ธันวาคม
วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม
ให้ยินดีต้อนรับกันโดยไม่บ่น—1 ปต. 4:9
ผู้คนในสมัยคัมภีร์ไบเบิลมักจะชวนแขกไปที่บ้านเพื่อเลี้ยงอาหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาต้องการเป็นเพื่อนกันและมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน (ปฐมกาล 18:1-8; ผู้วินิจฉัย 13:15; ลูกา 24:28-30) แล้วใครคือคนที่เราควรแสดงน้ำใจต้อนรับมากที่สุด? ก็ควรจะเป็นพี่น้องในประชาคมของเราจริงไหม? เมื่อโลกนี้กำลังแย่ลงเรื่อย ๆ เราต้องพึ่งพี่น้องของเราและเราต้องเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของพวกเขา ผู้ดูแลหมวดตอนที่เขามาเยี่ยม หรือตอนที่มีโรงเรียนต่าง ๆ ขององค์การ นักเรียนอาจต้องการที่พัก หรืออาสาสมัครก่อสร้างก็อาจต้องการที่พักด้วยเหมือนกัน นอกจากนั้น อาจมีพี่น้องที่เจอภัยพิบัติซึ่งบ้านพวกเขาพังจนอยู่ไม่ได้ พวกเขาอาจต้องการที่พักจนกว่าบ้านจะซ่อมเสร็จ ไม่ว่าในกรณีไหน เราไม่ควรคิดว่าเฉพาะพี่น้องที่มีบ้านหลังใหญ่ ๆ เท่านั้นที่ช่วยได้ พี่น้องเหล่านั้นอาจทำมาเยอะแล้วก่อนหน้านี้ จริง ๆ แล้ว คุณเองก็สามารถให้พี่น้องมาพักได้แม้ว่าที่พักของคุณจะเล็กก็ตาม ห18.03 น. 15 ว. 6 และ น. 16 ว. 9
วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม
คนดีอาจล้มถึงเจ็ดครั้งแต่จะลุกขึ้นมาได้—สภษ. 24:16
อะไรจะช่วยคนที่ทำผิดให้ “ลุกขึ้นมาได้”? ไม่ใช่กำลังของเราเอง แต่เป็นพลังของพระเจ้า (ฟีลิปปี 4:13) ส่วนหนึ่งของผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้าคือการควบคุมตัวเอง นอกจากนั้น การอธิษฐาน การศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และการคิดใคร่ครวญจะช่วยเราด้วย แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ชอบหรือรู้สึกว่ายากที่จะศึกษาส่วนตัวล่ะ? อย่าเพิ่งท้อ ถ้าคุณยอมให้พระยะโฮวาช่วย พระองค์จะช่วยคุณให้ “เพาะความรู้สึกอยากรับถ้อยคำบริสุทธิ์ของพระเจ้า” (1 เปโตร 2:2) อย่างแรก คุณต้องอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณบังคับตัวเองให้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล บางทีคุณอาจเริ่มจากศึกษาโดยใช้เวลาสั้น ๆ ในแต่ละครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะค่อย ๆ รู้สึกว่าการศึกษาส่วนตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น และคุณจะสนุกกับการศึกษามากขึ้น คุณจะรู้สึกรักช่วงเวลาสงบ ๆ ที่ได้ใช้เวลาใคร่ครวญความคิดของพระยะโฮวา—1 ทิโมธี 4:15 ห18.03 น. 29 ว. 5-6
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม
การรับบัพติศมาช่วยพวกคุณให้รอด—1 ปต. 3:21
ก่อนที่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจะรับบัพติศมาได้ เขาต้องเรียนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า ความประสงค์ที่พระองค์มีต่อมนุษย์และโลก และสิ่งที่พระองค์ได้ทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด (1 ทิโมธี 2:3-6) จากนั้นเขาต้องมีความเชื่อซึ่งจะช่วยให้เขาเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าและเลิกทำสิ่งที่พระองค์เกลียด (กิจการ 3:19) เรื่องนี้สำคัญเพราะพระยะโฮวาไม่ยอมรับการอุทิศตัวของคนที่ยังไม่เลิกทำสิ่งที่พระองค์เกลียด (1 โครินธ์ 6:9, 10) แต่ยังมีอะไรมากกว่านั้น คนที่อยากอุทิศชีวิตให้พระยะโฮวาต้องไปประชุม ไปประกาศข่าวดี และสอนคนอื่น ๆ เป็นประจำ นี่เป็นสิ่งที่พระเยซูบอกว่าทุกคนที่ติดตามท่านต้องทำ (กิจการ 1:8) ดังนั้น นักศึกษาต้องทำตามขั้นตอนเหล่านี้ทั้งหมดก่อน เขาถึงจะอธิษฐานเป็นส่วนตัวเพื่ออุทิศชีวิตของเขาให้กับพระยะโฮวาและรับบัพติศมาได้ ห18.03 น. 6 ว. 12
วันพุธที่ 4 ธันวาคม
มารีย์ก็เก็บเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ในใจ—ลก. 2:51
พระยะโฮวาเลือกมารีย์ให้เป็นแม่ของพระเยซูเพราะเธอเป็นคนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้า ลองอ่านคำพูดของมารีย์ตอนที่ไปเยี่ยมเศคาริยาห์กับเอลีซาเบธญาติของเธอดูสิ (ลูกา 1:46-55) เราเห็นว่ามารีย์รักพระคัมภีร์ เธอรู้จักพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูดีมาก (ปฐมกาล 30:13; 1 ซามูเอล 2:1-10; มาลาคี 3:12) ถึงมารีย์กับโยเซฟจะแต่งงานกันแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กันจนพระเยซูเกิด พวกเขาให้ความสำคัญกับงานมอบหมายจากพระเจ้ามากกว่าความต้องการของตัวเอง (มัทธิว 1:25) นอกจากนั้น มารีย์เฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงที่พระเยซูโตขึ้น เธอฟังสิ่งที่ท่านสอน เห็นได้ชัดว่าเธอสนใจคำสัญญาของพระเจ้าเกี่ยวกับเมสสิยาห์มาก เราจะเลียนแบบมารีย์และพยายามเสมอที่จะทำสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำได้ไหม? ห18.02 น. 21 ว. 11
วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม
[โยบ] ทั้งดีทั้งซื่อสัตย์—โยบ 1:8
เราจะเลียนแบบความเชื่อและการเชื่อฟังของโยบได้อย่างไร? ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นอย่างไร เราต้องให้พระยะโฮวาสำคัญที่สุดในชีวิตเสมอ เราต้องไว้ใจและเชื่อฟังพระองค์สุดหัวใจ ที่จริง เรามีเหตุผลที่จะทำแบบนั้นมากกว่าโยบ ลองนึกดูซิ ตอนนี้เรารู้เยอะมากเกี่ยวกับซาตานและวิธีของมัน (2 โครินธ์ 2:11) นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลโดยเฉพาะหนังสือโยบทำให้เรารู้ว่าทำไมพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์ และคำพยากรณ์ของดาเนียลทำให้เรารู้ว่ารัฐบาลของพระเจ้าคือรัฐบาลที่ปกครองโดยพระเยซูคริสต์ (ดาเนียล 7:13, 14) และเรารู้ว่ารัฐบาลนี้จะปกครองทั้งโลกและทำให้ความทุกข์หมดไปเร็ว ๆ นี้ เรื่องที่เกิดกับโยบยังสอนเราด้วยว่าเราต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจเมื่อพี่น้องเจอความทุกข์ พวกเขาอาจพูดอะไรไม่คิดเหมือนโยบ (ปัญญาจารย์ 7:7) เราอย่าคิดไม่ดีกับเขาหรือกล่าวหาเขาว่าไปทำอะไรผิดมาถึงต้องเจอเรื่องร้าย ๆ แบบนี้ แทนที่จะทำแบบนั้น เราน่าจะพยายามเข้าใจคนอื่น ถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะเป็นเหมือนพระยะโฮวาพ่อที่รักของเราซึ่งเป็นพระเจ้าผู้เมตตาสงสาร—สดุดี 103:8 ห18.02 น. 6 ว. 16 และ น. 7 ว. 19-20
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม
พระองค์ถ่อมตัวลง ผมจึงยิ่งใหญ่ขึ้น—สด. 18:35
บางคนกลายเป็นคนหยิ่งเพราะเขาเป็นคนหน้าตาดี มีชื่อเสียง เล่นดนตรีเก่ง แข็งแรง ใคร ๆ ก็ปลื้ม ดาวิดมีสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่เขายังเป็นคนถ่อมตลอดชีวิตของเขา ตัวอย่างเช่น หลังจากที่ดาวิดฆ่าโกลิอัท กษัตริย์ซาอูลจะยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา แต่เขาบอกว่า “ตัวผมเป็นใคร . . . ผมถึงจะได้เป็นลูกเขยกษัตริย์?” (1 ซามูเอล 18:18) เหมือนกับดาวิด ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในทุกวันนี้พยายามเป็นคนถ่อม เรารู้สึกประทับใจจริง ๆ ที่ได้รู้ว่าพระยะโฮวาพระเจ้าองค์สูงสุดเป็นพระเจ้าที่ถ่อม เราอยากทำตามข้อคัมภีร์นี้ที่บอกว่า “ให้ปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ ความกรุณา ความถ่อมตัว ความอ่อนโยน และความอดทนอดกลั้น” (โคโลสี 3:12) เรารู้ด้วยว่าความรัก “ไม่โอ้อวด ไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น” (1 โครินธ์ 13:4) เมื่อคนอื่นเห็นว่าเราถ่อม พวกเขาก็อาจอยากรู้จักพระยะโฮวาด้วย ห18.01 น. 28 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม
พวกเขา . . . อ้อนวอนเราเพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมบริจาค—2 คร. 8:4
อาจมีการบริจาคเพื่อโครงการพิเศษ (กจ. 4:34, 35; 1 คร. 16:2) เช่น ประชาคมของคุณอาจวางแผนจะสร้างหอประชุมใหม่ หรือเราอาจช่วยค่าใช้จ่ายสำหรับการประชุมภูมิภาค หรือพี่น้องในประเทศอื่นเจอภัยธรรมชาติและต้องการความช่วยเหลือจากเรา ไม่แค่นั้น เงินบริจาคของเรายังช่วยมิชชันนารี ไพโอเนียร์พิเศษ ผู้ดูแลหมวด รวมทั้งพี่น้องที่ทำงานในสำนักงานใหญ่และสำนักงานสาขาทั่วโลก เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการบริจาคเพื่อสนับสนุนงานที่องค์การของพระยะโฮวากำลังทำอยู่ในสมัยสุดท้ายนี้ การบริจาคส่วนใหญ่จะไม่ระบุชื่อ เมื่อเราใส่เงินในกล่องบริจาคที่หอประชุมหรือบริจาคออนไลน์ทางเว็บไซต์ jw.org เราจะไม่บอกคนอื่นว่าเราให้เงินเท่าไร แต่บางทีเราอาจรู้สึกว่าเงินบริจาคที่ให้มันน้อยเกินไปจนเอาไปทำอะไรไม่ได้ ความจริงก็คือเงินบริจาคส่วนใหญ่ที่องค์การได้รับมาจากเงินบริจาคจำนวนน้อย ๆ ของหลาย ๆ คนแทนที่จะมาจากเงินบริจาคก้อนใหญ่แค่ไม่กี่ครั้ง ห18.01 น. 19 ว. 10–11
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม
การรับบัพติศมาช่วยพวกคุณให้รอด—1 ปต. 3:21
การรับบัพติศมาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจะได้ความรอดและได้ชีวิตตลอดไป (มัทธิว 28:19, 20) นี่หมายความว่าคุณได้สัญญาว่าจะรักพระยะโฮวาและให้การรับใช้พระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต คุณจะไม่มีวันเสียใจเลยที่ยอมให้พระยะโฮวาชี้นำชีวิตของคุณ คุณลองคิดดู ถ้าคุณไม่ให้พระยะโฮวาชี้นำ คุณก็จะเป็นเหมือนคนทั่วไปในโลกที่ไม่รู้จักพระองค์ พวกเขาต้องเป็นส่วนของโลกซาตาน แต่คุณรู้ไหม? ซาตานไม่แคร์พวกเขาเลย แล้วมันก็ไม่แคร์คุณด้วย จริง ๆ แล้วมันจะมีความสุขถ้าคุณทิ้งพระยะโฮวาไปอยู่ฝ่ายมันและไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไป ลองคิดดูสิว่าพระยะโฮวาได้อวยพรอะไรคุณบ้างเพราะคุณอุทิศตัวให้พระองค์และรับบัพติศมา พอคุณให้ชีวิตทั้งชีวิตกับพระยะโฮวา คุณถึงพูดได้ด้วยความมั่นใจว่า “พระยะโฮวาอยู่ฝ่ายผม ผมจะไม่กลัวอะไร มนุษย์จะทำอะไรผมได้?” (สดุดี 118:6) คุณได้อยู่ฝ่ายพระยะโฮวาและรู้ว่าพระองค์ภูมิใจในตัวคุณ นี่เป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณจริง ๆ ห17.12 น. 23-24 ว. 1-3
