พฤศจิกายน
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน
ให้ปฏิเสธการทำชั่วและความต้องการแบบโลก และ . . . ให้ใช้ชีวิต . . . อย่างมีเหตุผล ทำสิ่งที่ถูกต้อง และมีความเลื่อมใสพระเจ้า—ทต. 2:12
เมื่อเราสอนตัวเอง เราจะควบคุมสิ่งที่เราคิดและทำเพื่อจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น เราไม่ได้เกิดมาแล้วสามารถสอนตัวเองและควบคุมตัวเองได้โดยอัตโนมัติ เราต้องเรียนรู้ที่จะทำอย่างนั้น ตอนที่พ่อแม่ช่วยลูกต่อ ๆ ไปและอดทนฝึกลูก “ด้วยคำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา” พวกเขาก็กำลังช่วยลูกให้สอนตัวเอง ควบคุมตัวเองได้และมีสติปัญญา (เอเฟซัส 6:4) เหมือนกัน คนที่มารู้จักพระยะโฮวาตอนโต ถึงเขาอาจสอนตัวเองและควบคุมตัวเองอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ พอเขาเริ่มสวมใส่ “ลักษณะนิสัยใหม่” และพยายามเป็นเหมือนพระคริสต์ มันก็จะช่วยให้เขาเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น (เอเฟซัส 4:23, 24) นี่จะช่วยให้คนเรามี “ลักษณะนิสัยใหม่” ห18.03 น. 29 ว. 3-4
วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน
ให้มีน้ำใจต้อนรับแขก—รม. 12:13
พระยะโฮวาและองค์การของพระองค์เป็นเจ้าภาพเชิญเรามาประชุมร่วมกัน เราอยากให้ทุกคนที่เข้ามาการประชุมรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนใหม่ ๆ เพิ่งมาครั้งแรก (โรม 15:7) พวกเขาเป็นแขกของพระยะโฮวาและเราเป็นเจ้าภาพร่วมกับพระองค์ ดังนั้น เราต้องทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจและต้อนรับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรหรือแต่งตัวแบบไหน (ยากอบ 2:1-4) ถ้าคุณเห็นคนใหม่ที่ไม่รู้จักใครมาร่วมประชุม คุณจะชวนเขามานั่งกับคุณได้ไหม? เขาคงจะรู้สึกขอบคุณถ้าคุณช่วยเปิดคัมภีร์ไบเบิลและช่วยให้เขาตามการประชุมทัน นี่เป็นวิธีที่ดีมากในการ “มีน้ำใจต้อนรับแขก” บางครั้งมีผู้บรรยายจากที่อื่นมาที่ประชาคมเรา พวกเขาอาจจะเป็นพี่น้องจากประชาคมอื่น เป็นผู้ดูแลหมวด หรือตัวแทนจากเบเธล เราจะถือโอกาสแสดงน้ำใจต้อนรับแขกเหล่านี้ได้ไหม? (3 ยอห์น 5-8) วิธีหนึ่งที่เราสามารถทำได้คือชวนเขาไปกินข้าวหรือของว่างด้วยกัน คุณจะทำอย่างนั้นได้ไหม? ห18.03 น. 15 ว. 5, 7
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน
มีอะไรไหมที่ทำให้ผมยังรับบัพติศมาไม่ได้?—กจ. 8:36
ขอพิจารณาตัวอย่างหนึ่งคือผู้ชายชาวยิวชื่อเซาโลซึ่งเคยข่มเหงคริสเตียน เขาเกิดในชาติยิวที่ได้อุทิศให้กับพระยะโฮวา แต่เพราะชาตินั้นไม่เชื่อฟัง พระองค์จึงไม่ยอมรับชาตินั้น แต่เซาโลยังเชื่อว่าชาวยิวรับใช้พระเจ้าอย่างถูกต้องอยู่ เขาจึงข่มเหงคริสเตียน วันหนึ่ง พระเยซูซึ่งฟื้นขึ้นจากตายได้พูดกับเซาโลจากสวรรค์ ตอนนั้นเขาคิดว่าพระเยซูตายไปแล้ว พอเขาได้ยินที่ท่านพูด เขาทำอย่างไร? เขายินดีรับความช่วยเหลือจากอานาเนีย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า เขา “รับบัพติศมา” (กิจการ 9:17, 18; กาลาเทีย 1:14) ต่อมาเขาเป็นที่รู้จักในฐานะอัครสาวกเปาโล ขอสังเกตว่า ทันทีที่เปาโลรู้ว่าพระเยซูคือคนที่พระเจ้าใช้ให้ทำตามความประสงค์ของพระองค์ เขาก็รับบัพติศมาโดยไม่ลังเล (กิจการ 22:12-16) นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ห18.03 น. 5-6 ว. 9-11
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน
เมื่อก่อนผมไม่สามารถพูดกับพวกคุณเหมือนพูดกับคนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้า แต่ต้องพูดกับพวกคุณเหมือนพูดกับคนที่คิดแบบโลก—1 คร. 3:1
ชีวิตของยาโคบไม่ใช่ว่าจะสบาย เอซาวพี่ชายของเขาอยากจะฆ่าเขา แถมพ่อตาก็โกงเขาหลายครั้ง แต่ยาโคบยังเชื่อมั่นในคำสัญญาที่พระยะโฮวาให้กับอับราฮัม (1 โครินธ์ 2:14-16) ยาโคบรู้ว่าครอบครัวของเขาจะมีส่วนในการทำให้คำพยากรณ์นี้เป็นจริง ยาโคบจึงดูแลพวกเขาอย่างดี (ปฐมกาล 28:10-15) ถึงรอบ ๆ ตัวยาโคบจะมีแต่คนที่คิดแบบโลก แต่เขาก็ยังเป็นคนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้า เขาไม่เคยลืมคำสัญญาของพระองค์เลย ตัวอย่างเช่น ตอนที่ยาโคบกลัวว่าพี่ชายจะมาจัดการเขา เขาขอพระยะโฮวาให้ช่วยเขาและอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “พระองค์บอกไว้ว่า ‘เราจะให้เจ้าได้รับสิ่งดี ๆ และเราจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมายจนนับไม่ถ้วนเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล’” (ปฐมกาล 32:6-12) เราเห็นชัดเจนว่า ยาโคบเชื่อมั่นในคำสัญญาของพระยะโฮวา เขาใช้ชีวิตตามความต้องการของพระเจ้าและทำสิ่งที่สอดคล้องกับความประสงค์ของพระองค์ ห18.02 น. 20 ว. 9-10
