มิถุนายน
วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน
พระเจ้าเป็นความรัก—1 ยน. 4:16
พระยะโฮวาสอนเรา ฝึกเรา และช่วยเราให้แก้ไขตัวเองเพราะพระองค์รักเรา พระองค์อยากให้เราสนิทกับพระองค์เสมอและมีชีวิตตลอดไป บางครั้งการสั่งสอนก็เกี่ยวข้องมากกว่าการให้คำแนะนำ เมื่อบางคนทำผิดร้ายแรง เขาอาจเสียสิทธิพิเศษหรือหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างในประชาคม แม้แต่ในกรณีนั้น การสั่งสอนที่เขาได้รับก็แสดงว่าพระเจ้ารักเขา ตัวอย่างเช่น มันจะช่วยให้เขาเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมากแค่ไหนที่จะใช้เวลาศึกษาคัมภีร์ไบเบิล คิดใคร่ครวญ และอธิษฐานมากขึ้น การทำแบบนี้จะช่วยให้เขากลับมาสนิทกับพระยะโฮวาเหมือนเดิม (สดุดี 19:7) เมื่อเวลาผ่านไปเขาอาจได้สิทธิพิเศษหรือหน้าที่รับผิดชอบกลับมาอีกครั้ง แม้แต่การตัดสัมพันธ์ก็เป็นการสั่งสอนที่แสดงให้เห็นความรักของพระยะโฮวา เพราะมันเป็นการปกป้องประชาคมจากอิทธิพลที่ไม่ดี (1 โครินธ์ 5:6, 7, 11) และเนื่องจากการสั่งสอนจากพระเจ้ายุติธรรมเสมอ มันจึงช่วยคนที่ถูกตัดสัมพันธ์ให้เข้าใจว่าความผิดที่เขาทำร้ายแรงแค่ไหน และจะช่วยให้เขากลับใจ—กิจการ 3:19 ห18.03 น. 24 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน
เขากับคนในบ้านก็รับบัพติศมาทันที—กจ. 16:33
ผู้คุมคนนี้อาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระคัมภีร์เลย พอเขาเข้ามาเป็นคริสเตียน เขาจึงต้องเรียนรู้ความจริงพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล เข้าใจสิ่งที่พระยะโฮวาสั่งให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทำ และตั้งใจเชื่อฟังคำสอนของพระเยซู สิ่งที่เขาได้เรียนทั้งหมดในช่วงสั้น ๆ นี้กระตุ้นให้เขาอยากรับบัพติศมา (กิจการ 16:25-33) แน่นอนว่าเขายังต้องเรียนต่อไปหลังจากรับบัพติศมาแล้ว ดังนั้น ถ้าลูกบอกคุณว่าเขาอยากรับบัพติศมาเพราะเขารักพระยะโฮวาและอยากเชื่อฟังพระองค์ คุณจะทำอย่างไร? คุณอาจให้ลูกคุยกับผู้ดูแลในประชาคมเพื่อพวกเขาจะดูว่าลูกมีคุณสมบัติที่จะรับบัพติศมาได้ไหม เหมือนกับคริสเตียนทุกคนที่รับบัพติศมาแล้ว ลูกต้องเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวามากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดชีวิตและจนถึงตลอดไป—โรม 11:33, 34 ห18.03 น. 10 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน
ให้คิดแบบเดียวกับพระคริสต์เยซู—รม. 15:5
เมื่อเราพยายามจะสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น พลังบริสุทธิ์จะช่วยให้เราเปลี่ยนวิธีคิด เราจะค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะคิดแบบพระคริสต์ พลังบริสุทธิ์จะช่วยเรากำจัดความต้องการแบบผิด ๆ และพัฒนาคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ทำให้พระเจ้าพอใจ ถ้าเราคิดแบบพระคริสต์ สิ่งนี้จะส่งผลต่อความประพฤติของเราในที่ทำงานและที่โรงเรียน ส่งผลต่อวิธีที่เราพูดและตัดสินใจในแต่ละวัน การตัดสินใจของเราจะแสดงให้เห็นว่าเรากำลังพยายามเลียนแบบพระคริสต์ เนื่องจากเราสนิทกับพระยะโฮวา เราจึงไม่อยากทำอะไรที่จะทำลายสายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระองค์ ตอนที่เราถูกล่อใจให้ทำผิด ถ้าเราสนิทกับพระเจ้าเราจะต้านทานการล่อใจได้ และก่อนจะตัดสินใจเรื่องอะไร เราจะหยุดคิดและถามตัวเองว่า ‘หลักการข้อไหนบ้างในคัมภีร์ไบเบิลที่ช่วยฉันได้? ถ้าพระเยซูอยู่ในสถานการณ์นี้ ท่านจะทำยังไง? ฉันควรตัดสินใจแบบไหนที่จะทำให้พระยะโฮวาพอใจ?’ ห18.02 น. 25 ว. 12 และ น. 26 ว. 14
วันอังคารที่ 4 มิถุนายน
พระยะโฮวาชื่นชอบโนอาห์—ปฐก. 6:8
ในสมัยของเอโนคปู่ทวดของโนอาห์ ผู้คนทำชั่วกันมากอยู่แล้ว พวกเขา “พูดหยาบช้า” ต่อพระยะโฮวา (ยูดา 14, 15) เวลาผ่านไปโลกก็ยิ่งมีแต่ความรุนแรงมากขึ้น พอถึงสมัยของโนอาห์ “โลกมีแต่ความเสื่อมทรามและความรุนแรง” ทูตสวรรค์ชั่วลงมาบนโลก แปลงร่างเป็นมนุษย์ และแต่งงานกับผู้หญิงแล้วก็มีลูกที่ชั่วร้ายและชอบใช้ความรุนแรง (ปฐมกาล 6:2-4, 11, 12) แต่โนอาห์แตกต่างอย่างชัดเจน คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เขาไม่เหมือนกับคนในสมัยนั้นเพราะเขาเป็นคนดีพร้อมไม่มีที่ติ โนอาห์ใช้ชีวิตอย่างที่พระเจ้าเที่ยงแท้พอใจ” (ปฐมกาล 6:9) เรื่องนี้บอกอะไรเราเกี่ยวกับโนอาห์? อย่างแรก ลองคิดถึงระยะเวลาที่โนอาห์รับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ในโลกชั่วก่อนน้ำท่วมโลก เขารับใช้ไม่ใช่แค่ 70 หรือ 80 ปี แต่เกือบ 600 ปี! (ปฐมกาล 7:11) อย่างที่สอง โนอาห์ไม่มีประชาคมที่คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจเขาเหมือนทุกวันนี้ เขาไม่มีแม้แต่พี่หรือน้องที่จะสนับสนุนเขาเลย ห18.02 น. 4 ว. 4-5
