กันยายน
วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน
[ให้เลี้ยงดูลูก] ด้วยคำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา—อฟ. 6:4
พ่อแม่ในทุกวันนี้มีสิทธิพิเศษที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งคือการสอนลูกให้รักพระยะโฮวา (สดุดี 127:3) ในสมัยอิสราเอลโบราณ เด็ก ๆ ทุกคนที่เกิดมาถือว่าได้อุทิศชีวิตให้พระยะโฮวาแล้ว แต่เด็กในทุกวันนี้ที่มีพ่อแม่เป็นคริสเตียนไม่เป็นอย่างนั้น การที่พ่อแม่รักพระยะโฮวาและรักความจริงไม่ได้หมายความว่าลูกจะเป็นอย่างนั้นด้วย นับตั้งแต่วันที่ลูกเกิด พ่อแม่ต้องมีเป้าหมายที่จะช่วยลูกให้เป็นสาวก ช่วยลูกให้อุทิศชีวิตให้พระเจ้าและรับบัพติศมา จะมีอะไรสำคัญมากกว่านี้อีกหรือ? คนที่อุทิศตัวให้พระยะโฮวา รับบัพติศมา และรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์จะมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดชีวิตผ่านความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ (มัทธิว 24:13) คุณที่เป็นพ่อแม่ ขอให้คุณได้เจอความสุขแบบนี้ด้วยตอนที่คุณเห็นลูกอุทิศตัวและรับบัพติศมาเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา ห18.03 น. 12 ว. 16-17
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน
เอาใจใส่ตัวคุณและการสอนของคุณให้ดี—1 ทธ. 4:16
ทุกครั้งที่ผู้ดูแลสั่งสอนพี่น้องจากคัมภีร์ไบเบิลไม่ว่าจะในครอบครัวหรือในประชาคม เขาต้องเลียนแบบพระคริสต์ เมื่อทำอย่างนั้นเขาก็แสดงว่าเขาอยากให้พระเจ้าและพระเยซูชี้นำ ถ้าเรายอมรับการสั่งสอนจากพระยะโฮวาและเลียนแบบวิธีที่พระองค์กับพระเยซูสั่งสอน เราจะได้รับพรมากมาย ครอบครัวและประชาคมของเราจะสงบสุข ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า เป็นที่รัก และมั่นคงปลอดภัย นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของความสงบและความสุขที่เราจะมีในอนาคต (สดุดี 72:7) การสั่งสอนจากพระยะโฮวาเตรียมเราที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไปอย่างมีความสงบสุข และเป็นครอบครัวที่เป็นหนึ่งเดียวซึ่งมีพระยะโฮวาพ่อของเราดูแล (อิสยาห์ 11:9) ถ้าเรามองการสั่งสอนจากพระเจ้าในแง่มุมนี้ เราจะเข้าใจว่าการสั่งสอนหมายถึงอะไรจริง ๆ การสั่งสอนเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมที่พระเจ้าแสดงความรักต่อเรา ห18.03 น. 26 ว. 15 และ น. 27 ว. 17, 19
วันอังคารที่ 3 กันยายน
รับบัพติศมาจากเขาในแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาสารภาพบาปของตัวเองอย่างเปิดเผย—มธ. 3:6
ทำไมผู้คนถึงมาหายอห์นเพื่อรับบัพติศมา? พวกเขารับบัพติศมาเพื่อแสดงว่ากลับใจจากบาปเพราะไม่ได้เชื่อฟังกฎหมายของโมเสส (มัทธิว 3:1-6) แต่มีการรับบัพติศมาครั้งหนึ่งที่แตกต่างจากครั้งอื่นอย่างสิ้นเชิง การรับบัพติศมาครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญที่สุด ยอห์นมีสิทธิพิเศษที่ได้ให้บัพติศมากับพระเยซูลูกชายที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า (มัทธิว 3:13-17) พระเยซูไม่เคยทำบาป ท่านไม่จำเป็นต้องกลับใจ (1 เปโตร 2:22) แล้วทำไมพระเยซูถึงรับบัพติศมา? ท่านอยากแสดงให้เห็นว่าท่านพร้อมที่จะใช้ทั้งชีวิตเพื่อทำตามความประสงค์ของพระเจ้า (ฮีบรู 10:7) หลังจากพระเยซูเริ่มงานสอน สาวกของท่านก็ให้บัพติศมาคนอื่นด้วย (ยอห์น 3:22; 4:1, 2) ผู้คนเหล่านั้นรับบัพติศมาเพื่อแสดงว่าพวกเขากลับใจจากบาปเพราะไม่ได้เชื่อฟังกฎหมายของโมเสส แต่หลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย คนที่อยากเป็นสาวกของท่านต้องรับบัพติศมาด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป ห18.03 น. 5 ว. 6-7
วันพุธที่ 4 กันยายน
คนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้านั้นจะตรวจสอบทุกสิ่งได้—1 คร. 2:15
คนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้าไม่เหมือนกับคนที่คิดแบบโลก สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เขายอมให้พลังของพระเจ้าชี้นำและพยายามอย่างมากที่จะเลียนแบบพระองค์ (เอเฟซัส 5:1) เขาพยายามเรียนรู้ว่าพระยะโฮวาคิดอะไรในเรื่องต่าง ๆ และพยายามคิดเหมือนพระองค์คิด พระเจ้าเป็นบุคคลจริงสำหรับเขา ไม่เหมือนกับคนที่คิดแบบโลก คนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้าจะใช้มาตรฐานของพระยะโฮวาในทุกด้านของชีวิต (สดุดี 119:33; 143:10) เขาจะไม่ยุ่งกับ “การกระทำที่เกิดจากความต้องการของร่างกายที่มีบาป” แต่จะพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อจะมี “ผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า” มากขึ้น (กาลาเทีย 5:22, 23) คนที่ได้รับการชี้นำจากพลังของพระเจ้าจะให้การนมัสการพระองค์เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเขา ห18.02 น. 19 ว. 3, 6
