สิงหาคม
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม
อย่าให้เป็นไปตามความต้องการของผม ขอให้เป็นไปตามที่พ่อต้องการเถอะ—มธ. 26:39
ถ้าเราอยากเป็นครูที่ดี เราก็ต้องเป็นนักเรียนที่ดีก่อน (1 ทิโมธี 4:15, 16) เหมือนกัน ถ้าคุณเป็นคนที่พระยะโฮวาใช้ให้สั่งสอนคนอื่น คุณต้องถ่อมตัว เต็มใจยอมรับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา และทำตามการชี้นำของพระองค์ก่อน เมื่อคนอื่นเห็นว่าคุณเป็นคนถ่อม พวกเขาจะนับถือคุณและเป็นเรื่องง่ายขึ้นที่พวกเขาจะยอมรับคำแนะนำจากคุณ ให้เรามาดูตัวอย่างของพระเยซู พระเยซูเชื่อฟังพ่อของท่านเสมอ แม้แต่ตอนที่เป็นเรื่องยากมาก ท่านบอกผู้ฟังเสมอว่าสติปัญญาของท่านและสิ่งที่ท่านสอนมาจากพ่อของท่าน (ยอห์น 5:19, 30) พระเยซูเป็นคนถ่อมและเชื่อฟัง ท่านจึงเป็นครูที่เห็นอกเห็นใจคนอื่น และผู้คนที่จริงใจชอบมาหาท่านและฟังท่านสอน (มัทธิว 11:29) คำพูดที่ดีและอ่อนโยนของพระเยซูให้กำลังใจคนที่ท้อใจและเหน็ดเหนื่อย (มัทธิว 12:20) ท่านใช้ความอ่อนโยนและความรักช่วยพวกอัครสาวกให้แก้ไขตัวเอง ทั้ง ๆ ที่มันน่ารำคาญจริง ๆ ตอนที่พวกเขาทะเลาะกันว่าใครเป็นใหญ่ที่สุด—มาระโก 9:33-37; ลูกา 22:24-27 ห18.03 น. 26-27 ว. 15-16
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม
การรับบัพติศมาช่วยพวกคุณให้รอด—1 ปต. 3:21
อัครสาวกเปโตรบอกว่าการสร้างเรือของโนอาห์ เป็นหลักฐานว่าเขาอยากทำตามความต้องการของพระเจ้าสุดหัวใจ โนอาห์ทำงานอย่างซื่อสัตย์ตามที่พระองค์สั่ง และเพราะโนอาห์มีความเชื่อ พระยะโฮวาจึงช่วยเขากับครอบครัวให้รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก ตอนผู้คนเห็นเรือของโนอาห์ พวกเขาก็รู้ว่าโนอาห์มีความเชื่อในพระเจ้า ตอนที่เราเห็นบางคนรับบัพติศมา เราก็รู้เลยว่าคนนั้นได้อุทิศชีวิตให้กับพระยะโฮวาแล้วเพราะเขาเชื่อในค่าไถ่และพระเยซูคริสต์ คนที่รับบัพติศมาเป็นเหมือนโนอาห์ เขาเชื่อฟังพระเจ้าและทำงานที่ได้รับมอบหมายจากพระองค์ และเหมือนกับที่พระยะโฮวาช่วยโนอาห์ให้รอดตอนที่น้ำท่วมโลก พระองค์ก็จะช่วยผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์ซึ่งรับบัพติศมาแล้วให้รอดตอนที่โลกชั่วนี้ถูกทำลาย (มาระโก 13:10; วิวรณ์ 7:9, 10) เห็นได้ชัดว่าการอุทิศชีวิตให้พระยะโฮวาและรับบัพติศมาเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จริง ถ้าบางคนไม่รับบัพติศมาสักที เขาอาจจะพลาดโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไป ห18.03 น. 4 ว. 3-4
วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม
ความโง่ฝังลึกในใจเด็ก—สภษ. 22:15
พ่อแม่อาจคิดว่าตราบใดที่ลูกยังไม่รับบัพติศมา ลูกก็ไม่ถูกตัดสัมพันธ์ แต่ถูกไหมที่จะคิดแบบนี้? (ยากอบ 1:22) แน่นอนว่าพ่อแม่ไม่อยากให้ลูกรับบัพติศมาถ้าลูกยังไม่พร้อมจะอุทิศชีวิตให้พระยะโฮวา แต่ก็ไม่ถูกที่จะคิดว่าถึงลูกทำผิดแต่ตราบใดที่ลูกยังไม่รับบัพติศมา ลูกก็ไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองต่อพระยะโฮวา จริง ๆ แล้ว ถ้าลูกรู้แล้วว่าอะไรถูกอะไรผิดสำหรับพระยะโฮวา ลูกก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองต่อพระองค์ (ยากอบ 4:17) พ่อแม่ที่ฉลาดจะไม่ทำให้ลูกล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับบัพติศมา พวกเขาจะวางตัวอย่างและสอนลูกตั้งแต่เล็ก ๆ ให้รักสิ่งที่พระยะโฮวารักและเกลียดสิ่งที่พระองค์เกลียด (ลูกา 6:40) ถ้าลูกของคุณรักพระยะโฮวา เขาก็อยากจะทำตามสิ่งที่พระองค์บอก และนี่จะปกป้องเขาไม่ให้ทำบาปร้ายแรง—อิสยาห์ 35:8 ห18.03 น. 11 ว. 12-13
วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม
โนอาห์ใช้ชีวิตอย่างที่พระเจ้าเที่ยงแท้พอใจ—ปฐก. 6:9
หลังจากน้ำท่วมโลกโนอาห์ก็ยังทำอย่างนั้นต่อไปอีก 350 ปี (ปฐมกาล 9:28) โนอาห์เป็นตัวอย่างที่ดีจริง ๆ ในเรื่องความเชื่อและการเชื่อฟัง เราเลียนแบบความเชื่อและการเชื่อฟังของโนอาห์ได้ โดยการทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาเสมอ ไม่เป็นคนของโลกซาตาน และให้พระยะโฮวาสำคัญที่สุดในชีวิตเรา (มัทธิว 6:33; ยอห์น 15:19) เรารู้ว่าการทำแบบนี้ทำให้ผู้คนในโลกไม่ชอบเรา เช่น หลายคนอาจพูดถึงเราในแง่ลบออกสื่อต่าง ๆ เพราะเราตั้งใจเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าเรื่องเพศและการแต่งงาน (มาลาคี 3:17, 18) เราทำเหมือนกับโนอาห์ เราเกรงกลัวพระยะโฮวาแต่เราไม่กลัวคน เรานับถือพระองค์มากและไม่อยากให้พระองค์ผิดหวัง เรารู้ว่ามีพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ให้ชีวิตตลอดไปกับเราได้ (ลูกา 12:4, 5) ให้ถามตัวเองว่า ‘แม้ว่าคนอื่นจะเยาะเย้ยหรือพูดไม่ดีเกี่ยวกับฉัน ฉันจะทำสิ่งที่ถูกในสายตาของพระยะโฮวาอยู่ไหม? ฉันไว้ใจไหมว่าพระยะโฮวาจะดูแลครอบครัวของฉันแม้การทำมาหากินจะไม่ง่าย?’ ถ้าคุณไว้ใจพระยะโฮวาและเชื่อฟังพระองค์เหมือนโนอาห์ คุณก็จะมั่นใจได้ว่าพระองค์จะดูแลคุณ—ฟีลิปปี 4:6, 7 ห18.02 น. 4 ว. 4, 8 และ น. 5 ว. 9–10