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน
เขาทั้งดีทั้งซื่อสัตย์ เป็นคนเกรงกลัวพระเจ้าและไม่ทำชั่ว—โยบ 1:8
โยบต้องเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ตอนแรก โยบ “ร่ำรวยกว่าใครในดินแดนทางตะวันออกทั้งหมด” (โยบ 1:3) เขารวยมาก ใคร ๆ ก็รู้จักและนับถือเขามาก (โยบ 29:7-16) ถึงอย่างนั้น โยบไม่ได้คิดว่าเขาดีกว่าคนอื่น และไม่ได้รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า เรารู้อย่างนี้เพราะพระยะโฮวาเรียกเขาว่า “ผู้รับใช้ของเรา” ซาตานเล่นงานโยบอย่างชั่วร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า มันทำให้เขาคิดว่าสิ่งที่เขาเจอมาจากพระเจ้า (โยบ 1:13-21) หลังจากนั้นผู้ชาย 3 คนซึ่งอ้างว่าเป็นเพื่อนที่ดีของโยบก็พูดทำร้ายจิตใจโยบ พวกเขาบอกว่าโยบทำชั่วเลยถูกพระเจ้าลงโทษ (โยบ 2:11; 22:1, 5-10) ถึงโยบจะเจอเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ เขายังซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวา หลังจากที่เหตุการณ์แย่ ๆ จบลง พระยะโฮวาเอาสิ่งที่โยบเคยมีคืนให้กับเขา 2 เท่า และให้เขามีชีวิตต่อไปอีก 140 ปี ในช่วงนั้น โยบรับใช้พระยะโฮวาต่อไปอย่างสุดหัวใจ—ยากอบ 5:11 ห18.02 น. 6 ว. 16 และ น. 7 ว. 18
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน
คนจะ . . . ชอบโอ้อวด เย่อหยิ่ง . . . อวดดี—2 ทธ. 3:2, 4
คนที่มีนิสัยแบบนี้ชอบคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเพราะรูปร่างหน้าตา ความสามารถ หน้าที่การงาน และทรัพย์สมบัติที่เขามี คนแบบนี้อยากได้คำชมมากกว่าอะไรทั้งหมด ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งบอกว่า “ในใจของเขาเหมือนกับมีแท่นบูชาเล็ก ๆ ที่เขาก้มกราบตัวเอง” บางคนบอกว่าความหยิ่งมันน่าเกลียดมาก แม้แต่คนหยิ่งก็ไม่ชอบที่จะเห็นคนอื่นหยิ่ง พระยะโฮวาเกลียดความหยิ่ง คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระองค์เกลียดชัง “ตาที่เย่อหยิ่ง” (สุภาษิต 6:16, 17) ความหยิ่งทำให้คนเราห่างเหินจากพระเจ้า (สดุดี 10:4) ความหยิ่งเป็นนิสัยของซาตาน (1 ทิโมธี 3:6) ความจริงที่น่าเศร้าก็คือแม้แต่บางคนที่เป็นผู้รับใช้ที่ภักดีของพระยะโฮวาก็อาจติดเชื้อความหยิ่งได้ ตัวอย่างเช่น กษัตริย์อุสซียาห์ปกครองยูดาห์ เขารับใช้อย่างซื่อสัตย์มาหลายปี แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เมื่อเขาแข็งแกร่งแล้ว เขาก็กลายเป็นคนหยิ่งจนทำให้เขาต้องพินาศ เขาทำสิ่งที่พระยะโฮวาพระเจ้าห้าม” อุสซียาห์เข้าไปในวิหารของพระยะโฮวาเพื่อเผาเครื่องหอมทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีสิทธิ์ ต่อมา กษัตริย์เฮเซคียาห์ก็กลายเป็นคนหยิ่งด้วย แม้เขาจะเป็นอย่างนั้นแค่ช่วงหนึ่ง—2 พงศาวดาร 26:16; 32:25, 26 ห18.01 น. 28 ว. 4-5
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน
ให้แต่ละคนกันเงินไว้บ้างตามกำลังของตัวเอง—1 คร. 16:2
เราเรียนจากคัมภีร์ไบเบิลว่า ประชาชนของพระยะโฮวาในอดีตได้บริจาคเพื่อสนับสนุนงานของพระองค์ บางครั้งพวกเขาบริจาคเพื่อโครงการพิเศษ (อพยพ 35:5; 2 พงศ์กษัตริย์ 12:4, 5; 1 พงศาวดาร 29:5-9) ในศตวรรษแรก เนื่องจากคริสเตียนรู้ว่ามีการขาดแคลนอาหารในแคว้นยูเดียและพี่น้องที่นั่นก็ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะส่งสิ่งของต่าง ๆ ไปให้ (กิจการ 11:27-30) สิ่งที่ให้อาจเป็นได้หลายอย่าง ในศตวรรษแรก คริสเตียนบางคนขายทรัพย์สินของตัวเอง เช่น ที่ดินหรือบ้าน แล้วเอาเงินไปให้พวกอัครสาวก พวกอัครสาวกจึงใช้เงินนั้นช่วยพี่น้องที่ต้องการความช่วยเหลือ (กิจการ 4:34, 35) ส่วนคริสเตียนคนอื่น ๆ ก็กันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นประจำเพื่อสนับสนุนการนมัสการ ดังนั้น ทุกคนตั้งแต่คนที่รวยมากจนถึงคนที่จนมากต่างก็สามารถให้ได้เหมือนกัน—ลูกา 21:1-4 ห18.01 น. 18 ว. 7 และ น. 19 ว. 9
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน
ขนาดเด็ก ๆ ก็ยังเหนื่อยและหมดแรง—อสย. 40:30
แม้เราจะมีความสามารถหลายอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะทำทุกอย่างได้ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องเรียนรู้ เหมือนกับตัวอย่างของเปาโล เขาทำอะไรได้หลายอย่าง แต่เขาก็ไม่สามารถทำทุกอย่างที่อยากทำ ตอนที่เขาบอกพระยะโฮวาว่ารู้สึกอย่างไร พระองค์บอกเขาว่า “เมื่อเจ้าอ่อนแอ พลังอำนาจของเราก็แสดงได้อย่างเต็มที่” เปาโลเข้าใจที่พระยะโฮวาบอก เขาจึงพูดว่า “เมื่อไรที่ผมอ่อนแอ ผมกลับยิ่งเข้มแข็งขึ้น” (2 โครินธ์ 12:7-10) เปาโลหมายถึงอะไร? เปาโลรู้ดีว่า เขาไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยกำลังของตัวเอง เขาต้องการความช่วยเหลือจากคนที่มีพลังอำนาจมากกว่าเขาเยอะมาก พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าสามารถให้กำลังกับเปาโลตอนที่เขารู้สึกอ่อนแอ ไม่ใช่แค่นั้น พลังนี้สามารถทำให้เปาโลมีกำลังที่จะทำสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เราก็เป็นแบบนั้นได้ เมื่อพระยะโฮวาให้พลังบริสุทธิ์กับเรา เราจะเข้มแข็งแน่นอน ห18.01 น. 9 ว. 8-9
วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน
คุณรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ยังเป็นทารก ซึ่งให้สติปัญญาที่จะทำให้คุณรอดได้—2 ทธ. 3:15
เมื่อลูกแสดงออกว่าอยากจะรับบัพติศมา พ่อแม่ต้องอ่านและศึกษาสิ่งต่าง ๆ ที่องค์การของพระยะโฮวาจัดเตรียมให้พ่อแม่ จากนั้น พ่อแม่ต้องค่อย ๆ คุยกับลูกและหาเวลาเหมาะ ๆ ที่จะเน้นกับเขาว่า การตัดสินใจอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาและรับบัพติศมาเป็นเรื่องจริงจังมาก แต่เขาจะได้รับพรมากมายด้วย ในฐานะพ่อแม่ คุณมีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญและสิทธิพิเศษที่จะเลี้ยงดูลูกด้วย “คำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา” (เอเฟซัส 6:4) นี่หมายความว่า คุณต้องสอนเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับลูก และช่วยเขาให้มั่นใจในสิ่งที่เรียน เมื่อความเชื่อของเขาเข้มแข็งขึ้น เขาก็จะตัดสินใจอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาและให้สิ่งดีที่สุดกับพระองค์ ขอให้คัมภีร์ไบเบิล พลังของพระยะโฮวาและความพยายามของคุณช่วยลูกให้มี ‘สติปัญญาที่ทำให้รอด’ ห17.12 น. 22 ว. 17, 19
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน
คุณจะลุกขึ้นมารับส่วนแบ่งของคุณเมื่อถึงเวลา—ดนล. 12:13
พอดาเนียลอายุเกือบ 100 ปีและใกล้จะตาย ดาเนียลหวังไหมว่าเขาจะกลับมามีชีวิตอีก? เขาหวังอย่างนั้นแน่ ๆ ตอนท้ายของหนังสือดาเนียล เราอ่านสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเขาว่า “ส่วนคุณ ขอให้มั่นคงจนถึงที่สุด คุณจะได้พักผ่อน” ดาเนียลรู้ว่าความตายเป็นเหมือนการพักผ่อน และรู้ว่าอีกไม่นานเขาจะลงไปในหลุมศพซึ่งเป็นที่ที่ ‘ไม่มีโครงการ ความรู้ หรือสติปัญญาใด ๆ ทั้งสิ้น’ (ปัญญาจารย์ 9:10) แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของดาเนียล พระยะโฮวาได้สัญญาสิ่งที่ดีเยี่ยมกับเขาในอนาคต ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาบอกเขาในข้อคัมภีร์วันนี้ ดาเนียลไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่สิ่งที่เขารู้ก็คือ เขาจะตายและได้พักผ่อน เมื่อดาเนียลได้ยินคำสัญญาที่ว่า “คุณจะลุกขึ้นมารับส่วนแบ่งของคุณ” เขาเข้าใจทันทีว่าจะมีการฟื้นขึ้นจากตาย “เมื่อถึงเวลา” ในอนาคต ซึ่งจะเกิดขึ้นอีกนานหลังจากที่เขาตาย ห17.12 น. 7 ว. 17-18
วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน
พยานปากเดียวไม่เพียงพอที่จะตัดสินประหารชีวิตคนนั้นได้—กดว. 35:30
พระยะโฮวาสั่งให้พวกผู้นำชาวอิสราเอลเลียนแบบความยุติธรรมของพระองค์ อย่างแรก พวกผู้นำต้องรู้ก่อนว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดเป็นอย่างไร จากนั้น ก่อนที่พวกผู้นำจะตัดสินว่าจะแสดงความเมตตาหรือไม่ พวกเขาต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบว่าคนที่ก่อเหตุทำไปเพราะอะไร เขาคิดอย่างไร และพฤติกรรมที่ผ่าน ๆ มาของเขาเป็นอย่างไร พวกผู้นำต้องดูว่าเขาเกลียดคนที่เขาฆ่าและมีเจตนาที่จะฆ่าจริง ๆ ไหม (กันดารวิถี 35:20-24) ในกรณีที่มีพยานรู้เห็น ต้องมีพยานอย่างน้อย 2 คนขึ้นไปเพื่อจะเอาผิดคนที่ตั้งใจฆ่าได้ หลังจากที่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พวกผู้นำจะคิดถึงตัวตนจริง ๆ ของคนที่ทำผิด ไม่ใช่แค่คิดถึงสิ่งที่คนนั้นทำ พวกเขาต้องมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งและเห็นมากกว่าสิ่งที่เห็น พวกเขาต้องมองให้ออกว่าทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น ที่สำคัญที่สุด พวกเขาต้องขอพลังบริสุทธิ์จากพระยะโฮวาที่จะช่วยให้เลียนแบบความเข้าใจ ความเมตตา และความยุติธรรมของพระองค์—อพยพ 34:6, 7 ห17.11 น. 16 ว. 13-14
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน
ให้คุณคิดใคร่ครวญ . . . เรื่องเหล่านี้—1 ทธ. 4:15
