ธันวาคม
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม
ท่าน . . . รู้สึกสงสาร—มก. 6:34
หนึ่งในบุคลิกที่น่าประทับใจมากที่สุดของพระเยซูคือ ท่านเข้าใจปัญหาที่มนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบอย่างเราต้องเจอ ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่าน “มีความสุขกับคนที่มีความสุข ร้องไห้กับคนที่ร้องไห้” (รม. 12:15) เช่น ตอนที่พระเยซูเห็นสาวก 70 คนกลับมาด้วยความดีใจหลังจากทำงานประกาศสำเร็จ ท่านก็ “มีความสุขมาก” (ลก. 10:17-21) ในอีกด้านหนึ่ง พอพระเยซูเห็นคนที่รักลาซารัสร้องไห้เสียใจที่เขาตาย “ท่านก็เศร้าและสะเทือนใจ” (ยน. 11:33) แม้พระเยซูจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ แต่ท่านก็เมตตาและเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ อะไรช่วยให้ท่านเป็นแบบนั้น? สิ่งสำคัญที่สุดคือพระเยซูรักผู้คน ท่าน “รักมนุษย์มาก” (สภษ. 8:31) และเพราะท่านรักมนุษย์มาก ท่านเลยเข้าใจจริง ๆ ว่ามนุษย์คิดอะไร อัครสาวกยอห์นอธิบายว่า “ท่านรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ”—ยน. 2:25 ห19.03 น. 20 ว. 1-2
วันพุธที่ 2 ธันวาคม
ลองทำให้เขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างดูสิ เขาจะแช่งด่าพระองค์แน่ ๆ!—โยบ 1:11
ซาตานทำลายทุกอย่างของโยบ มันทำให้เขาสูญเสียทรัพย์สมบัติ คนรับใช้ และชื่อเสียงในชุมชน มันทำลายครอบครัวของโยบ ทำให้ลูกที่โยบรักมากทั้ง 10 คนตายหมด มันทำร้ายตัวเขาด้วยโดยทำให้เขาเป็นฝีที่เจ็บปวดทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจดเท้า ภรรยาของโยบเองก็เครียดและเสียใจมาก เธอบอกให้โยบยอมแพ้ แช่งด่าพระเจ้า และไปตาย โยบเองก็อยากตาย แต่เขายังรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเสมอ ซาตานเลยพยายามใช้วิธีใหม่ มันใช้คนที่เป็นเพื่อนของโยบ 3 คน พวกเขามาเยี่ยมโยบหลายวันแต่ไม่เคยให้กำลังใจเลย พวกเขาต่อว่าโยบแรงมากและไม่คิดถึงความรู้สึกของเขา สามคนนี้อ้างว่าพระเจ้าอยู่เบื้องหลังสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับโยบและบอกว่าพระองค์ไม่สนใจหรอกที่โยบรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระองค์ พวกเขาถึงกับบอกว่าโยบเป็นคนชั่วที่สมควรเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้—โยบ 1:13-22; 2:7-11; 15:4, 5; 22:3-6; 25:4-6 ห19.02 น. 4-5 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม
ความเกรงกลัวพระยะโฮวาเป็นจุดเริ่มต้นของสติปัญญา—สด. 111:10
ความกลัวบางอย่างเป็นความกลัวที่ดี เช่น กลัวว่าจะทำให้พระยะโฮวาไม่พอใจ ถ้าอาดัมกับเอวามีความกลัวแบบนั้นพวกเขาคงไม่กบฏต่อพระองค์ แต่ปรากฏว่าพวกเขากบฏต่อพระองค์จริง ๆ แล้วพวกเขาก็ตาสว่างในแง่ที่ว่า รู้ตัวว่ากลายเป็นคนบาปไปแล้ว พวกเขามีแต่จะส่งต่อความบาปและความตายให้ลูกหลาน และเพราะพวกเขาเห็นและเข้าใจว่าสภาพตัวเองเป็นอย่างไร พวกเขาเลยอายที่เปลือยอยู่จึงหาอะไรมาปิดร่างกาย (ปฐก. 3:7, 21) ถึงเราควรกลัวว่าจะทำให้พระยะโฮวาไม่พอใจ แต่ก็มีบางอย่างที่เราไม่ต้องกลัวมากเกินไป นั่นคือความตาย พระองค์มีวิธีช่วยให้เรามีชีวิตตลอดไป และถ้าเราทำผิดแต่กลับใจจริง ๆ พระยะโฮวาจะให้อภัยความผิดที่เราทำ พระองค์ให้อภัยเมื่อเราเชื่อในเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูลูกของพระองค์ วิธีสำคัญที่สุดวิธีหนึ่งที่จะแสดงความเชื่อก็คือการอุทิศตัวให้พระยะโฮวาและรับบัพติศมา—1 ปต. 3:21 ห19.03 น. 5-6 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม
ไม่มีใครเหลือรอดอยู่ยกเว้นคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์ และโยชูวาลูกชายของนูน—กดว. 26:65
ชาวอิสราเอลได้สิ่งดี ๆ มากมายซึ่งควรจะทำให้พวกเขาแสดงความขอบคุณ พวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสในอียิปต์หลังจากที่พระยะโฮวาทำให้เกิดภัยพิบัติ 10 อย่าง แล้วพระเจ้าก็ช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากหายนะโดยทำลายกองทัพทั้งหมดของอียิปต์ที่ทะเลแดง ตอนนั้นชาวอิสราเอลรู้สึกขอบคุณมากจนร้องเพลงแสดงชัยชนะสรรเสริญพระยะโฮวา แต่พวกเขารู้สึกขอบคุณพระเจ้าตลอดไหม? ตอนที่ชาวอิสราเอลเจอปัญหาใหม่ พวกเขากลับลืมสิ่งดี ๆ ที่พระยะโฮวาทำและแสดงออกว่าไม่เห็นค่า (สด. 106:7) พวกเขาทำอะไร? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหมดเริ่มบ่นต่อว่าโมเสสกับอาโรน” แต่ที่จริงพวกเขากำลังบ่นต่อว่าพระยะโฮวา (อพย. 16:2, 8) พระองค์ผิดหวังมากที่พวกเขาไม่เห็นค่าสิ่งที่พระองค์ทำ ต่อมาพระองค์เลยบอกล่วงหน้าว่าชาวอิสราเอลรุ่นนี้ทั้งหมดจะตายในที่กันดาร ยกเว้นโยชูวากับคาเล็บ—กดว. 14:22-24 ห19.02 น. 17 ว. 12-13
วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม
ผมเป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตัว—มธ. 11:29
พระเยซูไม่ได้เรียกร้องความสนใจโดยคาดหมายให้ระลึกถึงการตายของท่านแบบที่อลังการหรือยุ่งยากซับซ้อน แต่บอกให้สาวกจัดการประชุมแบบเรียบง่ายปีละครั้ง (ยน. 13:15; 1 คร. 11:23-25) การจัดการประชุมแบบเรียบง่ายแต่เหมาะสมแสดงให้เห็นว่าพระเยซูไม่ใช่คนหยิ่งหรือชอบโอ้อวด เราดีใจที่กษัตริย์บนสวรรค์ของเราถ่อมตัวซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ (ฟป. 2:5-8) เราจะเลียนแบบความถ่อมของพระเยซูได้อย่างไร? โดยการที่เราเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นมากกว่าตัวเอง (ฟป. 2:3, 4) คิดถึงคืนสุดท้ายที่พระเยซูมีชีวิตอยู่บนโลก ท่านรู้ว่าอีกไม่นานท่านจะเจอความเจ็บปวดและจะต้องตาย แต่ท่านก็ยังเป็นห่วงพวกอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ซึ่งอีกไม่นานพวกเขาจะต้องเสียใจมากเพื่อท่าน ท่านเลยใช้เวลาคืนสุดท้ายเพื่อสอน ให้กำลังใจ และให้คำรับรองกับพวกเขา (ยน. 14:25-31) พระเยซูถ่อมและสนใจผลประโยชน์ของคนอื่นมากกว่าตัวเอง ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมให้กับเราจริง ๆ ห19.01 น. 21 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม
ขอพระองค์พอใจคำสรรเสริญที่ผมให้ด้วยความสมัครใจ—สด. 119:108
แค่คิดจะยกมือตอบ คุณก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนทุกครั้งไหม? ถ้าใช่ คุณไม่ได้เป็นแบบนี้คนเดียว ความจริงก็คือพวกเราส่วนใหญ่รู้สึกกลัวเหมือนกันตอนที่จะตอบ ที่จริง การกลัวแบบนั้นอาจจะดี เพราะแสดงว่าคุณเป็นคนถ่อมและมองว่าคนอื่นดีกว่าคุณ พระยะโฮวาชอบคุณลักษณะแบบนั้น (สด. 138:6; ฟป. 2:3) แต่พระองค์ก็อยากให้คุณสรรเสริญพระองค์และให้กำลังใจพี่น้องในการประชุมด้วย (1 ธส. 5:11) พระองค์รักคุณและจะให้ความกล้าหาญที่จำเป็นกับคุณ ขอให้คิดถึงข้อเตือนใจบางอย่างจากคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเราทุกคนทำผิดพลาดได้ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือวิธีพูดของเรา (ยก. 3:2) และพระยะโฮวาไม่ได้คาดหมายให้เราสมบูรณ์แบบ พี่น้องก็ไม่ได้คาดหมายเราแบบนั้นด้วย (สด. 103:12-14) พวกเขารักเราและเป็นเหมือนครอบครัวของเรา (มก. 10:29, 30; ยน. 13:35) พวกเขาเข้าใจถ้าบางครั้งเราออกความเห็นไม่ค่อยถูกเท่าไร ห19.01 น. 8 ว. 3; น. 10-11 ว. 10-11
วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม
ขอให้คิดถึงผู้สร้างองค์ยิ่งใหญ่ตอนที่คุณยังเป็นหนุ่มเป็นสาว—ปญจ. 12:1
จริง ๆ เรื่องนี้ไม่ง่าย แต่ก็เป็นไปได้เพราะพระยะโฮวาอยากให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตจริง ๆ พระองค์จะช่วยคุณ แล้วคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ว่าจะเป็นตอนนี้ที่คุณยังอายุน้อย หรือจะโตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อจะช่วยให้คุณเข้าใจดีขึ้น ให้เรามาดูว่าอะไรช่วยชาวอิสราเอลให้ชนะชาวคานาอันและได้เข้าไปอยู่ในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา ตอนที่ชาวอิสราเอลจะเข้าแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา พระองค์สั่งอะไรพวกเขา? พระองค์บอกให้พวกเขาเป็นทหารที่เก่งขึ้นหรือให้พวกเขาฝึกสู้รบไหม? ไม่ใช่เลย (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:1, 2) พระองค์บอกให้พวกเขาเชื่อฟังและไว้วางใจพระองค์ (โยชูวา 1:7-9) สำหรับมนุษย์แล้วคำแนะนำนี้อาจไม่ค่อยดีเท่าไร แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดเลย พระยะโฮวาช่วยชาวอิสราเอลให้ชนะชาวคานาอันหลายต่อหลายครั้ง (โยชูวา 24:11-13) การจะเชื่อฟังพระยะโฮวาแบบนี้ได้ต้องมีความเชื่อ และความเชื่อในพระองค์จะทำให้ประสบความสำเร็จเสมอ เรื่องนี้เป็นจริงเมื่อก่อนอย่างไรทุกวันนี้ก็ยังเป็นจริงแบบนั้น ห18.12 น. 25 ว. 3-4
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม
นายครับ พวกเราจะไปหาใครได้อีก? ในเมื่อท่านเองมีคำสอนที่ให้ชีวิตตลอดไป—ยน. 6:68
บางคนในทุกวันนี้เชื่อคำสอนผิด ๆ ของคนทรยศพระเจ้าหรือคนที่พูดโกหกเกี่ยวกับเรา สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลบางอย่างที่ทำให้บางคนตั้งใจทิ้งพระยะโฮวาและออกไปจากประชาคม (ฮีบรู 3:12-14) ที่จริง พวกเขาน่าจะเลียนแบบเปโตรที่ไว้ใจพระเยซูตอนที่คนอื่นรับไม่ได้กับคำพูดของพระเยซู นอกจากนั้นยังมีบางคนที่ออกจากความจริงทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับเรือที่ค่อย ๆ ห่างจากฝั่ง คัมภีร์ไบเบิลเตือนเราให้ระวัง ไม่อย่างนั้น “เราจะค่อย ๆ ห่างออกไป” (ฮีบรู 2:1) ปกติคนที่ค่อย ๆ ออกจากความจริงไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้น เขาปล่อยให้ตัวเองห่างจากพระยะโฮวาและในที่สุดก็ไม่เป็นเพื่อนกับพระองค์อีกต่อไป ห18.11 น. 9 ว. 5-6