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน
ดาเนียล คุณเป็นคนที่พระเจ้าถือว่ามีค่ามาก—ดนล. 10:11
ดาเนียลถูกบังคับให้ไปอยู่ที่บาบิโลนซึ่งเต็มไปด้วยพระเท็จและสิ่งที่เกี่ยวกับผีปีศาจ คนที่นั่นไม่ชอบชาวยิวแถมยังเยาะเย้ยพวกเขากับพระยะโฮวา (สดุดี 137:1, 3) นี่คงทำให้ดาเนียลและชาวยิวหลายคนที่รักพระยะโฮวารู้สึกเจ็บปวดมาก นอกจากนั้น ยังมีการจัดอาหารของกษัตริย์ให้พวกเขากิน แต่ดาเนียล “ตั้งใจว่าจะไม่กินอาหารและเหล้าองุ่นของกษัตริย์ เพราะมีของที่ไม่สะอาดตามกฎหมายของพระเจ้า” (ดาเนียล 1:5-8, 14-17) มีข้อท้าทายอีกอย่างหนึ่งสำหรับดาเนียลซึ่งตอนแรกดูเหมือนไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เขาเป็นคนมีความสามารถ และนี่ทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษจากกษัตริย์ (ดาเนียล 1:19, 20) แต่ดาเนียลไม่ได้กลายเป็นคนหยิ่งและไม่ได้รู้สึกว่าความคิดของเขาถูกตลอด เขายังเป็นคนถ่อมและเจียมตัว เขาพูดเสมอว่าพระยะโฮวาต่างหากที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ (ดาเนียล 2:30) ลองคิดถึงเรื่องนี้ ในหนังสือเอเสเคียลพระยะโฮวาพูดถึงดาเนียลกับโนอาห์และโยบว่าพวกเขาทั้ง 3 คนเป็นตัวอย่างที่น่าเลียนแบบ แต่ในตอนนั้นโนอาห์กับโยบตายไปแล้วและพวกเขารับใช้อย่างซื่อสัตย์ตลอดชีวิต (เอเสเคียล 14:14) ส่วนดาเนียลยังเป็นเด็กวัยรุ่น นี่แสดงว่าพระองค์มั่นใจในตัวดาเนียลจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ทำให้พระองค์ผิดหวังเพราะเขาซื่อสัตย์และเชื่อฟังพระเจ้าตลอดชีวิต ห18.02 น. 5 ว. 11-12
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน
เลวีก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ต้อนรับพระเยซูที่บ้านของเขา—ลก. 5:29
พระเยซูทำให้เราเห็นว่าการมีความสมดุลในเรื่องความสนุกสนานหมายความว่าอย่างไร ท่านไป “งานแต่งงาน” และ “งานเลี้ยงใหญ่” (ยอห์น 2:1-10) ตอนนั้น ที่งานแต่งงานมีเหล้าองุ่นไม่พอ พระเยซูจึงทำการอัศจรรย์เปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น แต่ถึงอย่างนั้น พระเยซูไม่ได้ให้ความสนุกสนานสำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน พระเยซูให้พระยะโฮวามาเป็นอันดับแรก และท่านทำทุกอย่างเพื่อช่วยคนอื่น พระเยซูเต็มใจตายอย่างเจ็บปวดบนเสาทรมานเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ท่านบอกคนที่อยากติดตามท่านว่า “เมื่อคุณโดนคนอื่นข่มเหง ด่าว่า และใส่ร้ายเพราะติดตามผม คุณก็มีความสุข ดีใจได้เลย เพราะคุณจะได้รางวัลที่มีค่ามากในสวรรค์” (มัทธิว 5:11, 12) เพราะเรารักพระยะโฮวาและอยากทำให้พระองค์มีความสุข เราจะไม่ใช่แค่ไม่ทำสิ่งที่รู้แน่ ๆ อยู่แล้วว่าผิด แต่เราจะไม่ทำแม้แต่สิ่งที่เราคิดว่าอาจทำให้พระองค์ไม่พอใจ—มัทธิว 22:37, 38 ห18.01 น. 26-27 ว. 16-18
วันเสาร์ที่ 7 กันยายน
ถ้าคนรับใช้ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นเขาจะไม่สำนึกบุญคุณ—สภษ. 29:21
เราอยากให้พระยะโฮวาเพราะเรารักและสำนึกบุญคุณพระองค์ เมื่อเราคิดถึงทุกอย่างที่พระองค์ทำเพื่อเรา เรารู้สึกประทับใจมาก กษัตริย์ดาวิดก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ดาวิดบอกว่าทุกอย่างที่เราได้รับมาจากพระยะโฮวา และทุกอย่างที่เราให้พระองค์ก็เป็นของที่พระองค์ให้เรามาทั้งนั้น (1 พงศาวดาร 29:11-14) นอกจากนั้น มันจะดีกับเราด้วยถ้าเราเป็นคนมีน้ำใจและให้อย่างใจกว้าง ไม่ใช่แค่รับอย่างเดียว ลองนึกถึงเด็กคนหนึ่งที่ได้เงินค่าขนมนิดหน่อยจากพ่อแม่ แล้วเขาก็เก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ซื้อของขวัญให้พ่อแม่ คุณคิดว่าพ่อแม่จะรู้สึกอย่างไร? หรือลองคิดถึงไพโอเนียร์วัยรุ่นคนหนึ่งที่ยังอยู่กับพ่อแม่ เขาให้เงินพ่อแม่จำนวนหนึ่งเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายของครอบครัว จริง ๆ พ่อแม่อาจไม่คาดหวังให้ลูกทำอย่างนั้นแต่ก็ยินดีรับสิ่งที่ลูกให้ ทำไม? เพราะพ่อแม่รู้ว่ามันจะดีกับลูกถ้าลูกรู้จักสำนึกบุญคุณและเป็นคนมีน้ำใจ คล้ายกัน พระยะโฮวารู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราที่เราจะให้สิ่งมีค่ากับพระองค์ ห18.01 น. 18 ว. 4, 6
วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน
เลือกเอาชีวิตเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ ทั้งตัวคุณและลูกหลานของคุณด้วย—ฉธบ. 30:19