เมื่อเราเริ่มเรียนคัมภีร์ไบเบิล เราได้เรียนความจริงที่ยอดเยี่ยมหลายอย่าง เราได้เรียนว่าพระยะโฮวาเป็นผู้สร้างและรู้ว่าพระองค์อยากให้มนุษย์มีชีวิตแบบไหน เรายังได้เรียนด้วยว่าพระเจ้าส่งลูกชายคนเดียวของพระองค์ลงมาบนโลกให้เป็นค่าไถ่เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาปและความตาย เรายังได้เรียนว่ารัฐบาลของพระเจ้าจะทำให้ความทุกข์ทั้งหมดจบสิ้นลงและเราจะมีชีวิตตลอดไปบนโลกอย่างสงบสุข (ยน. 3:16; วว. 4:11; 21:3, 4) บางครั้งอาจมีการปรับเปลี่ยนความเข้าใจในเรื่องคำพยากรณ์หรือข้อคัมภีร์บางข้อ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราต้องใช้เวลาศึกษาและคิดใคร่ครวญเรื่องนั้นอย่างละเอียด (กจ. 17:11) เราต้องไม่ใช่แค่รู้ว่ามีความเข้าใจอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง แต่ต้องสนใจเหตุผล รายละเอียด และแง่มุมต่าง ๆ ของความรู้ใหม่ ถ้าเราทำอย่างนั้น ความรู้ใหม่นั้นก็จะฝังอยู่ในหัวใจและความคิดซึ่งหมายถึง “ห้องเก็บสมบัติ” ของเรา ห17.06 น. 12-13 ว. 15-16
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน
ให้กำจัดแนวโน้มแบบโลกซึ่งอยู่ในอวัยวะของพวกคุณ คือการผิดศีลธรรมทางเพศ การกระทำที่ไม่สะอาด ความใคร่แบบที่ไม่มีการควบคุม—คส. 3:5
เราต้องระวังเป็นพิเศษเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจทำให้เราทำสิ่งที่ขัดกับมาตรฐานของพระยะโฮวา ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องฉลาดถ้าคนที่คบหาเป็นแฟนกันจะคุยกันตั้งแต่แรกว่าจะทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ หรือทำได้มากน้อยแค่ไหน เช่น การแตะเนื้อต้องตัวกัน จูบกัน หรืออยู่ด้วยกันตามลำพัง (สุภาษิต 22:3) อีกสถานการณ์หนึ่งที่เป็นอันตรายคือตอนที่ไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ หรือตอนที่ทำงานกับเพศตรงข้าม (สุภาษิต 2:10-12, 16) ตอนที่เราเหงาหรือเศร้า เรายิ่งต้องระวัง ความรู้สึกแบบนี้อาจมีมากจนทำให้เราเปิดรับใครก็ได้ที่เข้ามา นี่เป็นอันตราย ถ้าคุณรู้สึกแบบนั้น คุณต้องขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและจากพี่น้องชายหญิง—สดุดี 34:18; สุภา. 13:20 ห17.11 น. 26 ว. 4-5
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน
ให้เลือกเมืองลี้ภัย—ยชว. 20:2
พระยะโฮวาถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมากถ้ามีใครถูกฆ่า ถ้าชาวอิสราเอลฆ่าใครบางคนโดยเจตนา “คนที่มีสิทธิ์แก้แค้น” ซึ่งก็คือญาติใกล้ชิดที่สุดที่เป็นผู้ชายจะฆ่าฆาตกรคนนั้น (กันดารวิถี 35:19) การทำแบบนี้เป็นการชดใช้ชีวิตให้กับคนบริสุทธิ์ที่ต้องตายไป และถ้าไม่จัดการกับฆาตกรโดยเร็ว แผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาจะแปดเปื้อนและไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป พระยะโฮวาสั่งว่า “พวกเจ้าอย่าทำให้แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่แปดเปื้อน” โดยการฆ่าคน (กันดารวิถี 35:33, 34) แต่ถ้าชาวอิสราเอลทำให้ใครบางคนตายโดยไม่เจตนาล่ะ? ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เขาก็ยังมีความผิดที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ (ปฐมกาล 9:5) ในกรณีแบบนี้ พระยะโฮวาบอกว่าคนนั้นสมควรได้รับความเมตตา คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาสามารถหนีจากคนที่มีสิทธิ์แก้แค้นและไปที่เมืองลี้ภัยเมืองใดเมืองหนึ่งซึ่งมี 6 เมือง ถ้าเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองนั้นเขาจะได้รับการปกป้องคุ้มครอง แต่เขาต้องอยู่ในเมืองนั้นจนกว่ามหาปุโรหิตจะตาย—กันดารวิถี 35:15, 28 ห17.11 น. 9 ว. 3-5
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน
คนฉลาดไม่ถือสาเมื่อมีคนดูถูก—สภษ. 12:16
พี่น้องหญิงคนหนึ่งในออสเตรเลียก็ทำแบบนี้ พ่อสามีของเธอต่อต้านความจริงอย่างหนัก บางครั้งเขาก็โกรธมากด้วย ดังนั้น ก่อนจะโทรศัพท์หาพ่อ พี่น้องหญิงคนนี้กับสามีจะอธิษฐานขอพระยะโฮวาเพื่อช่วยให้พวกเขาไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ และเพื่อจะไม่คุยนานเกินไปจนต้องเถียงกันเกี่ยวกับศาสนา พวกเขาก็จะจำกัดเวลาคุยโทรศัพท์กับพ่อด้วย ถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้น คุณอาจรู้สึกผิดเพราะคุณรักญาติ ๆ และอยากทำสิ่งที่พวกเขาชอบ แต่ขอจำไว้ว่า คุณต้องซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวามากกว่ารักญาติพี่น้องของคุณ ถ้าคุณทำให้พวกเขาเห็นเรื่องนี้พวกเขาก็จะรู้ว่าการรับใช้พระยะโฮวาสำคัญขนาดไหนสำหรับคุณ แม้คุณไม่สามารถบังคับใครให้ตอบรับความจริงได้ แต่คุณสามารถทำให้คนอื่นเห็นว่าการทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาเป็นประโยชน์กับคุณอย่างไร ที่จริง พระยะโฮวาก็ให้โอกาสพวกเขาเลือกที่จะรับใช้พระองค์เหมือนที่พระองค์ให้โอกาสคุณ—อิสยาห์ 48:17, 18 ห17.10 น. 15-16 ว. 15-16