วันพุธที่ 5 มิถุนายน
คนจะ . . . เห็นแก่เงิน—2 ทธ. 3:2
คนที่รักเงินไม่เคยพอใจกับเงินที่เขามี เขาอยากได้มากขึ้นเรื่อย ๆ และทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาเงิน การทำแบบนั้นทำให้เขาต้อง “เจ็บปวดรวดร้าว” (1 ทิโมธี 6:9, 10; ปัญญาจารย์ 5:10) แน่นอนว่าเราต้องมีเงิน และเงินเป็นเหมือนเครื่องป้องกันในระดับหนึ่ง (ปัญญาจารย์ 7:12) แต่เราจะมีความสุขได้จริง ๆ ไหมถ้าเรามีแค่สิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิต? มีแน่นอน (ปัญญาจารย์ 5:12) อากูร์ลูกชายยาเคห์เขียนว่า “ขออย่าให้ผมจนหรือรวย ขอให้ผมมีอาหารแค่พอกิน” ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ไม่อยากจน เขาบอกว่าถ้าเขาจนเขาอาจถูกล่อใจให้ขโมย และการขโมยทำให้พระยะโฮวาเสียชื่อ แต่ทำไมเขาถึงไม่อยากรวยล่ะ? เขาบอกว่า “เพราะถ้าผมอิ่ม ผมจะไม่สนใจพระองค์และพูดว่า ‘พระยะโฮวาเป็นใครกัน?’” (สุภาษิต 30:8, 9) พระเยซูบอกว่า “ไม่มีใครเป็นทาสนาย 2 คนได้ เพราะเขาจะเกลียดนายคนหนึ่งและรักนายอีกคนหนึ่ง หรือจะภักดีต่อนายคนหนึ่งและดูถูกนายอีกคนหนึ่ง คุณจะเป็นทั้งทาสพระเจ้าและทาสทรัพย์สมบัติด้วยไม่ได้”—มัทธิว 6:24 ห18.01 น. 24 ว. 9-11
วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน
พระเจ้าผู้เป็นพ่อของผมในสวรรค์จะทำอย่างนั้นกับคุณเหมือนกัน ถ้าคุณไม่ยอมให้อภัยคนอื่นจากใจจริง—มธ. 18:35
วิธีที่เราจะช่วยให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันคืออะไร? คือการพร้อมจะให้อภัยคนอื่น เมื่อเราทำแบบนั้น เราก็แสดงให้เห็นว่าเรารู้สึกขอบคุณที่พระยะโฮวาอภัยบาปให้กับเราโดยอาศัยเครื่องบูชาของพระเยซู พระเยซูเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกษัตริย์และทาสเพื่อแสดงให้เห็นว่าทำไมการให้อภัยถึงสำคัญ ขอให้อ่านมัทธิว 18:23-34 และถามตัวเองว่า: ‘พออ่านเรื่องนี้แล้วฉันรู้สึกอยากทำตามที่พระเยซูสอนไหม? ฉันอดทนและเข้าใจพี่น้องของฉันไหม? ฉันพร้อมจะให้อภัยคนที่ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีไหม?’ จริงอยู่ที่ความผิดบางอย่างร้ายแรงกว่าความผิดอย่างอื่น และเนื่องจากเราเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ เราอาจรู้สึกยากมากที่จะให้อภัยความผิดบางอย่าง แต่เรื่องราวของพระเยซูสอนเราว่าพระยะโฮวาอยากให้เราทำอะไร พระเยซูบอกชัดเจนว่าพระยะโฮวาจะไม่ยกโทษให้เราถ้าเราไม่ยกโทษให้พี่น้องเมื่อเขากลับใจจริง ๆ นี่เป็นเรื่องที่เราต้องคิดให้ดี ความเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ดังนั้น ถ้าเราอยากจะรักษามันไว้ เราต้องให้อภัยคนอื่นอย่างที่พระเยซูสอนเรา ห18.01 น. 15 ว. 12
วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน
ห้ามไม่ให้ใครร้องขอต่อเทพเจ้าหรือมนุษย์เป็นเวลา 30 วันนอกจากขอต่อท่าน ถ้าใครฝ่าฝืน คนนั้นจะต้องถูกโยนลงไปในบ่อสิงโต—ดนล. 6:7
ถึงจะอันตรายมาก แต่ดาเนียลก็ยังอธิษฐานต่อไปในที่ที่คนอื่นเห็นได้ เพราะเขาไม่อยากให้ใครคิดว่าเขาเลิกรับใช้พระเจ้าแล้ว พระยะโฮวาอวยพรดาเนียลที่เขาตัดสินใจอย่างกล้าหาญและภักดี พระองค์ทำการอัศจรรย์โดยช่วยชีวิตเขาจากสิงโต เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนทั่วจักรวรรดิมีเดีย-เปอร์เซียได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาด้วย (ดาเนียล 6:25-27) เราจะมีความเชื่อเหมือนดาเนียลได้อย่างไร? เพื่อจะมีความเชื่อเข้มแข็ง การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเฉย ๆ ยังไม่พอ เราต้องเข้าใจสิ่งที่เราอ่านด้วย (มัทธิว 13:23) เราอยากรู้ว่าพระยะโฮวาคิดและรู้สึกอย่างไรต่อเรื่องต่าง ๆ ดังนั้น เราต้องคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่อ่าน และเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะอธิษฐานบ่อย ๆ โดยเฉพาะตอนที่เรามีปัญหา ถ้าเราอธิษฐานขอสติปัญญาและความเข้มแข็งจากพระยะโฮวา เราเชื่อและมั่นใจได้ว่าพระองค์จะเต็มใจให้เราอย่างใจกว้าง—ยากอบ 1:5 ห18.02 น. 10 ว. 13 และ น. 11 ว. 14–15
วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน
ลองชิมดู แล้วจะรู้ว่าพระยะโฮวาดีขนาดไหน—สด. 34:8