วันพุธที่ 9 ธันวาคม
ประชาชนของท่านจะเต็มใจเสนอตัว—สด. 110:3
คุณอยากถูกฝึกมากขึ้นเพื่อจะทำงานรับใช้พระยะโฮวามากขึ้นไหม? คุณอาจสมัครเข้าโรงเรียนผู้ประกาศราชอาณาจักร (SKE) โรงเรียนนี้ฝึกพี่น้องชายหญิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีความเชื่อเข้มแข็งซึ่งกำลังรับใช้เต็มเวลาอยู่แล้วเพื่อที่องค์การของพระยะโฮวาจะใช้พวกเขามากขึ้นได้ คนที่เข้าโรงเรียนนี้ต้องเต็มใจย้ายไปที่ไหนก็ได้ คุณอยากรับใช้พระยะโฮวามากขึ้นในด้านนี้ไหม? (1 โครินธ์ 9:23) เราเป็นคนของพระยะโฮวา เราเลยเป็นคนใจกว้าง ทำสิ่งที่ดี แสดงความกรุณาและความรักต่อคนอื่น เราห่วงใยทุกคนและทำแบบนั้นทุกวัน นี่ทำให้เรายินดี มีสันติสุข และมีความสุข (กาลาเทีย 5:22, 23) ไม่ว่าสภาพการณ์ของคุณจะเป็นอย่างไร คุณจะมีความสุขได้ถ้าคุณเลียนแบบความใจกว้างของพระยะโฮวาและเป็นเพื่อนร่วมงานที่มีค่าของพระองค์—สุภาษิต 3:9, 10 ห18.08 น. 27 ว. 16-18
วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม
สิ่งที่พระเจ้าผูกไว้คู่กันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย—มธ. 19:6
บางคนอาจถามว่า ‘มีเหตุผลอะไรไหมที่คริสเตียนจะหย่าและแต่งงานใหม่ได้?’ ขอสังเกตที่พระเยซูบอกว่า “คนที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ก็ถือว่าเขามีชู้ และทำผิดต่อภรรยาของเขา และถ้าผู้หญิงหย่ากับสามีแล้วไปแต่งงานกับคนอื่น ก็ถือว่าเธอมีชู้ด้วย” (มาระโก 10:11, 12; ลูกา 16:18) นี่แสดงว่าพระเยซูนับถือการจัดเตรียมเรื่องชีวิตคู่และท่านอยากให้คนอื่นรู้สึกอย่างนั้นด้วย ถ้าผู้ชายหย่าภรรยาที่ไม่ได้ทำผิดแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่าเขามีชู้ และถ้าผู้หญิงหย่ากับสามีที่ไม่ได้ทำผิดแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่าเธอมีชู้ด้วย เพราะการหย่าแบบนี้ไม่ได้ทำให้ชีวิตคู่สิ้นสุดลง พระเจ้ายังมองว่าพวกเขายังเป็น “คนคนเดียวกัน” พระเยซูบอกอีกว่าถ้าผู้ชายหย่าภรรยาที่ไม่ได้ทำผิด เขาก็อาจทำให้เธอตกอยู่ในภาวะกดดันที่ทำให้มีชู้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ในสมัยพระเยซู ผู้หญิงที่หย่าแล้วอาจคิดว่าจำเป็นต้องแต่งงานใหม่เพราะมีปัญหาเรื่องการเงินและเพื่อให้มีคนมาหาเลี้ยง ซึ่งถ้าเธอแต่งงานใหม่เพราะเหตุผลแบบนี้ ก็ถือว่าเธอมีชู้ ห18.12 น. 11 ว. 8-9
วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม
ผมจะยืนเฝ้าประจำที่ต่อไป—ฮบก. 2:1
การได้คุยกับพระยะโฮวาทำให้ฮาบากุกสงบใจได้ มันทำให้เขาตั้งใจที่จะรอให้พระยะโฮวาจัดการ เขาบอกความตั้งใจของเขาอีกครั้งว่า “ผมจะรออยู่เงียบ ๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น เมื่อคนที่ทำร้ายพวกเราจะเจอหายนะ” (ฮาบากุก 3:16) เราเรียนอะไรได้จากความตั้งใจของฮาบากุก? อย่างแรกคือ ไม่ว่าเราจะมีปัญหาอะไร อย่าหยุดอธิษฐานถึงพระยะโฮวา อย่างที่ 2 เราต้องตั้งใจฟังสิ่งที่พระยะโฮวาบอกผ่านทางคัมภีร์ไบเบิลและผ่านทางองค์การของพระองค์ และอย่างที่ 3 เราควรอดทนรอเวลาที่พระยะโฮวาจะจัดการ และเราต้องวางใจว่าเมื่อถึงตอนนั้นพระองค์จะจัดการปัญหาให้เราและทำให้ความรู้สึกที่ไม่ดีทั้งหมดของเราหมดไป ถ้าเราเลียนแบบฮาบากุก เราจะสงบใจและอดทนได้ ความหวังที่เรามีจะช่วยเราให้ทนได้มากขึ้นและมีความสุขไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร เรามั่นใจว่าพระเจ้าพ่อของเราในสวรรค์จะจัดการแน่นอน—โรม 12:12 ห18.11 น. 15-16 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม
ผู้หญิงก็ควรแต่งตัวให้เหมาะสม เป็นแบบสุภาพเรียบร้อยและแบบคนที่มีสติดี—1 ทธ. 2:9
พระยะโฮวามองคนที่ทำให้คนอื่นทิ้งความเชื่อ ทำบาป หรือเลิกรับใช้พระองค์อย่างไร? พระเยซูบอกว่า “ถ้าใครทำให้คนต่ำต้อยที่เชื่อในตัวผมทิ้งความเชื่อไป เอาหินโม่ก้อนใหญ่มาถ่วงคอเขา แล้วโยนลงไปในทะเลก็ดีกว่า” (มาระโก 9:42) นี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก เรารู้ว่าพระเยซูเป็นเหมือนพระยะโฮวาพ่อของท่าน เราเลยแน่ใจว่าพระยะโฮวาจะรู้สึกไม่พอใจมากเหมือนกันถ้ามีใครทำให้คนอื่นเลิกรับใช้พระองค์ (ยอห์น 14:9) เรามองเรื่องนี้เหมือนพระยะโฮวากับพระเยซูมองไหม? สิ่งที่เราทำแสดงให้เห็นอะไร? เช่น เราอาจชอบแต่งตัวบางสไตล์ แต่ถ้ามันทำให้บางคนในประชาคมรู้สึกไม่ดีหรือมีความคิดที่ผิดศีลธรรม เราจะทำอย่างไร? ถ้าเรารักพี่น้องเราจะแต่งตัวแบบนั้นไหม? ห18.11 น. 25 ว. 9-10