เพื่อที่จะช่วยลูกให้มีความเชื่อ คุณต้องไม่เพียงแค่บอกเขาว่าอะไรถูกอะไรผิด คุณต้องช่วยเขาให้คิดหาเหตุผลโดยใช้คำถาม อย่างเช่น ‘ทำไมคัมภีร์ไบเบิลถึงห้ามทำบางอย่างที่ฉันชอบ? ฉันจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลดีที่สุดสำหรับฉัน?’ (อิสยาห์ 48:17, 18) ถ้าลูกอยากจะรับบัพติศมา คุณต้องช่วยเขาให้คิดอย่างจริงจังว่าการรับบัพติศมาทำให้มีหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้น เขารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับหน้าที่เหล่านั้น? เขาจะได้ผลดีอะไรและต้องเสียสละอะไรบ้าง? เมื่อเทียบผลดีที่ได้กับสิ่งที่เขาต้องเสียสละ ทำไมถึงบอกได้ว่ามันคุ้มมาก? (มาระโก 10:29, 30) เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้ก่อนจะรับบัพติศมา ขอให้ช่วยลูกของคุณคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เมื่อทำอย่างนี้เขาก็จะเชื่อมั่นมากขึ้นว่าการทำตามมาตรฐานในคัมภีร์ไบเบิลเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาเสมอ ห17.12 น. 21 ว. 14-15
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน
พระองค์เรียกชื่อดวงดาวเหล่านั้นได้ทั้งหมด—อสย. 40:26
พี่น้องที่รักของเราหลายคนกำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยร้ายแรง ส่วนคนอื่นขนาดแก่อยู่แล้วก็ต้องมาดูแลญาติพี่น้องที่แก่อีก และยังมีอีกหลายคนที่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัว และเรารู้ว่าพวกคุณหลายคนกำลังรับมือกับปัญหาพวกนี้ซึ่งไม่ได้มาแค่ทีละอย่าง แต่มันประเดประดังเข้ามาในคราวเดียว ขนาดดวงดาวที่ไม่มีชีวิตพระองค์ยังสนใจดาวแต่ละดวงมากขนาดนี้ แล้วคุณล่ะ พระองค์จะสนใจขนาดไหน! คุณรับใช้พระองค์ไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องทำ แต่เป็นเพราะคุณรักพระองค์ (สดุดี 19:1, 3, 14) พระเจ้าผู้เป็นพ่อที่รักคุณรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “แม้แต่ผมบนหัวของคุณ พระองค์ก็นับไว้แล้วทุกเส้น” (มัทธิว 10:30) พระยะโฮวาอยากให้คุณรู้ว่าพระองค์ “รู้ดีว่าคนไม่มีตำหนิต้องเจอกับอะไรบ้าง” (สดุดี 37:18) เห็นได้ชัดเลยว่าพระยะโฮวารู้ดีว่าคุณกำลังเจอปัญหาอะไรบ้าง และพระองค์จะให้กำลังกับคุณเพื่อคุณจะอดทนกับปัญหาแต่ละอย่างได้ ห18.01 น. 7 ว. 1 และ น. 8 ว. 4
วันอังคารที่ 10 กันยายน
ทาบิธา ลุกขึ้นมาเถอะ—กจ. 9:40
เหตุการณ์ที่เปโตรปลุกทาบิธาให้ฟื้นขึ้นจากตายน่าเชื่อถือมากจนถึงกับทำให้หลายคนในเมืองนั้น “เข้ามาเป็นสาวกของผู้เป็นนาย” สาวกใหม่เหล่านี้สามารถบอกคนอื่นเรื่องข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูและเป็นพยานบอกคนอื่น ๆ ว่าพระยะโฮวาสามารถปลุกคนให้ฟื้นขึ้นจากตายได้ (กิจการ 9:36-42) นอกจากนั้น ยังมีการฟื้นขึ้นจากตายอีกครั้งหนึ่งที่มีหลายคนเห็นกับตาด้วย ครั้งหนึ่ง อัครสาวกเปาโลกำลังประชุมอยู่บนห้องชั้นบนในเมืองโตรอัสซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกีในปัจจุบัน เปาโลบรรยายจนถึงเที่ยงคืน เด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อยุทิกัสนั่งฟังบนขอบหน้าต่าง แล้วเขาก็หลับและหงายหลังตกลงมาจากชั้นสาม บางทีลูกาอาจเป็นคนแรกที่ไปถึงตัวเด็กหนุ่มคนนั้น เนื่องจากลูกาเป็นหมอก็เลยรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่แค่บาดเจ็บหรือสลบไป แต่เขาตายแล้ว! เปาโลจึงลงไปข้างล่างและกอดร่างของยุทิกัสไว้ เปาโลพูดสิ่งที่ทำให้หลายคนงงและแปลกใจมากว่า “เขามีชีวิตแล้ว” การอัศจรรย์นี้ทำให้หลายคนที่เห็นเหตุการณ์นั้นประทับใจมาก พวกเขาได้เห็นเด็กหนุ่มที่ตายไปแล้วกลับมามีชีวิตอีก “เรื่องนี้ทำให้พวกเขามีกำลังใจขึ้นมาก”—กิจการ 20:7-12 ห17.12 น. 5 ว. 10-11
วันพุธที่ 11 กันยายน
มาสิ มาดูสิ่งที่พระยะโฮวาทำ—สด. 46:8
มนุษย์สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ของโลกได้จริง ๆ ไหม? มนุษย์ไม่สามารถแก้ปัญหาสงครามได้ อาชญากรรมก็กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ความรุนแรงในครอบครัว การก่อการร้าย และจำนวนคนตายเพราะโรคร้ายก็พุ่งสูงขึ้น ในทุกวันนี้ ระบบเศรษฐกิจและการเมืองถูกควบคุมโดยคนที่เห็นแก่ตัว คนเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ปัญหาสงคราม อาชญากรรม โรคภัย และความยากจนหมดไป รัฐบาลของพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ลองคิดดูสิว่าพระยะโฮวาจะทำอะไรเพื่อมนุษย์บ้าง รัฐบาลของพระองค์จะกำจัดสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดสงคราม ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัว การคอร์รัปชั่น ความรักชาติ ศาสนาเท็จ และกำจัดซาตานด้วย (สดุดี 46:9) นอกจากนั้น รัฐบาลของพระเจ้าจะกำจัดปัญหาอาชญากรรม แม้แต่ในทุกวันนี้รัฐบาลพระเจ้าก็สอนผู้คนหลายล้านคนให้รักและเชื่อใจกัน ไม่มีรัฐบาลไหนที่ทำแบบนี้ได้ (อิสยาห์ 11:9) อีกไม่นาน พระยะโฮวาจะกำจัดปัญหาโรคภัยไข้เจ็บและทำให้ทุกคนมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง (อิสยาห์ 35:5, 6) พระเจ้าจะกำจัดปัญหาความยากจนด้วย พระองค์จะทำให้ทุกคนมีชีวิตที่มีความสุขและมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์—สดุดี 72:12, 13 ห17.11 น. 24 ว. 14-16