เด็กหรือวัยรุ่นที่รับบัพติศมาแล้วก็สามารถ ‘ลองชิมดูแล้วจะรู้ว่าพระยะโฮวาดีขนาดไหน’ ตอนที่คุณได้เจอกับตัวเองว่าพระองค์ช่วยคุณให้กล้าพูดเรื่องความเชื่อกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนหรือที่เขตประกาศ มันไม่ง่ายเลยที่จะประกาศกับเพื่อนที่โรงเรียน คุณอาจกังวลว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร และมันอาจยากขึ้นไปอีกถ้าต้องอธิบายความเชื่อต่อหน้าคนเยอะ ๆ แต่อะไรจะช่วยคุณได้? อย่างแรก ลองคิดดูว่าทำไมคุณถึงมั่นใจในสิ่งที่คุณเชื่ออยู่ตอนนี้ “คู่มือประกอบการเรียน” ในเว็บไซต์ jw.org ช่วยคุณได้ คู่มือนี้จะช่วยคุณให้คิดว่ามีอะไรบ้างที่คุณเชื่อ ทำไมคุณถึงเชื่อ และคุณจะอธิบายความเชื่อของคุณกับคนอื่นอย่างไร ถ้าคุณมั่นใจในสิ่งที่คุณเชื่อจริง ๆ และเตรียมตัวอย่างดี คุณก็จะอยากพูดเรื่องพระยะโฮวา—เยเรมีย์ 20:8, 9 ห17.12 น. 26 ว. 12, 14 และ น. 27 ว. 15
วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน
ให้ทำตามสิ่งที่ได้เรียนรู้จนมั่นใจแล้วต่อ ๆ ไป—2 ทธ. 3:14
การสอนลูกเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลยังไม่พอ จำไว้ว่าทิโมธียังต้อง “เรียนรู้จนมั่นใจ” ด้วย ถึงเขาจะรู้จักพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู “ตั้งแต่ยังเป็นทารก” แต่ต่อมา เขาได้เห็นข้อพิสูจน์ด้วยตัวเองที่ทำให้มั่นใจว่าพระเยซูเป็นเมสสิยาห์ คุณจะช่วยลูกให้มีความเชื่อและ “เรียนรู้จนมั่นใจ” เหมือนทิโมธีได้อย่างไร? อย่างแรก ขอให้อดทน การมีความเชื่อเข้มแข็งต้องใช้เวลา และการที่คุณเชื่ออะไรบางอย่างก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะเชื่อเหมือนคุณโดยอัตโนมัติ เด็กแต่ละคนต้องใช้ “ความสามารถในการคิดหาเหตุผล” ของเขาเองเพื่อจะมีความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิล (โรม 12:1) ในฐานะพ่อแม่ คุณเป็นตัวหลักที่จะช่วยลูกให้มีความเชื่อเข้มแข็งขึ้นโดยเฉพาะตอนที่ลูกถามอะไรบางอย่างกับคุณ ห17.12 น. 19 ว. 3, 5-6
วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน
ดิฉันเชื่อค่ะว่า เขาจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย—ยน. 11:24
มาร์ธาซึ่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและสาวกของพระเยซูกำลังโศกเศร้าอยู่ มาร์ธากับลาซารัสเป็นพี่น้องกัน ลาซารัสเพิ่งตาย มาร์ธาเลยรู้สึกเสียใจมาก มีอะไรที่จะช่วยปลอบโยนเธอได้ไหม? มีสิ พระเยซูสัญญากับเธอว่า “เขาจะฟื้นขึ้นจากตาย” (ยอห์น 11:20-23) มาร์ธามั่นใจว่าจะมีการฟื้นขึ้นจากตายในอนาคตแน่นอน แต่หลังจากนั้น พระเยซูก็ทำการอัศจรรย์โดยปลุกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นจากตายในวันนั้นเลย ไม่มีเหตุผลที่เราจะคาดหมายว่าพระเยซูกับพ่อของท่านจะปลุกคนที่เรารักให้ฟื้นขึ้นจากตายในตอนนี้ แต่คุณมั่นใจเหมือนมาร์ธาไหมว่าคนที่คุณรักจะฟื้นขึ้นจากตายในอนาคต? คุณอาจสูญเสียคู่ของคุณ สูญเสียพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือแม้แต่ลูกที่คุณรัก คุณคงแทบรอไม่ไหวที่จะได้กอด พูดคุย หรือหัวเราะกับพวกเขา น่าดีใจที่คุณมีเหตุผลที่จะพูดได้เหมือนมาร์ธาว่า ‘ฉันเชื่อว่า คนที่ฉันรักจะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย’ ถึงอย่างนั้น คงจะดีถ้าเราแต่ละคนจะคิดถึงเหตุผลว่า ทำไมเราถึงมั่นใจในคำสัญญาเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย ห17.12 น. 3 ว. 1-2
วันอังคารที่ 11 มิถุนายน
พระเจ้าของผม ผมมีความสุขที่ได้ทำตามความประสงค์ของพระองค์ และกฎหมายของพระองค์อยู่ในใจผม—สด. 40:8
พระเยซูรักกฎหมายของโมเสส และเราไม่แปลกใจเพราะกฎหมายนี้มาจากพระยะโฮวาพ่อของท่านซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน ในข้อคัมภีร์วันนี้บอกว่าพระเยซูจะรักกฎหมายของพระเจ้ามาก สิ่งที่พระเยซูพูดและทำแสดงให้เห็นว่ากฎหมายของพระเจ้าสมบูรณ์แบบ เป็นประโยชน์ และทุกอย่างที่เขียนไว้จะต้องเป็นไปตามนั้น (มัทธิว 5:17-19) พระเยซูต้องรู้สึกเสียใจแน่ ๆ ที่เห็นพวกครูสอนศาสนาและพวกฟาริสีใช้กฎหมายของพ่อของท่านในทางที่ผิด ซึ่งทำให้กฎหมายนั้นดูเหมือนไม่มีเหตุผล พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณถวายส่วน 1 ใน 10 ของสะระแหน่ เทียนข้าวเปลือก และยี่หร่า” นี่หมายความว่าพวกเขาเชื่อฟังเรื่องที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยในข้อกฎหมาย แล้วปัญหาของพวกเขาคืออะไร? พระเยซูอธิบายว่า แต่พวกเขา “กลับมองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎหมายของโมเสส นั่นคือ ความยุติธรรม ความเมตตา” (มัทธิว 23:23) พวกฟาริสีไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายและคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น ๆ แต่พระเยซูเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมาย และเข้าใจด้วยว่ากฎหมายแต่ละข้อบอกอะไรเกี่ยวกับพระยะโฮวา ห17.11 น. 13 ว. 1-2
วันพุธที่ 12 มิถุนายน
พระเจ้าประสงค์ให้พวกคุณเป็นคนบริสุทธิ์และงดเว้นจากการผิดศีลธรรมทางเพศ—1 ธส. 4:3