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม
คนที่คิดแบบโลกไม่ยอมรับสิ่งที่มาจากพลังของพระเจ้า—1 คร. 2:14
คนที่คิดแบบโลกเป็นคนที่สนใจแต่ความต้องการของตัวเอง เปาโลพูดถึงความคิดแบบโลกว่าเป็น ‘น้ำใจที่กำลังมีอิทธิพลต่อคนที่ไม่เชื่อฟัง’ (เอเฟซัส 2:2) น้ำใจนี้กระตุ้นผู้คนส่วนใหญ่ให้ทำตามคนที่อยู่รอบตัว พวกเขาทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกโดยไม่สนใจมาตรฐานของพระเจ้า และคิดว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันเป็นสิทธิส่วนบุคคล คนที่คิดแบบโลกชอบคิดแต่เรื่องเงิน สมบัติวัตถุ ตำแหน่งหน้าที่การงาน พวกเขาให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากกว่าอย่างอื่น คนที่คิดแบบโลกมักจะทำสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “การกระทำที่เกิดจากความต้องการของร่างกายที่มีบาป” (กาลาเทีย 5:19-21) คนที่คิดแบบโลกรวมถึงการเป็นคนสร้างความแตกแยก แบ่งพรรคแบ่งพวก ฟ้องร้องกัน ยุให้เกิดการต่อต้าน ไม่นับถือคนที่เป็นผู้นำ และสนใจแต่เรื่องกินเรื่องดื่ม นอกจากนั้น คนที่คิดแบบโลกจะยอมแพ้ต่อการล่อใจให้ทำผิด—สุภาษิต 7:21, 22 ห18.02 น. 19 ว. 3-5
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม
คนจะ . . . เป็นคนรักสนุก—2 ทธ. 3:2, 4
ไม่ผิดที่จะรักตัวเองอย่างเหมาะสมและมีความคิดที่สมดุลในเรื่องเงิน มันก็ไม่ผิดที่เราจะมีความสุขกับชีวิตในแบบที่สมดุลด้วย บางคนเชื่อว่าเขาไม่ควรสนุกกับชีวิตเลย แต่พระยะโฮวาไม่ได้อยากให้เราเป็นแบบนั้น คัมภีร์ไบเบิลบอกผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ว่า “ไปเถอะ ไปกินอาหารให้มีความสุขและดื่มเหล้าองุ่นให้ชื่นใจ” (ปัญญาจารย์ 9:7) ที่ 2 ทิโมธี 3:4 คัมภีร์ไบเบิลพูดถึงคนที่รักความสนุกสนานแทนที่จะรักพระเจ้า ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งบอกว่า “ข้อคัมภีร์นี้พูดถึงคนที่ไม่ได้รักพระเจ้าเลย ไม่ใช่พูดถึงคนที่รักพระองค์อยู่บ้าง” ดังนั้นคนที่รักความสนุกสนานต้องระวังให้ดี คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคนที่รักความสนุกสนานคือคนที่ยอมให้ “ความสนุกสนานมาครอบงำ”—ลูกา 8:14 ห18.01 น. 25 ว. 14-15
วันพุธที่ 7 สิงหาคม
ให้ยกย่องพระยะโฮวาโดยเอาของมีค่ามาถวายพระองค์—สภษ. 3:9
พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ใจกว้าง ทุกสิ่งที่เรามีเราก็ได้มาจากพระองค์ พระองค์เป็นเจ้าของสิ่งที่มีค่าทุกอย่างในโลกและใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อค้ำจุนสิ่งมีชีวิต (สดุดี 104:13-15; ฮักกัย 2:8) ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาให้ชาวอิสราเอลมีมานาและน้ำกินตอนที่พวกเขาอยู่ในที่กันดารตลอด 40 ปี (อพยพ 16:35; เนหะมีย์ 9:20, 21) ต่อมา พระยะโฮวาให้พลังกับผู้พยากรณ์เอลีชาเพื่อช่วยแม่ม่ายที่ซื่อสัตย์ เขาทำให้น้ำมันที่มีอยู่น้อยนิดในบ้านของเธอเพิ่มมากขึ้น และของขวัญนี้ช่วยให้แม่ม่ายสามารถใช้หนี้ได้หมดและยังมีเงินเหลือพอที่เธอกับลูกชายจะใช้ชีวิตต่อไปได้ (2 พงศ์กษัตริย์ 4:1-7) พระเยซูเองก็ทำการอัศจรรย์โดยเลี้ยงอาหารผู้คนและแม้แต่ให้เงินในเวลาจำเป็น ซึ่งท่านทำได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา (มัทธิว 15:35-38; 17:27) พระยะโฮวาสามารถใช้อะไรก็ได้เพื่อดูแลสิ่งที่พระองค์สร้าง แต่พระองค์ก็เชิญผู้รับใช้ให้เอาสิ่งที่พวกเขามีไปสนับสนุนงานขององค์การพระองค์—อพยพ 36:3-7 ห18.01 น. 17-18 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม
ขอพระยะโฮวาเอาชีวิตผมไปเถอะ—1 พก. 19:4
ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าบางคนในอดีตก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน (โยบ 7:7) แต่อะไรช่วยให้พวกเขายังอดทนต่อไปได้? พวกเขาวางใจว่าพระยะโฮวาจะให้กำลังพวกเขานั่นเอง คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเจ้า “ให้กำลังกับคนที่หมดเรี่ยวแรง” (อิสยาห์ 40:29) แต่น่าเสียใจจริง ๆ ที่ผู้รับใช้พระเจ้าบางคนในทุกวันนี้คิดว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะอดทนกับปัญหาในชีวิตได้ก็คือการเลิกรับใช้พระยะโฮวาสักพักหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าการรับใช้พระยะโฮวาเป็นภาระแทนที่จะรู้สึกว่าเป็นพรจากพระองค์ พวกเขาก็เลยเลิกอ่านคัมภีร์ไบเบิล เลิกไปประชุม และเลิกไปประกาศ นี่แหละคือสิ่งที่ซาตานอยากให้พวกเขาทำ มารซาตานไม่อยากให้เราเข้มแข็ง และมันรู้ว่าเราจะเข้มแข็งขึ้นถ้าเราทุ่มเทให้กับการรับใช้พระยะโฮวา ดังนั้น ถ้าคุณรู้สึกหมดแรงหรือท้อ อย่าเพิ่งทิ้งพระยะโฮวา ขอให้คุณพยายามสนิทกับพระองค์ให้มากขึ้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระองค์จะทำให้พวกคุณมั่นคง พระองค์จะทำให้พวกคุณเข้มแข็ง”—1 เปโตร 5:10; ยากอบ 4:8 ห18.01 น. 7-8 ว. 2-3