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน
อย่าให้เรารักด้วยลมปากเท่านั้น แต่ให้รักด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ—1 ยน. 3:18
ถ้าเราอยากแสดงความรักแท้ เราต้องทำมากกว่าการพูดว่า “ฉันรักเธอ” เราต้องทำอย่างที่พูดจริง ๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่น้องของเราไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ คำพูดปลอบใจจากเราอย่างเดียวก็คงไม่พอ เราต้องทำอะไรมากกว่านั้น (ยากอบ 2:15, 16) คล้ายกัน ถ้าเรารักพระยะโฮวาและรักคนอื่น เราจะไม่ใช่แค่อธิษฐานขอให้มีคนมากขึ้นมาช่วยเราประกาศ แต่ตัวเราเองจะประกาศอย่างขยันขันแข็งด้วย (มัทธิว 9:38) อัครสาวกยอห์นบอกว่าเราต้องรัก “ด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ” อัครสาวกเปาโลก็บอกด้วยว่า “ให้รักคนอื่นด้วยความจริงใจ” และ “มีความรักจากใจจริง” (โรม 12:9; 2 โครินธ์ 6:6) บางคนอาจเสแสร้งแกล้งทำเป็นรัก คนแบบนี้ใส่หน้ากากเข้าหาคนอื่น แต่ความรักที่เขาแสดงเป็นความรักแท้และจริงใจไหม? อะไรคือเจตนาของเขา? ความรักแบบไม่จริงใจไม่ได้เรียกว่าความรัก ความรักจอมปลอมเป็นความรักที่ไม่มีค่าอะไรเลย ห17.10 น. 8 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน
เจ้าต้อง . . . อ่านและคิดใคร่ครวญทั้งกลางวันและกลางคืน . . . แล้วเจ้าจะ . . . ตัดสินใจได้อย่างฉลาดสุขุม—ยชว. 1:8
เพื่อให้คัมภีร์ไบเบิลมีผลกับตัวเรา เราต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำและควรพยายามอ่านให้ได้ทุกวัน ชีวิตพวกเราส่วนใหญ่ยุ่งมากและไม่ค่อยมีเวลา แต่เราไม่ควรให้อะไรมาแย่งเวลาที่เราจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลแม้แต่หน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ ของเราด้วย (อฟ. 5:15, 16) เราควรจัดเวลาเพื่ออ่านคัมภีร์ไบเบิล อาจจะเป็นช่วงหลังตื่นนอน ช่วงไหนก็ได้ระหว่างวัน หรือก่อนเข้านอน เราเห็นด้วยกับที่ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า “ผมรักกฎหมายของพระองค์จริง ๆ ผมใคร่ครวญกฎหมายนั้นตลอดวัน” (สด. 119:97) แต่การอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างเดียวก็ยังไม่พอ เราต้องคิดใคร่ครวญและคิดอย่างละเอียดลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งที่เราอ่าน (สด. 1:1-3) โดยการทำแบบนี้เท่านั้นเราถึงจะเอาคำแนะนำที่ฉลาดสุขุมจากคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ในชีวิตของเราได้ ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นเล่ม อ่านจากมือถือหรือแท็บเล็ต สิ่งสำคัญก็คือเราอยากให้คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นใจเราและเปลี่ยนแปลงตัวเรา ห17.09 น. 24 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน
ให้พวกคุณ . . . เอ็นดูสงสารกัน—1 ปต. 3:8
นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรแสดงความสงสารในทุก ๆ สถานการณ์ ตัวอย่างเช่น กษัตริย์ซาอูลไว้ชีวิตอากักซึ่งเป็นกษัตริย์ของอามาเลขที่เป็นศัตรูกับประชาชนของพระเจ้า เขาอาจคิดว่าการทำแบบนี้เป็นการแสดงความสงสาร แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เชื่อฟังที่พระยะโฮวาบอกให้ฆ่าทั้งคนและสัตว์ พระองค์เลยไม่ยอมรับซาอูลเป็นกษัตริย์อีกต่อไป (1 ซม. 15:3, 9) พระยะโฮวาเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม พระองค์อ่านหัวใจผู้คนได้และรู้ว่าตอนไหนที่ไม่ควรแสดงความสงสาร (พคค. 2:17; อสค. 5:11) อีกไม่นานพระองค์จะจัดการกับทุกคนที่ไม่เชื่อฟัง (2 ธส. 1:6-10) และตอนนั้นก็ไม่ใช่เวลาที่พระยะโฮวาจะแสดงความสงสารคนชั่ว แทนที่จะเป็นอย่างนั้น การทำลายคนชั่วเป็นวิธีที่พระยะโฮวาแสดงความสงสารคนดีและปกป้องพวกเขา แน่นอน ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะตัดสินว่าใครสมควรรอดชีวิตและใครสมควรตาย แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เราต้องทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้คน ห17.09 น. 10-11 ว. 10-12
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน
ผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า คือ . . . การควบคุมตัวเอง—กท. 5:22, 23
