ตุลาคม
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม
ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป แล้วเขาจะได้รับจากพระองค์ เพราะพระเจ้าเต็มใจให้ทุกคนอย่างใจกว้าง—ยก. 1:5
สติปัญญามาจากพระยะโฮวาและพระองค์ให้สติปัญญากับมนุษย์อย่างใจกว้าง วิธีหนึ่งที่เราจะได้รับสติปัญญาคือ การยอมรับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา การทำอย่างนั้นจะช่วยไม่ให้เราทำผิดและช่วยให้เราสนิทกับพระองค์ต่อ ๆ ไป (สุภาษิต 2:10-12) สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีโอกาสได้ชีวิตตลอดไปซึ่งเป็นความหวังที่ยอดเยี่ยม (ยูดา 21) เนื่องจากความไม่สมบูรณ์แบบหรือวิธีที่เราถูกเลี้ยงดูมา เราอาจรู้สึกว่ายากที่จะยอมรับการสั่งสอนหรือมองว่าการถูกสั่งสอนเป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อเราได้รับผลดีจากการถูกพระเจ้าสั่งสอน เราก็รู้ว่าพระองค์รักเรามากแค่ไหน สุภาษิต 3:11, 12 บอกว่า “ลูกพ่อ อย่าขัดขืนเมื่อพระยะโฮวาสั่งสอน . . . พระยะโฮวารักใครพระองค์ก็ตักเตือนคนนั้น” เราต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวาอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเราเสมอ (ฮีบรู 12:5-11) เพราะพระยะโฮวารู้จักเราดี การสั่งสอนของพระองค์จึงเหมาะและพอดีกับเราเสมอ ห18.03 น. 28 ว. 1-2
วันพุธที่ 2 ตุลาคม
ให้ยินดีต้อนรับกัน—1 ปต. 4:9
อัครสาวกเปโตรเขียนข้อความด้านบนนี้ถึงพี่น้องที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมซึ่งอยู่ในประชาคมต่าง ๆ ในเอเชียไมเนอร์ พวกเขากำลังเจอ “การทดสอบที่เป็นเหมือนไฟ” อะไรจะช่วยคริสเตียนในที่ต่าง ๆ ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นได้? (1 เปโตร 1:1; 4:4, 7, 12) ที่น่าสังเกตคือ เปโตรกระตุ้นพี่น้องคริสเตียนให้ต้อนรับ “กัน” ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องต้อนรับคนที่รู้จักและทำอะไร ๆ ด้วยกันอยู่แล้ว การแสดงน้ำใจต้อนรับกันช่วยพวกเขาอย่างไรให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นได้? การแสดงน้ำใจต้อนรับจะทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้น ลองคิดถึงเรื่องของคุณเองดูสิ คุณจำช่วงเวลาดี ๆ ตอนที่มีคนชวนคุณไปที่บ้านได้ไหม? และตอนที่คุณชวนใครบางคนมาที่บ้านคุณ มันทำให้คุณสนิทกับเขามากขึ้นใช่ไหม? การแสดงน้ำใจต้อนรับแขกจะทำให้เรารู้จักพี่น้องและสนิทกับพวกเขามากขึ้น คริสเตียนที่อยู่ในสมัยของเปโตรต้องยิ่งสนิทกันมากขึ้นเมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อย ๆ เราก็ต้องทำแบบเดียวกันใน “สมัยสุดท้าย” นี้—2 ทิโมธี 3:1 ห18.03 น. 14-15 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม
คนที่รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็มีความสุข เพราะรัฐบาลสวรรค์เป็นของเขา—มธ. 5:3
โรม 8:6 ยังพูดถึงข้อดีอย่างอื่นของการได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้า ข้อนั้นบอกว่า “การสนใจแต่ความต้องการของร่างกายจะจบลงด้วยความตาย แต่การสนใจแต่สิ่งที่เกี่ยวกับพลังของพระเจ้านั้นจะทำให้ได้ชีวิตและสันติสุข” ดังนั้น ถ้าเราทำตามการชี้นำจากพลังของพระเจ้า ตอนนี้เราจะมีสันติสุขกับพระองค์และมีสันติสุขกับตัวเองซึ่งก็คือความสงบใจ รวมทั้งมีความหวังเรื่องชีวิตตลอดไปในอนาคต เราอยู่ในโลกที่อันตราย คนที่อยู่รอบตัวเรามีแต่คนที่ไม่ได้คิดแบบพระเจ้า เราจึงต้องพยายามสุดความสามารถที่จะปกป้องความคิดของเรา ถ้าเราไม่ใส่ความคิดของพระยะโฮวาเข้าไป โลกก็จะใส่ความคิดแบบโลกในหัวเราแทน ยูดาบอกว่าคนที่คิดแบบโลกอาจสูญเสียพลังของพระยะโฮวา—ยูดา 18, 19 ห18.02 น. 19 ว. 5, 7 และ น. 20 ว. 8
วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม
คนชั่วและนักต้มตุ๋นจะยิ่งชั่วร้ายขึ้นเรื่อย ๆ—2 ทธ. 3:13
หมอกับพยาบาลหลายคนต้องดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อ พวกเขาดูแลผู้ป่วยเพราะอยากช่วย แต่หมอกับพยาบาลก็ต้องป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ติดโรค พวกเราที่เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาก็อยู่ในสภาพการณ์คล้าย ๆ กัน พวกเราหลายคนต้องทำงานและอยู่กับผู้คนที่มีความคิดและนิสัยที่แตกต่างจากพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ความคิดและนิสัยเหล่านี้เป็นเหมือนโรคติดต่อ เรื่องแบบนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเรา ในสมัยสุดท้าย ผู้คนที่ไม่รักพระเจ้าไม่สนใจมาตรฐานของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่ถูกและผิด อัครสาวกเปาโลพูดถึงนิสัยที่ไม่ดีของพวกเขาตอนที่เขียนจดหมายถึงทิโมธี (2 ทิโมธี 3:1-5) ถึงแม้ว่าเราจะตกใจและรับไม่ได้กับนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้ของผู้คน แต่วิธีที่ผู้คนรอบตัวเราคิด พูด และทำอาจมีผลต่อตัวเรา (สุภาษิต 13:20) ดังนั้น ตอนที่เราช่วยคนอื่นให้รู้จักพระยะโฮวา เราต้องป้องกันตัวเองจากนิสัยที่ไม่ดีต่าง ๆ ซึ่งเป็นเหมือนโรคติดต่อ ห18.01 น. 27 ว. 1-2