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม
พระยะโฮวา . . . เอามนุษย์ลงไปในหลุมศพและเอาขึ้นมาได้—1 ซม. 2:6
การฟื้นขึ้นจากตายครั้งที่ 2 ที่บันทึกในคัมภีร์ไบเบิลเกิดขึ้นโดยผู้พยากรณ์เอลีชา ในเมืองชูเนมมีผู้หญิงชาวอิสราเอลคนหนึ่งไม่มีลูก เธอแสดงน้ำใจต้อนรับเอลีชา พระยะโฮวาจึงอวยพรเธอกับสามีที่อายุมากให้มีลูกชายคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีเด็กคนนั้นก็ตาย ลองนึกดูว่าแม่ของเด็กจะเสียใจขนาดไหน เธอถึงกับเดินทาง 30 กิโลเมตรเพื่อไปหาผู้พยากรณ์เอลีชาบนภูเขาคาร์เมล เอลีชาจึงส่งเกหะซีผู้ช่วยของเขาล่วงหน้าไปก่อนเพื่อปลุกเด็กคนนั้นที่เมืองชูเนม แต่เกหะซีไม่สามารถทำให้เด็กฟื้นขึ้นมาได้ หลังจากนั้น แม่ของเด็กกับเอลีชาก็มาถึง (2 พงศ์กษัตริย์ 4:8-31) เอลีชาเข้าไปในบ้านและอธิษฐานถึงพระยะโฮวา พระองค์ตอบคำอธิษฐานของเอลีชา และเด็กคนนั้นก็กลับมามีชีวิตอีกอย่างมหัศจรรย์ เมื่อแม่ของเด็กเห็นว่าลูกกลับมามีชีวิตอีกเธอก็ดีใจมาก (2 พงศ์กษัตริย์ 4:32-37) โดยการที่พระเจ้าปลุกเด็กในเมืองชูเนมให้ฟื้นขึ้นจากตายจริง ๆ พระองค์พิสูจน์ว่ามีความสามารถที่จะทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีก ห17.12 น. 4-5 ว. 7-8
วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม
ความโง่ฝังลึกในใจเด็ก—สภษ. 22:15
ถ้าสติปัญญาตรงข้ามกับความโง่ คนที่มีสติปัญญาก็เป็นคนที่มีความผู้ใหญ่ การมีความเชื่อเข้มแข็งและมีความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เกิดจากการมีอายุมากขึ้นแค่อย่างเดียว แต่เป็นเพราะมีความเกรงกลัวพระยะโฮวาและอยากจะเชื่อฟังพระองค์ (สดุดี 111:10) วัยรุ่นที่มีความเชื่อเข้มแข็งและมีความเป็นผู้ใหญ่จะไม่ “หลงเชื่อคนนั้นทีคนนี้ที .. . เหมือนเรือที่ถูกคลื่นลมซัดไปซัดมา” พวกเขาจะไม่ทำตามสิ่งที่วัยรุ่นคนอื่นกดดันหรือทำตามความต้องการของตัวเอง (เอเฟซัส 4:14) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พวกเขา “ได้ฝึกใช้ความคิดจนแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด” (ฮีบรู 5:14) พวกเขาจึงตัดสินใจอย่างฉลาดและทำสิ่งที่ถูกต้อง สติปัญญาแบบนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพื่อจะรอด (สุภาษิต 24:14) ดังนั้น คุณต้องแน่ใจว่าลูกรู้ว่าคุณมีมาตรฐานการใช้ชีวิตอย่างไร คุณต้องทำให้ลูกเห็นว่าคุณใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิลทั้งคำพูดและการกระทำ—โรม 2:21-23 ห17.12 น. 20-21 ว. 12-13
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม
ให้พวกคุณใช้สติปัญญาเมื่อติดต่อเกี่ยวข้องกับคนนอกประชาคมคริสเตียน . . . รู้ว่าควรตอบแต่ละคนอย่างไร—คส. 4:5, 6
ความคิดที่ว่ามนุษย์สามารถแก้ปัญหากันเองได้ อาจมีหลายคนชอบความคิดแบบนี้ ทำไม? ก็ถ้าเป็นแบบนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องให้พระเจ้าชี้นำและเราสามารถทำทุกอย่างตามที่ใจต้องการ คุณอาจเคยได้ยินบางคนบอกว่าปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม อาชญากรรม โรคภัยไข้เจ็บ และความยากจนกำลังลดลง มีรายงานหนึ่งบอกไว้ว่า “เหตุผลที่สังคมกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ ก็เพราะมนุษย์เรานี่แหละที่ตั้งใจทำให้โลกนี้ดีขึ้น” ดังนั้น ถ้าคุณได้ยินแนวคิดของคนส่วนใหญ่ที่ไม่เหมือนกับความเชื่อของคุณ ขอให้คุณศึกษาค้นคว้าดูว่าคัมภีร์ไบเบิลบอกอย่างไรและคุยกับพี่น้องชายหญิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่ ลองคิดดูว่าทำไมผู้คนชอบแนวคิดแบบนั้น ทำไมแนวคิดแบบนั้นไม่ถูกต้อง และคุณจะไม่คล้อยตามแนวคิดแบบนั้นได้อย่างไร เราสามารถป้องกันตัวเองจากแนวคิดแบบคนทั่วไปในโลกโดยการทำตามสิ่งที่เปาโลบอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ ห17.11 น. 23-24 ว. 14, 17
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม
พระเจ้า ขอขอบคุณพระองค์ที่ผมไม่เหมือนคนอื่น—ลก. 18:11
พวกฟาริสี “ชอบดูถูกคนอื่น” และไม่คิดว่าพวกเขาต้องแสดงความเมตตา (ลูกา 18:9-14) อย่าเลียนแบบพวกฟาริสี แต่ขอให้เลียนแบบพระยะโฮวาโดยการแสดงความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ (โคโลสี 3:13) ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าง่ายที่จะเข้ามาขอโทษคุณ (ลูกา 17:3, 4) ให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันพร้อมจะให้อภัยคนอื่นทั้ง ๆ ที่เขาทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีหลายครั้งแล้วไหม? ฉันพยายามเต็มที่ไหมที่จะเป็นฝ่ายสร้างสันติกับคนที่มาทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีหรือทำให้ฉันเจ็บ?’ เพื่อที่จะให้อภัยคนอื่นได้เราต้องเป็นคนถ่อม พวกฟาริสีคิดว่าพวกเขาดีกว่าคนอื่น พวกเขาจึงไม่อยากให้อภัย แต่พวกเราที่เป็นคริสเตียนต้องถ่อมตัวและ “มองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง” เราต้องพร้อมจะให้อภัยคนอื่นอย่างเต็มใจ (ฟีลิปปี 2:3) ให้เราถามตัวเองว่า ‘ฉันกำลังเลียนแบบพระยะโฮวาและแสดงว่าเป็นคนถ่อมไหม?’ ถ้าเราเป็นคนถ่อม มันจะง่ายขึ้นที่คนอื่นจะมาขอให้เราให้อภัย และมันก็จะง่ายขึ้นสำหรับเราด้วยที่จะให้อภัยเขา เราต้องช้าในการโกรธแต่เร็วในการแสดงความเมตตา—ปัญญาจารย์ 7:8, 9 ห17.11 น. 15 ว. 6-8