พระยะโฮวาพระเจ้าสามารถช่วยเราฝึกควบคุมตัวเองได้ ถึงแม้ว่าพระยะโฮวาควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เราทำไม่ได้เหมือนพระองค์เพราะเราเป็นคนไม่สมบูรณ์ ที่จริง การขาดการควบคุมตัวเองทำให้เกิดปัญหามากมายในทุกวันนี้ มันอาจทำให้บางคนเป็นคนผัดวันประกันพรุ่งและส่งผลให้การเรียนหรือการทำงานแย่ลง นอกจากนั้น การควบคุมตัวเองไม่ได้ยังทำให้เป็นคนปากร้าย เมาเหล้า ใช้ความรุนแรง หย่าร้าง ติดหนี้โดยไม่จำเป็น ติดยาเสพติด ติดคุก เจ็บปวดทางอารมณ์ เป็นโรคติดต่อทางเพศ และตั้งครรภ์แบบที่ไม่ต้องการ (สด. 34:11-14) ยิ่งนับวันผู้คนก็ยิ่งควบคุมตัวเองได้น้อยลงทุกที แต่เราไม่แปลกใจเพราะคัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าไว้ว่า การขาดการควบคุมตัวเองเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่ยืนยันว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย”—2 ทธ. 3:1-3 ห17.09 น. 3 ว. 1-2
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน
สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจทุกอย่างจะปกป้องหัวใจ—ฟป. 4:7
ถ้าเรามี “สันติสุขของพระเจ้า” เราก็ไม่ต้องกังวลอะไร หัวใจและความคิดของเราก็จะสงบ เรารู้ว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงเราและอยากให้เรามีชีวิตที่ดีและมีความสุข (1 ปต. 5:10) และนี่จะช่วยให้เราไม่ท้อแท้ กังวล หรือเครียดมากเกินไป อีกไม่นานมนุษย์ทุกคนจะต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ (มธ. 24:21, 22) เราไม่รู้ว่าเราแต่ละคนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เราก็ไม่ต้องกังวลเกินไป ถึงแม้เราไม่รู้ว่าพระยะโฮวาจะทำอะไร แต่เรารู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแบบไหน เรารู้ว่าพระองค์เคยทำอะไรมาแล้วบ้างเพื่อผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ในอดีต เราได้เห็นแล้วว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพระยะโฮวาจะทำให้สิ่งที่พระองค์ตั้งใจไว้เกิดขึ้นจริงเสมอ และพระองค์อาจจะทำอย่างนั้นในแบบที่เราไม่คาดคิด ดังนั้น ทุกครั้งที่พระยะโฮวาทำอะไรบางอย่างเพื่อเรา เราก็จะได้เห็นวิธีใหม่ ๆ ที่ “สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจทุกอย่าง” ช่วยเรา ห17.08 น. 12 ว. 16-17
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน
ขอให้อดทนรอจนถึงเวลาที่ผู้เป็นนายมาประทับ—ยก. 5:7
“อีกนานแค่ไหน?” นี่เป็นคำถามที่อิสยาห์และฮาบากุกผู้พยากรณ์ที่ซื่อสัตย์เคยถาม (อสย. 6:11; ฮบก. 1:2) ตอนที่พระเยซูมีชีวิตอยู่บนโลกและคนรอบ ๆ ตัวท่านไม่มีความเชื่อ ท่านก็ถามคำถามเดียวกันว่า “อีกนานแค่ไหน?” (มธ. 17:17) พวกเราในทุกวันนี้ก็อาจถามแบบเดียวกัน อาจเป็นเพราะมีบางอย่างที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นกับเรา เราอาจเจ็บป่วย แก่ลง หรือเครียดเพราะมีชีวิตอยู่ใน “ช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก” (2 ทธ. 3:1) หรือเราอาจรู้สึกเหนื่อยและท้อเพราะต้องเจอกับคนที่มีความคิดที่ไม่ดี แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร เราได้กำลังใจที่รู้ว่าพระยะโฮวาไม่ได้ตำหนิผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่ถามคำถามแบบนี้ในอดีต อะไรจะช่วยเราได้ถ้าเราต้องเจอกับปัญหาหรือความยากลำบาก? อัครสาวกยากอบตอบไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ ห17.08 น. 3-4 ว. 1-3
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน
ให้ใช้ทรัพย์ที่คุณมีในโลกนี้เพื่อผูกมิตรกับคนอื่นไว้—ลก. 16:9
พระเยซูอยากให้สาวก ‘ใช้ทรัพย์ที่มีในโลกนี้’ ผูกมิตรกับเพื่อนผู้อยู่ในสวรรค์ วิธีหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่าเราซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าโดยใช้ทรัพย์สมบัติของเราก็คือ การบริจาคสำหรับงานประกาศทั่วโลกซึ่งเป็นงานที่พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้า (มธ. 24:14) เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในอินเดียเก็บเงินในกระปุกออมสิน เธอใส่เงินลงไปวันละนิดวันละหน่อย และถึงกับอดใจไม่ซื้อของเล่นเพื่อจะเก็บเงินไว้ พอกระปุกนั้นเต็ม เธอก็บริจาคเงินทั้งหมดเพื่องานประกาศ อีกตัวอย่างหนึ่งคือพี่น้องชายคนหนึ่งในอินเดียที่มีสวนมะพร้าว เขาบริจาคมะพร้าวจำนวนมากให้กับสำนักงานแปลท้องถิ่นที่แปลภาษามาลายาลัม เนื่องจากสำนักงานแปลนั้นต้องซื้อมะพร้าวอยู่แล้ว พี่น้องชายคนนี้เลยรู้สึกว่าการบริจาคมะพร้าวก็ดีกว่าบริจาคเงิน ซึ่งนี่เป็นวิธีหนึ่งที่เป็นการ “ลงมือทำอย่างฉลาด” พี่น้องในประเทศกรีซก็ทำคล้าย ๆ กัน พวกเขาบริจาคน้ำมันมะกอก ชีส และอาหารอื่น ๆ ให้ครอบครัวเบเธลเป็นประจำ ห17.07 น. 8-9 ว. 7-8
วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน
ร้องเพลงของศิโยนให้พวกเราฟังสักเพลงสิ—สด. 137:3