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม
ให้พวกคุณไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก ให้พวกเขารับบัพติศมา—มธ. 28:19
ในปีคริสต์ศักราช 33 ไม่นานหลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย ท่านได้พูดกับผู้คนมากกว่า 500 คนซึ่งมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ๆ นั่นอาจเป็นตอนที่พระเยซูพูดข้อความด้านบนนี้ (1 โครินธ์ 15:6) พระเยซูสั่งผู้ติดตามท่านให้ไปสอนคนให้เป็นสาวก และคนที่อยากเป็นสาวกของท่านซึ่งก็คือคนที่อยากมารับ “แอก” ของท่านต้องรับบัพติศมา (มัทธิว 11:29, 30) คนที่อยากรับใช้พระเจ้าในแบบที่พระองค์พอใจต้องยอมรับบทบาทของพระเยซูว่าพระเจ้าใช้ท่านเพื่อทำให้ความประสงค์ของพระองค์เป็นจริง แล้วเขาถึงรับบัพติศมาได้ พระเจ้ายอมรับการรับบัพติศมาในน้ำแบบนี้เท่านั้น คัมภีร์ไบเบิลให้หลักฐานหลายอย่างที่ทำให้เห็นว่า สาวกของพระเยซูในศตวรรษแรกรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะรับบัพติศมา พวกเขาไม่ได้คิดว่าน่าจะรออีกหน่อยแล้วค่อยรับบัพติศมา—กิจการ 2:41; 9:18; 16:14, 15, 32, 33 ห18.03 น. 5 ว. 8
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม
ดาเนียล คุณเป็นคนที่พระเจ้าถือว่ามีค่ามาก—ดนล. 10:11
ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยการผิดศีลธรรมและการนมัสการเท็จ ผู้คนได้รับอิทธิพลจากบาบิโลนใหญ่ซึ่งก็คือกลุ่มศาสนาเท็จทั้งหมดในโลกที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “ที่อาศัยของพวกปีศาจ” (วิวรณ์ 18:2) แต่เราเป็นเหมือนคนต่างประเทศของโลกนี้ คนทั่วไปเลยมองว่าเราเป็นตัวประหลาดและเยาะเย้ยเรา (มาระโก 13:13) ดังนั้น ให้เราเป็นเหมือนดาเนียลโดยสนิทกับพระยะโฮวาพระเจ้า และถ้าเราถ่อมตัว ไว้ใจ และเชื่อฟังพระองค์ พระองค์ก็จะมองว่าเรามีค่าด้วยเหมือนกัน (ฮักกัย 2:7) คนที่เป็นพ่อแม่สามารถเลียนแบบพ่อแม่ของดาเนียลได้ด้วย ตอนดาเนียลเด็ก ๆ เขาอยู่ที่ยูดาห์ ผู้คนส่วนใหญ่สมัยนั้นชั่วมาก แต่เขาก็รักพระยะโฮวามากขึ้นเรื่อย ๆ พ่อแม่ของดาเนียลต้องสอนเขาเกี่ยวกับพระยะโฮวาแน่ ๆ (สุภาษิต 22:6) แม้แต่ชื่อดาเนียลยังมีความหมายว่า “พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาของฉัน” นี่แสดงว่าพ่อแม่ของเขาต้องรักพระยะโฮวา (ดาเนียล 1:6, เชิงอรรถ) ดังนั้น คุณที่เป็นพ่อแม่ คุณต้องสอนลูกเกี่ยวกับพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป คุณต้องอดทน อย่ายอมแพ้ (เอเฟซัส 6:4) คุณต้องอธิษฐานกับลูก อธิษฐานเพื่อลูก และพยายามเต็มที่ที่จะสอนลูกให้รักสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของพระยะโฮวา ถ้าทำอย่างนั้น พระองค์จะอวยพรคุณแน่นอน—สดุดี 37:5 ห18.02 น. 5 ว. 12 และ น. 6 ว. 14-15
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม
ทุกสิ่งมาจากพระองค์ และของที่พวกเราเอามาถวายก็เป็นของพระองค์ทั้งนั้น—1 พศ. 29:14
เราให้พระยะโฮวาเพราะนี่เป็นวิธีที่จะนมัสการพระองค์ ตอนที่อัครสาวกยอห์นได้รับนิมิต เขาได้ยินพวกผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในสวรรค์พูดว่า “พระยะโฮวา พระเจ้าของเรา พระองค์สมควรจะได้รับการยกย่องสรรเสริญ ความนับถือ และฤทธิ์อำนาจ เพราะพระองค์สร้างทุกสิ่ง ทุกสิ่งมีอยู่และถูกสร้างขึ้นตามความต้องการของพระองค์” (วิวรณ์ 4:11) พระยะโฮวาสมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญและความนับถือ เราจึงอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพระองค์ พระยะโฮวาสั่งชาวอิสราเอลผ่านทางโมเสสว่า ให้พวกเขาฉลองเทศกาล 3 ครั้งต่อปี ส่วนหนึ่งของการนมัสการพระยะโฮวาในเทศกาลเหล่านี้ก็คือการให้กับพระองค์ ชาวอิสราเอลได้รับคำสั่งว่า “อย่าให้ใครไปหาพระยะโฮวามือเปล่า” (เฉลยธรรมบัญญัติ 16:16) ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ส่วนสำคัญในการนมัสการของเราคือการให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว วิธีนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราเห็นค่าและอยากสนับสนุนงานขององค์การพระยะโฮวา ห18.01 น. 18 ว. 4-5
วันอังคารที่ 8 ตุลาคม
ผมจะทำให้คุณสดชื่นหายเหนื่อย—มธ. 11:28
พระเยซูบอกว่า “มารับแอกของผมแบกไว้ . . . แอกของผมแบกง่ายและภาระของผมก็เบา” (มัทธิว 11:29, 30) นี่เป็นเรื่องจริง หลายครั้งเรารู้สึกเหนื่อยก่อนที่จะออกจากบ้านไปประชุมหรือไปประกาศ แต่พอประชุมหรือประกาศเสร็จเรารู้สึกอย่างไร? เรารู้สึกสดชื่นและพร้อมมากขึ้นที่จะรับมือกับปัญหาต่าง ๆ แอกของพระเยซูแบกง่ายจริง ๆ ลองดูประสบการณ์ของพี่น้องหญิงคนหนึ่ง เธอทนทุกข์ทรมานจากอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง โรคซึมเศร้า และปวดหัวไมเกรน บางครั้งจึงเป็นเรื่องยากมากที่เธอจะไปประชุม แต่วันหนึ่งหลังจากที่เธอได้พยายามเข้าร่วมการประชุม เธอเขียนว่า “คำบรรยายวันนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับความท้อใจ มันเป็นคำบรรยายที่ดีมาก พี่น้องบรรยายอย่างเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของคนที่ท้อใจจนทำให้ฉันถึงกับร้องไห้ออกมา ฉันรู้เลยว่าการประชุมนี่แหละคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับฉัน” เธอรู้สึกดีใจมากที่พยายามไปประชุมวันนั้น ห18.01 น. 8-9 ว. 6-7