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม
ซาตานตอบพระยะโฮวาว่า “คิดหรือว่าโยบเกรงกลัวพระเจ้าโดยไม่หวังอะไร? . . . ลองทำให้เขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างดูสิ เขาจะแช่งด่าพระองค์แน่”—โยบ 1:9, 11
ทำไมเราทุกคนต้องซื่อสัตย์? คุณต้องซื่อสัตย์เพราะซาตานท้าทายพระยะโฮวา และมันก็ท้าทายคุณด้วย มันทำลายชื่อเสียงของพระเจ้าโดยบอกว่าพระองค์เป็นผู้ปกครองที่ไม่ดี เห็นแก่ตัว และไม่ซื่อสัตย์ น่าเสียดายที่อาดัมกับเอวาเลือกอยู่ฝ่ายซาตานซึ่งกบฏต่อพระเจ้า (ปฐก. 3:1-6) ที่จริง ชีวิตในสวนเอเดนน่าจะทำให้อาดัมกับเอวารักพระเจ้ามากขึ้น แต่ตอนที่ซาตานมาท้าทาย ความรักของพวกเขาไม่ดีเยี่ยม ไม่ครบถ้วน และมีที่ติ ดังนั้น จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า มีมนุษย์คนไหนไหมที่จะภักดีต่อพระยะโฮวาเพราะรักพระองค์? หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือมนุษย์จะสามารถรักษาความซื่อสัตย์ได้ไหม? เรื่องราวของโยบให้คำตอบในเรื่องนี้ (โยบ 1:8-11) โยบเองก็เป็นเหมือนเราที่ไม่สมบูรณ์แบบและทำผิดพลาดได้ แต่พระยะโฮวารักโยบเพราะเขาซื่อสัตย์ ห19.02 น. 4 ว. 6-7
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม
เขา . . . ขายทุกสิ่งที่เขามีทันที แล้วไปซื้อไข่มุกเม็ดนั้น—มธ. 13:46
พระเยซูได้เล่าตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องพ่อค้าที่เดินทางไปหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อเจอแล้วเขาก็ขายทุกสิ่งที่มีทันทีแล้วไปซื้อไข่มุกนั้น ไข่มุกหมายถึงความจริงเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า พระเยซูเปรียบเทียบแบบนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าความจริงมีค่ามากขนาดไหนต่อคนที่ค้นหามัน (มัทธิว 13:45, 46) เหมือนกัน ตอนแรกที่เราเรียนความจริงที่มีค่าเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าและเรื่องอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล เราเต็มใจสละทุกอย่าง และถ้าเรายังคงเห็นค่าความจริงนั้นอยู่ เราก็จะไม่มีวันทิ้งมันไป (สุภาษิต 23:23) แต่น่าเสียดายที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคนไม่เห็นค่าและถึงกับทิ้งความจริงไป เราไม่อยากทำอย่างนั้นแน่ ๆ ดังนั้น เราต้องทำตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ “ใช้ชีวิตตามความจริง” (3 ยอห์น 2-4) นี่หมายความว่าเราต้องให้ความจริงสำคัญที่สุดในชีวิตและแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราทำแบบนั้น ห18.11 น. 9 ว. 3
วันอังคารที่ 15 ธันวาคม
เพราะความเชื่อ เมื่อพวกเขาเดินรอบเมืองเยรีโคครบ 7 วัน กำแพงเมืองก็พังลงมา—ฮบ. 11:30
ทูตสวรรค์บอกโยชูวาว่าชาวอิสราเอลไม่ต้องโจมตีเมืองเยรีโค พวกเขาต้องเดินรอบเมืองนั้นแทนโดยให้เดินวันละรอบเป็นเวลา 6 วัน แต่ในวันที่ 7 ให้เดิน 7 รอบ พวกทหารอาจคิดว่า ‘มันเสียเวลาเสียแรงเปล่า ๆ’ แต่พระยะโฮวาผู้นำที่ชาวอิสราเอลมองไม่เห็นรู้ว่าพระองค์กำลังทำอะไรอยู่ การทำตามคำแนะนำของพระองค์ทำให้ชาวอิสราเอลพิชิตเมืองเยรีโคได้โดยไม่ต้องต่อสู้ และเมื่อพวกเขาเห็นผลดีจากการทำตามคำแนะนำนั้น พวกเขาก็มีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น (โยชูวา 6:2-5) เราเรียนอะไรได้จากเรื่องนี้? บางครั้งองค์การของพระยะโฮวาใช้วิธีใหม่ในการทำงาน และหลายครั้งเราอาจไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น เช่น ตอนแรกเราอาจไม่แน่ใจว่ามันจะดีจริง ๆ หรือเปล่าที่จะใช้แท็บเล็ตหรือมือถือสำหรับศึกษาส่วนตัว ใช้ในการประกาศและการประชุม แต่ตอนนี้เราเห็นแล้วว่ามันมีประโยชน์หลายอย่างจริง ๆ ดังนั้น เมื่อเราเห็นผลดีของการปรับเปลี่ยน มันจะช่วยให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งขึ้นและทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องมากขึ้น ห18.10 น. 23 ว. 8-9
วันพุธที่ 16 ธันวาคม
นายครับ ท่านจะกู้เอกราชให้อาณาจักรอิสราเอลตอนนี้เลยไหม?—กจ. 1:6
ชาวยิวคาดหมายว่าเมสสิยาห์จะมาแก้ปัญหาของพวกเขา นี่คงเป็นเหตุผลที่ชาวกาลิลีอยากให้พระเยซูเป็นกษัตริย์ พวกเขาคงคิดว่าพระเยซูต้องเป็นผู้นำที่ดีที่สุดของพวกเขาได้แน่ ๆ เพราะพระเยซูเป็นนักพูดที่เก่งมาก ท่านรักษาคนป่วยได้ แถมยังจัดหาอาหารให้กับคนที่อดอยากได้ หลังจากพระเยซูเลี้ยงอาหารคน 5,000 คน ผู้คนก็รู้สึกทึ่ง แต่พระเยซูรู้ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาอยากจะทำอะไร คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระเยซูรู้ว่าพวกเขาพยายามจะตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ ท่านก็ปลีกตัวไปอยู่ที่ภูเขาคนเดียว” (ยอห์น 6:10-15) วันต่อมา พอประชาชนดูเหมือนสงบลงแล้ว พระเยซูก็อธิบายว่าท่านไม่ได้มาเพื่อให้ข้าวปลาอาหารหรือข้าวของเครื่องใช้กับพวกเขา แต่มาเพื่อสอนเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ท่านบอกว่า “อย่าทำงานเพื่อจะได้อาหารที่เน่าเสียได้ แต่ให้ทำงานเพื่อจะได้อาหารที่ไม่เน่าเสียซึ่งจะให้ชีวิตตลอดไป”—ยอห์น 6:25-27 ห18.06 น. 4 ว. 4-5
วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม
ต้นอ้อที่ช้ำแล้ว เขาจะไม่หัก ไส้ตะเกียงที่มีไฟริบหรี่ เขาจะไม่ดับ—อสย. 42:3
พระเยซูเข้าใจความรู้สึกของคนที่ท้อและหมดแรง พวกเขาเป็นเหมือน “ต้นอ้อที่ช้ำ” หรือ “ไส้ตะเกียงที่มีไฟริบหรี่” ท่านเลยคิดถึงความรู้สึกของพวกเขา อดทนและอ่อนโยนกับพวกเขา (มาระโก 10:14) เราไม่สามารถเข้าใจผู้คนได้เหมือนพระเยซูและสอนไม่ได้ขนาดท่าน แต่เราสามารถคิดถึงความรู้สึกของคนในเขตทำงานของเราได้โดยคิดว่าเราควรจะพูดกับเขาอย่างไร ไปหาเขาตอนไหน และจะคุยกับเขานานเท่าไร หลายล้านคนในทุกวันนี้ “ถูกขูดรีดและถูกทอดทิ้ง” เพราะอยู่ภายใต้ระบบของโลกที่มีแต่การคดโกงและชั่วร้าย ไม่ว่าจะเป็นการค้า การเมือง และศาสนาต่าง ๆ (มัทธิว 9:36) ผลก็คือหลายคนรู้สึกไม่ไว้ใจใครและสิ้นหวัง ดังนั้น เวลาเราพูดกับพวกเขา คำพูดและน้ำเสียงของเราควรอ่อนโยนและแสดงว่าเป็นห่วงเขาจริง ๆ หลายคนชอบฟังเรา ไม่ใช่แค่เพราะเราใช้คัมภีร์ไบเบิลเก่ง แต่เราสนใจ นับถือ และให้เกียรติเขาจริง ๆ ห18.09 น. 31-32 ว. 13-14
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม
คนที่รู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าก็มีความสุข—มธ. 5:3
เราจะแสดงอย่างไรว่าเรารู้ตัวว่าจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า? เราทำได้โดยอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เชื่อฟังพระองค์ และให้การนมัสการพระองค์สำคัญที่สุดในชีวิตเรา การทำสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุข เราจะมั่นใจมากขึ้นว่าคำสัญญาของพระเจ้าจะเป็นจริงแน่นอน (ทิตัส 2:13) ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต เราก็มีความสุขได้ถ้าเราสนิทกับพระยะโฮวาเสมอ อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “ขอให้มีความสุขเสมอที่ได้รับใช้ผู้เป็นนาย ผมขอบอกอีกครั้งว่า ขอให้มีความสุข” (ฟีลิปปี 4:4) เราจะสนิทกับพระยะโฮวาได้ก็ต้องมีสติปัญญาจากพระองค์ (สุภาษิต 3:13, 18) ถ้าเราอยากมีความสุขอยู่เสมอ เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องใช้สิ่งที่เรียนจากคัมภีร์ไบเบิลต่อ ๆ ไป พระเยซูเน้นความสำคัญของเรื่องนี้โดยบอกว่า “ถ้าพวกคุณรู้เรื่องนี้แล้วทำตาม พวกคุณจะมีความสุข” (ยอห์น 13:17; ยากอบ 1:25) นี่เป็นเรื่องสำคัญมากถ้าเราอยากพึ่งพระเจ้า อยากให้พระองค์ช่วยและชี้นำเรา และอยากมีความสุขเสมอ ห18.09 น. 18 ว. 4-6
วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม
[เอปาฟรัส] อธิษฐานอย่างจริงจังเพื่อพวกคุณเสมอ—คส. 4:12
เอปาฟรัสรู้จักพี่น้องอย่างดีและเป็นห่วงพี่น้องมากทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็มีปัญหา เปาโลเรียกเขาว่า ‘เพื่อนที่ถูกกักขังอยู่กับผม’ (ฟีเลโมน 23) ถึงเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่แย่แบบนั้นแต่เขาก็ยังเป็นห่วงพี่น้องและลงมือทำบางอย่างเพื่อช่วยพวกเขา เอปาฟรัสอธิษฐานเพื่อพี่น้อง เราเองก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน เราอาจถึงกับพูดชื่อพี่น้องในคำอธิษฐานของเราด้วย คำอธิษฐานแบบนี้มีพลังมากจริง ๆ (2 โครินธ์ 1:11; ยากอบ 5:16) ลองนึกดูว่ามีใครบ้างที่คุณอาจพูดถึงชื่อของเขาในคำอธิษฐานได้ เช่น มีบางคนหรือบางครอบครัวในประชาคมของคุณไหมที่คุณรู้ว่ากำลังเจอปัญหา? พวกเขาอาจมีเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากหรือเจอเรื่องล่อใจ นอกจากนั้น คุณอาจพูดชื่อของพี่น้องที่สูญเสียคนที่เขารัก พี่น้องที่เพิ่งเจอภัยพิบัติหรือสงคราม และพี่น้องที่มีปัญหาการเงิน มีพี่น้องมากมายที่เราจะอธิษฐานเพื่อพวกเขาได้ ห18.09 น. 5-6 ว. 12-13
วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม
การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ—กจ. 20:35