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม
อย่าหงุดหงิดแล้วไปทำชั่ว—สด. 37:8
บางครั้งเราอาจรู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่คนอื่นพูดหรือทำ และเราก็อาจทำให้คนอื่นหงุดหงิดด้วย นี่อาจเป็นการทดสอบที่ยากสำหรับเรา แต่มันเป็นโอกาสที่เราจะแสดงว่าเราภักดีต่อพระยะโฮวา ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ง่ายแต่เราควรพยายามเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับพี่น้องอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน พระยะโฮวารักพวกเขาแม้พวกเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ เราก็ต้องทำเหมือนกันด้วย พระยะโฮวาไม่ได้ปกป้องผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ให้เจอการทดสอบ เราเรียนรู้เรื่องนี้ได้จากโยเซฟ ตอนที่โยเซฟยังเป็นหนุ่ม พวกพี่ชายอิจฉาเขาจนขายเขาไปเป็นทาสที่อียิปต์ (ปฐมกาล 37:28) พระยะโฮวารู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับโยเซฟเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของพระองค์และรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นเขาต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้ แต่พระองค์ไม่ได้หยุดสิ่งที่เกิดขึ้น ต่อมา โยเซฟถูกกล่าวหาว่าพยายามข่มขืนภรรยาของโปทิฟาร์และถูกจับเข้าคุก พระยะโฮวาก็ยังไม่ช่วยเขา พระองค์ทิ้งเขาไปเลยไหม? ไม่ใช่ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระยะโฮวาอยู่กับโยเซฟ และพระยะโฮวาช่วยให้ทุกสิ่งที่เขาทำประสบผลสำเร็จ”—ปฐมกาล 39:21-23 ห18.01 น. 9-10 ว. 12-14
วันอังคารที่ 10 ธันวาคม
ถ้าการฟื้นขึ้นจากตายไม่มีจริง พระคริสต์ก็ไม่ได้ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมา—1 คร. 15:13
หลัก ๆ แล้วศาสนาคุณสอนเรื่องอะไร? คุณคงจะตอบว่า คุณเชื่อว่าพระยะโฮวาเป็นผู้สร้างและเป็นผู้ให้ชีวิตเรา คุณคงบอกว่าคุณเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่สละชีวิตเพื่อเป็นค่าไถ่ และแน่นอน คุณคงต้องพูดถึงโลกที่จะเป็นสวนอุทยานในอนาคตที่ประชาชนของพระเจ้าจะอยู่ที่นั่นตลอดไป แต่คุณจะพูดถึงการฟื้นขึ้นจากตายว่าเป็นหนึ่งในคำสอนที่คุณชอบที่สุดไหม? แม้เราหวังว่าจะรอดผ่านความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่และจะอยู่บนโลกตลอดไป แต่เรามีเหตุผลที่ดีที่จะพูดว่าการฟื้นขึ้นจากตายเป็นหนึ่งในคำสอนหลักที่เราเชื่อ ถ้าพระเยซูไม่ได้ฟื้นขึ้นจากตาย ท่านก็ไม่สามารถที่จะปกครองในฐานะกษัตริย์ในสวรรค์ได้ และงานประกาศของเราก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย (1 โครินธ์ 15:12-19) แต่เรารู้ว่าพระเยซูฟื้นขึ้นมาแล้ว และเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าพระเจ้าสามารถปลุกคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้—มาระโก 12:18; กิจการ 4:2, 3; 17:32; 23:6-8 ห17.12 น. 8 ว. 1-2
วันพุธที่ 11 ธันวาคม
คุณ . . . กลับมองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎหมายของโมเสส นั่นคือ ความยุติธรรม ความเมตตา—มธ. 23:23
พวกฟาริสีไม่ได้ตัดสินอย่างที่แสดงความเมตตา พวกเขามองแต่สิ่งที่คนคนนั้นทำแทนที่จะมองที่ตัวตนจริง ๆ ของเขา เมื่อพวกฟาริสีเห็นพระเยซูกินอาหารที่บ้านของมัทธิว พวกเขาถามสาวกว่า “ทำไมอาจารย์ของพวกคุณถึงกินอาหารกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาปล่ะ?” พระเยซูตอบว่า “คนที่สบายดีไม่ต้องไปหาหมอ แต่คนป่วยต้องให้หมอรักษา ไปศึกษาข้อนี้ดูสิที่พระเจ้าบอกว่า ‘เราอยากให้พวกเขาแสดงความเมตตา ไม่ได้อยากให้เอาเครื่องบูชามาถวาย’ ที่ผมมา ไม่ได้มาเพื่อช่วยคนดี แต่มาช่วยคนบาป” (มัทธิว 9:9-13) พระเยซูกำลังมองข้ามความบาปของคนเก็บภาษีและคนบาปไหม? ไม่เลย ท่านอยากให้พวกเขากลับใจ ที่จริง นี่เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ท่านประกาศ (มัทธิว 4:17) พระเยซูรู้ว่ามีบางคนใน “พวกคนเก็บภาษีและคนบาป” ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง พวกเขาไม่ได้ไปที่บ้านของมัทธิวเพื่อกินอาหารเท่านั้น แต่พวกเขาเป็นผู้ติดตามพระเยซู (มาระโก 2:15) น่าเศร้าที่พวกฟาริสีส่วนใหญ่ไม่ได้มองผู้คนแบบเดียวกับที่พระเยซูมอง ห17.11 น. 13 ว. 2 และ น. 16 ว. 15
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม
ให้ปลูกฝังความรัก ความรักผูกพันผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง—คส. 3:14
เรามีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมคริสเตียน การที่เราได้เรียนคัมภีร์ไบเบิลที่การประชุมและได้ช่วยเหลือกันด้วยความรักทำให้เราสนใจไปที่รางวัลเสมอ แต่บางครั้ง ความเข้าใจผิดอาจทำให้เรามีปัญหากับพี่น้อง และถ้าเราไม่แก้ปัญหา มันอาจทำให้เราโกรธเคืองกัน (1 เปโตร 3:8, 9) เราต้องไม่ยอมให้การโกรธเคืองกันทำให้เราพลาดรางวัล เปาโลพูดถึงสิ่งที่คริสเตียนต้องทำ เขาบอกว่า “ในเมื่อพวกคุณเป็นคนที่พระเจ้าเลือกแล้ว เป็นคนบริสุทธิ์และเป็นที่รักของพระองค์ ก็ให้ปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ ความกรุณา ความถ่อมตัว ความอ่อนโยน และความอดทนอดกลั้น แต่ถ้าใครมีสาเหตุจะบ่นคนอื่น ก็ขอให้ทนกันและกัน และให้อภัยกันอย่างใจกว้างต่อไป พวกคุณต้องเต็มใจให้อภัยกันเหมือนที่พระยะโฮวาเต็มใจให้อภัยคุณ นอกจากนั้น ให้ปลูกฝังความรัก เพราะความรักผูกพันผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง”—โคโลสี 3:12, 13 ห17.11 น. 27 ว. 7-8
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม
เขาจะหนีไปที่เมืองไหนก็ได้ในเมืองต่าง ๆ นั้น—ยชว. 20:4
ถ้าชาวอิสราเอลคนหนึ่งฆ่าคนโดยไม่เจตนา เขาต้องรีบไปที่เมืองลี้ภัยและ “ไปยืนที่ทางเข้าประตูเมือง แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกผู้นำในเมืองนั้นฟัง” พวกผู้นำต้องรับคนนั้นเข้าไปในเมืองและให้ที่พักกับเขา หลังจากนั้น พวกผู้นำจะส่งเขากลับไปเมืองที่เกิดเหตุเพื่อให้พวกผู้นำที่นั่นตัดสินคดี (กันดารวิถี 35:24, 25) ถ้าหากพวกผู้นำตัดสินว่าการตายนั้นเป็นอุบัติเหตุจริง พวกเขาจะส่งคนนั้นกลับไปเมืองลี้ภัยที่เขาหนีไปอาศัยอยู่ ทำไมคนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาต้องไปพูดกับพวกผู้นำ? พวกผู้นำมีหน้าที่รักษาชาติอิสราเอลให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ และช่วยให้คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาได้รับความเมตตาจากพระยะโฮวา นักวิชาการด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งเขียนว่า ถ้าผู้ลี้ภัยไม่ไปหาพวกผู้นำ เขาก็อาจจะถูกฆ่า เพราะเขาเลือกเองที่จะไม่ทำตามสิ่งที่พระเจ้าสั่ง ถ้าเขาไม่ไปเมืองลี้ภัยเมืองใดเมืองหนึ่ง ญาติใกล้ชิดที่สุดของคนที่เขาฆ่าก็จะสามารถฆ่าเขาโดยไม่มีความผิด ห17.11 น. 9 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม
ทูตสวรรค์เหล่านั้นทุกองค์ได้รับอำนาจให้รับใช้พระเจ้าไม่ใช่หรือ? พระองค์ใช้พวกเขาไปรับใช้คนที่จะได้รับความรอด—ฮบ. 1:14
ในทุกวันนี้ พระยะโฮวายังใช้ทูตสวรรค์ปกป้องคุ้มครองและให้กำลังประชาชนของพระองค์ (มาลาคี 3:6; ฮีบรู 1:7) ตั้งแต่ปี 1919 ตอนที่ประชาชนของพระยะโฮวาถูกปล่อยออกมาจากการเป็นเชลยของบาบิโลนใหญ่ พวกศัตรูพยายามอย่างมากที่จะหยุดยั้งไม่ให้การนมัสการแท้เติบโตก้าวหน้า (วิวรณ์ 18:4) แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ เพราะพวกทูตสวรรค์ปกป้ององค์การของพระยะโฮวา เราจึงไม่ต้องกลัวว่าประชาชนของพระเจ้าจะต้องตกเป็นเชลยของศาสนาเท็จอีก (สดุดี 34:7) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เรามั่นใจว่าเราจะนมัสการพระเจ้าอย่างมีความสุขต่อ ๆ ไปและได้ทำงานมากมาย กองทัพของพระยะโฮวาอยู่ฝ่ายเรา ในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาจะปกป้องคุ้มครองประชาชนของพระเจ้า และจะทำลายใครก็ตามที่มาต่อต้านการปกครองของพระองค์ (2 เธสะโลนิกา 1:7, 8) วันนั้นจะเป็นวันที่สุดยอดจริง ๆ! ห17.10 น. 28 ว. 10-11
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม
ขอให้เสริมกำลังตัวเองด้วยความเชื่อที่บริสุทธิ์และอธิษฐานโดยให้พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าชี้นำ—ยด. 20
ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งถูกตัดสัมพันธ์หรือตัดตัวเอง อาจเป็นเรื่องยากมากสำหรับคุณ คุณอาจรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกมีดแทง แต่คุณจะอดทนกับความรู้สึกนี้ได้อย่างไร? เป็นเรื่องสำคัญที่จะจดจ่ออยู่กับการนมัสการพระยะโฮวา ถ้าคุณรู้สึกเจ็บปวดแบบนั้น คุณต้องเสริมความเชื่อให้เข้มแข็งโดยอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ เตรียมการประชุม ไปประชุมกับไปประกาศอย่างสม่ำเสมอ และอธิษฐานบ่อย ๆ เพื่อขอกำลังจากพระยะโฮวาช่วยคุณให้อดทน (ยูดา 21) แต่ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแล้วก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอยู่ คุณจะทำอย่างไร? อย่ายอมแพ้! ให้ทำสิ่งเหล่านี้ต่อ ๆ ไป จดจ่ออยู่กับการนมัสการพระยะโฮวา แล้วคุณก็จะควบคุมความคิดและความรู้สึกได้ ผู้เขียนหนังสือสดุดีบท 73 ก็เคยเจอสภาพการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาควบคุมความคิดและความรู้สึกได้ยากเหมือนกัน แต่การนมัสการพระยะโฮวาได้ช่วยเขาให้กลับมามองเรื่องต่าง ๆ อย่างถูกต้องอีกครั้ง (สดุดี 73:16, 17) การทำแบบนั้นก็ช่วยคุณได้เหมือนกัน ห17.10 น. 16 ว. 17-18
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม
ให้รักคนอื่นด้วยความจริงใจ—รม. 12:9
ตอนที่ซาตานคุยกับเอวาในสวนเอเดน สิ่งที่มันพูดดูเหมือนว่าหวังดีกับเธอ แต่สิ่งที่มันทำกลับตรงกันข้าม (ปฐมกาล 3:4, 5) ตอนที่ดาวิดเป็นกษัตริย์ เขามีเพื่อนชื่ออาหิโธเฟล แต่อาหิโธเฟลทรยศดาวิดเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว สิ่งที่เขาทำแสดงว่าเขาไม่ใช่เพื่อนแท้ (2 ซามูเอล 15:31) ในทุกวันนี้ คนที่ออกหากหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคนที่ทรยศพระเจ้า รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่สร้างความแตกแยกในประชาคมก็ชอบ “พูดหวาน ๆ และป้อยอ” (โรม 16:17, 18) คนเหล่านี้อาจทำเป็นห่วงใยคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วเขาคิดถึงแต่ตัวเอง ความรักจอมปลอมเป็นสิ่งที่น่าเกลียดมากเพราะมันเป็นการหลอกลวงคนอื่น เราอาจหลอกมนุษย์ได้ แต่เราหลอกพระยะโฮวาไม่ได้ พระเยซูบอกว่าพวกคนหลอกลวงจะถูกลงโทษ “อย่างหนักที่สุด” (มัทธิว 24:51) ดังนั้น เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ความรักที่ฉันมีเป็นรักแท้ไหม? หรือฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวและหลอกลวงคนอื่น?’ ห17.10 น. 8-9 ว. 6-8
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม
พวกเขามีใจกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้า แต่ขาดความรู้ที่ถูกต้อง—รม. 10:2
ถ้าเราอ่านคัมภีร์ไบเบิลให้เจ้าของบ้านฟัง เราก็กำลังให้พระยะโฮวาพูดกับเขา ไม่ว่าเราจะพยายามพูดอะไรก็ตามข้อคัมภีร์ที่เลือกไว้อย่างดีมีพลังมากกว่าคำพูดของเรา (1 ธส. 2:13) ตอนไปรับใช้ คุณพยายามอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกโอกาสที่คุณทำได้ไหม? แต่การอ่านข้อคัมภีร์ให้เจ้าของบ้านฟังอย่างเดียวก็ยังไม่พอ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายของข้อความในคัมภีร์ไบเบิล เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นเหมือนกันในศตวรรษแรกด้วย เราไม่ควรคิดเองว่าเจ้าของบ้านน่าจะเข้าใจข้อคัมภีร์ที่เราอ่าน แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราควรช่วยเขาโดยอ่านคำสำคัญหรือพูดจุดสำคัญของข้อนั้นซ้ำอีกครั้ง แล้วก็อธิบายความหมาย การทำแบบนี้จะช่วยให้ถ้อยคำของพระเจ้าเข้าถึงความคิดและหัวใจของผู้คนจริง ๆ—ลก. 24:32 ห17.09 น. 25 ว. 7-8
วันพุธที่ 18 ธันวาคม
ให้ . . . เอ็นดูสงสารกัน—1 ปต. 3:8
พระยะโฮวาต้องการให้คริสเตียนแสดงความสงสารคนอื่นและพี่น้องร่วมความเชื่อ (ยน. 13:34, 35) ความหมายหนึ่งของคำว่าความสงสารก็คือ “การทนทุกข์ด้วยกัน” คนที่แสดงความสงสารจะพยายามช่วยคนที่ทนทุกข์ ดังนั้น เราต้องมองหาโอกาสที่จะช่วยคนอื่น เมื่อเราได้เห็นผู้คนทนทุกข์เนื่องจากภัยธรรมชาติ เราอยากแสดงความสงสารพวกเขา ผู้รับใช้ของพระยะโฮวามีชื่อเสียงในเรื่องการช่วยเหลือคนอื่นที่เจอเรื่องแบบนั้น (1 ปต. 2:17) ตัวอย่างเช่น พี่น้องหญิงคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในเขตที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสึนามิในปี 2011 เธอเล่าว่าพอได้เห็นพี่น้องอาสาสมัครจากที่ต่าง ๆ ในญี่ปุ่นกับพี่น้องจากต่างประเทศมาช่วยกันซ่อมแซมบ้านและหอประชุม เธอก็รู้สึก “ดีขึ้นและมีกำลังใจมาก” เธอเล่าต่อไปว่า “ประสบการณ์ครั้งนี้ช่วยให้ฉันรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงเรา และพี่น้องคริสเตียนก็เป็นห่วงกันและกันมาก แล้วยังมีพี่น้องทั้งผู้ชายและผู้หญิงมากมายทั่วโลกที่กำลังอธิษฐานเผื่อพวกเราด้วย” ห17.09 น. 11 ว. 12-13
วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม
ผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า คือ . . . การควบคุมตัวเอง—กท. 5:22, 23
ทำไมเราต้องควบคุมตัวเอง? มีเหตุผลสำคัญอยู่ 2 ข้อ ข้อแรก โดยปกติแล้ว คนที่ควบคุมความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเองได้จะมีปัญหาน้อยกว่าและจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นได้ง่ายกว่า นอกจากนั้น คนที่ควบคุมตัวเองได้จะโกรธน้อยกว่า และวิตกกังวลหรือซึมเศร้าน้อยกว่าคนอื่น ข้อสอง เพื่อที่เราจะเป็นเพื่อนกับพระเจ้าต่อ ๆ ไป เราต้องเอาชนะการล่อใจและต้องควบคุมความต้องการที่ไม่ดีให้ได้ ซึ่งอาดัมกับเอวาไม่ได้ทำแบบนั้นเลย (ปฐก. 3:6) ผู้คนในทุกวันนี้ก็เป็นเหมือนอาดัมกับเอวา พวกเขาต้องเจอกับปัญหามากมายเพราะควบคุมตัวเองไม่ได้ พระยะโฮวารู้ดีว่าเราไม่สมบูรณ์แบบจึงไม่ง่ายที่เราจะควบคุมตัวเอง แต่พระองค์อยากช่วยเราให้เอาชนะความต้องการที่ไม่ดี—1 พก. 8:46-50 ห17.09 น. 3-4 ว. 3-4
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม
ปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่—คส. 3:10