วันพุธที่ 9 ตุลาคม
ผมเกือบหลงทางไปแล้ว—สด. 73:2
พ่อแม่จะทำอย่างไรถ้าลูกเริ่มสงสัยเกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลหลังจากรับบัพติศมาแล้ว? ตัวอย่างเช่น ลูกอาจเริ่มติดใจสิ่งต่าง ๆ ของโลกซาตาน หรือเขาอาจเริ่มสงสัยว่าการทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาจริง ๆ ไหม (สดุดี 73:1-3, 12, 13) สิ่งที่คุณทำเมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอาจจะมีผลต่อเขาว่าจะรับใช้พระยะโฮวาต่อไปหรือเปล่า และไม่ว่าเขาจะยังเล็กมากหรือโตเป็นวัยรุ่นแล้ว อย่าเพิ่งด่าหรือทะเลาะกับเขา แทนที่จะทำอย่างนั้น คุณต้องทำให้ลูกเห็นว่าคุณรักและอยากจะช่วยเขาจริง ๆ เมื่อวัยรุ่นรับบัพติศมาก็หมายความว่าเขาได้อุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาแล้ว การทำอย่างนั้นเป็นการสัญญาว่าจะรับใช้และรักพระองค์มากกว่าอะไรทั้งหมด (มาระโก 12:30) พระยะโฮวามองว่าการอุทิศตัวเป็นการให้คำสัญญาที่จริงจัง และเราก็ควรมองแบบนั้นด้วย—ปัญญาจารย์ 5:4, 5 ห17.12 น. 22 ว. 16-17
วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม
ดิฉันเชื่อค่ะว่า [น้องชายของดิฉัน] จะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายในวันสุดท้าย—ยน. 11:24
ในคัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่มั่นใจว่าจะมีการฟื้นขึ้นจากตายในอนาคต ขอให้คิดถึงสิ่งที่พระยะโฮวาบอกให้อับราฮัมทำกับอิสอัคลูกชายที่เขารอคอยมานาน พระองค์บอกว่า “ขอให้พาอิสอัคลูกชายคนเดียวที่เจ้ารักมากเดินทางไปแผ่นดินโมริยาห์ แล้วถวายเขาเป็นเครื่องบูชาเผา” (ปฐมกาล 22:2) คุณคิดว่าอับราฮัมรู้สึกอย่างไรตอนที่ได้ยินคำสั่งนั้น? พระยะโฮวาสัญญาว่าโดยทางลูกหลานของอับราฮัมคนทุกชาติจะได้รับพร (ปฐมกาล 13:14-16; 18:18; โรม 4:17, 18) และพระองค์ยังบอกด้วยว่าพรนั้น “จะมาทางอิสอัค” (ปฐมกาล 21:12) แต่เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าอับราฮัมต้องถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา? เปาโลได้รับการดลใจให้อธิบายว่า อับราฮัมมีความเชื่อว่าพระเจ้าจะทำให้อิสอัคฟื้นขึ้นจากตาย (ฮีบรู 11:17-19) อับราฮัมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าลูกชายของเขาจะฟื้นขึ้นจากตายเมื่อไร แต่เขาเชื่อว่าพระยะโฮวาจะทำให้อิสอัคฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกแน่นอน ห17.12 น. 6 ว. 12-14
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม
ถ้ามีใครไม่รอด ก็จะมาโทษผมไม่ได้—กจ. 20:26
เช่นเดียวกับเปาโล เราก็ควรมองชีวิตอย่างที่พระยะโฮวามอง พระองค์ต้องการให้ทุกคนกลับตัวกลับใจเพื่อจะไม่ถูกทำลาย (2 เปโตร 3:9) เราต้องเลียนแบบพระยะโฮวาโดยรักผู้คน ถ้าเรามีความเมตตา เราจะประกาศอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งนั่นจะทำให้เรามีความสุขจริง ๆ เพื่อจะมองชีวิตแบบเดียวกับที่พระยะโฮวามอง เราต้องมีความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับความปลอดภัย เราต้องระมัดระวังทั้งตอนที่ทำงานและขับรถ แม้แต่ตอนที่เดินทางไปประชุม ทำงานก่อสร้าง และบำรุงรักษาหอประชุมด้วย เราควรจำไว้เสมอว่า ชีวิต ความปลอดภัย และสุขภาพสำคัญกว่าการประหยัดเวลาและเงินทอง พระเจ้าของเราทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอและเราก็อยากเป็นเหมือนพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ดูแลในประชาคมต้องคิดเกี่ยวกับความปลอดภัยทั้งตัวของเขาเองและของคนอื่น ๆ ด้วย (สุภาษิต 22:3) ถ้าผู้ดูแลเตือนคุณเกี่ยวกับมาตรฐานและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในเรื่องความปลอดภัย ก็ขอให้คุณฟังเขา (กาลาเทีย 6:1) ให้มองชีวิตอย่างที่พระยะโฮวามองและ “คุณก็จะไม่มีความผิดฐานฆ่าคน”—เฉลยธรรมบัญญัติ 19:10 ห17.11 น. 16 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม
อย่าให้ใครทำให้พวกคุณพลาดรางวัล—คส. 2:18
พี่น้องคริสเตียนผู้ถูกเจิมมีความหวังที่ยอดเยี่ยม อัครสาวกเปาโลบอกว่าความหวังนี้เป็น “รางวัล นั่นก็คือชีวิตในสวรรค์” (ฟีลิปปี 3:14) พี่น้องผู้ถูกเจิมจะปกครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในรัฐบาลของท่านบนสวรรค์ และจะทำงานร่วมกับท่านในการช่วยมนุษย์ให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (วิวรณ์ 20:6) ความหวังนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ส่วนคนที่เป็นแกะอื่นรอคอยรางวัลอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการมีชีวิตตลอดไปในสวนอุทยานบนโลก ความหวังนี้ทำให้พวกเขามีความสุขมาก (2 เปโตร 3:13) เปาโลอยากช่วยให้เพื่อนผู้ถูกเจิมของเขารักษาความซื่อสัตย์และได้รับรางวัล เปาโลบอกพวกเขาว่า “ให้ความคิดของพวกคุณยึดอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องบนเสมอ” (โคโลสี 3:2) พวกผู้ถูกเจิมมีความหวังที่จะไปสวรรค์ซึ่งเป็นความหวังที่ยอดเยี่ยม พวกเขาต้องสนใจที่ความหวังนี้เสมอ (โคโลสี 1:4, 5) ที่จริง การคิดเกี่ยวกับพรต่าง ๆ ที่มาจากพระยะโฮวาจะช่วยผู้รับใช้ของพระเจ้าทุกคนให้สนใจไปที่รางวัลเสมอ—1 โครินธ์ 9:24 ห17.11 น. 25 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม
ร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา—สด. 96:1
หลายเพลงในหนังสือร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาอย่างมีความสุข เป็นเหมือนคำอธิษฐาน เพลงเหล่านี้ช่วยคุณให้บอกพระยะโฮวาได้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร ส่วนเพลงอื่น ๆ ก็ช่วยเราให้ “กระตุ้นกันให้มีความรักและทำความดี” (ฮีบรู 10:24) เพื่อจะร้องเพลงในหนังสือเพลงใหม่นี้ได้ เราต้องคุ้นกับทำนอง จังหวะ และเนื้อเพลง ดังนั้น คุณน่าจะฝึกซ้อมร้องเพลงที่บ้าน เมื่อทำอย่างนั้นคุณจะสามารถร้องเพลงอย่างมั่นใจและออกมาจากความรู้สึก ขอจำไว้ว่าการร้องเพลงเป็นส่วนสำคัญของการนมัสการของเรา และเป็นวิธีสำคัญที่เราจะทำให้พระยะโฮวาเห็นว่าเรารักพระองค์และขอบคุณสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทำเพื่อเรา (อิสยาห์ 12:5) ตอนที่คุณร้องเพลงอย่างที่แสดงความรู้สึกออกมาเต็มที่ คุณก็กระตุ้นให้คนอื่นทำแบบเดียวกัน เราทุกคนในประชาคมไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมาก หรือเพิ่งมาเรียนความจริงก็สามารถนมัสการพระยะโฮวาในวิธีนี้ได้ ดังนั้น อย่ากลัวที่จะร้องเพลงจากใจ เรามาร้องเพลงอย่างมีความสุขกันเถอะ! ห17.11 น. 7 ว. 18-19
วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม
คุณต้องฉลาดเหมือนงู แต่ก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือนนกเขา—มธ. 10:16
ผู้ลี้ภัยหลายคนในทุกวันนี้อพยพมาจากประเทศที่งานประกาศของเราถูกสั่งห้าม เป็นเพราะพยานพระยะโฮวากระตือรือร้นในงานประกาศ ผู้ลี้ภัยจำนวนมากก็เลยได้ยิน “ข่าวสารเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” เป็นครั้งแรกในชีวิต (มธ. 13:19, 23) หลายคนที่ “มีภาระมาก” ได้รับการปลอบโยนและรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ไปประชุม พวกเขายอมรับทันทีว่า “พระเจ้าอยู่กับพวกคุณจริง ๆ” (มธ. 11:28-30; 1 คร. 14:25) เราต้องเป็นคน “ฉลาด” ตอนที่ประกาศกับผู้ลี้ภัย (สภษ. 22:3) เราต้องอดทนฟังตอนที่ผู้ลี้ภัยระบายความทุกข์และต้องไม่พูดเรื่องการเมือง เราควรทำตามคำแนะนำจากสำนักงานสาขาและเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อจะไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากผู้ลี้ภัยมาจากศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากเรา เราต้องเรียนรู้ที่จะนับถือความคิดและความรู้สึกของพวกเขา ตัวอย่างเช่น ผู้คนในบางประเทศเคร่งครัดเรื่องการแต่งตัวของผู้หญิงมาก ดังนั้น ตอนที่เราประกาศกับพวกเขา ก็ดีกว่าที่เราจะแต่งตัวในแบบที่ไม่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ ห17.05 น. 7 ว. 17-18
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม
ให้คำพูดของพวกคุณเป็นคำพูดที่กรุณาเสมอ—คส. 4:6
การทำอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปเมื่อต้องคุยกับญาติที่ไม่ใช่พยานฯ เราน่าจะขอพลังบริสุทธิ์จากพระยะโฮวาให้ช่วยเราพูดอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวล เราไม่ควรโต้เถียงเกี่ยวกับความเชื่อผิด ๆ ของพวกเขา ถ้าญาติ ๆ พูดหรือทำบางอย่างที่ทำให้เราเจ็บ เราน่าจะเลียนแบบตัวอย่างของพวกอัครสาวก เปาโลบอกว่า “เมื่อถูกด่า เราอวยพร เมื่อถูกข่มเหง เราก็ทนเอา เมื่อถูกใส่ร้าย เราตอบแบบสุภาพ” (1 โครินธ์ 4:12, 13) ถึงแม้การพูดอย่างอ่อนโยนจะช่วยเราให้รักษาความสงบสุขกับญาติ ๆ แต่การประพฤติที่ดีมีพลังมากกว่านั้นอีก (1 เปโตร 3:1, 2, 16) คุณต้องทำให้ญาติ ๆ เห็นตัวอย่างที่ดีของคุณ ทำให้พวกเขาเห็นว่าพยานพระยะโฮวามีชีวิตคู่ที่มีความสุข ดูแลลูก ๆ อย่างดี เป็นคนดีมีศีลธรรม และมีชีวิตที่มีความหมาย ถึงแม้ญาติ ๆ ของเราอาจไม่ตอบรับความจริง แต่เราก็มีความสุขที่ได้รู้ว่าความประพฤติที่ดีของเราทำให้พระยะโฮวาพอใจ ห17.10 น. 15 ว. 13-14
วันพุธที่ 16 ตุลาคม
เป็นคนที่พระเจ้าพอใจ—2 ทธ. 2:15