ตอนที่เปาโลยกคำพูดของพระเยซู เขาไม่ได้พูดถึงการให้แค่สิ่งของหรือเงินทอง เราสามารถให้กำลังใจ ให้คำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล และให้ความช่วยเหลือคนอื่นได้ (กิจการ 20:31-35) ตัวอย่างของเปาโลและสิ่งที่เขาพูดสอนเราว่าเราต้องเป็นคนใจกว้างโดยให้เวลา กำลัง การเอาใจใส่ และความรัก นักวิจัยที่ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ค้นพบด้วยว่าการให้ทำให้มีความสุข งานวิจัยชิ้นหนึ่งบอกว่าผู้คนมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกเยอะเมื่อได้ทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น นักวิจัยหลายคนบอกว่าเมื่อเราช่วยคนอื่นเราจะรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายและมีเป้าหมาย ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญบางคนสนับสนุนให้ทำงานจิตอาสาเพื่อจะมีสุขภาพดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น จริง ๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาค้นพบไม่ทำให้เราแปลกใจ เพราะพระยะโฮวาผู้สร้างที่รักเราบอกเสมอว่า การให้ทำให้เรามีความสุข—2 ทิโมธี 3:16, 17 ห18.08 น. 22 ว. 17-18
วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม
เลิกตัดสินตามที่เห็นภายนอกเถอะ แต่ให้ตัดสินอย่างยุติธรรม—ยอห์น 7:24
คำพยากรณ์ของอิสยาห์เกี่ยวกับพระเยซูทำให้เรามีกำลังใจและมีความหวัง อิสยาห์บอกล่วงหน้าว่าพระเยซูจะ “ไม่พิพากษาตามที่ตาเห็น หรือตัดสินแค่ตามที่หูได้ยิน” และท่านจะ “ให้ความเป็นธรรมกับคนจน” (อิสยาห์ 11:3, 4) ทำไมเรื่องนี้ทำให้เราได้กำลังใจ? เพราะเราอยู่ในโลกที่มีแต่อคติ ผู้คนชอบตัดสินกันตามที่เห็น เราจึงรอคอยพระเยซูผู้พิพากษาที่ตัดสินอย่างสมบูรณ์แบบและไม่มีทางตัดสินจากสิ่งที่เห็น ทุกวันมีสถานการณ์ที่ทำให้เราตัดสินคนอื่น แต่เราไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนพระเยซู เราเลยไม่มีทางตัดสินได้ถูกต้องเสมอ สิ่งที่เราเห็นมักจะมีอิทธิพลต่อความคิดเรา แต่พระเยซูสั่งว่าให้เราเลิกตัดสิน “ตามที่เห็นภายนอก” แต่ให้ “ตัดสินอย่างยุติธรรม” พระเยซูอยากให้เราทำเหมือนท่าน และไม่ตัดสินคนอื่นตามสิ่งที่เห็น ห18.08 น. 8 ว. 1-2
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม
คุณจะได้ยินเสียงจากข้างหลังว่า “ทางที่ถูกอยู่ตรงนี้ เดินทางนี้สิ”—อสย. 30:21
แน่นอนว่าเราไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้าจากฟ้า แต่พระองค์ให้คัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีคำแนะนำของพระองค์กับเรา นอกจากนั้น พลังของพระยะโฮวากระตุ้น “คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ .. .แจกจ่ายอาหาร” ให้ผู้รับใช้ของพระองค์ (ลก. 12:42) เรามีสิ่งที่เสริมความเชื่อมากมาย ทั้งหนังสือและสื่อต่าง ๆ รวมทั้งวีดีโอและไฟล์เสียง ขอให้คำพูดของพระยะโฮวาที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลทำให้เรามั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ และพระองค์จะแก้ไขความเสียหายทุกอย่างที่ซาตานและโลกชั่วของมันทำให้เกิดขึ้นกับเราเหมือนกับสิ่งเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขอให้เราตั้งใจฟังเสียงของพระยะโฮวาจริง ๆ ถ้าเราทำอย่างนั้น เราจะอดทนกับทุกปัญหาที่เจอในตอนนี้รวมทั้งอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นกับเราในอนาคต คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า “พวกคุณต้องอดทนไว้ เพื่อว่าเมื่อพวกคุณทำตามความต้องการของพระเจ้าแล้ว จะได้รับสิ่งที่พระองค์สัญญา”—ฮบ. 10:36 ห19.03 น. 13 ว. 17-18
วันพุธที่ 23 ธันวาคม
พระยะโฮวาก็พูดกับโยชูวา . . . ว่า “โมเสสผู้รับใช้ของเราตายแล้ว ตอนนี้ เจ้าและชาวอิสราเอลทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดน”—ยชว. 1:1, 2
โมเสสเป็นผู้นำชาวอิสราเอลมานานมาก แต่ตอนนี้โยชูวาต้องทำหน้าที่นี้แทน เขาอาจสงสัยก็ได้ว่าชาวอิสราเอลจะยอมรับเขาให้เป็นผู้นำไหม (เฉลยธรรมบัญญัติ 34:8, 10-12) หนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเล่มหนึ่งพูดถึงโยชูวา 1:1, 2 ว่า ไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อนหรือตอนนี้ การเปลี่ยนผู้นำคือหนึ่งในช่วงที่อันตรายที่สุดต่อความมั่นคงของประเทศ โยชูวามีเหตุผลที่จะหนักใจ แต่เขาก็ไว้วางใจพระยะโฮวาและทำตามคำแนะนำของพระองค์ทันที (โยชูวา 1:9-11) พระยะโฮวาอวยพรโยชูวาที่ทำแบบนั้นโดยส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาชี้นำเขากับชาวอิสราเอล ทูตสวรรค์องค์นี้คงต้องเป็นโฆษกของพระยะโฮวาซึ่งก็คือลูกคนโตของพระองค์ (อพยพ 23:20-23; ยอห์น 1:1) พระยะโฮวาช่วยชาวอิสราเอลให้ปรับตัวกับการเปลี่ยนผู้นำคนใหม่ ห18.10 น. 22-23 ว. 1-4
วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม
พระองค์สั่งให้เขียนหนังสือที่บันทึกชื่อคนที่พระองค์จดจำ คือคนที่เกรงกลัวพระยะโฮวา—มลค. 3:16