บางคนอาจบอกว่า “ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น? อยากทำอะไรก็ทำไปเลย สนุกกับชีวิตสิ” แต่คัมภีร์ไบเบิลห้ามการผิดศีลธรรมทางเพศ (1 เธสะโลนิกา 4:4-8) พระยะโฮวามีสิทธิ์ตั้งกฎกับเราเพราะพระองค์เป็นผู้สร้าง พระองค์บอกว่าเฉพาะแต่ผู้ชายและผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเท่านั้นที่จะมีเพศสัมพันธ์กันได้ พระยะโฮวาให้กฎนี้เพราะพระองค์รักเรา พระองค์รู้ว่าถ้าเราทำตามเราก็จะมีชีวิตที่ดี ครอบครัวที่เชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าจะรักและนับถือกันมากขึ้น พวกเขาจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัย แต่พระเจ้าจะลงโทษคนที่รู้กฎหมายของพระองค์แต่ไม่ทำตาม (ฮีบรู 13:4) คัมภีร์ไบเบิลสอนเราว่าต้องทำอะไรเพื่อจะไม่ทำผิดศีลธรรมทางเพศ เราต้องควบคุมสิ่งที่เรามอง (มัทธิว 5:28, 29) ดังนั้น เราต้องไม่ดูสื่อลามกและฟังเพลงที่เกี่ยวกับการทำผิดศีลธรรมทางเพศ—เอเฟซัส 5:3-5 ห17.11 น. 22 ว. 9-10
วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน
เป็นเรื่องดีที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของพวกเรา—สด. 147:1
ตลอดประวัติศาสตร์ ผู้คนที่นมัสการพระยะโฮวาใช้ดนตรีเพื่อสรรเสริญพระองค์ ตอนที่ชาวอิสราเอลซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา การร้องเพลงเป็นส่วนสำคัญของการนมัสการของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ช่วงที่ดาวิดเตรียมงานสร้างวิหาร เขาจัดให้ชาวเลวี 4,000 คนสรรเสริญพระยะโฮวาด้วยการเล่นดนตรี ในจำนวนนี้มี 288 คนที่ “ฝึกเล่นดนตรีสรรเสริญพระยะโฮวาจนชำนาญแล้ว” (1 พงศาวดาร 23:5; 25:7) การเล่นดนตรีและการร้องเพลงยังเป็นส่วนสำคัญของการอุทิศวิหารด้วย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เมื่อคนเป่าแตรกับนักร้องพากันประสานเสียงสรรเสริญและขอบคุณพระยะโฮวา และมีเสียงแตร ฉาบ กับเครื่องสายอื่น ๆ ดังขึ้นขณะที่พวกเขาสรรเสริญพระยะโฮวา . . . รัศมีของพระยะโฮวาแผ่ทั่ววิหารของพระเจ้าเที่ยงแท้” ลองคิดดูสิ เหตุการณ์ในตอนนั้นคงต้องทำให้ความเชื่อของชาวอิสราเอลเข้มแข็งมากขึ้นแน่ ๆ!—2 พงศาวดาร 5:13, 14; 7:6 ห17.11 น. 4 ว. 4-5
วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน
อย่าคิดว่าผมมาทำให้โลกสงบสุข ผมไม่ได้มาทำให้เกิดความสงบสุข แต่มาทำให้แตกแยก—มธ. 10:34
พระเยซูรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะชอบสิ่งที่ท่านสอน และบางคนจะต่อต้านสาวกของท่านด้วย พระเยซูตั้งใจมาเพื่อสอนผู้คนให้รู้ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อให้ครอบครัวแตกแยก (ยอห์น 18:37) แต่พวกสาวกก็จำเป็นต้องรู้ว่าการติดตามพระเยซูไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเพื่อนสนิทหรือสมาชิกในครอบครัวของเขาไม่สนใจความจริง เพื่อจะทำให้พระเยซูพอใจพวกสาวกต้องอดทนเมื่อถูกครอบครัวเยาะเย้ย ไม่สนใจไยดีหรือถึงกับตัดขาด แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับจะมากกว่าสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปอย่างแน่นอน (มาระโก 10:29, 30) ถึงแม้ญาติ ๆ จะต่อต้านเพราะเรานมัสการพระยะโฮวา แต่เราก็ยังรักพวกเขา ถึงอย่างนั้น เราต้องจำไว้เสมอว่าความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและพระเยซูต้องมากกว่าความรักที่มีต่อคนอื่น (มัทธิว 10:37) นอกจากนั้น เราต้องระวังเพราะซาตานอาจใช้ความรักที่มีต่อครอบครัวทำให้เราไม่ภักดีต่อพระยะโฮวา ห17.10 น. 13 ว. 3-6
วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน
เขาก็ผลัก [ความชั่ว] ลงไปในถังเอฟาห์ และเอาฝาตะกั่วปิดปากถังไว้—ศคย. 5:8
นิมิตนี้ให้ความมั่นใจกับพวกเราว่าพระยะโฮวาจะไม่ยอมให้มีความชั่วไม่ว่ารูปแบบไหนก็ตามในกลุ่มคนที่เป็นประชาชนของพระเจ้า ถ้าพระยะโฮวาเห็นว่ามีบางสิ่งที่ไม่ดี พระองค์จะรีบกำจัดมันออกไป (1 โครินธ์ 5:13) ทูตสวรรค์แสดงให้เห็นเรื่องนี้ตอนที่เขารีบเอาฝาที่หนักมากมาปิดปากถังไว้ นิมิตนี้ทำให้ชาวอิสราเอลในสมัยเศคาริยาห์มั่นใจว่าพระยะโฮวาจะรักษาการนมัสการของพระองค์ให้สะอาดอยู่เสมอ นิมิตนี้ยังเตือนชาวยิวให้รู้ว่าพวกเขามีหน้าที่ที่จะทำให้การนมัสการพระเจ้าสะอาดอยู่เสมอ ประชาชนของพระเจ้าไม่ยอมให้ความชั่วมีอยู่ในกลุ่มพวกเขาไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในอนาคต ทุกวันนี้พระยะโฮวาพาเรามาในองค์การของพระองค์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นที่ที่เราได้รับความรักและการปกป้องจากพระองค์ ดังนั้น เราทุกคนมีหน้าที่ที่จะทำให้องค์การของพระเจ้าสะอาดอยู่เสมอ เราจะไม่มีทางยอมให้ความชั่วมีอยู่ในกลุ่มคนที่เป็นประชาชนของพระเจ้า ห17.10 น. 24 ว. 14-15 และ น. 25 ว. 17-18
วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน
ผมรักกฎหมายของพระองค์—สด. 119:163
หนังสือ 39 เล่มแรกของคัมภีร์ไบเบิลถูกเขียนโดยคนยิวหรือคนอิสราเอล พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่ “พระเจ้ามอบพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้” (รม. 3:1, 2) ตอนแรกพวกเขาเขียนหนังสือเหล่านี้เป็นภาษาฮีบรูหรือบางครั้งก็เป็นภาษาอาราเมอิก แต่พอถึงศตวรรษที่ 3 คนยิวจำนวนมากไม่เข้าใจภาษาฮีบรูแล้ว ทำไม? ตอนที่อเล็กซานเดอร์มหาราชพิชิตหลายประเทศ จักรวรรดิกรีกก็แผ่ขยายอำนาจตามไปด้วย ผลคือ ภาษากรีกกลายมาเป็นภาษาสากลที่ผู้คนใช้กันทั่วในเขตที่กรีซปกครอง และหลายคนก็เริ่มพูดภาษากรีกแทนภาษาบ้านเกิดของตัวเอง (ดนล. 8:5-7, 20, 21) คนยิวหลายคนก็เป็นแบบนั้นด้วย เลยทำให้ยากขึ้นที่พวกเขาจะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลที่เป็นภาษาฮีบรู มีการจัดการกับปัญหานี้อย่างไร? มีการแปลคัมภีร์ไบเบิลจากภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีก ฉบับแปลนี้มีชื่อว่าฉบับแปลกรีกเซปตัวจินต์ นี่เป็นการแปลพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูทั้งเล่มเป็นครั้งแรก ห17.09 น. 20 ว. 7-9
วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน
เราจะไม่มีวันทิ้งเจ้า เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย—ฮบ. 13:5
หลายครั้งนายจ้างอาจขอให้คุณทำงานโอทีในวันที่คุณมีการนมัสการประจำครอบครัว ต้องไปประกาศหรือไปประชุม คุณต้องกล้าที่จะปฏิเสธและวางตัวอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ พ่อแม่ต้องมีความกล้าหาญเพื่อช่วยลูก ๆ ให้ทำตามเป้าหมายในงานรับใช้พระเจ้า ตัวอย่างเช่น พ่อแม่บางคนอาจกลัวที่จะสนับสนุนลูก ๆ ให้เอางานไพโอเนียร์เป็นงานหลักในชีวิต หรือให้ลูกไปรับใช้ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่า ไปรับใช้ที่เบเธล หรือไปทำงานก่อสร้างหอประชุม อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขากลัวว่าลูกจะดูแลพวกเขาตอนแก่ไม่ได้ ถึงอย่างนั้น พ่อแม่ที่ฉลาดจะแสดงความกล้าหาญและเชื่อว่าพระยะโฮวาจะรักษาคำสัญญาของพระองค์ (สด. 37:25) พ่อแม่ที่แสดงความกล้าหาญและพึ่งพระยะโฮวาก็จะช่วยลูกให้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน—1 ซม. 1:27, 28; 2 ทธ. 3:14, 15 ห17.09 น. 30 ว. 14-15
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน
ผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า คือ . . . การควบคุมตัวเอง—กท. 5:22, 23
คุณจะช่วยลูก ๆ อย่างไรให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น? พ่อแม่รู้ว่าลูกไม่ได้เกิดมามีคุณลักษณะนี้โดยอัตโนมัติ ดังนั้น พวกเขาต้องสอนลูกโดยวางตัวอย่างที่ดี (อฟ. 6:4) ถ้าเมื่อไรที่คุณเห็นว่าลูกมีปัญหาในเรื่องนี้ ขอให้ถามตัวคุณเองก่อนว่าได้วางตัวอย่างที่ดีแล้วไหม คุณสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกได้โดยไปรับใช้เป็นประจำ เข้าร่วมประชุม และให้มีการนมัสการครอบครัวเป็นประจำ นอกจากนั้น อย่ากลัวที่จะบอกลูกว่า “ไม่” เมื่อจำเป็นต้องทำอย่างนั้น พระยะโฮวาได้กำหนดขอบเขตให้อาดัมกับเอวาว่ามีอะไรบ้างที่พวกเขาทำได้และทำไม่ได้ ขอบเขตเหล่านั้นช่วยให้พวกเขานับถืออำนาจของพระองค์ คล้ายกัน ถ้าพ่อแม่สอนลูก ตั้งกฎให้ลูก และเป็นตัวอย่างที่ดี พวกเขาก็กำลังฝึกลูกให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น คุณต้องสอนลูกให้นับถือมาตรฐานของพระเจ้าและเต็มใจอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับลูก—สภษ. 1:5, 7, 8 ห17.09 น. 7 ว. 17
วันพุธที่ 19 มิถุนายน
ไม่ให้เกิดการแตกแยกกันขึ้นในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทั้งหมดดูแลกันและกัน—1 คร. 12:25
กว่าโลกของซาตานจะถึงจุดจบ พวกเราที่เป็นคนของพระยะโฮวาต้องเจอปัญหาอีกมากมาย ทั้งตกงาน เจ็บป่วยร้ายแรง ถูกกดขี่ เจอภัยธรรมชาติ โดนปล้น หรือเจอความยากลำบากอื่น ๆ เพื่อเราจะสามารถช่วยกันและกันได้เมื่อเจอปัญหา เราต้องมีความเห็นอกเห็นใจจากใจจริง ความเห็นอกเห็นใจจะกระตุ้นเราให้ช่วยคนอื่นด้วยความกรุณา (อฟ. 4:32) คุณลักษณะทั้งสองอย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของลักษณะนิสัยใหม่ซึ่งจะช่วยเราให้เลียนแบบพระเจ้าและให้กำลังใจคนอื่น (2 คร. 1:3, 4) เราจะแสดงความกรุณากับคนที่ย้ายมาจากประเทศอื่นหรือคนที่ถูกเอาเปรียบซึ่งอยู่ในประชาคมของเราได้อย่างไร? เราน่าจะต้อนรับพวกเขา เป็นเพื่อนกับพวกเขา และช่วยพวกเขาให้รู้สึกว่ามีค่าในประชาคม (1 คร. 12:22) พยานฯหลายคนแสดงความเห็นอกเห็นใจคนต่างด้าวและพยายามเรียนภาษาของพวกเขา (1 คร. 9:23) ความพยายามของพวกเขาเกิดผลดี ห17.08 น. 23-24 ว. 7-9
วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน
พระยะโฮวาเป็นส่วนแบ่งของผม ดังนั้น ผมจะรอพระองค์ต่อไป—พคค. 3:24
เราเต็มใจอดทนรอ แต่อะไรจะช่วยเราได้? เราต้องอธิษฐานขอพลังบริสุทธิ์จากพระเจ้า อย่าลืมว่าความอดทนมาจากพลังบริสุทธิ์ของพระองค์ (อฟ. 3:16; 6:18; 1 ธส. 5:17-19) ดังนั้น เราต้องอ้อนวอนพระยะโฮวาให้ช่วยเรารออย่างอดทน นอกจากนั้น จำได้ไหมว่าอะไรได้ช่วยอับราฮัม โยเซฟ และดาวิดให้อดทนรอให้คำสัญญาต่าง ๆ ของพระเจ้าเป็นจริง? พวกเขามีความเชื่อและวางใจในพระยะโฮวา พวกเขาไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองกับสิ่งที่พวกเขาต้องการเท่านั้น และเมื่อเราคิดถึงผลดีต่าง ๆ ที่พวกเขาได้รับ เราก็จะถูกกระตุ้นให้อดทนรอเหมือนกัน ถึงแม้ตอนนี้เราอาจเจอกับปัญหามากมาย แต่ขอเราตั้งใจที่จะ “รอ” อย่างอดทน บางครั้งเราอาจถามว่า “พระยะโฮวาครับ จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน?” (อสย. 6:11) แต่ถ้าเราให้พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าช่วยเรา เราจะสามารถเลียนแบบเยเรมีย์ตามที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ ห17.08 น. 7 ว. 18-20
วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน
พระเจ้าของผม ผมมีความสุขที่ได้ทำตามความประสงค์ของพระองค์—สด. 40:8
ตอนที่พระเยซูยังเด็ก ท่านคงได้เล่นหรือได้ทำอะไรสนุก ๆ เหมือนที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า มี “เวลาหัวเราะ และเวลาเต้นรำ” (ปญจ. 3:4) แต่พระเยซูยังได้ศึกษาพระคัมภีร์เพื่อจะสนิทกับพระยะโฮวาด้วย ตอนที่พระเยซูอายุ 12 พวกอาจารย์ในวิหารรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นว่า “ท่านเข้าใจและตอบได้ดีมาก” (ลก. 2:42, 46, 47) พอพระเยซูโตเป็นผู้ใหญ่ ท่านก็มีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ท่านทำ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอยากให้ท่าน “ประกาศข่าวดีกับคนจน” และ “บอกคนตาบอดว่าเขาจะมองเห็น” (ลก. 4:18) ท่านมีความสุขที่ได้สอนคนอื่นเกี่ยวกับพ่อของท่าน (ลก. 10:21) หลังจากที่ได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่งเกี่ยวกับการนมัสการแท้ พระเยซูบอกสาวกของท่านว่า “อาหารของผมคือการทำตามความประสงค์ของผู้ที่ใช้ผมมาและทำงานของพระองค์ให้สำเร็จ” (ยน. 4:31-34) พระเยซูมีความสุขที่ได้แสดงออกว่าท่านรักพระเจ้าและคนอื่น ๆ ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณก็จะมีความสุขเหมือนกัน ห17.07 น. 23 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน
สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจทุกอย่างจะปกป้องหัวใจและความคิดของพวกคุณไว้โดยทางพระคริสต์เยซู—ฟป. 4:7
ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านเลียนแบบคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าทั้งทางคำพูดและการกระทำ (ยน. 5:19) พระยะโฮวาส่งพระเยซูมาบนโลกเพื่อให้กำลังใจ “คนที่มีหัวใจชอกช้ำ” และ “ผู้ที่โศกเศร้า” (อสย. 61:1, 2; ลก. 4:17-21) ผู้คนในตอนนั้นรู้ว่าพระเยซูเข้าใจความทุกข์ของพวกเขาและอยากช่วยพวกเขาจริง ๆ (ฮบ. 2:17) คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระเยซูไม่เปลี่ยนแปลง โดยบอกว่า “พระเยซูคริสต์ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่ว่าเมื่อวาน วันนี้ หรือตลอดไปในอนาคต” (ฮบ. 13:8) นอกจากนั้น มีการเรียกพระเยซูว่า “ผู้นำคนสำคัญที่ให้ชีวิต” เพราะท่านทำให้เราทุกคนมีโอกาสจะมีชีวิตตลอดไป พระเยซูยังเข้าใจความเสียใจที่เราแต่ละคนต้องเจอ และท่าน “สามารถช่วยเหลือคนที่ถูกทดสอบได้” (กจ. 3:15; ฮบ. 2:10, 18) ตอนนี้พระเยซูก็ยังรู้สึกเจ็บปวดไปกับคนที่กำลังเจ็บปวด ท่านเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาและสามารถให้กำลังใจ ‘เมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ’—ฮบ. 4:15, 16 ห17.07 น. 13 ว. 6-7 และ น. 14 ว. 10
วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน
ทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย—ลก. 12:34