ไม่แปลกเลยที่หลายคนได้เปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่หลังจากที่พวกเขาเรียนความจริงในคัมภีร์ไบเบิล ในศตวรรษแรก พี่น้องชายหญิงของเราที่มีความหวังจะไปสวรรค์ก็ได้เปลี่ยนแปลงแบบนั้นด้วย (1 คร. 6:9-11) ตอนที่เปาโลพูดถึงพวกคนทำชั่วที่จะไม่ได้รับรัฐบาลของพระเจ้า เขาบอกว่า “พวกคุณบางคนเคยเป็นอย่างนั้น” คัมภีร์ไบเบิลและพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าช่วยพวกเขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง นอกจากนั้น ก็มีบางคนที่ได้เข้ามาเป็นคริสเตียนแล้วแต่กลับทำผิดร้ายแรงซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวามีปัญหา ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงพี่น้องผู้ถูกเจิมคนหนึ่งที่ต้องถูกตัดสัมพันธ์ แต่หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองและได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมคริสเตียนอีกครั้ง (1 คร. 5:1-5; 2 คร. 2:5-8) เราได้กำลังใจที่เห็นว่าพลังจากคัมภีร์ไบเบิลช่วยพี่น้องชายหญิงของเราหลายคนให้เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากมาย เราจึงอยากได้รับประโยชน์จากหนังสือนี้ให้มากที่สุด ห17.09 น. 23-24 ว. 2-3
วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม
อย่าให้เรารักด้วยลมปากเท่านั้น แต่ให้รักด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ—1 ยน. 3:18
พระยะโฮวาเป็นแหล่งของความรัก ความรักเกิดจากพระองค์ (1 ยอห์น 4:7) ความรักแบบที่สูงส่งที่สุดอยู่บนพื้นฐานของหลักการที่ถูกต้อง ในคัมภีร์ไบเบิลมีการเรียกความรักแบบนี้ในภาษากรีกว่าอะกาเป ความรักแบบนี้อาจเป็นความรู้สึกอบอุ่น รู้สึกชอบและรักใครคนหนึ่ง แต่ความรักแบบนี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึกอย่างเดียว ความรักแบบอะกาเป ต้องแสดงออกด้วยการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัวเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ความรักแบบนี้แหละทำให้เรามีความสุขและทำให้ชีวิตเรามีความหมาย เพราะเราถูกกระตุ้นให้ทำสิ่งดีต่าง ๆ เพื่อคนอื่น พระยะโฮวาแสดงว่ารักมนุษย์ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์จะสร้างอาดัมกับเอวาด้วยซ้ำ พระองค์สร้างโลกให้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังทำให้โลกเป็นบ้านที่เราทุกคนจะอยู่อาศัยและมีความสุขกับชีวิตได้จริง ๆ พระยะโฮวาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อตัวพระองค์เองแต่ทำเพื่อพวกเรา หลังจากที่สร้างโลกเสร็จ พระองค์ก็สร้างมนุษย์และให้พวกเขามีความหวังที่จะอยู่ในสวนอุทยานบนโลกตลอดไป ห17.10 น. 7 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม
ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง—ยก. 2:8
ยากอบบอกอีกว่า “ถ้าพวกคุณยังลำเอียง พวกคุณก็ทำบาป” (ยก. 2:9) ถ้าเรารักคนอื่น เราจะไม่มีอคติกับใครไม่ว่าเขาจะมีการศึกษาระดับไหน เชื้อชาติอะไร หรือมีสถานะทางสังคมอย่างไร เราต้องไม่ทำแค่ให้คนอื่นเห็นว่าเราไม่ลำเอียง แต่มันต้องมาจากตัวตนของเราจริง ๆ ความรัก “อดกลั้นและเมตตากรุณา” และ “ไม่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น” (1 คร. 13:4) เราต้องอดทน กรุณา และถ่อมตัวเพื่อจะประกาศกับคนอื่นต่อ ๆ ไป (มธ. 28:19) คุณลักษณะเหล่านี้ทำให้เราเข้ากับพี่น้องทั้งผู้ชายและผู้หญิงทุกคนในประชาคมได้ง่ายขึ้น ถ้าเราทุกคนแสดงความรักแบบนี้ ประชาคมของเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันและทำให้พระยะโฮวาได้รับคำสรรเสริญ คนอื่น ๆ จะเห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของเราและอยากเข้ามาเรียนความจริง จึงเหมาะจริง ๆ ที่คัมภีร์ไบเบิลสรุปตอนท้ายเกี่ยวกับลักษณะนิสัยใหม่ว่า “นอกจากนั้น ให้ปลูกฝังความรัก เพราะความรักผูกพันผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง”—คส. 3:14 ห17.08 น. 26 ว. 18-19
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม
พระยะโฮวา . . . เตือนพวกเขาหลายครั้งหลายหน เพราะพระองค์สงสารประชาชน—2 พศ. 36:15
เราน่าจะรู้สึกสงสารผู้คนที่ไม่รู้จักพระยะโฮวา คนเหล่านี้อาจกลับใจและมาเป็นเพื่อนของพระองค์ได้ พระยะโฮวาไม่อยากให้ใครต้องถูกทำลายในวันพิพากษาที่กำลังจะมาถึง (2 ปต. 3:9) ดังนั้น ตอนที่ยังมีโอกาส เราน่าจะประกาศคำเตือนกับทุกคนและช่วยผู้คนให้ได้มากที่สุดเพื่อพวกเขาจะมารับประโยชน์จากความสงสารของพระเจ้า พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการแสดงความสงสาร พระเยซูรู้สึกสงสารผู้คนเพราะท่านเห็น “พวกเขาถูกขูดรีดและถูกทอดทิ้งเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง” ท่านก็เลย “สอนพวกเขาหลายเรื่อง” (มธ. 9:36; มก. 6:34) แต่ตรงกันข้าม พวกฟาริสีไม่รู้สึกสงสารและไม่อยากช่วยคนอื่น (มธ. 12:9-14; 23:4; ยน. 7:49) คุณอยากช่วยคนอื่นและสอนเขาเรื่องพระยะโฮวาเหมือนพระเยซูไหม? ห17.09 น. 9 ว. 6 และ น. 10 ว. 9
วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม
เมื่อเราเริ่มทำอะไร ใครจะมาหยุดยั้งได้?—อสย. 43:13