มีช่วงหนึ่งที่ประเทศแอฟริกาใต้ห้ามคนสีผิวต่างกันมาคบหากัน ทำให้พยานฯ ที่มีสีผิวต่างกันไม่ได้รับอนุญาตให้เจอกัน ถึงอย่างนั้น ในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2011 มีพยานฯ มากกว่า 78,000 คนจากหลายเชื้อชาติในแอฟริกาใต้และประเทศใกล้เคียงมาร่วมการประชุมพิเศษในสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ผู้จัดการของสนามกีฬาคนหนึ่งพูดถึงพยานฯ ว่า “ในบรรดาคนที่มาใช้สนามกีฬานี้ พวกพยานฯ มีความประพฤติดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ทุกคนแต่งตัวเรียบร้อย และพวกคุณยังช่วยกันทำความสะอาดสนามกีฬาซะจนสะอาดเอี่ยม แต่ที่ผมประทับใจที่สุดก็คือ พวกคุณนี่มันนานาชาติจริง ๆ” คนอื่นที่ไม่ได้เป็นพยานพระยะโฮวาก็ยังเห็นอย่างชัดเจนว่าสังคมพี่น้องนานาชาติของเรานั้นแตกต่างไม่เหมือนใคร (1 ปต. 5:9) แต่ทำไมเราถึงแตกต่างอย่างมากจากองค์กรอื่น ๆ? เพราะเราพยายามอย่างหนักที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นแบบที่พระยะโฮวาชอบ และโดยทางคัมภีร์ไบเบิลและพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าเราจึงทำอย่างนั้นได้ เรา “ถอดลักษณะนิสัยเก่า” และ “สวมใส่ลักษณะนิสัยใหม่”—คส. 3:9 ห17.08 น. 17-18 ว. 2–3
วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม
พวกคุณก็เหมือนกัน ขอให้อดทนรอ—ยก. 5:8
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าความอดทนมาจากพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าก็เป็นเรื่องยากที่มนุษย์ไม่สมบูรณ์จะอดทนกับความยากลำบากแสนสาหัสได้ ความอดทนเป็นของขวัญที่พระยะโฮวาให้เรา และเราจะพิสูจน์ว่าเรารักพระองค์และคนอื่น ๆ ถ้าเราแสดงคุณลักษณะนี้ แต่เมื่อไรที่เราไม่มีความอดทน ความรักระหว่างเรากับคนอื่น ๆ ก็จะลดน้อยลง (1 คร. 13:4; กท. 5:22) การเป็นคนอดทนหมายถึงอะไร? หมายถึงการทนกับเรื่องที่ไม่ง่ายและยังรักษาความคิดในแง่บวกเอาไว้ได้ (คส. 1:11; ยก. 1:3, 4) การเป็นคนอดทนยังช่วยเราให้รักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร และไม่ตอบโต้เมื่อมีคนทำไม่ดีกับเรา นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเราต้องเต็มใจยอมรับว่าเราต้องรอ นี่คือบทเรียนสำคัญที่เราได้จากยากอบ 5:7, 8 ห17.08 น. 4 ว. 4
วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม
ไม่ต้องกังวล เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะทำให้พวกเจ้าเข้มแข็ง และเราจะช่วยพวกเจ้า—อสย. 41:10
วัยรุ่น! คุณคงเห็นด้วยว่าถ้าคุณคิดจะเดินทาง คุณก็ต้องวางแผนก่อนว่าจะไปที่ไหน ชีวิตเราก็เหมือนการเดินทาง และช่วงวัยรุ่นนี่แหละเป็นเวลาที่ต้องวางแผนชีวิต แน่นอน การวางแผนแบบนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ขอให้มีความกล้า ขออย่าลืมสิ่งที่พระยะโฮวาบอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ พระยะโฮวาอยากให้คุณวางแผนอนาคตให้ดี (ปญจ. 12:1; มธ. 6:20) พระองค์อยากให้คุณมีความสุข คุณแน่ใจเรื่องนี้ได้เมื่อคุณสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์สร้าง กินอะไรอร่อย ๆ และฟังเสียงเพราะ ๆ นอกจากนั้น พระยะโฮวายังสนใจเราในเรื่องอื่น ๆ ด้วย พระองค์ให้คำแนะนำและสอนเราให้รู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดได้อย่างไร แต่สำหรับคนที่ไม่ยอมทำตามคำแนะนำของพระองค์ พระองค์จะไม่ชอบ พระองค์พูดกับคนพวกนั้นว่า “พวกเจ้าเลือกทำแต่สิ่งที่เราไม่พอใจ” และพระองค์บอกอีกว่า “ผู้รับใช้ของเราจะมีความสุขความยินดี แต่พวกเจ้าจะอับอาย ดูสิ ผู้รับใช้ของเราจะโห่ร้องด้วยความยินดีเพราะพวกเขามีใจชื่นบาน” (อสย. 65:12-14) ถ้าเราเลือกอย่างฉลาดและใช้ชีวิตตามที่เราตัดสินใจนั้นอย่างดี เราก็ทำให้พระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญ—สภษ. 27:11 ห17.07 น. 22 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม
[พระยะโฮวา] เรียกชื่อดาวทุกดวง—สด. 147:4
พระองค์ก็รู้จักคุณด้วย ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนพระองค์ก็รู้ ไม่ใช่แค่นั้นพระองค์ยังรู้ด้วยว่าคุณรู้สึกอย่างไรและต้องการอะไรจริง ๆ พระยะโฮวาเข้าใจว่าคุณกำลังเจอกับอะไร และพระองค์มีอำนาจที่จะช่วยคุณรับมือกับปัญหาต่าง ๆ (สด. 147:5) คุณอาจรู้สึกว่าปัญหาที่คุณเจอนั้นยากเกินกว่าที่จะรับมือไหว แต่พระเจ้าเข้าใจขีดจำกัดของพวกเราและ “ไม่ลืมว่าพวกเราเป็นแค่ดิน” (สด. 103:14) เราไม่สมบูรณ์แบบ เราอาจทำผิดพลาดแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก และเราอาจท้อแท้ เราอาจมานั่งเสียใจกับคำพูดบางอย่างที่เราได้พูดออกไป หรือเสียใจที่เรามีความต้องการผิด ๆ หรือมีความอิจฉา ถึงแม้ว่าพระยะโฮวาไม่มีข้ออ่อนแออะไร แต่พระองค์เข้าใจความรู้สึกทุกอย่างของเรา (อสย. 40:28) คุณเคยเจอกับตัวเองไหมว่าพระยะโฮวาใช้พลังอำนาจของพระองค์ช่วยคุณให้รับมือกับปัญหาและฟื้นตัวได้?—อสย. 41:10, 13 ห17.07 น. 18-19 ว. 6-8