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน
คุณก็จะไม่มีความผิดฐานฆ่าคน—ฉธบ. 19:10
เหตุผลหลักอย่างหนึ่งที่มีการจัดเตรียมเรื่องเมืองลี้ภัยก็คือเพื่อป้องกันชาวอิสราเอลไม่ให้มีความผิดฐานฆ่าคนบริสุทธิ์ พระยะโฮวาเห็นค่าชีวิตมาก และพระองค์เกลียด ‘คนที่ฆ่าคนไม่มีความผิด’ (สุภาษิต 6:16, 17) พระองค์เป็นพระเจ้าที่ยุติธรรมและบริสุทธิ์ พระองค์จึงไม่มองข้ามแม้แต่อุบัติเหตุที่ทำให้มีคนตาย พวกครูสอนศาสนาและพวกฟาริสีต่างจากพระยะโฮวา พวกเขาไม่ได้เห็นค่าชีวิตของคนอื่น พระเยซูพูดเกี่ยวกับพวกเขาว่า “คุณเก็บลูกกุญแจสำหรับไขความรู้ของพระเจ้าเอาไว้ ตัวคุณเองไม่อยากได้ความรู้นั้น แถมคุณยังกีดกันคนอื่นไม่ให้รับความรู้นั้นด้วย” (ลูกา 11:52) พระเยซูหมายความว่าอย่างไร? พวกครูสอนศาสนาและพวกฟาริสีมีหน้าที่ต้องสอนประชาชนเกี่ยวกับคำสอนของพระเจ้าและช่วยผู้คนให้ได้รับชีวิตตลอดไป แต่พวกเขากลับกีดกันประชาชนไม่ให้ติดตามพระเยซูซึ่งเป็น “ผู้นำคนสำคัญที่ให้ชีวิต” (กิจการ 3:15) ดังนั้น พวกเขาจึงนำผู้คนไปผิดทางและทำให้ผู้คนถูกทำลาย พวกครูสอนศาสนาและพวกฟาริสีเย่อหยิ่ง เห็นแก่ตัว และไม่สนใจชีวิตผู้คน พวกเขาร้ายกาจและโหดเหี้ยมจริง ๆ! ห17.11 น. 15 ว. 9-10
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน
ถ้าใครอายเพราะเป็นสาวก . . . ‘ลูกมนุษย์’ ก็จะอายที่จะยอมรับเขา—มก. 8:38
ตอนที่เพิ่งเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา เราอาจยังไม่ได้เล่าให้ครอบครัวฟัง แต่พอเรามีความเชื่อเพิ่มขึ้นเราก็รู้ว่าเราต้องบอกพวกเขาว่าเราอยากรับใช้พระยะโฮวา ถ้าคุณซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้า คุณก็อาจมีปัญหากับคนอื่นในครอบครัว พยายามเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา เรามีความสุขมากที่ได้รู้ความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล แต่ญาติ ๆ ของเราอาจรู้สึกว่าเรากำลังถูกหลอกหรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับลัทธิแปลก ๆ พวกเขาอาจคิดว่าเราไม่รักพวกเขาแล้วเพราะเราไม่ได้ฉลองเทศกาลวันหยุดต่าง ๆ ด้วยกัน พวกเขาอาจถึงกับกลัวว่าถ้าเราตายไปเราจะลำบาก เราต้องพยายามเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาและตั้งใจฟังเพื่อจะรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นห่วงเรา (สุภาษิต 20:5) อัครสาวกเปาโลพยายามเข้าใจ “คนทุกชนิด” เพื่อจะสอนข่าวดีกับพวกเขา ถ้าเราพยายามเข้าใจคนในครอบครัว นี่อาจช่วยเราให้รู้วิธีสอนความจริงกับพวกเขาได้—1 โครินธ์ 9:19-23 ห17.10 น. 15 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 14 กันยายน
ร้องเพลงสรรเสริญ [พระยะโฮวา]—สด. 33:2
บางที คุณอาจไม่กล้าร้องเพลงเพราะคุณร้องไม่เป็นและไม่รู้ว่าจะร้องอย่างไร แต่มีคำแนะนำง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณร้องเพลงได้ดีขึ้น วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณร้องเพลงอย่างมีพลังและร้องให้ดังเต็มเสียงก็คือการหายใจอย่างถูกต้อง เหมือนกับไฟฟ้าที่ให้พลังงานกับหลอดไฟ ลมหายใจก็ให้พลังกับเสียงของคุณตอนที่คุณพูดหรือร้องเพลง เวลาร้องเพลง คุณน่าจะร้องให้ดังเหมือนที่คุณพูดหรือจะดังกว่านั้นก็ได้ บางครั้ง คัมภีร์ไบเบิลก็บอกให้ผู้นมัสการพระยะโฮวา “โห่ร้องยินดี” เมื่อร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ (สดุดี 33:1-3) คุณอาจลองทำตามคำแนะนำนี้ ก่อนอื่นลองเลือกเพลงที่คุณชอบจากหนังสือเพลง อ่านเนื้อเพลงนั้นให้ดังเต็มเสียงอย่างมีพลังและมั่นใจ จากนั้น พยายามอ่านท่อนหนึ่งรวดเดียวจบโดยไม่หยุดหายใจด้วยความดังเท่าเดิม สุดท้ายก็ลองร้องท่อนนั้นด้วยเสียงที่มีพลังในแบบเดียวกัน (อิสยาห์ 24:14) ถ้าทำอย่างนี้เสียงร้องของคุณจะมีพลังมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก อย่าให้เสียงของคุณมาทำให้คุณอายจนไม่กล้าร้องเพลง ห17.11 น. 5-6 ว. 11-13
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน
ทุกคนที่พระเจ้าเที่ยงแท้กระตุ้นความคิดจิตใจ . . . ก็เตรียมกลับไปสร้างวิหารของพระยะโฮวาที่กรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่—อสร. 1:5