ตอนเขานั่งอยู่ในคุกที่อียิปต์ เขาคงไม่คิดเลยว่าต่อมาเขาจะได้เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอียิปต์ หรือตอนนั้นเขาก็คงไม่คิดด้วยว่าพระยะโฮวาจะใช้เขาเพื่อช่วยครอบครัวจากการกันดารอาหารที่เกิดขึ้น (ปฐก. 40:15, เชิงอรรถ; 41:39-43; 50:20) ไม่สงสัยเลยว่าสิ่งที่พระยะโฮวาทำนั้นเกินความคาดหมายของโยเซฟจริง ๆ ซาราห์ที่ตอนนั้นแก่มากแล้วจะคิดไหมว่าพระยะโฮวาจะให้เธอมีลูก? การที่ซาราห์มีอิสอัคเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนจริง ๆ (ปฐก. 21:1-3, 6, 7) เราไม่คาดหมายว่าพระยะโฮวาจะทำการอัศจรรย์ให้ปัญหาทุกอย่างของเราหมดไปก่อนที่จะถึงโลกใหม่ และเราก็ไม่เรียกร้องให้พระยะโฮวาทำสิ่งที่อัศจรรย์ในชีวิตของเรา แต่เรารู้ว่าพระยะโฮวาได้ช่วยผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ในอดีตในวิธีที่น่าทึ่ง และพระองค์เป็นพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง (อสย. 43:10-12) เรามั่นใจว่าพระองค์จะให้พลังที่จำเป็นกับเราเพื่อให้เราทำตามความต้องการของพระองค์ (2 คร. 4:7-9) ถ้าเรารักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา พระองค์สามารถช่วยเราถึงแม้เราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีทางออก ห17.08 น. 11-12 ว. 13-14
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ให้ฝากเรื่องนั้นไว้กับพระยะโฮวา แล้วแผนการของคุณจะสำเร็จ—สภษ. 16:3
งานรับใช้เต็มเวลาช่วยคุณให้เป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่เพราะคุณได้ทำงานกับพี่น้องที่รับใช้เต็มเวลาคนอื่น ๆ นอกจากนั้น หลายคนรู้สึกว่าการได้รับใช้เต็มเวลาตั้งแต่อายุน้อย ๆ มีประโยชน์กับชีวิตคู่ของพวกเขา และส่วนใหญ่พี่น้องที่เป็นไพโอเนียร์ก่อนแต่งงานก็จะเป็นไพโอเนียร์กับคู่ของเขาต่อไปด้วย (รม. 16:3, 4) สดุดี 20:4 บอกเกี่ยวกับพระยะโฮวาว่า “ขอพระองค์ให้ตามที่ใจท่านต้องการ และช่วยให้โครงการทุกอย่างของท่านสำเร็จ” ตอนที่คุณวางแผนอนาคต ขอให้คิดว่าจริง ๆ แล้วใจคุณอยากทำอะไร คิดว่าพระยะโฮวากำลังทำอะไรในสมัยของเรา และคุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อสนับสนุนงานของพระองค์ หลังจากคิดเรื่องนี้ทั้งหมดแล้วก็ให้วางแผนทำสิ่งที่พระองค์พอใจ คุณจะมีความสุขมาก ถ้าคุณใช้ชีวิตเพื่อรับใช้พระยะโฮวาอย่างเต็มที่และยกย่องสรรเสริญพระองค์ คุณจะ “ชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระยะโฮวาทำ แล้วพระองค์จะให้ตามที่ใจคุณต้องการ”—สด. 37:4 ห17.07 น. 26 ว. 15-18
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม
ขอให้สรรเสริญยาห์ . . . เป็นเรื่องน่ายินดีและเหมาะสมที่จะสรรเสริญพระองค์—สด. 147:1
ปกติแล้วเรามักยกย่องชมเชยคนที่พูดหรือทำอะไรให้เราประทับใจ ดังนั้น เราก็น่าจะสรรเสริญพระยะโฮวาพระเจ้ามากกว่านั้นอีก เราสรรเสริญพระองค์เพราะพระองค์มีอำนาจยิ่งใหญ่ซึ่งเราเห็นได้จากสิ่งยอดเยี่ยมต่าง ๆ ที่พระองค์สร้าง และเราสรรเสริญพระองค์เพราะพระองค์รักเรามาก ซึ่งเราเห็นได้จากการที่พระองค์ยอมสละลูกชายคนเดียวมาเป็นค่าไถ่เพื่อเรา ตอนที่เราอ่านสดุดีบท 147 เราเห็นชัดเจนว่าผู้เขียนอยากสรรเสริญพระยะโฮวามาก และเขายังสนับสนุนคนอื่น ๆ ให้สรรเสริญพระองค์ด้วยกันกับเขา (สด. 147:7, 12) เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เขียนสดุดีบท 147 แต่เขาน่าจะอยู่ในช่วงที่ชาวอิสราเอลเดินทางกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มหลังจากที่พระยะโฮวาปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นเชลยที่บาบิโลน (สด. 147:2) ผู้เขียนหนังสือสดุดีคนนี้สรรเสริญพระยะโฮวาเพราะพระองค์ช่วยประชาชนของพระองค์ให้กลับมานมัสการในแผ่นดินของพวกเขาอีกครั้ง มีเหตุผลอะไรบ้างที่คุณเองควรพูดว่า “ฮาเลลูยาห์” หรือ “สรรเสริญยาห์”?—สด. 147:1, เชิงอรรถ ห17.07 น. 17 ว. 1-3
วันพุธที่ 23 ตุลาคม
ให้ใช้ทรัพย์ที่คุณมีในโลกนี้เพื่อผูกมิตรกับคนอื่นไว้ เพราะเมื่อทรัพย์นั้นหมด จะได้มีคนรับคุณไปอยู่ในที่อยู่ถาวร—ลก. 16:9
พระเยซูรู้ว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับสาวกส่วนใหญ่ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่ยุติธรรมนี้ ถึงแม้พระเยซูไม่ได้อธิบายว่าทำไมท่านถึงเรียกทรัพย์สมบัติว่าเป็น “ทรัพย์อธรรม” แต่คัมภีร์ไบเบิลก็บอกชัดเจนว่าการทำธุรกิจหรือการหาเงินให้ได้มาก ๆ ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความประสงค์ของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาให้สิ่งจำเป็นต่าง ๆ กับอาดัมและเอวามากเกินกว่าที่พวกเขาต้องการ ในสวนเอเดนอาดัมและเอวาไม่ต้องจ่ายเงินซื้อสิ่งต่าง ๆ (ปฐก. 2:15, 16) นอกจากนั้น เนื่องจากพระเจ้าให้พลังบริสุทธิ์กับผู้ถูกเจิมในศตวรรษแรก พวกเขาจึง “เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีใครถือว่าสิ่งที่เขามีเป็นของตัวเอง แต่พวกเขาเอาสิ่งของทั้งหมดมารวมกันเป็นกองกลาง” (กจ. 4:32) อิสยาห์พยากรณ์ไว้ว่าวันหนึ่งทุกคนจะได้ประโยชน์จากผลผลิตทุกอย่างบนโลกฟรี ๆ (อสย. 25:6-9; 65:21, 22) แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น สาวกของพระเยซูต้อง “ลงมือทำอย่างฉลาด” พวกเขาต้องมี “ทรัพย์ที่มีในโลกนี้” เพื่อจะมีชีวิตอยู่ได้ และในเวลาเดียวกันก็ต้องพยายามทำให้พระเจ้าพอใจด้วย—ลก. 16:8 ห17.07 น. 8 ว. 4-6
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม
เจ้าจะทำอะไรกับสิ่งที่เขามีก็ได้—โยบ 1:12