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม
เป็นเรื่องดีที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของพวกเรา—สด. 147:1
คุณอาจรู้สึกอายเมื่อเทียบเสียงของตัวเองกับคนอื่น แต่เราทุกคนต้องมองว่าการร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเรา เราจะให้คนอื่นทำแทนไม่ได้ ดังนั้น ลองทำอย่างนี้ ยกหนังสือขึ้นมา เงยหน้า และร้องอย่างที่แสดงความรู้สึกออกมาเลย! (เอสรา 3:11) หอประชุมหลายแห่งมีจอสำหรับฉายเนื้อเพลงซึ่งช่วยเราให้ร้องเพลงได้ดังขึ้น นอกจากนั้น น่าสนใจที่มีการร้องเพลงในโรงเรียนพระราชกิจสำหรับผู้ดูแลด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ดูแลจะนำหน้าในการร้องเพลงที่หอประชุม หลายคนกลัวที่จะร้องเพลงให้ดังเต็มเสียงเพราะคิดว่าตัวเองเสียงไม่ดี แต่ลองคิดดูสิ ตอนที่พูด “เราทุกคนผิดพลาดกันอยู่บ่อย ๆ” แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เราไม่อยากพูดกับใคร (ยากอบ 3:2) ดังนั้น แม้เราจะรู้สึกว่าเสียงไม่ดี แต่เราไม่ควรให้เรื่องนี้มาทำให้เราไม่กล้าร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา ห17.11 น. 5 ว. 9-10
วันพุธที่ 14 สิงหาคม
ถ้าคุณฟังเสียงของพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณ—ศคย. 6:15
หลังจากที่เศคาริยาห์เห็นนิมิตที่ 7 มีเรื่องมากมายที่เขาจะคิดถึง เศคาริยาห์ต้องได้รับกำลังใจมากแน่ ๆ เมื่อได้ยินพระยะโฮวาสัญญาว่าจะลงโทษคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หลายคนยังคงทำชั่วและทำสิ่งที่ไม่ซื่อสัตย์ การสร้างวิหารขึ้นใหม่ในกรุงเยรูซาเล็มก็ยังไม่เสร็จ ทำไมชาวยิวถึงทิ้งงานมอบหมายที่มาจากพระยะโฮวาไปแบบนี้? พวกเขากลับไปกรุงเยรูซาเล็มแค่เพราะอยากทำให้สภาพชีวิตของตัวเองดีขึ้นไหม? พระยะโฮวารู้ว่าประชาชนของพระองค์ต้องการกำลังและความกล้าหาญ พระองค์ให้เศคาริยาห์เห็นนิมิตสุดท้ายที่จะรับรองกับประชาชนว่าพระองค์รักพวกเขาและเห็นค่าที่พวกเขาพยายามรับใช้พระองค์ พระยะโฮวาสัญญาว่าจะปกป้องคุ้มครองถ้าพวกเขากลับไปทำงานที่ได้รับมอบหมายอีก พระยะโฮวาพูดถึงการสร้างวิหารว่ามันจะเกิดขึ้นแน่ ๆ ถ้าพวกเขาทำตามที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ ห17.10 น. 26 ว. 1 และ น. 27 ว. 5
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม
พระเจ้า . . . กระตุ้นพวกคุณให้มีทั้งความต้องการและกำลังเพื่อจะทำสิ่งที่พระองค์พอใจ—ฟป. 2:13
ถ้าพวกเขาเต็มใจทำงานในประชาคมมากขึ้นโดยเป็นผู้ช่วยงานรับใช้หรือผู้ดูแล ประชาคมก็จะได้ประโยชน์มาก (1 ทธ. 3:1) ถึงอย่างนั้น บางคนอาจลังเลที่จะทำอย่างนั้น เช่น บางคนอาจเคยทำผิดพลาดมาก่อนเลยรู้สึกว่ายังไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ช่วยงานรับใช้หรือผู้ดูแล หรือบางคนอาจรู้สึกว่าไม่มีความสามารถที่จะเป็นได้ ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้น พระยะโฮวาช่วยคุณให้กล้าหาญได้ (ฟป. 4:13) ขอนึกถึงตัวอย่างของโมเสส เขาเองก็รู้สึกว่าไม่สามารถที่จะทำสิ่งที่พระยะโฮวาบอกให้ทำ (อพย. 3:11) แต่พระองค์ช่วยเขาให้กล้าหาญและทำสิ่งที่ต้องทำ พี่น้องชายที่รับบัพติศมาแล้วจะมีความกล้าหาญแบบนั้นได้อย่างไร? เขาน่าจะอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา อ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน คิดใคร่ครวญตัวอย่างของคนในคัมภีร์ไบเบิลที่แสดงความกล้าหาญ เขาต้องถ่อมใจขอผู้ดูแลให้ฝึกอบรมเขาและเสนอตัวช่วยงานอะไรก็ได้ในประชาคม ห17.09 น. 32 ว. 19
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม
คำพูดของพระเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป—อสย. 40:8
คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่พระเจ้าดลใจให้เขียนขึ้นมา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าฉบับเซปตัวจินต์ ฉบับของวิคลิฟฟ์ ฉบับแปลคิงเจมส์ และฉบับแปลอื่น ๆ จะเป็นผลงานที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าโดยตรง ถึงอย่างนั้น การที่เราได้รู้ประวัติของการแปลฉบับเหล่านี้ก็ช่วยให้เรามั่นใจว่าคำพูดของพระยะโฮวาจะยังคงอยู่เหมือนที่พระองค์สัญญาไว้ นี่ช่วยเราให้มีความเชื่อมากขึ้นว่าเรื่องอื่น ๆ ที่พระองค์สัญญาไว้จะเป็นจริงด้วยเหมือนกัน (ยชว. 23:14) เมื่อเราได้รู้วิธีที่พระยะโฮวาปกป้องคัมภีร์ไบเบิล เราก็มีความเชื่อในพระองค์มากขึ้นและรักพระองค์มากขึ้นด้วย ทำไมตั้งแต่ตอนแรกพระยะโฮวาถึงให้คัมภีร์ไบเบิลกับเราและยังสัญญาด้วยว่าจะปกป้องคัมภีร์ไบเบิล? ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะพระองค์รักเราและอยากสอนเราเพื่อเราจะได้ประโยชน์ (อสย. 48:17, 18) เมื่อเราได้รู้เรื่องเหล่านี้ เราก็ถูกกระตุ้นให้รักและเชื่อฟังพระองค์—1 ยน. 4:19; 5:3 ห17.09 น. 21-22 ว. 13-14