ตอนที่ชาวยิวเดินทางไกล พวกเขามีเวลานานหลายชั่วโมงที่จะคิดและคุยกันเกี่ยวกับบ้านในอนาคต คนเฒ่าคนแก่คงจะเล่าให้คนอื่น ๆ ฟังว่ากรุงเยรูซาเล็มและวิหารที่นั่นเคยสวยขนาดไหน (เอสรา 3:12) ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ได้เดินทางมากับพวกเขา คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้เห็นกรุงเยรูซาเล็มเป็นครั้งแรก? คุณคงเศร้าที่เห็นซากปรักหักพังมีหญ้ารกเต็มไปหมด คุณอาจนึกถึงกำแพงสองชั้นที่ใหญ่โตของบาบิโลน แต่พอมองที่กำแพงเยรูซาเล็มก็เห็นแต่ซาก ที่ที่เคยเป็นประตูกับหอคอยก็ไม่มีอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นชาวยิวไม่ได้ท้อแท้ เพราะอะไร? เพราะระหว่างที่เดินทางมาจากบาบิโลน พระยะโฮวาได้ช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองพวกเขา ทันทีที่มาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาก็สร้างแท่นบูชาในที่ที่วิหารเคยตั้งอยู่ และเริ่มถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาที่นั่นทุกวัน—เอสรา 3:1, 2 ห17.10 น. 26-27 ว. 2-3
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน
อย่ากลัวหรือหวั่นเกรงเลย เพราะพระยะโฮวา . . . อยู่กับลูก—1 พศ. 28:20
โซโลมอนคงได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับความกล้าหาญจากดาวิดพ่อของเขา ดาวิดกล้าหาญมากด้วยตอนที่ต่อสู้กับโกลิอัททหารร่างยักษ์ที่ทั้งแข็งแรงและไม่กลัวอะไร เขาใช้หินก้อนเดียวเอาชนะโกลิอัทได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า (1 ซม. 17:45, 49, 50) เราจึงเห็นชัดเจนว่าทำไมดาวิดถึงเหมาะมากที่จะเป็นคนให้กำลังใจโซโลมอนให้กล้าหาญและสร้างวิหารของพระเจ้า พระยะโฮวาจะอยู่กับเขาจนกว่างานก่อสร้างวิหารจะสำเร็จ โซโลมอนต้องเอาคำพูดของดาวิดมาคิดแน่ ๆ เขาถึงไม่ยอมให้อายุหรือประสบการณ์ที่ยังน้อยมาเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้เขาทำงานนี้ โซโลมอนแสดงความกล้าหาญอย่างมาก และด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา เขาจึงสร้างวิหารที่สง่างามของพระยะโฮวาเสร็จในเวลา 7 ปีครึ่ง พระยะโฮวาเคยช่วยโซโลมอน และพระองค์ก็จะช่วยคุณให้กล้าหาญและทำสิ่งต่าง ๆ ได้สำเร็จเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัวหรือในประชาคม (อสย. 41:10, 13) ถ้าเราแสดงความกล้าหาญตอนที่รับใช้พระยะโฮวา เราก็มั่นใจได้ว่าพระองค์จะอวยพรเราทั้งในตอนนี้และในอนาคต ห17.09 น. 28-29 ว. 3-4 และ น. 32 ว. 20-21
วันอังคารที่ 17 กันยายน
ถ้อยคำของพระเจ้ามีชีวิต ทรงพลัง—ฮบ. 4:12
ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าถ้อยคำของพระองค์ซึ่งเป็นข่าวสารที่ให้กับมนุษย์นั้น “มีชีวิต ทรงพลัง” คุณคงได้เห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลมีพลังกับชีวิตของคุณและของคนอื่น ๆ อย่างไร ก่อนเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาพี่น้องบางคนเคยเป็นขโมย ติดยาเสพติด หรือทำผิดศีลธรรม ส่วนบางคนมีชื่อเสียงเงินทองแต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรบางอย่างในชีวิต (ปญจ. 2:3-11) น่าดีใจที่หลายคนที่เคยสิ้นหวังอับจนหนทางตอนนี้กลับมีความหวังและรู้วิธีที่จะใช้ชีวิต คุณคงชอบอ่านประสบการณ์ของหลายคนในวารสารหอสังเกตการณ์ ในบทความชุด “คัมภีร์ไบเบิลเปลี่ยนชีวิตคน” นอกจากนั้น คุณคงเห็นว่าถึงแม้จะเข้ามาเป็นคริสเตียนแล้ว ผู้รับใช้ของพระเจ้าก็ยังให้คัมภีร์ไบเบิลช่วยพวกเขาให้ใกล้ชิดกับพระยะโฮวามากขึ้น ห17.09 น. 23 ว. 1
วันพุธที่ 18 กันยายน
พระยะโฮวาก็รู้สึกสงสารเขา จึงให้ผู้ชาย 2 คนนั้นคว้ามือโลท . . . พาออกไปนอกเมือง—ปฐก. 19:16
เหมือนกับที่พระยะโฮวาเข้าใจสภาพการณ์ของโลท เราก็มั่นใจว่าพระองค์ก็เข้าใจเราเหมือนกัน พระองค์รู้ว่าเราต้องเจอกับความลำบากอะไรบ้าง (อสย. 63:7-9; ยก. 5:11; 2 ปต. 2:9) พระองค์สอนประชาชนให้แสดงความสงสารด้วย ลองคิดถึงกฎหมายข้อหนึ่งที่พระองค์ให้กับชาวอิสราเอลดูสิ ถ้ามีการติดหนี้กันเกิดขึ้น เจ้าหนี้สามารถยึดเสื้อคลุมของลูกหนี้ไว้เป็นของประกันเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้เงินคืน (อพยพ 22:26, 27) แต่เจ้าหนี้ต้องคืนเสื้อคลุมก่อนดวงอาทิตย์ตกเพื่อที่ลูกหนี้จะมีเสื้ออุ่น ๆ ใส่ตอนกลางคืน เจ้าหนี้บางคนที่ไม่มีความสงสารอาจไม่อยากคืนเสื้อคลุมนั้น แต่พระยะโฮวาสอนประชาชนของพระองค์ให้แสดงความสงสาร เราได้เรียนหลักการอะไรจากกฎหมายนี้? เราต้องสนใจความจำเป็นของพี่น้อง และถ้าเราสามารถช่วยพี่น้องที่ทนทุกข์ได้ เราก็น่าจะอยากทำอย่างนั้น—คส. 3:12; ยก. 2:15, 16; 1 ยน. 3:17 ห17.09 น. 9 ว. 4-5
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน
พ่อครับ ยกโทษให้พวกเขาด้วย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่—ลก. 23:34