หนังสือโยบ ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือของคัมภีร์ไบเบิลเล่มแรก ๆ ที่พระเจ้าให้มนุษย์เขียน ในหนังสือโยบ ซาตานบอกว่าถ้าโยบเจอกับความทุกข์ลำบาก เขาจะทิ้งพระเจ้า ซาตานถึงกับบอกให้พระยะโฮวาลองทำให้โยบเจอความทุกข์ พระยะโฮวาไม่ทำตามที่ซาตานบอก แต่พระองค์ยอมให้มันทดสอบโยบ ไม่นานโยบก็สูญเสียทรัพย์สมบัติกับคนรับใช้ จากนั้นลูก ๆ ทั้ง 10 คนของเขาก็ต้องตายอย่างโหดร้าย ซาตานพยายามทำให้โยบเข้าใจว่าพระเจ้าเป็นต้นเหตุของความโหดร้ายครั้งนี้ (โยบ 1:13-19) หลังจากนั้น ซาตานทำให้โยบป่วยหนัก ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เจ็บปวดและน่ารังเกียจ (โยบ 2:7) ยังไม่หมดแค่นั้น ภรรยากับเพื่อนจอมปลอมของโยบก็พูดไม่ดีจนทำให้โยบรู้สึกเจ็บและหมดกำลังใจ (โยบ 2:9; 3:11; 16:2) ผลเป็นอย่างไร? ข้อกล่าวหาที่ซาตานพูดไว้ถูกต้องไหม? ไม่เลย ถึงแม้ว่าโยบจะต้องทนทุกข์แสนสาหัส แต่เขาไม่เคยทิ้งพระเจ้า—โยบ 27:5 ห17.06 น. 24 ว. 9-10
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม
ถ้าใครไม่เลี้ยงดูคนที่อยู่ในความดูแลของเขา โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวของเขาเอง คนนั้นก็ปฏิเสธความเชื่อ—1 ทธ. 5:8
ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน พระยะโฮวาให้หัวหน้าครอบครัวทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการหาเลี้ยงครอบครัว พวกเขาต้องพยายามทำตามหน้าที่รับผิดชอบนี้ แต่การทำงานอาชีพในสมัยสุดท้ายนี้ไม่ง่ายเลย มันทำให้เกิดความวิตกกังวลมากมาย จำนวนคนที่หางานทำมักมีมากกว่าตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ ผู้คนต้องแข่งขันกันเพื่อจะได้งาน หลายคนถึงกับต้องยอมทำงานมากขึ้นทั้ง ๆ ที่ได้ค่าแรงน้อยกว่างานเดิม โลกธุรกิจพยายามผลิตสินค้ามากขึ้นแต่กลับใช้พนักงานน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ดังนั้น คนงานหลายคนจึงเกิดความเครียด เหน็ดเหนื่อย และถึงขั้นป่วย หลายคนกลัวว่าถ้าไม่ทำทุกอย่างตามที่เจ้านายเรียกร้องก็จะต้องตกงาน พวกเราที่เป็นคริสเตียน เราภักดีต่อพระยะโฮวามากที่สุดและมากกว่านายจ้างของเราด้วย (ลก. 10:27) เราทำงานอาชีพเพื่อจะมีสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิตและรับใช้พระยะโฮวาได้ แต่ถ้าเราไม่ระวัง หน้าที่รับผิดชอบในการทำงานอาจมีผลกระทบกับการนมัสการของเรา ห17.05 น. 23 ว. 5-7
วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม
ให้ฟังพ่อบังเกิดเกล้าของคุณ และอย่าดูถูกแม่เพียงเพราะท่านแก่ชรา—สภษ. 23:22
บางครั้ง พี่น้องใหม่ ๆ อาจขอให้เราสอนลูกของเขาเรื่องพระยะโฮวาถ้ามีพ่อหรือแม่มาขอให้เราศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับลูกของเขา เราต้องจำไว้ว่าเราไม่ควรทำตัวเป็นพ่อแม่ซะเอง (อฟ. 6:1-4) บางครั้งเราอาจศึกษากับเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นพยานพระยะโฮวา ดังนั้น ตอนที่ศึกษากับเด็กที่ไม่ใช่ลูกของเรา เราน่าจะศึกษากับพวกเขาที่บ้านโดยมีพ่อแม่ของพวกเขาอยู่ด้วย หรือศึกษาในที่ที่มีพี่น้องคริสเตียนที่โตเป็นผู้ใหญ่อยู่ด้วย หรืออาจศึกษาในที่สาธารณะก็ได้ ถ้าเราทำอย่างนี้ เราก็จะไม่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่ามีการทำอะไรเสีย ๆ หาย ๆ และเมื่อเวลาผ่านไป พ่อแม่ก็อาจสอนลูกเรื่องพระยะโฮวาเองได้ ห17.06 น. 8 ว. 15-16
วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม
ถ้าผมไม่เข้าใจสิ่งที่คนหนึ่งพูด . . . เขาก็เป็นเหมือนคนต่างชาติสำหรับผม—1 คร. 14:11
ถ้าเด็ก ๆ ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนชาติเดียวกับพ่อแม่หรือมีวัฒนธรรมเดียวกัน เขาก็อาจไม่อยากเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาและศาสนาของพ่อแม่ด้วย พ่อแม่คริสเตียนควรให้ความจำเป็นของลูกมาก่อนความชอบของตัวเอง (1 คร. 10:24) พี่น้องคนหนึ่งชื่อซามูเอลบอกว่า “ผมกับภรรยาพยายามสังเกตว่าภาษาไหนที่ทำให้ลูกเข้าใจความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลได้มากที่สุด เราอธิษฐานขอสติปัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พอเราได้เห็นว่าลูก ๆ ไม่ค่อยได้ประโยชน์จากการประชุมในภาษาของเรา เราก็เลยตัดสินใจย้ายไปประชาคมภาษาท้องถิ่นที่ลูกเข้าใจ เราเข้าร่วมประชุมด้วยกันและออกประกาศด้วยกันเป็นประจำ เรายังชวนเพื่อน ๆ ที่เป็นคนท้องถิ่นมากินข้าวและไปเที่ยวกับเรา การทำอย่างนี้ช่วยให้เด็ก ๆ รู้จักพี่น้องมากขึ้นและรู้จักพระยะโฮวาว่าพระองค์ไม่ได้เป็นแค่พระเจ้าแต่ยังเป็นพ่อและเพื่อนของพวกเขาด้วย เรามองว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าการให้ลูก ๆ ใช้ภาษาของเรา” ห17.05 น. 10-11 ว. 11-13
วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม
ให้เราสรรเสริญพระยะโฮวา—วนฉ. 5:2