เราได้เรียนว่าเราต้องเห็นค่า “สมบัติ” ที่พระยะโฮวาให้เรา แต่เราต้องระวังและไม่ยอมให้ซาตานและโลกของมันทำให้ความรักที่เรามีต่อสมบัติเหล่านี้ลดน้อยลง ถ้าเราไม่ระวัง อาจจะมีสิ่งที่ทำให้เราเขว เช่น การมีคนมาสัญญาว่าเราจะได้งานที่มีรายได้เยอะ ความใฝ่ฝันว่าจะมีชีวิตที่หรูหราสะดวกสบาย หรือการที่เราเป็นคนชอบอวดชอบโชว์สิ่งของที่มี อัครสาวกยอห์นเตือนว่าโลกนี้และความต้องการของโลกกำลังจะผ่านพ้นไป (1 ยน. 2:15-17) นี่เป็นเหตุผลที่เราต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะปกป้อง “สมบัติ” ที่พระยะโฮวาให้เรา โดยไม่ปล่อยให้ความรักและการเห็นคุณค่าสิ่งเหล่านั้นลดน้อยลง คุณต้องเต็มใจทิ้งทุกอย่างที่อาจทำให้ความรักที่มีต่อรัฐบาลของพระเจ้าลดน้อยลง คุณต้องตั้งใจประกาศอย่างกระตือรือร้นและรักงานรับใช้เสมอ คุณต้องพยายามค้นหาความจริงในคัมภีร์ไบเบิล การที่คุณทำอย่างนี้จะเป็นการเพิ่ม ‘ทรัพย์สมบัติของคุณในสวรรค์ที่จะไม่สูญหาย เพราะที่นั่นไม่มีใครไปขโมยได้และไม่มีมอดไปกิน’—ลก. 12:33 ห17.06 น. 13 ว. 19-20
วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน
อยู่ในลานวิหารของพระองค์วันเดียวก็ดีกว่าอยู่ที่อื่นพันวัน—สด. 84:10
พระยะโฮวาไม่ได้ปกครองแบบโหดร้ายหรือเข้มงวดเกินไป คนที่เชื่อฟังพระองค์จึงไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่รู้สึกมีอิสระและมีความสุข (2 คร. 3:17) ดาวิดพูดเกี่ยวกับพระยะโฮวาว่า “ที่ที่พระองค์อยู่ยิ่งใหญ่และสง่างาม ในที่อาศัยของพระองค์มีพลังอำนาจและความยินดี” (1 พศ. 16:7, 27) ผู้เขียนหนังสือสดุดีที่ชื่อเอธานเขียนว่า “ชนชาติที่โห่ร้องยินดีก็มีความสุข พระยะโฮวา พวกเขาเดินอยู่ในแสงสว่างจากพระองค์ พวกเขายินดีตลอดวันเพราะชื่อของพระองค์ พวกเขาได้รับการยกย่องเพราะความยุติธรรมของพระองค์” (สด. 89:15, 16) ยิ่งเราได้คิดใคร่ครวญเกี่ยวกับความดีของพระยะโฮวา เราก็ยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นว่าพระองค์เป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุด พระยะโฮวาออกแบบและสร้างเรา พระองค์รู้ดีที่สุดว่าอะไรทำให้เรามีความสุขจริง ๆ พระองค์เป็นพระเจ้าที่ใจกว้าง พระองค์ให้มากกว่าที่เราต้องการ ทุกสิ่งที่พระยะโฮวาขอให้เราทำมีแต่ดีและเป็นประโยชน์กับเราทั้งนั้น ถึงแม้ว่าเราต้องเสียสละบางอย่าง แต่เราจะมีความสุขเสมอถ้าเราเชื่อฟังพระองค์—อสย. 48:17 ห17.06 น. 29 ว. 10-11
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน
ความคาดหวังที่ถูกเลื่อนออกไปทำให้เสียใจ—สภษ. 13:12
ขอคิดถึงพี่น้องหญิงคนหนึ่งในอังกฤษอยากมีลูกมาตลอด เมื่อรู้ว่าเธอไม่สามารถมีลูกได้ เธอรู้สึกแย่มาก เธอกับสามีเลยตัดสินใจรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ถึงอย่างนั้นบางครั้งเธอก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ เธอบอกว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าการมีลูกบุญธรรมก็ไม่เหมือนการมีลูกของตัวเองจริง ๆ” คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าผู้หญิง “จะอยู่รอดปลอดภัยด้วยการมีลูก” (1 ทธ. 2:15) แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงจะมีชีวิตตลอดไปเพราะเธอมีลูก ถ้าอย่างนั้นข้อคัมภีร์นี้หมายความว่าอย่างไร? คนเป็นแม่จะยุ่งมากกับการดูแลลูกและดูแลบ้าน นี่ทำให้เธอไม่มีเวลาไปทำสิ่งไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นการซุบซิบนินทาคนอื่นหรือไปยุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง—1 ทธ. 5:13 ห17.06 น. 5-6 ว. 6-8
วันพุธที่ 26 มิถุนายน
ท่านให้อะไร [พระเจ้า] หรือพระองค์ได้อะไรจากท่าน—โยบ 35:7
เอลีฮูกำลังบอกไหมว่าที่มนุษย์เราพยายามรับใช้พระเจ้าไม่มีค่าอะไรสำหรับพระองค์เลย? ไม่ใช่ ที่เราบอกอย่างนั้นได้เพราะพระยะโฮวาไม่ได้ตำหนิเอลีฮูเหมือนที่ตำหนิผู้ชาย 3 คนนั้น ที่จริง เอลีฮูกำลังหมายความว่าพระยะโฮวาไม่จำเป็นต้องได้รับการนมัสการจากเรา พระยะโฮวามีทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่เราจะทำได้เพื่อให้พระองค์ร่ำรวยขึ้น หรือมีอำนาจมากขึ้น จะว่าไปแล้วคุณลักษณะและความสามารถที่ดีทุกอย่างที่เรามีก็มาจากพระเจ้าทั้งนั้น จริง ๆ แล้วพระองค์คอยสังเกตด้วยว่าเราจะใช้คุณลักษณะเหล่านั้นอย่างไร เมื่อเรารักและทำดีกับคนที่นมัสการพระยะโฮวา พระองค์ก็จะมองว่าการทำอย่างนี้เป็นเหมือนเรากำลังทำดีกับพระองค์ ที่สุภาษิต 19:17 บอกไว้ว่า “คนที่เมตตาคนจนก็เหมือนให้พระยะโฮวายืม พระองค์จะตอบแทนเขาสำหรับสิ่งที่เขาทำ” ทุกครั้งที่เราทำกับคนอื่นด้วยความกรุณาพระยะโฮวาก็สังเกตเห็น และถึงแม้พระองค์จะเป็นผู้สร้างเอกภพ พระองค์ก็ยังมองว่าสิ่งดีที่เราทำกับคนอื่นเป็นเหมือนการให้พระองค์ยืมไป พระเยซูลูกชายของพระองค์ยืนยันว่าพระองค์จะตอบแทนเราด้วยสิ่งดี ๆ มากมาย—ลก. 14:13, 14 ห17.04 น. 29 ว. 3-4
วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน
เขาชื่นชอบกฎหมายของพระยะโฮวา เขาอ่านกฎหมายของพระองค์ด้วยเสียงเบา ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน—สด. 1:2