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม
ให้นับถือพ่อแม่—อฟ. 6:2
ถ้าคู่ของคุณไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาก็อาจเป็นเรื่องยากที่คุณจะสอนลูกให้ทำตามคำสั่งนี้ คุณน่าจะวางตัวอย่างที่ดีให้ลูกโดยการนับถือและให้เกียรติคู่ของคุณ ลองคิดดูว่าคู่ของคุณมีคุณลักษณะที่ดีอะไรบ้าง แล้วขอบคุณสิ่งดีต่าง ๆ ที่เขาทำ อย่าพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับคู่ของคุณต่อหน้าลูก แทนที่จะทำอย่างนั้น คุณน่าจะอธิบายให้ลูกฟังว่าทุกคนต้องเลือกเองว่าจะรับใช้พระยะโฮวาหรือไม่ ถึงคู่ของคุณไม่ได้รับใช้พระยะโฮวา แต่ถ้าคุณสอนลูกให้นับถือเขา ความประพฤติที่ดีของลูกอาจช่วยเขาให้อยากเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์ก็ได้ สามีบางคนอาจถึงกับห้ามไม่ให้ภรรยาคริสเตียนสอนคัมภีร์ไบเบิลกับลูกหรือพาลูกไปประชุมคริสเตียน ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น พี่น้องที่เป็นภรรยาก็น่าจะทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อสอนความจริงกับลูก (กิจการ 16:1; 2 ทิโมธี 3:14, 15) ภรรยาอาจจะยอมให้เกียรติการตัดสินใจของเขา แต่เธอควรจะหาโอกาสคุยกับลูก ๆ เรื่องความเชื่อของเธอให้มากเท่าที่ทำได้ การทำแบบนี้จะช่วยให้ลูกได้เรียนเกี่ยวกับพระยะโฮวาและมาตรฐานของพระองค์ว่าอะไรถูกอะไรผิด—กิจการ 4:19, 20 ห17.10 น. 14 ว. 9-10
วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม
ให้พวกคุณเลียนแบบพระเจ้าอย่างลูกที่รักของพระองค์—อฟ. 5:1
พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีความสงสาร และมนุษย์ก็ถูกสร้างตามแบบพระองค์ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนเราจะรู้สึกสงสารและเป็นห่วงคนอื่น แม้แต่คนที่ไม่รู้จักพระยะโฮวาก็มักเป็นแบบนั้นด้วย (ปฐก. 1:27) ในคัมภีร์ไบเบิล เราเห็นตัวอย่างของหลายคนที่แสดงความสงสาร ตัวอย่างเช่น ตอนที่โซโลมอนต้องสอบสวนว่าผู้หญิงคนไหนเป็นแม่ของเด็ก เขาทดสอบโดยสั่งให้ผ่าเด็กเป็นสองส่วน ผู้หญิงที่เป็นแม่รู้สึกสงสารลูก เธอจึงขอร้องให้กษัตริย์โซโลมอนยกลูกให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งไป (1 พก. 3:23-27) อีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่แสดงความสงสารก็คือลูกสาวของฟาโรห์ พอเธอเจอเด็กทารกคนหนึ่งซึ่งก็คือโมเสส เธอก็รู้ว่าเขาเป็นคนฮีบรู จริง ๆ แล้วเขาควรจะถูกฆ่า แต่ “เธอรู้สึกสงสารเด็กคนนั้น” จึงตัดสินใจเอามาเลี้ยงเป็นลูกของตัวเอง—อพย. 2:5, 6 ห17.09 น. 8-9 ว. 2-3
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม
[พระยะโฮวา] อดกลั้นกับพวกคุณ—2 ปต. 3:9
พระยะโฮวาอยากให้เราถ่อมตัว ถ้าเราถ่อมตัว เราจะได้สิ่งดี ๆ และรางวัลจากพระเจ้ามากมาย (สภษ. 22:4) ถ้าเราถ่อม ประชาคมก็จะสงบสุขและเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น นอกจากนั้น เราจะได้รับความกรุณาที่ยิ่งใหญ่จากพระยะโฮวา อัครสาวกเปโตรบอกว่า “ให้พวกคุณทุกคนแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อกันเสมอ เพราะพระเจ้าต่อต้านคนหยิ่ง แต่พระองค์แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ต่อคนอ่อนน้อมถ่อมตน” (1 ปต. 5:5) ในโลกทุกวันนี้ ถ้าใครเป็นคนอ่อนโยนและอดทน คนอื่นก็มักมองว่าเขาอ่อนแอ แต่นี่ไม่จริง คุณลักษณะที่ดีเหล่านี้มาจากพระยะโฮวาพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดในเอกภพ พระองค์เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของผู้ที่มีความอ่อนโยนและความอดทน ตัวอย่างเช่น ลองคิดดูสิว่าพระยะโฮวาต้องอดทนขนาดไหนตอนที่พระองค์ตอบคำถามอับราฮัมและโลทผ่านทางทูตสวรรค์ (ปฐก. 18:22-33; 19:18-21) และลองคิดดูว่า พระยะโฮวาต้องอดทนแค่ไหนกับชาติอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟังเป็นเวลามากกว่า 1,500 ปี—อสค. 33:11 ห17.08 น. 25 ว. 13-14
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม
สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจทุกอย่างจะปกป้องหัวใจ—ฟป. 4:7
ให้อธิษฐาน แล้วพวกคุณจะได้รับ “สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจทุกอย่าง” คำพูดนี้หมายถึงอะไร? คัมภีร์ไบเบิลบางฉบับแปลประโยคนี้ว่า “เกินที่เราเคยคิดเคยฝัน” หรือ “เหนือกว่าแผนการทั้งหมดของมนุษย์” ดังนั้น เปาโลกำลังบอกว่า “สันติสุขของพระเจ้า” ยอดเยี่ยมเกินกว่าที่เราจะคิดหรือจินตนาการได้ บางครั้งเราอาจไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร แต่พระยะโฮวารู้ และพระองค์สามารถทำสิ่งที่เกินความคาดหมายของเรา (2 ปต. 2:9) เราจะมี “สันติสุขของพระเจ้า” ได้อย่างไรทั้ง ๆ ที่มีปัญหา? เราต้องรักษาความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้าให้ดีเสมอ เราสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีแบบนี้ได้ก็เพราะค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์ ค่าไถ่เป็นหนึ่งในผลงานที่น่าทึ่งของพระยะโฮวา เพราะโดยทางค่าไถ่พระองค์สามารถให้อภัยบาปเรา ค่าไถ่ทำให้เราสะอาดในสายตาพระเจ้า เราจึงรู้สึกสบายใจเพราะพระเจ้ายอมรับเราและเราจะใกล้ชิดกับพระองค์ได้—ยน. 14:6; ยก. 4:8; 1 ปต. 3:21 ห17.08 น. 10 ว. 7 และ น. 12 ว. 15