ชาวยิวที่เป็นเชลยในบาบิโลนไม่ได้รู้สึกอยากจะร้องเพลง พวกเขาต้องการกำลังใจ แต่เหมือนกับที่พระยะโฮวาได้บอกไว้ล่วงหน้า พระองค์จะช่วยประชาชนของพระองค์ โดยวิธีไหน? กษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียเอาชนะบาบิโลนและพูดว่า ‘พระยะโฮวามอบหมายให้เราสร้างวิหารของพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็ม’ ไซรัสยังบอกชาวอิสราเอลว่า “ใครก็ตามที่เป็นประชาชนของพระองค์ ขอพระยะโฮวาพระเจ้าอยู่กับเขาและให้เขากลับไป” (2 พศ. 36:23) นี่น่าจะให้กำลังใจชาวอิสราเอลที่อยู่ในบาบิโลนจริง ๆ พระยะโฮวาให้กำลังใจไม่เฉพาะกับชาติอิสราเอลทั้งชาติ แต่พระองค์ให้กำลังใจพวกเขาแต่ละคน และพระองค์ก็ให้กำลังใจเราในทุกวันนี้ด้วย พระเจ้า “รักษาคนที่ใจแตกสลาย และพันแผลให้พวกเขา” (สด. 147:3) ถ้าเราเจ็บป่วยหรือซึมเศร้า เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงเรา พระองค์อยากให้กำลังใจเราและรักษาบาดแผลทางอารมณ์ของเรา (สด. 34:18; อสย. 57:15) พระองค์ให้สติปัญญากับกำลังเพื่อที่เราจะรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่เราต้องเจอได้—ยก. 1:5 ห17.07 น. 18 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน
ทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย—ลก. 12:34
พระยะโฮวาเป็นผู้ที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดในเอกภพเพราะพระองค์เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง (1 พศ. 29:11, 12) แต่พระยะโฮวาใจกว้างกับทุกคนมาก เรารู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่พระองค์แบ่งปัน “สมบัติ” หลายอย่างให้เรา มี “สมบัติ” อะไรบ้างที่พระองค์ให้เรา? (1) รัฐบาลของพระเจ้า (2) งานรับใช้ของเรา และ (3) ความจริงที่มีค่าในคัมภีร์ไบเบิล แต่ถ้าเราไม่ระวังเราอาจลืมไปว่าสมบัติเหล่านี้มีค่ามากขนาดไหน ดังนั้น เราต้องคิดถึงคุณค่าของสมบัติที่พระเจ้าให้และพยายามรักสมบัติเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อจะได้อยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลพระเจ้า พวกเราหลายคนเคยต่อสู้อย่างหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง (รม. 12:2) แต่การต่อสู้นี้ยังไม่จบ เราต้องพยายามให้ความรักที่มีต่อรัฐบาลของพระเจ้ามั่นคงอยู่เสมอ เราต้องไม่ยอมให้อะไรมาทำให้ความรักนั้นลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการรักทรัพย์สมบัติหรือความต้องการผิด ๆ เรื่องเพศ—สภษ. 4:23; มธ. 5:27-29 ห17.06 น. 9 ว. 1 และ น. 10 ว.7
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน
เจ้ารู้ . . . อย่างนั้นหรือ?—โยบ 38:21
พระยะโฮวาไม่ได้อธิบายว่าทำไมโยบต้องเจอกับความทุกข์ แทนที่จะทำอย่างนั้น พระองค์ช่วยให้โยบรู้ว่าเมื่อเทียบกับพระองค์แล้วเขาต่ำต้อยขนาดไหน พระองค์สอนให้โยบรู้ว่าจริง ๆ แล้วมีประเด็นหลายอย่างที่สำคัญกว่าปัญหาของโยบมาก (โยบ 38:18-20) คำพูดของพระยะโฮวาช่วยโยบให้เปลี่ยนมุมมองของตัวเองได้ พระยะโฮวาใจร้ายไหมที่พูดกับโยบแบบนั้นทั้ง ๆ ที่เขาต้องเจอกับความทุกข์มากมาย? ไม่เลย และโยบก็ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นด้วย โยบเข้าใจและเห็นค่าคำแนะนำของพระยะโฮวา เขาถึงกับบอกว่า “ผมขอถอนคำพูด และขอนั่งสำนึกผิดอยู่บนดินและในกองขี้เถ้า” (โยบ 42:1-6) หลังจากโยบได้ฟังคำแนะนำของพระยะโฮวาและเปลี่ยนมุมมองของเขาแล้ว พระองค์ก็ทำให้คนอื่นรู้ว่าพระองค์พอใจที่โยบซื่อสัตย์—โยบ 42:7, 8 ห17.06 น. 24-25 ว. 11-12
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน
มารีย์เลือกสิ่งที่ดี และจะไม่มีใครมาแย่งสิ่งนั้นไปจากเธอได้—ลก. 10:42
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรามีความสมดุลในเรื่องงานอาชีพหรือเปล่า? เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันคิดว่างานอาชีพที่ฉันทำน่าสนใจและน่าตื่นเต้น แต่กลับรู้สึกเฉย ๆ กับงานรับใช้พระเจ้าแถมยังรู้สึกเบื่อด้วยไหม?’ คำถามนี้จะช่วยเราให้เห็นชัดเจนว่าเรารักอะไรจริง ๆ พระเยซูสอนว่าอะไรควรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเรา ครั้งหนึ่งพระเยซูไปที่บ้านมารีย์กับมาร์ธาสองพี่น้อง มาร์ธายุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารให้พระเยซู แต่มารีย์นั่งอยู่ใกล้ ๆ พระเยซูและฟังท่านสอน มาร์ธาบ่นว่ามารีย์ไม่ช่วยเธอ พระเยซูจึงบอกมาร์ธาตามที่เราได้อ่านในข้อคัมภีร์วันนี้ (ลก. 10:38-42) พระเยซูสอนบทเรียนที่สำคัญว่า เพื่อที่เราจะพิสูจน์ว่ารักพระเยซูจริง ๆ และไม่ให้สิ่งจำเป็นมาทำให้เราเขว เราต้องเลือก “สิ่งที่ดี” ซึ่งหมายความว่าเราต้องให้ความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตเราเสมอ ห17.05 น. 24 ว. 9-10
