเบิลให้เขาซึ่งเป็นรับบีหรือครูสอนศาสนายิว เขาเลยทดสอบปีเตอร์โดยถามว่า “ไอ้หนุ่ม นายรู้ไหมว่าหนังสือดาเนียลเขียนด้วยภาษาอะไร?” ปีเตอร์ตอบว่า “ส่วนหนึ่งของหนังสือนี้เขียนด้วยภาษาอาราเมอิกครับ” ปีเตอร์เล่าต่อว่า “รับบีตกใจมากที่ผมรู้คำตอบ แต่ผมตกใจกว่าเขาอีก ผมรู้คำตอบได้ยังไง! พอกลับมาบ้านและค้นดูวารสารหอสังเกตการณ์ กับตื่นเถิด! เดือนที่ผ่าน ๆ มา ผมก็เจอบทความหนึ่งที่อธิบายว่าหนังสือดาเนียลเขียนด้วยภาษาอาราเมอิก” (ดนล. 2:4, เชิงอรรถ) ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า พลังของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้จำข้อมูลที่เราเคยอ่าน—ลก. 12:11, 12; 21:13-15 ห17.06 น. 13 ว. 17
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม
คนที่แต่งงานจะมีความยุ่งยากในชีวิต—1 คร. 7:28
ลองคิดดูสิว่าทั้งสามีและภรรยาจะรู้สึกอย่างไรตอนที่รู้ว่าพวกเขากำลังจะมีลูก ถึงแม้พวกเขาอาจดีใจมาก แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้กังวลด้วย พวกเขาอาจเป็นห่วงว่าการตั้งท้องจะมีปัญหาอะไรไหม หรือลูกในท้องจะสมบูรณ์แข็งแรงไหม ไหนจะค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มขึ้นอีก และหลังจากที่ลูกเกิด ทั้งสองคนก็ต้องปรับเปลี่ยนหลายอย่าง ผู้หญิงอาจต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลลูกที่ยังเล็ก นี่อาจทำให้สามีภรรยาไม่ได้สนใจและเอาใจใส่กันมากเหมือนเมื่อก่อน คนที่เป็นพ่อก็จะมีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้นด้วย เขาต้องพยายามเตรียมสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ให้กับภรรยาและลูก คู่แต่งงานบางคู่อาจมีปัญหาอื่น พวกเขาอาจอยากมีลูกมากแต่ไม่สามารถมีได้ ถ้าภรรยาไม่สามารถตั้งท้องได้ เธออาจรู้สึกเสียใจและเจ็บปวด ห17.06 น. 4 ว. 1 และ น. 5 ว. 5–6
วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม
สำหรับผม คำสอนของพระองค์หวานชื่นใจ หวานกว่าน้ำผึ้งด้วยซ้ำ—สด. 119:103
เราที่เป็นคริสเตียนรักความจริง และเราพบความจริงได้ในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูบอกพระเจ้าผู้เป็นพ่อของท่านว่า “ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริง” (ยน. 17:17) เพื่อจะรักความจริงในคัมภีร์ไบเบิล เราต้องรู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกเรื่องอะไรบ้าง (คส. 1:10) แต่แค่รู้ก็ยังไม่พอ ขอสังเกตว่าผู้เขียนหนังสือสดุดีบท 119 บอกว่าเราต้องทำอะไรด้วย (สด. 119:97-100) เราต้องคิดใคร่ครวญหรือคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งที่เราได้อ่านในคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน เมื่อเราคิดใคร่ครวญว่าการใช้ชีวิตตามคำสอนที่เป็นความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้ผลดีอย่างไรบ้าง เราก็จะยิ่งรักความจริงนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ หนังสือต่าง ๆ ที่อธิบายคัมภีร์ไบเบิลที่จัดเตรียมโดยองค์การของพระเจ้าเป็นเหมือนอาหารรสอร่อย ตอนที่เรากินอาหารที่เราชอบ เราจะค่อย ๆ กินเพื่อจะได้ลิ้มรสชาติอาหารนั้นอย่างเต็มที่ คล้ายกัน เราน่าจะค่อย ๆ ใช้เวลาศึกษาคัมภีร์ไบเบิล การทำอย่างนี้จะช่วยให้เรามีความสุขกับการเรียนถ้อยคำ “ที่สละสลวย” ของความจริง และช่วยให้เราจดจำสิ่งที่อ่านได้ง่ายขึ้นและใช้สิ่งเหล่านั้นช่วยคนอื่น ๆ—ปญจ. 12:10 ห17.05 น. 19-20 ว. 11-12
วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม
พระเจ้าอยู่กับพวกคุณจริง ๆ—1 คร. 14:25
เราอยากช่วยคนที่ทนทุกข์ถึงแม้เขาไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา (ลก. 10:33-37) วิธีที่ดีที่สุดที่เราจะช่วยคนอื่นก็คือการสอนเขาเรื่องข่าวดี ผู้ดูแลคนหนึ่งที่ช่วยผู้ลี้ภัยหลายคนบอกว่า เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะบอกเขาทันทีว่าเราเป็นพยานพระยะโฮวา เราควรบอกให้รู้ว่าจุดประสงค์หลักที่เรามาก็คือเพื่อจะช่วยเขาให้รู้เกี่ยวกับความหวังที่ยอดเยี่ยมในคัมภีร์ไบเบิล ไม่ใช่มาช่วยด้านวัตถุเงินทอง ถ้าเราแสดงความรักแท้กับ “คนต่างชาติ” เราจะเห็นผลดีมากมาย (สด. 146:9) พี่น้องหญิงคนหนึ่งเล่าเรื่องที่ครอบครัวของเธอต้องหนีการข่มเหงในเอริเทรีย หลังจากที่ลูก ๆ ของเธอ 4 คนต้องเดินทางข้ามทะเลทรายนาน 8 วัน ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงซูดาน พี่น้องหญิงคนนั้นเล่าว่า “พี่น้องที่นั่นดูแลพวกลูก ๆ ของฉันเหมือนญาติสนิท พวกเขาทำอาหาร ให้เสื้อผ้า ที่พัก และช่วยเรื่องการเดินทาง จะมีใครอีกไหมในโลกนี้ที่จะต้อนรับคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้านเพียงเพราะเรานมัสการพระเจ้าองค์เดียวกัน? จะมีก็แต่พยานพระยะโฮวาเท่านั้น”—ยน. 13:35 ห17.05 น. 7 ว. 17, 19-20
วันพุธที่ 29 พฤษภาคม
พวกเจ้าไม่ได้พูดความจริงเกี่ยวกับเราเหมือนโยบผู้รับใช้ของเรา—โยบ 42:8
เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว มีผู้ชาย 3 คนไปคุยกับโยบผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า เอลีฟัสชาวเทมานซึ่งเป็นหนึ่งในสามคนนั้นถามโยบด้วยคำถามที่น่าสนใจว่า “มนุษย์จะมีค่าอะไรสำหรับพระเจ้า? คนรอบรู้จะมีประโยชน์อะไรกับพระองค์? ผู้มีพลังอำนาจสูงสุดสนใจด้วยหรือที่คุณเป็นคนดี? พระองค์ได้ประโยชน์อะไรหรือถ้าคุณซื่อสัตย์?” (โยบ 22:1-3) เห็นได้ชัดว่า เอลีฟัสเชื่อว่าคำตอบคือไม่ และบิลดัดชาวชูอาห์ก็เสริมอีกว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะมองว่ามนุษย์เป็นคนดี (โยบ 25:4) เอลีฟัสและบิลดัดพยายามทำให้โยบรู้สึกว่าที่โยบพยายามรับใช้พระยะโฮวาไม่มีค่าอะไรเลย พวกเขาอยากให้โยบเชื่อว่าในสายตาของพระเจ้าแล้ว มนุษย์ไม่ต่างอะไรกับผีเสื้อกลางคืนหรือหนอนตัวหนึ่ง (โยบ 4:19; 25:6) พระยะโฮวาบอกเอลีฟัส บิลดัด และโศฟาร์ผู้ชายอีกคนว่าพวกเขากำลังพูดโกหก จากนั้น พระเจ้าก็บอกว่าพระองค์พอใจในตัวโยบ และเรียกโยบว่า “ผู้รับใช้ของเรา” (โยบ 42:7) ดังนั้น เรามั่นใจได้ว่ามนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ ‘มีค่าสำหรับพระเจ้า’ ห17.04 น. 28 ว. 1-2
วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม
พวกเขาจะชื่นชมยินดีและมีแต่ความสงบสุข—สด. 37:11
ไม่ง่ายที่เราจะคิดว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรในตอนนั้น เราอาจมีชีวิตอยู่กับสภาพการณ์ที่ไม่ดีนานมากจนอาจไม่สังเกตเลยว่าสิ่งเหล่านั้นทำให้เราเครียดขนาดไหน ลองคิดถึงตัวอย่างนี้ คนที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ สถานีรถไฟที่มีรถไฟเข้าออกตลอดอาจรู้สึกชินกับเสียงเหล่านั้นจนไม่ได้ยิน คนที่มีบ้านอยู่ใกล้กองขยะอาจรู้สึกชินจนไม่ได้กลิ่นเหม็นของขยะเลย แต่พอพระยะโฮวากำจัดสภาพชีวิตที่ไม่ดีให้หมดไป ทุกคนจะมีความสุขและรู้สึกโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแน่ ๆ ความรู้สึกแบบไหนจะมาแทนที่ความเครียดที่เรามีอยู่ในทุกวันนี้? ขอให้สังเกตคำสัญญาในข้อคัมภีร์วันนี้ เราได้รับกำลังใจจริง ๆ ที่ได้รู้ว่านี่คือสิ่งที่พระยะโฮวาอยากให้เรา ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดนี้ เราต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะใกล้ชิดกับพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ ความหวังเรื่องอนาคตของเรามีค่ามาก เราต้องคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความหวังนี้ ให้มันเป็นจริงสำหรับเราเสมอ และบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ๆ (1 ทธ. 4:15, 16; 1 ปต. 3:15) ถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะมั่นใจได้ว่าเราจะยังอยู่ตอนที่โลกชั่วนี้ไม่มีอีกแล้ว เราจะอยู่อย่างมีความสุขตลอดไป ห17.04 น. 13 ว. 16-17
วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม
เราทุกคนผิดพลาดกันอยู่บ่อย ๆ—ยก. 3:2
เรื่องนี้เราก็รู้กันอยู่แล้ว แต่ถ้าตัวเราเองต้องเจอกับความไม่สมบูรณ์ของพี่น้องชายล่ะ เราจะทำอย่างไร? เราจะเลียนแบบความยุติธรรมของพระยะโฮวาไหม? ตัวอย่างเช่น คุณจะทำอย่างไรถ้าผู้ดูแลพูดบางอย่างที่ดูเหมือนว่าเขามีอคติ? คุณจะปล่อยให้ตัวเองสะดุดเมื่อผู้ดูแลพูดบางอย่างที่ไม่คิดซึ่งทำให้คุณโกรธหรือเสียใจไหม? แทนที่จะด่วนสรุปว่าคนที่ทำอย่างนี้ไม่น่าเป็นผู้ดูแลอีกต่อไป คุณจะอดทนรอให้พระเยซูผู้นำของประชาคมจัดการกับเรื่องนี้ไหม? แทนที่จะเอาแต่คิดถึงความผิดพลาดของพี่น้องคนนี้ คุณจะคิดถึงงานรับใช้ที่เขาทำอย่างซื่อสัตย์มาเป็นเวลาหลายปีไหม? ถ้าพี่น้องที่ทำผิดกับคุณยังได้เป็นผู้ดูแลต่อไป หรือถึงกับได้สิทธิพิเศษมากขึ้น คุณจะรู้สึกดีใจกับเขาไหม? ถ้าคุณเต็มใจให้อภัย คุณก็กำลังเลียนแบบความยุติธรรมของพระยะโฮวา—มธ. 6:14, 15 ห17.04 น. 27 ว. 18