วันพุธที่ 21 สิงหาคม
หัวใจของคนเราเท่านั้นที่รู้ความขมขื่นของตัวเอง และคนอื่นไม่อาจเข้าใจความยินดีของเขา—สภษ. 14:10
บางครั้งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายว่าเรารู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน ถึงแม้คนที่สูญเสียพยายามเล่าว่าเขารู้สึกอย่างไร แต่บางครั้งก็ไม่ง่ายที่คนอื่นจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดจริง ๆ นอกจากนั้น เป็นเรื่องยากด้วยที่จะรู้ว่าเราควรพูดอะไรกับคนที่กำลังเศร้าโศกเสียใจ หลายครั้งวิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เราทำได้ก็คือ “ร้องไห้กับคนที่ร้องไห้” (รม. 12:15) ถ้าคุณรู้สึกว่ายากที่จะพูดให้กำลังใจคนอื่นตอนที่เจอพวกเขา คุณก็อาจเขียนการ์ด เขียนจดหมาย ส่งอีเมล หรือข้อความทางโทรศัพท์ คุณอาจจะเขียนข้อคัมภีร์บางข้อที่ให้กำลังใจ หรือเล่าความทรงจำดี ๆ หรืออะไรดี ๆ เกี่ยวกับคนที่เสียชีวิตไปแล้ว คำอธิษฐานของเราสามารถช่วยพี่น้องที่กำลังเศร้าโศกเสียใจได้ เราสามารถอธิษฐานเพื่อพวกเขา หรือเราอาจจะอธิษฐานกับพวกเขาก็ได้ ห17.07 น. 15-16 ว. 13-16
วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม
สิ่งที่พระเจ้าผูกไว้คู่กันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย—มธ. 19:6
ชีวิตคู่อาจไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดไว้ในตอนแรก พวกเขาอาจถึงขั้นมีปัญหากันรุนแรง เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเขาควรคิดถึงวิธีที่พระยะโฮวาปฏิบัติกับชนชาติอิสราเอลในอดีต พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นเหมือนสามีของชนชาตินั้น (อสย. 54:5; 62:4) พวกเขาทำให้พระยะโฮวาผิดหวังหลายครั้ง ความสัมพันธ์ของชาตินี้กับพระองค์เป็นเหมือนคู่สมรสที่มีปัญหา แต่พระองค์ไม่ได้หมดหวังในตัวพวกเขา พระองค์ให้อภัยหลายครั้งและรักษาคำสัญญาที่ให้กับพวกเขา (สด. 106:43-45) คู่สมรสคริสเตียนที่รักพระยะโฮวาจะพยายามเลียนแบบพระองค์ ถึงแม้ชีวิตคู่อาจจะมีปัญหา แต่พวกเขาไม่หาทางเลิกกันโดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ พวกเขารู้ว่าพระยะโฮวามองคำปฏิญาณการสมรสเป็นเรื่องจริงจังและอยากให้ทั้งสามีกับภรรยา “ผูกพันใกล้ชิด” กัน การทำผิดศีลธรรมทางเพศเป็นเหตุผลเดียวตามหลักพระคัมภีร์ที่คู่สมรสจะหย่าและแต่งงานใหม่ได้ (มธ. 19:5, 9) ถ้าคริสเตียนพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็กำลังสนับสนุนสิทธิการปกครองของพระยะโฮวา ห17.06 น. 31 ว. 17-18
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม
พวกคุณจะตาสว่างและจะเป็นเหมือนพระเจ้า—ปฐก. 3:5
มารซาตานตั้งข้อสงสัยว่าพระยะโฮวามีสิทธิ์ที่จะปกครองหรือไม่ มันอยากให้มนุษย์คิดว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดีและพระองค์ไม่อยากให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ซาตานพูดเป็นนัย ๆ ว่าคนเราจะมีความสุขมากกว่าถ้าได้ปกครองตัวเอง (ปฐก. 3:1-4) มันยังบอกอีกว่าเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาลำบาก พวกเขาก็จะทิ้งพระองค์และไม่สนับสนุนการปกครองของพระองค์ (โยบ 2:4, 5) พระยะโฮวาจึงยอมให้มีเวลาพิสูจน์เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าชีวิตจะเลวร้ายขนาดไหนถ้าเราไม่มีพระองค์เป็นผู้ปกครอง พระยะโฮวารู้ดีว่าข้อกล่าวหาของซาตานเป็นเรื่องโกหก แต่ทำไมพระองค์ยอมให้ซาตานมีเวลาพิสูจน์ตัวเอง? เหตุผลที่พระองค์ทำอย่างนั้นก็เพราะคำตอบของประเด็นที่ซาตานตั้งขึ้นมานั้น เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในสวรรค์และบนโลก (สด. 83:18) อาดัมกับเอวาไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของพระยะโฮวา และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งทูตสวรรค์และมนุษย์มากมายก็เป็นอย่างนั้นด้วย นี่อาจทำให้บางคนคิดว่าซาตานพูดถูก ห17.06 น. 22-23 ว. 3-4
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม
ให้พวกคุณไปสอนคน . . . ให้เป็นสาวก—มธ. 28:19