พระยะโฮวารู้จักคนที่เต็มใจรับใช้พระองค์ พระองค์จดชื่อพวกเขาไว้ใน “หนังสือที่บันทึกชื่อคนที่พระองค์จดจำ” ถ้าเราอยากให้ชื่อของเราอยู่ใน “หนังสือที่บันทึกชื่อคนที่พระองค์จดจำ” เราต้องทำอะไร? มาลาคีบอกว่าเราต้องเกรงกลัวพระยะโฮวาและระลึกถึงชื่อของพระองค์ ถ้าเรานมัสการพระอื่นหรือหรือสิ่งอื่น ชื่อเราจะถูกลบออกจากหนังสือนั้น (อพยพ 32:33; สดุดี 69:28) การสัญญาว่าจะทำตามที่พระยะโฮวาต้องการแล้วก็รับบัพติศมาแค่นั้นยังไม่พอ เราทำสิ่งเหล่านี้แค่ครั้งเดียว แต่การนมัสการคือสิ่งที่เราทำตลอดชีวิต และตราบใดที่เรามีชีวิตอยู่ เราต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำทุกวันว่าเราเชื่อฟังพระยะโฮวา—1 เปโตร 4:1, 2 ห18.07 น. 23-24 ว. 7-9
วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม
ให้เราพยายามก้าวหน้าไปเพื่อจะได้เป็นผู้ใหญ่ เพราะเราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์มาแล้ว—ฮบ. 6:1
การเป็นคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นพยานฯ มานานแล้ว แต่เราต้องออกความพยายามโดยการมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เราต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน (สดุดี 1:1-3) ยิ่งเราอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน เราก็จะยิ่งเข้าใจกฎหมายและหลักการของพระยะโฮวาดีขึ้น กฎหมายที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสเตียนคืออะไร? ก็คือกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรักนั่นเอง พระเยซูบอกสาวกว่า “ทุกคนจะรู้ว่าพวกคุณเป็นสาวกของผม เมื่อพวกคุณรักกัน” (ยอห์น 13:35) ความรักถูกเรียกว่า “กฎหมายที่สูงส่ง” และถ้าเราแสดงความรัก เราก็กำลัง ‘ทำตามกฎหมายของโมเสส’ (ยากอบ 2:8; โรม 13:10) เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมความรักถึงสำคัญมาก เพราะคัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พระเจ้าเป็นความรัก”—1 ยอห์น 4:8 ห18.06 น. 19 ว. 14-15
วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม
พวกเขาทำให้โมเสสโมโห เขาจึงพูดออกมาโดยไม่คิด—สด. 106:33
แม้ชาวอิสราเอลขัดคำสั่งพระยะโฮวา แต่โมเสสกลับเป็นคนที่โมโหซะเอง เขาไม่ได้ควบคุมตัวเองแต่กลับพูดโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมาเลย โมเสสไม่ได้มองพระยะโฮวาหรือพึ่งพระองค์ เขาปล่อยให้การกระทำของคนอื่นมาทำให้ตัวเองไขว้เขว เพราะครั้งแรกที่ชาวอิสราเอลบ่นเรื่องที่ไม่มีน้ำกิน โมเสสก็ยังทำสิ่งที่ถูกต้อง (อพยพ 7:6) แต่อาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยและหงุดหงิดที่ต้องอยู่กับชาวอิสราเอลที่กบฏมาตลอดหลายปี มันเลยทำให้เขาเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของตัวเอง แทนที่จะคิดว่าเขาจะยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาอย่างไร ถ้าผู้พยากรณ์ที่ซื่อสัตย์อย่างโมเสสยังไขว้เขวและทำผิดได้ มันก็อาจเกิดขึ้นกับเราได้ง่ายเหมือนกัน โมเสสเกือบจะได้เข้าแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาไว้อยู่แล้ว เราก็ใกล้จะได้เข้าโลกใหม่อยู่แล้วเหมือนกัน (2 เปโตร 3:13) เราคงไม่อยากเสียโอกาสนั้นแน่ ๆ ดังนั้น เพื่อที่เราจะได้เข้าโลกใหม่ เราต้องมองพระยะโฮวาและเชื่อฟังพระองค์เสมอ—1 ยอห์น 2:17 ห18.07 น. 15 ว. 14-16
วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม
พวกคุณชนะซาตานตัวชั่วร้ายแล้ว—1 ยน. 2:14
ซาตานไม่สามารถบังคับผู้คนให้ทำสิ่งที่เขาไม่อยากทำ (ยากอบ 1:14) หลายคนในโลกทุกวันนี้ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ฝ่ายซาตาน แต่พอเรียนความจริง เขาต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาหรือซาตาน (กิจการ 3:17; 17:30) ถ้าเราตั้งใจเชื่อฟังพระยะโฮวาจริง ๆ ซาตานก็ไม่สามารถทำให้เราเลิกภักดีต่อพระองค์ได้ (โยบ 2:3; 27:5) ยังมีอีกหลายอย่างที่ซาตานและพวกปีศาจทำไม่ได้ ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลไม่เคยบอกว่าพวกมันรู้สิ่งที่อยู่ในใจและในความคิดของเรา มีแต่พระยะโฮวาและพระเยซูเท่านั้นที่ทำได้ (1 ซามูเอล 16:7; มาระโก 2:8) ถ้าเราทำสุดความสามารถที่จะพูดและทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการ เรามั่นใจได้ว่าพระองค์จะไม่ยอมให้ซาตานทำอะไรกับเราที่ทำให้เราไม่ได้ชีวิตตลอดไป (สดุดี 34:7) เราจำเป็นต้องรู้จักศัตรูของเรา แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวมัน ถึงเราจะเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่เรารู้ว่าพระยะโฮวาจะช่วยเราและเราสามารถชนะมันได้แน่นอน ถ้าเราต่อสู้กับมัน มันจะหนีไปจากเรา—ยากอบ 4:7; 1 เปโตร 5:9 ห18.05 น. 26 ว. 15-17
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ให้ฝากเรื่องนั้นไว้กับพระยะโฮวา แล้วแผนการของคุณจะสำเร็จ—สภษ. 16:3