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม
ใคร ๆ ก็อวยพรคนที่โอบอ้อมอารี—สภษ. 22:9
พี่น้องชายคนหนึ่งในประเทศศรีลังกาให้ใช้บ้านและที่ดินของเขาสำหรับการประชุมประชาคม การประชุมใหญ่ และยังให้ผู้รับใช้เต็มเวลามาพักด้วย พี่น้องคนนี้สละทรัพย์สมบัติของเขา การทำอย่างนี้เป็นการช่วยพี่น้องที่ไม่ค่อยมีเงินได้มากจริง ๆ ในที่อื่น ๆ ที่งานของเราถูกสั่งห้าม พี่น้องหลายคนให้ใช้บ้านของพวกเขาจัดการประชุม นี่ทำให้พี่น้องไพโอเนียร์และคนอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยมีเงินมีสถานที่ประชุมโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าพี่น้องหญิงคนหนึ่งชอบบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนงานที่เกี่ยวกับรัฐบาลของพระเจ้า เธอเล่าว่า “มันแปลกมากเลย หลายปีมานี้ยิ่งฉันเป็นคนใจกว้างมีน้ำใจให้คนอื่น ใจของฉันก็ยิ่งเปิดกว้างและพยายามจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น และนี่ทำให้ฉันยอมรับคำแนะนำได้ง่ายขึ้น รับมือกับความผิดหวังได้ดีขึ้น แถมยังให้อภัยและอดทนกับคนอื่นมากขึ้นด้วย” ห17.07 น. 9 ว. 9-10
วันพุธที่ 25 ธันวาคม
พระยะโฮวาจึงพูดกับซาตานว่า “เอาละ เจ้าจะทำอะไรกับสิ่งที่เขามีก็ได้”—โยบ 1:12
ถึงแม้ว่าโยบอาจเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องเจอความทุกข์ แต่อาจมีบางครั้งที่เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพระยะโฮวายอมให้เขาต้องทนทุกข์มากขนาดนั้น แต่เมื่อไรที่ความคิดแบบนั้นผุดขึ้นมา โยบคงคิดถึงคำแนะนำของพระยะโฮวา การทำอย่างนั้นจะช่วยให้เขารักษามุมมองที่ถูกต้อง ทำให้เขามีกำลังใจและรู้สึกดีขึ้นได้ (สด. 94:19) การคิดใคร่ครวญเรื่องของโยบสามารถช่วยเราให้มีกำลังใจและช่วยปรับความคิดของเราให้มีมุมมองที่ถูกต้อง พระยะโฮวาให้มีการเขียนหนังสือโยบเพราะ “ทุกสิ่งที่เขียนไว้นานมาแล้วในพระคัมภีร์ก็เขียนไว้เพื่อสอนเรา เราจะได้มีความหวังเพราะพระคัมภีร์ช่วยให้เราอดทนและมีกำลังใจ” (รม. 15:4) ตัวอย่างของโยบให้บทเรียนกับเราว่า เราไม่ควรคิดถึงปัญหาของตัวเองมากเกินไปจนลืมประเด็นสำคัญซึ่งก็คือการพิสูจน์สิทธิการปกครองของพระยะโฮวา และเราสามารถแสดงว่าเราสนับสนุนสิทธิการปกครองของพระยะโฮวาเหมือนกับโยบได้โดยรักษาความซื่อสัตย์แม้ต้องเจอความยากลำบาก ห17.06 น. 24 ว. 9 และ น. 25 ว. 13-14
วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม
ไปหาที่ส่วนตัวห่างไกลผู้คนกันเถอะ จะได้พักสักหน่อย—มก. 6:31
พระเยซูรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สาวกจะต้องพักผ่อนด้วย ตัวอย่างเช่น หลังจากที่พวกเขาทำงานหนักในการประกาศ พระเยซูบอกพวกเขาตามที่อ่านไปแล้ว เราจำเป็นต้องมีการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เราได้พักและรู้สึกดีขึ้น แต่เราต้องระวังเพราะเราอาจจะชอบสิ่งเหล่านี้มากจนกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา ในศตวรรษแรก หลายคนมีความคิดว่า “มากินมาดื่มกันดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เราก็จะตาย” (1 คร. 15:32) คนในทุกวันนี้ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน อะไรจะช่วยเราให้มีความสมดุลในเรื่องนี้? วิธีหนึ่งก็คือ เราน่าจะลองเขียนออกมาว่าเราใช้เวลากี่ชั่วโมงในแต่ละอาทิตย์เพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับใช้พระยะโฮวา จากนั้น เราก็เขียนว่าเราใช้เวลากี่ชั่วโมงในอาทิตย์นั้นสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิง อาจจะเป็นการเล่นกีฬา ดูทีวี หรือเล่นวีดีโอเกม เราจะเห็นวิธีที่เราใช้เวลาและเห็นว่าเราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน คุณคิดว่าคุณต้องเปลี่ยนอะไรไหม?—อฟ. 5:15, 16 ห17.05 น. 24-25 ว. 11-13
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม
รัฐบาลสวรรค์ยังเปรียบเหมือนพ่อค้าที่เดินทางไปหาไข่มุกเม็ดงาม—มธ. 13:45
พระเยซูยกตัวอย่างเปรียบเทียบเกี่ยวกับพ่อค้าคนหนึ่งที่เจอไข่มุกที่มีค่ามาก เขาอยากได้มันมาก เขาจึงไปขายทุกสิ่งที่มีเพื่อจะซื้อไข่มุกเม็ดนั้น คุณนึกภาพออกไหมว่าไข่มุกนั้นมีค่าขนาดไหนสำหรับเขา? เราได้เรียนว่ารัฐบาลของพระเจ้าเป็นเหมือนไข่มุกที่มีค่ามาก ถ้าเรารักรัฐบาลของพระเจ้าเท่ากับที่พ่อค้าเห็นค่าไข่มุกเม็ดนั้น เราก็จะเต็มใจเสียสละอะไรก็ตามเพื่อจะได้เข้ามาอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลพระเจ้า และพยายามทำทุกอย่างเพื่อจะยังอยู่ใต้รัฐบาลนั้นต่อ ๆ ไป (มโก. 10:28-30) ตัวอย่างเช่น ศักเคียส เขาร่ำรวยเพราะโกงเงินคนอื่น (ลก. 19:1-9) แต่วันหนึ่งศักเคียสได้ยินพระเยซูพูดเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า เขาชอบเรื่องนั้นมากจนอยากจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองทันที ศักเคียสบอกว่า “อาจารย์ครับ ผมจะบริจาคทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้คนจน ส่วนคนที่ผมเคยโกงเขามา ผมจะคืนให้เขา 4 เท่า” ศักเคียสคืนเงินที่โกงมาจากคนอื่นและเลิกเป็นคนโลภ ห17.06 น. 10 ว. 3-5
วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม
สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดก็คือ การได้ยินว่าลูก ๆ ของผมยังใช้ชีวิตตามความจริง—3 ยน. 4
พี่น้องที่ถูกขอให้ช่วยควรสอนให้เด็ก ๆ นับถือพ่อแม่ พวกเขาควรพูดถึงพ่อแม่ของเด็กในแง่ดีและไม่ทำตัวเป็นพ่อแม่ซะเอง นอกจากนั้น คนที่มาช่วยไม่ควรทำให้คนอื่นไม่ว่าจะเป็นคนในประชาคมหรือนอกประชาคมเข้าใจผิดคิดว่ามีการทำอะไรเสีย ๆ หาย ๆ (1 ปต. 2:12) และถึงแม้พ่อแม่อาจขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่พ่อแม่ก็ยังมีหน้าที่สอนความจริงกับลูก พวกเขาต้องคอยดูว่าพี่น้องคนอื่น ๆ ช่วยลูกของเขาอย่างไร คุณที่เป็นพ่อแม่ คุณต้องอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและพยายามทำให้ดีที่สุด (2 พศ. 15:7) คุณต้องช่วยลูกให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวา ให้สิ่งนี้สำคัญกว่าความชอบของคุณเอง คุณต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้คำสอนของพระเจ้าอยู่ในหัวใจลูก ขอให้คุณหวังไว้เสมอว่าลูกของคุณจะเข้ามาเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา ห17.05 น. 12 ว. 19-20
วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม
ผมไม่มีวันยกมรดกของบรรพบุรุษให้ท่านแน่ ๆ เพราะพระยะโฮวาไม่ให้ทำอย่างนั้น—1 พก. 21:3
คนเลวสองคนกล่าวหาปรักปรำผู้ชายคนหนึ่งว่าทำความผิดร้ายแรง ทั้ง ๆ ที่พวกเขาพูดโกหกแต่ผู้ชายคนนั้นกลับถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกลงโทษ ลองคิดดูว่าคนที่รักความยุติธรรมจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องทนเห็นผู้บริสุทธิ์และลูก ๆ ของเขาถูกหินขว้างตายต่อหน้าต่อตา นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับนาโบทผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวา นาโบทมีชีวิตอยู่ในสมัยที่กษัตริย์อาหับปกครองอิสราเอล (1 พก. 21:11-13; 2 พก. 9:26) เมื่อกษัตริย์อาหับยื่นข้อเสนอกับนาโบทว่าจะซื้อสวนองุ่นของนาโบท หรือไม่ก็เอาสวนองุ่นที่ดีกว่าไปแลก แต่นาโบทไม่รับข้อเสนอทั้งสองอย่างนั้น เพราะอะไร? นาโบทไม่ยอมรับข้อเสนอเพราะการทำอย่างนั้นผิดกฎหมายของพระยะโฮวา ชาวอิสราเอลจะเอาที่ดินมรดกของครอบครัวมาขายขาดให้คนอื่นไม่ได้ (ลนต. 25:23; กดว. 36:7) เห็นได้ชัดว่านาโบทเชื่อฟังพระยะโฮวาจริง ๆ ห17.04 น. 23 ว. 1 และ น. 24 ว. 4
วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม
อีกหน่อยจะไม่มีคนชั่วเลย ถึงจะมองหาในที่ที่พวกเขาเคยอยู่ คุณก็จะไม่เจอพวกเขา—สด. 37:10
ใครจะยังอยู่ตอนที่คนชั่วหมดไป? พระยะโฮวาสัญญาว่า “คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนจะได้อยู่ในโลก พวกเขาจะชื่นชมยินดีและมีแต่ความสงบสุข” และในสดุดีบทเดียวกันก็บอกอีกว่า “คนดีจะได้อยู่ในโลก พวกเขาจะได้อยู่ในโลกตลอดไป” (สด. 37:11, 29) ใครคือ “คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน” และ “คนดี” ที่พูดถึงในข้อเหล่านี้? คนอ่อนน้อมถ่อมตนคือคนที่ถ่อมตัวพร้อมจะเรียนรู้จากพระยะโฮวาและเชื่อฟังพระองค์ ส่วนคนดีก็คือคนที่ชอบทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาพระเจ้า ในโลกทุกวันนี้มีคนชั่วมากกว่าคนดี แต่ในโลกใหม่จะมีแต่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนและคนดี พวกเขาจะทำให้โลกนี้เป็นสวนอุทยาน ห17.04 น. 10-11 ว. 5-6
วันอังคารที่ 31 ธันวาคม
อย่ากีดกันสิ่งดี ๆ ไว้ . . . ในเมื่อลูกมีกำลังที่จะช่วยเขาได้—สภษ. 3:27
ถ้าเรา “รักพระเจ้า” เราจะแสดงความรักต่อพี่น้องโดยเฉพาะตอนที่พวกเขาต้องเจอกับความยากลำบาก (1 ยน. 3:17, 18) ตัวอย่างเช่น ตอนที่มีการขาดแคลนอาหารในสมัยศตวรรษแรก พี่น้องในยูเดียต้องการความช่วยเหลือ ประชาคมจึงจัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ไปช่วยเหลือพวกเขา (กจ. 11:28, 29) อัครสาวกเปาโลและเปโตรยังกระตุ้นให้คริสเตียนมีน้ำใจต้อนรับแขก (รม. 12:13; 1 ปต. 4:9) ถ้าคริสเตียนยังรักและต้อนรับพี่น้องที่มาจากที่อื่น พวกเขาก็ยิ่งต้องรักพี่น้องที่ตกอยู่ในอันตรายหรือกำลังถูกข่มเหงเพราะความเชื่อ เมื่อไม่นานมานี้ พยานพระยะโฮวาจำนวนมากถูกบังคับให้ย้ายออกจากบ้านเกิดเนื่องจากสงครามและการถูกกดขี่ในยูเครนตะวันออก น่าเศร้าที่พี่น้องของเราบางคนถูกฆ่า แต่พี่น้องส่วนใหญ่ที่ลี้ภัยได้รับการต้อนรับจากพี่น้องในส่วนอื่นของประเทศยูเครนและรัสเซีย พี่น้องในสองประเทศนี้รักษาความเป็นกลาง พวกเขา “ไม่ได้เป็นคนของโลก” และพวกเขาประกาศ “ข่าวดีเกี่ยวกับคำสอนของพระเจ้า” ต่อ ๆ ไปอย่างกระตือรือร้น—ยน. 15:19; กจ. 8:4 ห17.05 น. 4 ว. 6-7