ถึงแม้พระเยซูจะตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดและเจ็บปวด ท่านก็แสดงความอ่อนโยนและความอดทน (1 ปต. 2:21-23) เปาโลพูดถึงวิธีหนึ่งที่พวกเราสามารถแสดงความอ่อนโยนและอดทน เขาเขียนว่า “แต่ถ้าใครมีสาเหตุจะบ่นคนอื่น ก็ขอให้ทนกันและกัน และให้อภัยกันอย่างใจกว้างต่อไป พวกคุณต้องเต็มใจให้อภัยกันเหมือนที่พระยะโฮวาเต็มใจให้อภัยคุณ” (คส. 3:13) เพื่อเราจะให้อภัยคนอื่นได้ เราต้องเป็นคนอ่อนโยนและอดทน นี่จะช่วยสร้างและรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันในประชาคม พระยะโฮวาอยากให้เราอ่อนโยนและอดทนกับคนอื่น คุณลักษณะเหล่านี้สำคัญมากถ้าเราอยากจะอยู่ในโลกใหม่ (มธ. 5:5; ยก. 1:21) ถ้าเราอ่อนโยนและอดทน เราจะให้เกียรติพระยะโฮวาและช่วยคนอื่น ๆ ให้ทำแบบนั้นเหมือนกัน—กท. 6:1; 2 ทธ. 2:24, 25 ห17.08 น. 25-26 ว. 15-17
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน
พระยะโฮวารู้วิธีช่วยคนที่เลื่อมใสพระองค์ให้ผ่านการทดสอบ—2 ปต. 2:9
ในคัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างมากมายที่พระยะโฮวาทำสิ่งที่เกินความคาดหมาย ตัวอย่างเช่น ตอนที่เฮเซคียาห์เป็นกษัตริย์ปกครองยูดาห์ เซนนาเคอริบกษัตริย์อัสซีเรียบุกเข้ามาโจมตียูดาห์และยึดเมืองต่าง ๆ ไว้ ตอนนั้นเหลือแค่กรุงเยรูซาเล็มที่ยังไม่โดนยึด (2 พก. 18:1-3, 13) หลังจากนั้น เซนนาเคอริบก็เข้ามาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์ทำอย่างไร? สิ่งแรกที่เขาทำคืออธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วย และขอคำแนะนำจากอิสยาห์ที่เป็นผู้พยากรณ์ของพระองค์ (2 พก. 19:5, 15-20) จากนั้น เฮเซคียาห์แสดงความมีเหตุผลโดยยอมจ่ายค่าปรับตามที่เซนนาเคอริบสั่ง (2 พก. 18:14, 15) นอกจากนั้น เฮเซคียาห์ยังได้เตรียมพร้อมในกรณีที่กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมเป็นเวลานาน (2 พศ. 32:2-4) เรื่องนี้ลงเอยอย่างไร? พระยะโฮวาส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาทำลายทหาร 185,000 คนของเซนนาเคอริบภายในคืนเดียว แม้แต่เฮเซคียาห์ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น—2 พก. 19:35 ห17.08 น. 10 ว. 7 และ น. 11 ว. 12
วันเสาร์ที่ 21 กันยายน
สอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก . . . สอนพวกเขาให้ทำตามทุกสิ่งที่ผมสั่งคุณไว้—มธ. 28:19, 20
คุณจะเตรียมตัวอย่างไรเพื่อจะรับใช้เต็มเวลา? เพื่อจะรับใช้พระยะโฮวาอย่างดีที่สุดที่คุณทำได้ คุณต้องมีคุณลักษณะที่ดีของคริสเตียน ดังนั้น คุณต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ คิดใคร่ครวญเรื่องที่คุณอ่าน และพยายามแสดงความเชื่อที่การประชุม เช่น การออกความคิดเห็น ทำส่วนต่าง ๆ ในช่วงที่คุณยังเรียนหนังสือคุณน่าจะพยายามฝึกพูดเรื่องความจริงกับคนอื่น ฝึกเป็นคนที่สนใจคนอื่นโดยรู้จักใช้คำถามและฟังเมื่อพวกเขาตอบ นอกจากนั้น คุณน่าจะเสนอตัวช่วยงานต่าง ๆ ในประชาคม เช่น ทำความสะอาดและซ่อมแซมหอประชุม พระยะโฮวาชอบใช้คนที่ถ่อมตัวและเต็มใจช่วยงาน (สด. 110:3; กจ. 6:1-3) อัครสาวกเปาโลชวนทิโมธีให้มาเป็นมิชชันนารีก็เพราะ ‘พี่น้องพูดถึงทิโมธีในแง่ดี’—กจ. 16:1-5 ห17.07 น. 24 ว. 7 และ น. 26 ว. 14
วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน
ทุกคนจะมาคุกเข่าลงต่อหน้าเรา และจะเอ่ยปากสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อเรา—อสย. 45:23
ถ้าประเด็นที่ว่าพระยะโฮวามีสิทธิ์ที่จะปกครองหรือไม่ยังติดค้างอยู่ในใจของมนุษย์และทูตสวรรค์ ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสันติสุขและเป็นหนึ่งเดียวกันจริง ๆ แต่หลังจากที่สิทธิการปกครองของพระยะโฮวาได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องแล้ว ทุกคนก็จะมีชีวิตอยู่ภายใต้การปกครองที่ยอดเยี่ยมนั้นตลอดไป และทั่วทั้งเอกภพจะมีแต่สันติสุข (อฟ. 1:9, 10) ในที่สุดการปกครองของพระเจ้าจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้อง ส่วนการปกครองของซาตานกับมนุษย์จะจบลงและจะถูกกำจัดให้หมดไป การปกครองของพระเจ้าผ่านทางเมสสิยาห์จะประสบความสำเร็จ ตอนนั้น มนุษย์ที่รักษาความซื่อสัตย์ทุกคนจะเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าคนเราสามารถซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าและสนับสนุนการปกครองของพระองค์ได้จริง ๆ (อสย. 45:24) เราอยากเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้นไหม? ถ้าอย่างนั้น เราต้องมองที่ประเด็นเรื่องสิทธิการปกครองของพระเจ้าเสมอและเข้าใจว่าประเด็นนั้นสำคัญขนาดไหน ห17.06 น. 23 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน
เพื่อนแท้รักกันอยู่เสมอ และเป็นเหมือนพี่น้องที่เกิดมาเพื่อช่วยกันในเวลาลำบาก—สภษ. 17:17
เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ว่าแต่ละคนต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหายโศกเศร้า ในช่วงแรก คนที่สูญเสียอาจมีญาติและเพื่อน ๆ อยู่ด้วยเพื่อปลอบใจเขา แต่หลังจากทุกคนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติแล้ว คนที่สูญเสียก็ยังต้องการกำลังใจอยู่ ดังนั้น ขอให้เราอยู่พร้อมที่จะช่วยเหลือเขาเสมอ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า เราต้องให้กำลังใจคนที่โศกเศร้าจนกว่าเขาจะรู้สึกดีขึ้น (1 ธส. 3:7) ขอจำไว้ว่า คนที่สูญเสียอาจรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างหนักขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ อาจเป็นเพราะวันครบรอบ รูปถ่าย เพลง กิจกรรม หรือแม้แต่กลิ่น เสียง หรือฤดูบางฤดู นอกจากนั้น คนที่เป็นม่ายอาจรู้สึกเจ็บปวดตอนที่ต้องทำอะไรคนเดียวเป็นครั้งแรก เช่น ไปประชุมใหญ่หรือประชุมอนุสรณ์ ขอจำไว้ว่า คนที่กำลังเศร้าโศกเสียใจต้องการกำลังใจเสมอไม่ใช่เฉพาะในโอกาสพิเศษเท่านั้น ห17.07 น. 16 ว. 17-19
วันอังคารที่ 24 กันยายน
อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ให้เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นด้วย—ฟป. 2:4
ถ้าเรายุ่งอยู่กับการทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น เราก็จะลืมปัญหาของตัวเอง ตัวอย่างเช่น พี่น้องหญิงหลายคนทั้งที่แต่งงานแล้วและยังไม่ได้แต่งงานรู้ว่าตอนที่พวกเธอประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้ากับคนอื่น พวกเธอก็กำลังทำงานกับพระยะโฮวาและทำสิ่งที่พระองค์อยากให้ทำ การทำอย่างนี้ทำให้พวกเธอมีความสุข ที่จริง เราทุกคนสามารถแสดงว่าเราเป็นห่วงคนอื่นโดยการบอกข่าวดีกับพวกเขา นอกจากนั้น ถ้าเราทำดีกับพี่น้อง เราก็จะสนิทกับพวกเขามากขึ้น เปาโลก็ทำแบบนั้น เขาสนใจคนอื่นเหมือน “แม่ลูกอ่อนทะนุถนอมลูกของตัวเอง” เปาโลปลอบใจและให้กำลังใจพวกพี่น้อง “เหมือนที่พ่อทำกับลูก” (1 ธส. 2:7, 11, 12) เด็ก ๆ ที่เรียนรู้ที่จะรักพระยะโฮวาสามารถเป็นกำลังใจให้คนในครอบครัวของเขาได้ด้วย พวกเขาจะทำอย่างนั้นได้โดยนับถือพ่อแม่และพยายามช่วยเหลือพ่อแม่ในเรื่องต่าง ๆ นอกจากนั้น ถ้าเด็ก ๆ รักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา ทั้งครอบครัวก็จะได้รับกำลังใจด้วย ห17.06 น. 7 ว. 13-14 และ น. 8 ว. 17
วันพุธที่ 25 กันยายน
ให้ใช้ทรัพย์ที่คุณมีในโลกนี้เพื่อผูกมิตรกับคนอื่นไว้—ลก. 16:9
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในตอนนี้บางคนมีเงินเหลือใช้จนชั่วลูกชั่วหลานก็ยังไม่หมด ในขณะที่อีกหลายพันล้านคนยังยากจน พระเยซูรู้ดีว่ารัฐบาลของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบการค้าของโลกได้ คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่าทั้งระบบการเมือง ระบบศาสนา และ “พวกพ่อค้า” หรือระบบการค้าเป็นส่วนหนึ่งของโลกซาตาน (วว. 18:3) ประชาชนของพระเจ้าสามารถแยกตัวออกมาอย่างเด็ดขาดจากการเมืองและศาสนาเท็จ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถแยกตัวอย่างสิ้นเชิงจากระบบการค้าของโลกซาตานได้ พวกเราที่เป็นคริสเตียน เราต้องตรวจดูตัวเองว่าเราคิดอย่างไรกับระบบการค้าของโลก เราอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันจะใช้ทรัพย์สมบัติของฉันยังไงเพื่อแสดงว่าฉันซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า? ฉันจะยุ่งเกี่ยวกับระบบการค้าของโลกให้น้อยลงได้ยังไง? มีประสบการณ์อะไรบ้างที่แสดงให้เห็นว่าผู้รับใช้ของพระเจ้าในทุกวันนี้วางใจพระองค์อย่างเต็มที่?’ ห17.07 น. 7-8 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน
ระวังตัวให้ดี อย่าหมกมุ่นกับการกิน การดื่มจัด หรือมัวแต่กังวลกับชีวิต—ลก. 21:34
พระเยซูรู้ว่าชีวิตทุกวันนี้มีแต่ความเครียด เราต้องเจอกับปัญหาและเรื่องที่ทำให้วิตกกังวลมากมาย ในตัวอย่างเรื่องคนที่หว่านเมล็ดพืช พระเยซูบอกว่าจะมีบางคนที่ตอบรับ “ข่าวสารเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” และกระตือรือร้นในตอนแรก แต่หลังจากนั้น พวกเขา “ปล่อยให้ความกังวลกับชีวิตในโลกนี้และความหลงใหลในทรัพย์สมบัติมาบดบังสิ่งที่พวกเขาได้ยิน” (มธ. 13:19-22; มก. 4:19) ถ้าเราไม่ระวัง ความกังวลในชีวิตแต่ละวันอาจทำให้เราไขว้เขวและไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาเต็มที่ เราแสดงให้เห็นว่าเรารักพระเยซูโดยให้งานประกาศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต และเพื่อจะทำอย่างนั้นต่อ ๆ ไปเราต้องถามตัวเองว่า ‘ส่วนใหญ่แล้วฉันรู้สึกมีความสุขเพราะได้รับใช้พระยะโฮวาหรือได้ทำกิจกรรมอื่น ๆ?’ ห17.05 น. 23 ว. 3-4
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน
ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ๆ—1 คร. 14:9