ลองนึกภาพว่าคุณวางแผนจะเข้าร่วมงานสำคัญในจังหวัดหนึ่งที่อยู่ไกลมากและต้องขึ้นรถทัวร์ไป พอไปถึงสถานีรถ คุณรู้สึกสับสนเพราะมีคนเยอะมากและมีรถหลายสาย แต่ดีที่คุณรู้ว่าจะไปที่ไหนและต้องนั่งรถสายอะไร คุณไม่ยอมขึ้นรถสายอื่นเพราะคุณรู้ว่ามันจะพาไปผิดทาง ชีวิตก็เหมือนการเดินทาง และคุณที่เป็นวัยรุ่นก็เป็นเหมือนคนที่อยู่ในสถานีรถ ชีวิตคุณมีเรื่องเยอะแยะมากมายที่ต้องตัดสินใจเลือกจนบางครั้งมันทำให้รู้สึกสับสน แต่ถ้าคุณรู้แน่ ๆ ว่าอยากจะทำอะไรในอนาคต มันก็ง่ายที่จะตัดสินใจอย่างถูกต้อง คุณจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อทำให้พระยะโฮวาพอใจไหม ซึ่งหมายถึงการทำตามคำแนะนำของพระองค์เสมอไม่ว่าจะตัดสินใจเรื่องอะไรในชีวิต เช่น คุณจะเรียนอะไร จะทำงานอะไร จะแต่งงานหรือมีลูกไหม และยังหมายถึงการทำตามเป้าหมายต่าง ๆ ของคริสเตียนที่จะช่วยให้คุณสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น ถ้าคุณให้ความสำคัญกับการรับใช้พระยะโฮวาเสมอ คุณมั่นใจได้ว่าพระองค์จะอวยพรคุณและช่วยให้คุณประสบความสำเร็จ ห18.04 น. 25 ว. 1-3
วันอังคารที่ 29 ธันวาคม
โธ่ลูกรัก ลูกทำให้หัวใจของพ่อแตกสลาย ลูกเป็นคนที่พ่อจะต้องส่งไป—วนฉ. 11:35
เยฟธาห์รักษาสัญญาโดยส่งลูกสาวไปรับใช้ที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตลอดชีวิต (ผู้วินิจฉัย 11:30-35) นี่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสำหรับเยฟธาห์ และมันต้องเป็นเรื่องที่ยากกว่านั้นอีกสำหรับลูกสาวของเขา แต่เธอก็เต็มใจที่จะทำตามที่พ่อสัญญาไว้ (ผู้วินิจฉัย 11:36, 37) นี่หมายความว่าเธอจะไม่ได้แต่งงาน ไม่ได้มีลูก และครอบครัวของเธอก็จะไม่มีผู้สืบสกุลอีกต่อไป ดังนั้นเธอต้องการกำลังใจมาก คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ในอิสราเอลจึงมีธรรมเนียมว่าพวกผู้หญิงสาวชาวอิสราเอลจะไปชมเชยลูกสาวของเยฟธาห์ซึ่งเป็นชาวกิเลอาดทุกปี ปีละ 4 วัน” (ผู้วินิจฉัย 11:39, 40) ตัวอย่างของลูกสาวเยฟธาห์ทำให้เราคิดถึงพี่น้องที่เลือกเป็นโสดเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวามากขึ้น เราจะชมเชยและให้กำลังใจพวกเขาได้ไหม?—1 โครินธ์ 7:32-35 ห18.04 น. 17 ว. 10-11
วันพุธที่ 30 ธันวาคม
พวกทูตสวรรค์ . . . ไม่พอใจกับตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง และได้ทิ้งที่อยู่ที่เหมาะสม—ยด. 6
มีทูตสวรรค์หลายองค์มาอยู่ฝ่ายซาตานที่กบฏต่อพระเจ้า ก่อนที่น้ำจะท่วมโลกซาตานได้ล่อใจทูตสวรรค์บางองค์ให้มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง ในคัมภีร์ไบเบิลมีภาพเปรียบเทียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า พญานาคได้กวาดเอาดวงดาวจากสวรรค์ถึง 1 ใน 3 ให้ลงมาพร้อมกับมัน (ปฐมกาล 6:1-4; วิวรณ์ 12:3, 4) ตอนที่พวกทูตสวรรค์เหล่านั้นทิ้งครอบครัวของพระเจ้าไป พวกมันยอมให้ซาตานควบคุมพวกมัน เราอย่าคิดว่าพวกทูตสวรรค์ที่กบฏเหล่านี้จะอยู่กันอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ ซาตานตั้งรัฐบาลที่มองไม่เห็นขึ้นมาเลียนแบบรัฐบาลของพระเจ้า มันตั้งตัวมันเองให้เป็นกษัตริย์ มันจัดระบบให้พวกปีศาจ กระจายอำนาจให้พวกมัน และให้พวกมันเป็นผู้ปกครองโลก (เอเฟซัส 6:12) ซาตานใช้องค์การของมันเพื่อควบคุมรัฐบาลทั้งหมดของมนุษย์ ห18.05 น. 23 ว. 5-6
วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม
ผมจะสรรเสริญพระยะโฮวาผู้ให้คำแนะนำผม แม้แต่ตอนกลางคืน ส่วนลึกที่สุดของความคิดจิตใจของผมก็ว่ากล่าวแก้ไขผม—สด. 16:7
บางครั้งพระยะโฮวาแสดงความรักกับเราโดยสั่งสอนเรา เหมือนกับพ่อที่รักลูกก็จะสอนลูก ดาวิดรู้สึกขอบคุณที่พระองค์สั่งสอนเขา ดาวิดคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับความคิดของพระยะโฮวา และพยายามคิดให้เหมือนพระองค์ เขาให้ความคิดของพระยะโฮวามีอิทธิพลต่อความคิดเขา ซึ่งหมายถึงเขาให้ความคิดของพระองค์เปลี่ยนตัวเขาให้เป็นคนดีขึ้น ถ้าคุณทำแบบดาวิด คุณจะรักพระเจ้ามากขึ้นและสนใจมากขึ้นที่จะทำให้พระองค์พอใจ แล้วมันก็จะทำให้คุณกลายเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ชื่อคริสตินบอกว่า “ตอนที่ค้นคว้าและคิดใคร่ครวญเรื่องที่อ่าน ฉันรู้สึกว่าพระยะโฮวาเขียนเรื่องนี้เพื่อฉันจริง ๆ” ถ้าคุณคิดแบบพระยะโฮวา คุณจะมองโลกและอนาคตของโลกเหมือนที่พระองค์มอง พระองค์ให้คุณมีความรู้และความเข้าใจที่พิเศษจริง ๆ ทำไมพระองค์ถึงให้ความรู้และความเข้าใจแบบนั้นกับคุณ? เพราะพระองค์อยากให้คุณรู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต อยากให้คุณตัดสินใจอย่างถูกต้อง และอยากให้คุณมองอนาคตอย่างมั่นใจและไม่ต้องกลัวอะไร—อิสยาห์ 26:3 ห18.12 น. 26 ว. 9-10