เมื่อทำงานสอนคนให้เป็นสาวก คุณก็ได้เรียนอะไรหลายอย่าง คุณจะได้เรียนรู้นิสัยการทำงานที่ดี มีทักษะการสื่อสาร เป็นคนมีความมั่นใจ และรู้วิธีพูดกับคนอื่น (สภษ. 21:5; 2 ทธ. 2:24) ไม่ใช่แค่นั้น งานนี้ยังทำให้มีความสุขมากด้วย เพราะคุณจะได้เรียนวิธีใช้ข้อคัมภีร์อธิบายความเชื่อของคุณ และจะได้เรียนรู้ว่าต้องทำอย่างไรเพื่อจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกับพระยะโฮวา (1 คร. 3:9) ถึงคุณจะอยู่ในเขตที่ไม่ค่อยมีคนอยากศึกษาคัมภีร์ไบเบิล แต่คุณยังมีความสุขกับงานสอนคนให้เป็นสาวกได้ เพื่อจะช่วยใครสักคนให้เข้ามาเป็นสาวก ทั้งประชาคมต้องช่วยกันและต้องทำงานกันเป็นทีมเวิร์ค ถึงแม้ว่ามีพี่น้องแค่คนเดียวที่ช่วยคนหนึ่งให้มาเป็นพยานพระยะโฮวา แต่เราทุกคนก็มีความสุขเพราะเรามีส่วนร่วมในงานหาผู้คน ตัวอย่างเช่น แบรนดอนเป็นไพโอเนียร์ในเขตที่ไม่ค่อยมีคนสนใจศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมา 9 ปีแล้ว เขาเล่าว่า “ถึงผมไม่เคยช่วยใครในเขตงานให้ก้าวหน้าจนรับบัพติศมาเหมือนคนอื่น แต่ผมก็ดีใจที่ได้วางแผนที่จะทำงานสอนคนอย่างเต็มที่แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก”—ปญจ. 11:6 ห17.07 น. 24 ว. 7, 9-10
วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม
หน้าตาก็ไม่เศร้าอีกต่อไป—1 ซม. 1:18
ฮันนาห์มีลูกไม่ได้ทั้ง ๆ ที่เธออยากมีลูกมาก ส่วนเปนินนาห์ภรรยาอีกคนกลับมีลูกหลายคน (1 ซม. 1:4-7) ยิ่งไปกว่านั้น “ทุกปี” เปนินนาห์ชอบเยาะเย้ยฮันนาห์เรื่องที่เธอมีลูกไม่ได้ นี่ทำให้ฮันนาห์ทุกข์ใจมาก แล้วเธอทำอย่างไร? ฮันนาห์อธิษฐานถึงพระยะโฮวา (1 ซม. 1:12) ฮันนาห์มั่นใจว่าพระยะโฮวาจะช่วยเธอแน่ ๆ พระองค์อาจจะให้เธอมีลูก หรือไม่ก็จะให้กำลังใจเธอด้วยวิธีอื่น เราจะต้องเจอกับปัญหาอยู่เรื่อย ๆ เพราะเราไม่สมบูรณ์แบบและมีชีวิตอยู่ในโลกของซาตาน (1 ยน. 5:19) แต่เรามีที่พึ่ง เราอธิษฐานถึงพระยะโฮวาได้เพราะพระองค์เป็น “พระเจ้าที่คอยให้กำลังใจในทุกสถานการณ์” (2 คร. 1:3) ฮันนาห์ก็ทำอย่างนั้น เธอระบายความรู้สึกที่แท้จริงกับพระเจ้าและขอให้พระองค์ช่วย คล้ายกัน เมื่อเราต้องเจอกับปัญหา เราต้องทำมากกว่าแค่พูดถึงปัญหาของเรากับพระยะโฮวา เราต้องขอร้องให้พระองค์ช่วยและต้องระบายความรู้สึกจริง ๆ ของเราออกมา—ฟป. 4:6, 7 ห17.06 น. 6 ว. 10-11
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม
ซีโมนลูกยอห์น คุณรักผมมากกว่าปลาพวกนี้ไหม?—ยน. 21:15
เมื่อคืนสาวก 7 คนของพระเยซูจับปลาไม่ได้สักตัว ตอนนี้เป็นเวลาเช้า พระเยซูที่ฟื้นขึ้นจากตายแล้วพูดว่า “‘หย่อนอวนลงทางขวาของเรือสิ แล้วจะได้ปลา’ พวกเขาก็หย่อนอวนลง แล้วได้ปลามากมายจนดึงขึ้นมาบนเรือไม่ไหว” (ยน. 21:1-6) พระเยซูเอาขนมปังกับปลาให้พวกสาวกกินเป็นอาหารเช้า แล้วพระเยซูหันไปหาซีโมนเปโตรและถามอย่างที่เราอ่านในข้อคัมภีร์วันนี้ พระเยซูรู้ดีว่าเปโตรชอบจับปลา ที่พระเยซูถามแบบนี้อาจเป็นเพราะท่านอยากรู้ว่าเปโตรรักท่านและสิ่งที่ท่านสอนมากกว่าการทำประมงไหม เปโตรตอบพระเยซูว่า “ครับนาย ท่านก็รู้ว่าผมรักท่าน” (ยน. 21:15) เปโตรได้เรียนเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งคือ เขาควรรักพระเยซูมากกว่ารักอย่างอื่นทั้งหมด หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เปโตรได้พิสูจน์ว่าเขาได้ทำอย่างนั้นจริง ๆ เขาแสดงให้เห็นว่าเขารักพระเยซูคริสต์โดยขยันประกาศและได้กลายมาเป็นเสาหลักของประชาคมคริสเตียน ห17.05 น. 22 ว. 1-2
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม
พระยะโฮวาเป็นผู้ช่วยเหลือผม ผมจะไม่กลัวอะไร มนุษย์จะทำอะไรผมได้?—ฮบ. 13:6
เปาโลมั่นใจว่าพระยะโฮวาจะช่วยเขารับมือกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต ตอนที่เปาโลเจอความยากลำบากเขาไม่สูญเสียความมั่นใจในพระยะโฮวา เปาโลพึ่ง “พระเจ้าที่คอยให้กำลังใจในทุกสถานการณ์ พระองค์ให้กำลังใจเราทุกครั้งที่เจอความยากลำบาก” (2 คร. 1:3, 4) การอธิษฐานเป็นการพูดคุยกับพระยะโฮวา ซึ่งทำให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์ (สด. 86:3; 1 ธส. 5:17; รม. 12:12) ตอนที่เราบอกความคิดและความรู้สึกลึก ๆ ของเรากับพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ เราก็ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้น (สด. 65:2) นอกจากนั้น ความรักที่เรามีต่อพระยะโฮวาจะมากขึ้นด้วยเมื่อเราเห็นวิธีที่พระองค์ตอบคำอธิษฐานของเรา เรามั่นใจว่า “พระยะโฮวาอยู่ใกล้ทุกคนที่ร้องเรียกพระองค์” (สด. 145:18) ถ้าเราเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวารักและจะช่วยเหลือเรา เราก็จะรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจต้องเจอในตอนนี้และในอนาคตได้ ห17.05 น. 19 ว. 9-10
วันพุธที่ 28 สิงหาคม
พระยะโฮวามองที่หัวใจ—1 ซม. 16:7