อีกไม่นาน ทั้งโลกจะมีแต่คนที่สนับสนุนการปกครองของพระยะโฮวามากกว่าการปกครองอื่น ๆ พวกเรารอคอยให้วันนั้นมาถึง พวกเรารู้สึกเหมือนเดโบราห์กับบาราคที่ร้องเพลงว่า “พระยะโฮวาพระเจ้า ขอให้ศัตรูของพระองค์พินาศไป แต่ขอให้คนที่รักพระองค์ส่องแสงแรงกล้าเหมือนดวงตะวัน” (วนฉ. 5:31) สิ่งนี้จะเกิดขึ้นตอนที่พระยะโฮวาทำให้โลกของซาตานถึงจุดจบ และตอนที่สงครามอาร์มาเกดโดนเริ่มต้น พระยะโฮวาจะไม่ต้องขอให้มนุษย์คนไหนอาสาสมัครมาช่วยทำลายศัตรูของพระองค์ เราจะมีหน้าที่แค่ ‘ยืนเฉย ๆ แล้วดูพระยะโฮวาช่วยพวกเราให้รอด’ (2 พศ. 20:17) ส่วนในตอนนี้ เรามีโอกาสยอดเยี่ยมที่ได้สนับสนุนการปกครองของพระยะโฮวาอย่างกล้าหาญและกระตือรือร้น เดโบราห์และบาราคร้องเพลงแห่งชัยชนะโดยการสรรเสริญพระยะโฮวาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาเริ่มต้นร้องว่า “ให้เราสรรเสริญพระยะโฮวาที่ชาวอิสราเอลอาสาไปสู้รบ” (วนฉ. 5:1, 2) คล้ายกัน ตอนที่เรารับใช้พระยะโฮวาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน คนอื่น ๆ ก็อาจได้รับกำลังใจที่จะ “สรรเสริญพระยะโฮวา” ด้วยเหมือนกัน ห17.04 น. 32 ว. 17-18
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม
ผม . . . ต้องมาติดคุกอยู่ที่นี่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย—ปฐก. 40:15
โยเซฟไม่ได้ลืมว่าตลอด 13 ปีเขาต้องทนกับความไม่ยุติธรรมอะไรบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้โกรธหรือเจ็บใจไม่หาย (ปฐก. 45:5-8) ที่สำคัญที่สุด โยเซฟไม่ยอมให้ความไม่สมบูรณ์ของคนอื่นและการกระทำที่แย่ ๆ ของพวกเขามาทำให้เขาห่างเหินกับพระยะโฮวา โยเซฟยังคงซื่อสัตย์ภักดีต่อพระยะโฮวาเสมอ เขาจึงได้เห็นพระองค์จัดการกับความไม่ยุติธรรมและอวยพรเขากับครอบครัว คล้ายกัน เราต้องเห็นคุณค่าและพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่มีกับพระยะโฮวาไว้เสมอ เราจะไม่ยอมให้ความไม่สมบูรณ์ของพี่น้องมาทำให้เราเลิกรักพระยะโฮวาและเลิกนมัสการพระองค์ (รม. 8:38, 39) ถ้าเราเจอกับความไม่ยุติธรรมในประชาคม ขอเราเลียนแบบโยเซฟ เราต้องทำทุกอย่างเพื่อใกล้ชิดกับพระยะโฮวามากขึ้นและพยายามมองเรื่องต่าง ๆ เหมือนที่พระยะโฮวามองเสมอ และถ้าเราพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อแก้ปัญหาตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลแล้ว เราต้องฝากเรื่องนั้นไว้กับพระยะโฮวา เรามั่นใจได้ว่าพระองค์จะจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ตามเวลาและวิธีที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม ห17.04 น. 20 ว. 12 และ น. 22 ว. 15-16
วันพุธที่ 30 ตุลาคม
ถ้าพระองค์ . . . ให้ดิฉันมีลูกชายคนหนึ่ง ดิฉันจะยกลูกคนนี้ให้รับใช้พระยะโฮวาตลอดชีวิต—1 ซม. 1:11
ฮันนาห์ทำตามที่ได้สัญญาไว้กับพระยะโฮวา เธอพาซามูเอลไปหาปุโรหิตใหญ่เอลีที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองชิโลห์ เธอบอกเขาว่า “ตอนนั้นดิฉันอธิษฐานขอลูกคนนี้และพระยะโฮวาก็ให้ตามที่ขอ ดิฉันจึงพาเขามาถวายพระยะโฮวา และเขาจะเป็นของพระยะโฮวาตลอดชีวิตของเขา” (1 ซม. 1:24-28) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซามูเอลก็อยู่ที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เด็กน้อยซามูเอลก็เติบโตขึ้นและพระยะโฮวาก็รักเขา” (1 ซม. 2:21) การที่ฮันนาห์จะทำตามสิ่งที่ปฏิญาณไว้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนี่หมายความว่าเธอแทบจะไม่ได้อยู่กับลูกชายสุดที่รักเลย ลองนึกดูว่าฮันนาห์จะคิดถึงลูกขนาดไหน เธอคงอยากเลี้ยงเขา ดูแลเขา กอดเขา และเล่นกับเขา ซึ่งเป็นความสุขที่คนเป็นแม่จะได้รับตอนที่อยู่กับลูกและเห็นลูกค่อย ๆ โตขึ้นทุกวัน แม้จะเป็นอย่างนี้แต่เธอก็มองว่าคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับพระยะโฮวาเป็นเรื่องจริงจัง เธอเต็มใจเสียสละสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเธอเพื่อจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพระเจ้า—1 ซม. 2:1, 2; สด. 61:1, 5, 8 ห17.04 น. 5 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม
ขอให้รู้ไว้ว่า ในสมัยสุดท้ายจะเป็นช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก—2 ทธ. 3:1
อัครสาวกเปาโลบอกว่าในสมัยสุดท้ายจะมี “ช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก” เขายังบอกอีกว่า “คนชั่วและนักต้มตุ๋นจะยิ่งชั่วร้ายขึ้นเรื่อย ๆ” (2 ทธ. 3:2-5, 13) คุณเคยได้รับผลกระทบจากคนชั่วไหม? พวกเราหลายคนเคยตกเป็นเหยื่อของคนที่ชอบใช้ความรุนแรงทำร้ายคนอื่น พวกเหยียดสีผิว และอาชญากรที่ชั่วร้าย พวกเขาบางคนทำชั่วอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนบางคนก็แกล้งทำเป็นคนดีชอบช่วยเหลือคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาก็เป็นคนชั่วเหมือนกัน และถึงแม้พวกเราบางคนอาจยังไม่เคยตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมแต่เราก็ยังได้รับผลกระทบจากคนชั่วอยู่ดี เรารู้สึกแย่มากตอนที่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายกับเด็ก คนแก่ และคนไม่มีทางสู้ คนชั่วพวกนี้เป็นเหมือนสัตว์ป่าหรือปีศาจ (ยก. 3:15) น่าดีใจที่คัมภีร์ไบเบิลมีความหวังที่ดีสำหรับพวกเรา ห17.04 น. 10 ว. 4