พฤศจิกายน
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน
คนที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตตลอดไป—ยน. 6:58
เมื่อรับใช้พระยะโฮวา เรามีความหวังว่าในที่สุดเราจะได้ทุกสิ่งที่อาดัมกับเอวาสูญเสียไปกลับคืนมาซึ่งรวมทั้งโอกาสจะมีชีวิตตลอดไป อาดัมกับเอวาเลือกที่จะไม่รับใช้พระยะโฮวาเพราะพวกเขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะรักพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้เป็นอย่างนั้น พระองค์ก็ให้โอกาสพวกเขามีอายุนานพอที่จะมีลูกและตัดสินใจเองว่าจะเลี้ยงดูลูกอย่างไร เราเห็นผลจากการที่อาดัมกับเอวาตัดสินใจไม่พึ่งพระยะโฮวา มันเป็นการตัดสินใจที่โง่จริง ๆ ลูกชายคนโตของพวกเขาฆ่าน้องชายที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ต่อมา ครอบครัวของมนุษย์มีแต่ความรุนแรงและเห็นแก่ตัว (ปฐก. 4:8; 6:11-13) แต่พระยะโฮวาเตรียมทางหนึ่งไว้เพื่อช่วยลูกหลานทุกคนของอาดัมกับเอวาที่อยากรับใช้พระองค์ (ยน. 6:38-40, 57) เมื่อคุณได้เรียนมากขึ้นว่าพระยะโฮวารักและอดทนขนาดไหน คุณก็จะรักพระองค์มากขึ้นและไม่อยากทำตามอาดัมกับเอวา แต่จะอุทิศชีวิตของคุณให้พระองค์ ห19.03 น. 2 ว. 3; น. 4 ว. 9
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน
ให้พวกคุณ . . . เห็นอกเห็นใจกัน—1 ปต. 3:8
เราจะเป็นคนเห็นอกเห็นใจได้โดยพยายามเข้าใจว่าคนในครอบครัวหรือพี่น้องกำลังเจอปัญหาอะไร พยายามสนใจและเป็นห่วงพี่น้องในประชาคม เช่น วัยรุ่น คนป่วย พี่น้องสูงอายุ และคนที่สูญเสียคนที่รัก ให้ถามพวกเขาว่าเป็นอย่างไรแล้วตั้งใจฟังจริง ๆ เมื่อพวกเขาเล่าความรู้สึก คุณควรพยายามให้พวกเขารู้ว่าคุณเข้าใจว่าพวกเขากำลังเจออะไร และเสนอจะช่วยเท่าที่คุณทำได้ เมื่อทำแบบนี้ คุณกำลังแสดงว่าคุณรักพี่น้องด้วยการกระทำ (1 ยน. 3:18) แต่เราต้องรู้จักปรับตัวและยืดหยุ่นเมื่อพยายามช่วยคนอื่น ทำไม? เพราะแต่ละคนมีวิธีรับมือกับปัญหาไม่เหมือนกัน บางคนชอบระบาย แต่บางคนไม่อยากเล่าให้ใครฟัง ดังนั้น เมื่อเราอยากจะช่วยพวกเขา เราต้องระวังไม่ถามเรื่องส่วนตัวมากเกินไป (1 ธส. 4:11) ถึงบางคนยอมระบายความรู้สึกให้เราฟังและเราอาจไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาคิด แต่เราก็ต้องยอมรับว่านี่คือความรู้สึกของเขา เราต้องไวในการฟังและช้าในการพูด—มธ. 7:1; ยก. 1:19 ห19.03 น. 19 ว. 18-19
วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน
ผมตกใจมาก—นหม. 2:2
คุณกลัวเมื่อต้องพูดเรื่องความจริงต่อหน้าคนอื่นไหม? ลองนึกถึงเนหะมีย์ เขารับใช้ในวังของกษัตริย์องค์หนึ่งที่มีอำนาจมาก เนหะมีย์รู้สึกเศร้าเพราะได้ยินว่ากำแพงและประตูต่าง ๆ ของกรุงเยรูซาเล็มยังคงพังอยู่ (นหม. 1:1-4) คิดดูสิ ตอนที่กษัตริย์บอกให้เนหะมีย์เล่ามาว่าทำไมเขาถึงดูเศร้า เขาจะรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนขนาดไหน ตอนนั้นเขารีบอธิษฐานทันทีและตอบกษัตริย์ คำตอบของเขาทำให้กษัตริย์ทำหลายอย่างเพื่อช่วยประชาชนของพระเจ้า (นหม. 2:1-8) นอกจากนั้น ลองคิดถึงโยนาห์ตอนที่พระเจ้าสั่งให้เขาไปประกาศกับชาวเมืองนีนะเวห์ เขากลัวมากจนหนีไปทางตรงกันข้าม (ยนา. 1:1-3) แต่ในที่สุดพระยะโฮวาก็ช่วยเขาให้ทำงานมอบหมายจนสำเร็จ และสิ่งที่โยนาห์พูดก็ช่วยชีวิตชาวนีนะเวห์ได้มาก (ยนา. 3:5-10) เราได้เรียนอะไรจากตัวอย่างของ 2 คนนี้? ตัวอย่างของเนหะมีย์สอนเราว่า เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะอธิษฐานก่อนตอบ ส่วนตัวอย่างของโยนาห์สอนเราว่า ไม่ว่าเราจะรู้สึกกลัวมากแค่ไหน พระยะโฮวาจะช่วยให้เรารับใช้พระองค์และทำได้สำเร็จแน่นอน ห19.01 น. 11 ว. 12