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน
ลูกต้องเชื่อฟังคำสอนของพ่อ—สภษ. 1:8
พระยะโฮวาให้พ่อแม่มีหน้าที่สอนความจริงกับลูก พระองค์ไม่ได้ให้หน้าที่นี้กับปู่ย่าตายายหรือคนอื่น ๆ (สภษ. 31:10, 27, 28) ดังนั้น พ่อแม่ที่ไม่รู้ภาษาท้องถิ่นอาจต้องการความช่วยเหลือเพื่อจะเข้าถึงหัวใจของลูก ถ้าพ่อแม่มาขอความช่วยเหลือ นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขากำลังเลี่ยงไม่ทำหน้าที่ของตัวเองในการเลี้ยงดูลูก แทนที่จะเป็นอย่างนั้น สิ่งที่พวกเขาทำเป็นส่วนหนึ่งของการเลี้ยงดูลูกด้วย “คำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา” (อฟ. 6:4) ตัวอย่างเช่น พ่อแม่อาจขอคำแนะนำจากผู้ดูแลในประชาคมเกี่ยวกับการนมัสการประจำครอบครัว และเกี่ยวกับการหาเพื่อนดี ๆ ให้ลูกเพื่อช่วยลูก ๆ พ่อแม่อาจเชิญครอบครัวอื่นมานมัสการครอบครัวด้วยกันในบางครั้ง นอกจากนั้น เด็ก ๆ สามารถเรียนจากพี่น้องคนอื่น ๆ ตอนที่เขาออกไปประกาศหรือทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกัน—สภษ. 27:17 ห17.05 น. 11-12 ว. 17-18
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน
หนีไปประเทศอียิปต์—มธ. 2:13
พระเยซูและพ่อแม่ของท่านต้องลี้ภัยไปอียิปต์หลังจากที่ทูตสวรรค์เตือนโยเซฟพ่อของพระเยซูว่ากษัตริย์เฮโรดอยากจะฆ่าพระเยซู พวกเขาต้องอยู่ที่อียิปต์จนเฮโรดเสียชีวิต (มธ. 2:14, 19-21) หลายปีต่อมา สาวกของพระเยซูก็ “กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นยูเดียและสะมาเรีย” เนื่องจากถูกข่มเหง (กจ. 8:1) พระเยซูรู้ว่าสาวกของท่านหลายคนจะถูกบังคับให้ออกจากบ้านเกิด ท่านบอกไว้ว่า “ถ้าผู้คนข่มเหงคุณในเมืองหนึ่ง ก็ให้หนีไปอีกเมืองหนึ่ง” (มธ. 10:23) มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่เป็นพยานพระยะโฮวา พวกเขาหลายคนต้องสูญเสียคนที่รักและแทบทุกอย่างที่มี บางคนหนีออกจากบ้านเกิดหรืออาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่คนส่วนใหญ่เมาเหล้า เล่นการพนัน ขโมย และทำผิดศีลธรรมทางเพศ พวกเขาเตือนตัวเองว่าสักวันหนึ่งการใช้ชีวิตในค่ายลี้ภัยจะสิ้นสุดลงเหมือนที่การเดินทางในป่ากันดารของชาวอิสราเอลสิ้นสุดลง การคิดอย่างนี้ช่วยพวกเขามองในแง่บวกเสมอ—2 คร. 4:18 ห17.05 น. 3-4 ว. 2-5
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน
คนที่รักกฎหมายของพระองค์มีความสงบสุขมาก ไม่มีอะไรทำให้พวกเขาล้มพลาดได้เลย—สด. 119:165
บางครั้ง คุณหรือบางคนที่คุณรู้จักอาจไม่ได้รับความยุติธรรมหรืออาจรู้สึกว่ามีความไม่ยุติธรรมในประชาคม แต่ขออย่าเพิ่งสะดุด แทนที่จะเป็นอย่างนั้น คุณต้องซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้า อธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระองค์และพึ่งพระองค์เสมอ ขอจำไว้ว่าเนื่องจากคุณเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ คุณอาจเข้าใจผิดและอาจไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด คุณคงไม่อยากพูดเรื่องในแง่ลบซึ่งมีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลง นอกจากนั้น แทนที่จะพึ่งตัวเองและพยายามจัดการกับปัญหา คุณน่าจะตั้งใจรักษาความซื่อสัตย์ภักดีและอดทนรอคอยพระยะโฮวาให้จัดการปัญหาต่าง ๆ เมื่อทำอย่างนี้ พระองค์จะพอใจและอวยพรคุณ คุณมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวา “ผู้พิพากษาโลกทั้งสิ้น” จะทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ “เพราะแนวทางทั้งหมดของพระองค์ยุติธรรม”—ปฐก. 18:25; ฉธบ. 32:4 ห17.04 น. 22 ว. 17
วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน
ให้คนชั่วทิ้งแนวทางชีวิตของเขา . . . ให้เขากลับมาหาพระยะโฮวา พระองค์จะเมตตาเขา—อสย. 55:7
จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงและยังสนับสนุนโลกชั่วนี้ต่อไปจนถึงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่? พระยะโฮวาสัญญาว่าพระองค์จะกำจัดคนชั่วทั้งหมดออกไปจากโลกนี้ (สด. 37:10) ในทุกวันนี้หลายคนเรียนรู้วิธีต่าง ๆ ที่จะปกปิดความผิดที่ทำ และหลายครั้งพวกเขาก็ไม่ถูกลงโทษ (โยบ 21:7, 9) แต่คัมภีร์ไบเบิลเตือนเราว่า “พระเจ้าจับตาดูมนุษย์ พระองค์เห็นทุกย่างก้าวของเขา ไม่มีความมืดมัวหรือเงามืดทึบที่คนชั่วจะซ่อนตัวได้” (โยบ 34:21, 22) ไม่มีทางที่เราจะซ่อนอะไรจากพระยะโฮวาได้ พระองค์เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คนชั่วทำ หลังจากอาร์มาเกดโดนถึงเราจะมองหาคนชั่วในที่ที่พวกเขาเคยอยู่ เราก็จะไม่เจอพวกเขาอีกเลย—สด. 37:12-15 ห17.04 น. 10 ว. 5