ถ้าพี่น้องที่เป็น “คนต่างชาติ” อยู่ห่างไกลจากพยานพระยะโฮวาที่พูดภาษาเดียวกับเขา พวกเขาก็ต้องไปประชุมกับประชาคมที่พูดภาษาท้องถิ่น (สด. 146:9) แต่ถ้ามีประชาคมใกล้เคียงที่ใช้ภาษาบ้านเกิดของเขา หัวหน้าครอบครัวต้องตัดสินใจดี ๆ ว่าประชาคมภาษาไหนจะดีที่สุดสำหรับครอบครัว ก่อนจะตัดสินใจเขาต้องคิดอย่างรอบคอบโดยอธิษฐาน และน่าจะคุยกับภรรยาและลูกด้วย (1 คร. 11:3) เพื่อลูกจะเข้าใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิลเขาต้องทำมากกว่าการไปประชุม พ่อแม่ต้องคิดอย่างจริงจังว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นสำหรับลูก เมื่อลูกได้ไปประชุมในภาษาที่พวกเขาเข้าใจมากที่สุด เขาก็อาจได้ประโยชน์มากกว่าที่พ่อแม่คิดด้วยซ้ำ ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้เลยถ้าลูกไม่เข้าใจภาษาที่ใช้ในการประชุมจริง ๆ—1 คร. 14:11 ห17.05 น. 10 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 28 กันยายน
ให้เราสรรเสริญพระยะโฮวาที่ชาวอิสราเอลอาสาไปสู้รบ—วนฉ. 5:2
เราต้องตรวจสอบตัวเองว่า ‘ฉันแสดงความเชื่อและความกล้าหาญโดยการใช้ทุกสิ่งที่ฉันมีเพื่อรับใช้พระยะโฮวาไหม? ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับการย้ายไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเพื่อจะหาเงินได้มากขึ้นและมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้นไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันอธิษฐานถึงพระยะโฮวาไหมว่าถ้าฉันย้ายไปมันจะมีผลต่อครอบครัวและประชาคมของฉันยังไง?’ พระยะโฮวาให้เกียรติเราจริง ๆ โดยให้เรามีโอกาสสนับสนุนการปกครองของพระองค์ ตั้งแต่สมัยอาดัมกับเอวา ซาตานอยากให้มนุษย์อยู่ฝ่ายมันและต่อต้านพระยะโฮวา แต่ถ้าเราสนับสนุนการปกครองของพระยะโฮวา เราก็กำลังแสดงให้ซาตานเห็นว่าเราอยู่ฝ่ายพระองค์ ถ้าเรามีความเชื่อและความซื่อสัตย์ต่อพระองค์ สิ่งนี้จะกระตุ้นเราให้อาสาสมัครทำงานรับใช้พระองค์ซึ่งจะทำให้พระองค์มีความสุข (สภษ. 23:15, 16) และถ้าเราเชื่อฟังและสนับสนุนพระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ พระองค์ก็จะตอบคำเยาะเย้ยของซาตานได้ (สภษ. 27:11) ดังนั้น สิ่งที่เราให้พระยะโฮวาได้ก็คือการเชื่อฟัง และพระองค์ถือว่านี่เป็นสิ่งที่มีค่ามากและทำให้พระองค์มีความสุขจริง ๆ ห17.04 น. 32 ว. 15-16
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน
เมื่อคุณปฏิญาณอะไรไว้กับพระเจ้า ให้รีบทำตาม เพราะไม่มีใครชอบคนโง่ที่ไม่ทำตามคำปฏิญาณ คุณต้องทำตามที่ปฏิญาณไว้—ปญจ. 5:4
ในกฎหมายของโมเสสบอกไว้ว่าถ้าใครปฏิญาณไว้กับพระยะโฮวา “เขาจะละเมิดคำปฏิญาณไม่ได้ เขาต้องทำตามที่ปฏิญาณไว้ทุกอย่าง” (กดว. 30:2) ต่อมา โซโลมอนก็บอกอีกตามในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ พระเยซูสอนว่าคำปฏิญาณที่เราให้กับพระเจ้าเป็นเรื่องจริงจัง ท่านบอกว่า “คนสมัยก่อนถูกสอนว่า ‘อย่าผิดคำสาบาน เมื่อปฏิญาณไว้กับพระยะโฮวาแล้วต้องทำตามนั้น’” (มธ. 5:33) เห็นได้ชัดว่าสัญญาทุกอย่างที่เราทำกับพระยะโฮวาเป็นเรื่องจริงจัง ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าจะดีหรือจะมีปัญหาขึ้นอยู่กับว่าเราทำตามที่ปฏิญาณไว้กับพระองค์หรือเปล่า ดาวิดบอกว่า ‘ใครจะได้ขึ้นไปบนภูเขาของพระยะโฮวา และใครจะได้ยืนในที่บริสุทธิ์ของพระองค์? ก็คือคนที่ไม่ได้สาบานเท็จและไม่ได้สาบานหลอก ๆ’—สด. 24:3, 4 ห17.04 น. 4 ว. 3-4
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน
เขาไม่ใส่ร้ายคนอื่น—สด. 15:3
ถ้าเรารู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมในประชาคม เราต้องระวังมากที่จะไม่ไปเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง แต่ถ้าความไม่ยุติธรรมที่เราเจอเกิดจากพี่น้องคนหนึ่งทำบาปร้ายแรง เราควรขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแล (ลนต. 5:1) ถึงอย่างนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักไม่เกี่ยวข้องกับการทำบาปร้ายแรง ซึ่งเราน่าจะเคลียร์กับพี่น้องคนนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่นแม้แต่ผู้ดูแล (มธ. 5:23, 24; 18:15) เราต้องรักษาความซื่อสัตย์ภักดีและใช้หลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลเมื่อต้องเจอกับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น ที่จริง บางครั้งเราอาจมารู้ทีหลังว่าเราเข้าใจผิดไปเอง จริง ๆ แล้วเราไม่ได้เป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมอย่างที่เราคิด ตอนนั้นเราคงรู้สึกดีใจที่ไม่ได้พูดสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับพี่น้องและทำให้เรื่องแย่ลงไปอีก ขอจำไว้ว่าไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด การพูดถึงคนอื่นแบบเสีย ๆ หาย ๆ ไม่มีทางทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ความซื่อสัตย์ภักดีที่เรามีต่อพระยะโฮวาและพี่น้องจะช่วยเราไม่ให้ทำผิดพลาดแบบนั้น ผู้เขียนหนังสือสดุดีบอกว่า “คนที่ไม่มีตำหนิ” คือคนที่ “ไม่ใส่ร้ายคนอื่น ไม่ทำชั่วต่อเพื่อนบ้าน และไม่ใส่ร้ายเพื่อน” ห17.04 น. 21 ว. 14