มีอะไรอีกไหมที่ช่วยเราให้รักความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น? เราต้องไปประชุมเป็นประจำ เพราะที่นั่นเราจะได้รับการสอนจากพระยะโฮวา การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์โดยใช้วารสารหอสังเกตการณ์ เป็นวิธีหลักอย่างหนึ่งที่เราได้รับการสอน ถ้าเราอยากได้รับประโยชน์จากการประชุมนี้อย่างเต็มที่ เราต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น ถ้าในหอสังเกตการณ์ มีข้อคัมภีร์ที่ไม่ได้ยกข้อความขึ้นมา เราก็น่าจะเปิดอ่านทุกข้อด้วย ทุกวันนี้ เราสามารถดาวน์โหลดและอ่านวารสารนี้ได้ง่าย ๆ ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็นมือถือหรือแท็บเล็ต มีการแปลหอสังเกตการณ์ ออกมาหลายภาษาในเว็บไซต์ jw.org และในแอปเจดับเบิลยูไลบรารี (JW Library) ซึ่งช่วยเราให้เปิดข้อคัมภีร์ได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ว่าเราจะอ่านบทความในรูปแบบไหน ถ้าเราอ่านข้อคัมภีร์ทุกข้อ อ่านอย่างละเอียด และคิดอย่างลึกซึ้ง เราก็จะรักความจริงในคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น ห17.05 น. 20 ว. 14
วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน
พระเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินเราแต่ละคนตามการกระทำของเรา—รม. 14:12
หลังจากที่เราปฏิญาณว่าจะรับใช้พระยะโฮวา เราก็ไม่สามารถยกเลิกคำปฏิญาณของเราได้ คนที่ไม่อยากรับใช้พระยะโฮวาหรือใช้ชีวิตแบบคริสเตียนไม่สามารถบอกทีหลังว่าเขาไม่ได้อุทิศตัวให้พระเจ้าจริง ๆ และการบัพติศมาของเขาถือว่าเป็นโมฆะ ถ้าคนที่อุทิศตัวให้พระยะโฮวาแล้วไปทำผิดร้ายแรง เขาจะต้องรับผิดชอบเรื่องนั้นต่อพระยะโฮวาและประชาคม เราไม่อยากเป็นเหมือนคนที่พระเยซูพูดถึงว่า “คุณไม่มีความรักแบบที่คุณมีในตอนแรก” แต่เราอยากให้พระเยซูบอกเราว่า “ผมรู้ว่าคุณทำอะไรบ้าง คุณมีความรัก ความเชื่อ ทำงานรับใช้ และอดทน และผมรู้ด้วยว่าตอนนี้คุณทำมากกว่าเมื่อก่อนอีก” (วว. 2:4, 19) เราอยากให้พระยะโฮวามีความสุขโดยใช้ชีวิตตามที่ได้อุทิศตัวให้กับพระองค์ ห17.04 น. 6-7 ว. 12-13
วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน
พระเจ้าผู้เป็นเหมือนหินที่แข็งแกร่ง สิ่งที่พระองค์ทำดีเยี่ยมไม่มีที่ติ เพราะแนวทางทั้งหมดของพระองค์ยุติธรรม—ฉธบ. 32:4
“พระองค์ผู้พิพากษาโลกทั้งสิ้นจะทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน” (ปฐก. 18:25) อับราฮัมผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์พูดประโยคนี้เพราะเขามั่นใจว่าพระยะโฮวาจะพิพากษาเมืองโสโดมและโกโมราห์ด้วยความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์แบบ อับราฮัมมั่นใจว่าพระยะโฮวา “จะไม่ประหารคนดีให้ตายไปพร้อมกับคนชั่วแน่ ๆ” เขารู้ว่า “พระองค์ไม่มีทางทำอย่างนั้น” เขามั่นใจมากเพราะพระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องความถูกต้องและความยุติธรรม ในภาษาฮีบรูคำว่า “ยุติธรรม” และ “ถูกต้อง” มีความหมายคล้ายกัน จึงมักใช้ 2 คำนี้คู่กันในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู เนื่องจากมาตรฐานของพระยะโฮวาถูกต้องไม่มีที่ติ พระองค์จึงสามารถพิพากษาเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องเสมอ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระองค์รักความถูกต้องและความยุติธรรม”—สด. 33:5 ห17.04 น. 18 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน
สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดก็คือ การได้ยินว่าลูก ๆ ของผมยังใช้ชีวิตตามความจริง—3 ยน. 4
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ตัวอย่างของคุณสำคัญมากหากคุณอยากให้ลูก ๆ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาและมีชีวิตตลอดไป เมื่อลูกเห็นว่าคุณ ‘ให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต’ พวกเขาก็เรียนรู้ที่จะวางใจว่าพระเจ้าจะดูแลให้พวกเขามีสิ่งจำเป็นในชีวิตด้วย (มธ. 6:33, 34) คุณต้องแสดงให้เห็นว่าการรับใช้พระยะโฮวาสำคัญกว่าการมีทรัพย์สินเงินทองมากขึ้น คุณต้องใช้ชีวิตอย่างเจียมตัว ไม่สร้างหนี้ และพยายามมี “ทรัพย์สมบัติในสวรรค์” ซึ่งก็คือการยอมรับจากพระยะโฮวาแทนที่จะหาเงินหาทองหรือได้รับ “คำยกย่องจากมนุษย์” (มก. 10:21, 22; ยน. 12:43) อย่ายุ่งจนไม่มีเวลาให้ลูก บอกให้ลูกรู้ว่าคุณภูมิใจที่เขาให้การปกครองของพระเจ้าสำคัญกว่าการหาชื่อเสียงเงินทองเพื่อตัวเขาเองหรือเพื่อคุณ คุณต้องไม่ทำให้ลูกมีความคิดผิด ๆ ว่าเขาควรเลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีชีวิตที่หรูหราสะดวกสบาย จำไว้ว่า “พ่อแม่ไม่หวังอะไรจากลูก มีแต่จะสะสมไว้ให้ลูก”—2 คร. 12:14 ห17.05 น. 8-9 ว. 3-4