คุณจะทำอย่างไรถ้าพวกผู้ดูแลตัดสินบางอย่างที่คุณไม่เข้าใจหรือไม่เห็นด้วย? สถานการณ์แบบนี้อาจทดสอบความเชื่อที่เรามีในพระยะโฮวาและในวิธีที่พระองค์จัดระเบียบประชาคมในทุกวันนี้ ความถ่อมตัวจะช่วยคุณถ้าต้องเจอกับสถานการณ์ที่ทดสอบความเชื่อแบบนี้ ขอเราดูด้วยกันว่าความถ่อมตัวจะช่วยคุณใน 2 ทางอะไรบ้าง อย่างแรก ถ้าเราถ่อมตัว เราจะยอมรับว่าเราไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด ถึงแม้เราคิดว่าเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่รู้หัวใจคนจริง ๆ การจำเรื่องนี้ไว้จะช่วยให้เรายอมรับอย่างถ่อมตัวว่าเรามีขีดจำกัดและยอมรับว่าเราต้องปรับความคิด อย่างที่สอง ถ้าเราเห็นคนอื่นไม่ได้รับความยุติธรรมหรือเจอความไม่ยุติธรรมกับตัวเอง ความถ่อมจะช่วยให้เราเชื่อฟังและอดทนรอให้พระยะโฮวาจัดการกับเรื่องต่าง ๆ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า ‘ส่วนคนชั่วจะต้องเดือดร้อน และเขาจะไม่สามารถทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้’ (ปญจ. 8:12, 13) ถ้าเราถ่อมตัวเสมอ เราเองจะได้ประโยชน์ และทุกคนที่เกี่ยวข้องก็จะได้ประโยชน์ด้วย—1 ปต. 5:5 ห17.04 น. 25-26 ว. 10-11
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม
เพราะที่จริงผมถูกจับตัวมาจากแผ่นดินของชาวฮีบรู แถมยังต้องมาติดคุกอยู่ที่นี่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย—ปฐก. 40:15
เห็นได้ชัดว่าโยเซฟเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรม เขาบอกด้วยว่าเขาไม่ได้ทำผิดอย่างที่คนอื่นกล่าวหา นี่เป็นเหตุผลที่เขาขอให้หัวหน้าพนักงานรินเครื่องดื่มบอกเรื่องนี้กับฟาโรห์ เพื่อเขาจะได้ “ออกจากคุกนี้ซะที” (ปฐก. 40:14) โยเซฟแค่ยอมรับสภาพของตัวเองและไม่พยายามทำอะไรไหม? ไม่ เขารู้ว่าเขาตกเป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมหลายครั้งหลายหน เขาจึงอธิบายให้พนักงานรินเครื่องดื่มฟังว่าเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง และหวังว่าพนักงานรินเครื่องดื่มจะช่วยเขาได้ แต่ขอสังเกต คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าโยเซฟเล่าให้ใครฟังว่าพี่ชายเป็นคนจับตัวเขามา เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้เลยแม้แต่กับฟาโรห์ เราเห็นได้จากตอนที่พวกพี่ชายมาที่อียิปต์และได้คืนดีกับโยเซฟ ตอนนั้นฟาโรห์ชวนพวกเขาให้มาอยู่ที่อียิปต์และบอกว่าพวกเขาจะได้ “สิ่งดีที่สุดจากทั่วอียิปต์”—ปฐก. 45:16-20 ห17.04 น. 20-21 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม
พรจากพระเจ้ามากมายจริง ๆ สติปัญญาและความรู้ของพระองค์ก็ลึกซึ้งอะไรอย่างนี้ ใครจะรู้ได้ว่าพระองค์จะตัดสินใจอย่างไร และใครจะคาดเดาได้ว่าพระองค์จะทำอะไรต่อไป—รม. 11:33
เหตุผลหนึ่งที่พระยะโฮวามีสิทธิ์ที่จะปกครองก็คือ พระองค์มีความรู้และสติปัญญาในการดูแลเอกภพ เราเห็นเรื่องนี้จากวิธีที่พระองค์ให้พระเยซูมีความสามารถในการรักษาโรคต่าง ๆ ที่แม้แต่หมอก็ไม่สามารถรักษาได้ (มธ. 4:23, 24; มก. 5:25-29) ถึงแม้ว่าการรักษาโรคต่าง ๆ แบบนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับพวกเรา แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับพระยะโฮวา พระองค์เข้าใจว่าร่างกายทำงานอย่างไร พระองค์สามารถรักษาโรคต่าง ๆ และทำให้ร่างกายเรากลับมาดีเหมือนเดิมได้ พระองค์ยังสามารถทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกและไม่ให้มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น โลกที่ซาตานปกครองไม่มีสันติสุขเลย ไม่ว่าจะเป็นภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ มีแต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่มีสติปัญญาและรู้วิธีทำให้โลกนี้มีสันติสุขจริง ๆ (อสย. 2:3, 4; 54:13) เรารู้สึกเหมือนกับอัครสาวกเปาโลตามที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์วันนี้ ห17.06 น. 28 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม
สิ่งที่พระเจ้าผูกไว้คู่กันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย—มก. 10:9
คนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องจริงจัง พวกเขารู้สึกว่าถ้าไปกันไม่ได้ก็เลิกกัน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่คริสเตียนมองการแต่งงานของเขา (1 คร. 7:27) พวกเขาได้ปฏิญาณการสมรสต่อหน้าพระเจ้าแล้ว และถ้าไม่ทำตามก็เหมือนกับว่าพวกเขากำลังโกหกพระเจ้า และพระองค์เกลียดคนโกหก (ลนต. 19:12; สภษ. 6:16-19) พระยะโฮวาเกลียดการหย่าร้างที่เกิดจากการทรยศ (มลค. 2:13-16) พระเยซูสอนว่าเหตุผลเดียวตามหลักพระคัมภีร์ที่จะหย่าได้ก็คือ เมื่อมีการทำผิดศีลธรรมทางเพศและฝ่ายที่ไม่ได้ทำผิดเลือกที่จะไม่ให้อภัย (มธ. 19:9; ฮบ. 13:4) แล้วการแยกกันอยู่ล่ะ? คัมภีร์ไบเบิลบอกชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ (1 คร. 7:10, 11) ถึงแม้ไม่มีเหตุผลตามหลักพระคัมภีร์ที่บอกให้แยกกันอยู่ แต่บางครั้งอาจมีสภาพการณ์ที่เลวร้ายจนถึงขีดสุดซึ่งทำให้คริสเตียนรู้สึกว่าจำเป็นต้องแยกกันอยู่จริง ๆ ตัวอย่างเช่น บางคนชอบใช้ความรุนแรงจนทำให้ชีวิตของอีกฝ่ายตกอยู่ในอันตรายอย่างมาก หรือบางคนทรยศพระยะโฮวาและทำให้ความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายมีกับพระเจ้าเสียหายอย่างมาก ห17.04 น. 7 ว. 14-16