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน
ทุกคนที่ยอมสละบ้าน หรือ [ครอบครัว] เพื่อติดตามผมและเพื่อข่าวดี เขาจะได้คืนอีก 100 เท่าในยุคนี้ . . . และในยุคหน้าจะได้ชีวิตตลอดไป—มก. 10:29, 30
เมื่อเราเริ่มทำตามสิ่งที่เรียนจากคัมภีร์ไบเบิล เราอาจไม่สนิทกับเพื่อนหรือคนในครอบครัวเหมือนเมื่อก่อน พระเยซูช่วยเราให้เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นตอนที่ท่านอธิษฐานเกี่ยวกับสาวกว่า “ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริง ขอให้ความจริงนี้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์” (ยอห์น 17:17; เชิงอรรถ) การ ‘ทำให้บริสุทธิ์’ หมายถึงการ ‘แยก’ ตอนที่เราเริ่มใช้ชีวิตตามความจริง เราแยกต่างหากจากโลกเพราะเราทำตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล แม้เราจะพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและญาติ ๆ เอาไว้ แต่บางคนก็อาจไม่ชอบเราเหมือนเมื่อก่อนและถึงกับต่อต้านความเชื่อของเราด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพระเยซูบอกว่า “ที่จริง คนในครอบครัวเดียวกันจะเป็นศัตรูกัน” (มัทธิว 10:36) แต่พระเยซูก็สัญญาด้วยว่าไม่ว่าเราจะเสียสละขนาดไหนเพื่อความจริง แต่เราจะได้กลับมามากกว่านั้นเยอะ ห18.11 น. 6 ว. 11
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน
พี่น้องในทุกประชาคมที่เป็นคนต่างชาติรู้สึกขอบคุณเขาทั้งสองมาก—รม. 16:4
อัครสาวกเปาโลเห็นค่าพี่น้องของเขาและแสดงออกโดยวิธีที่เขาพูดถึงพี่น้องเหล่านั้น เขาอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าเสมอที่มีพี่น้องเหล่านั้น และเปาโลยังแสดงว่าเห็นค่าโดยทำให้พี่น้องรู้ว่าพวกเขาสำคัญขนาดไหนสำหรับเปาโล เราเห็นเรื่องนี้ได้จากสิ่งที่เปาโลเขียนในโรมบท 16 ข้อ 1-15 เปาโลพูดถึงชื่อพี่น้องคริสเตียนถึง 27 คน เขาพูดถึงปริสคากับอะควิลลาโดยเฉพาะ เพราะสองคนนี้ “เสี่ยงชีวิต” เพื่อเขา และเปาโลยังบอกด้วยว่าเฟบี “ช่วยพี่น้องหลายคน” รวมทั้งเปาโลด้วย เขาชมพี่น้องที่รักเหล่านั้นซึ่งทำงานหนักจริง ๆ (รม. 16:1-15) เปาโลรู้ดีว่าพี่น้องของเขาเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่ตอนท้ายของจดหมายที่เปาโลเขียนถึงพี่น้องในโรม เขาเลือกที่จะมองแต่สิ่งดี ๆ ของพี่น้อง ลองนึกดูว่าพี่น้องเหล่านั้นจะได้กำลังใจขนาดไหนที่ได้ยินคำพูดของเปาโลตอนที่มีการอ่านจดหมายในประชาคม นี่คงทำให้พวกเขารู้สึกสนิทกับเปาโลมากขึ้นแน่ ๆ คุณเห็นค่าและแสดงความขอบคุณสำหรับสิ่งดี ๆ ที่พี่น้องในประชาคมของคุณพูดและทำไหม? ห19.02 น. 16 ว. 8-9
วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน
ผมจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจนวันตาย!—โยบ 27:5
เราต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบก่อนไหมถึงจะซื่อสัตย์ต่อพระองค์ได้? เราอาจรู้สึกว่าตัวเองมีข้อบกพร่องและทำผิดบ่อย ๆ แต่พระยะโฮวาไม่ได้มองที่ข้อบกพร่องของเรา คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “โอ้ยาห์ พระยะโฮวา ถ้าพระองค์คอยจับผิดใครจะทนได้?” (สด. 130:3) พระองค์รู้ว่าเราไม่สมบูรณ์แบบ เป็นมนุษย์ผิดบาป และพระองค์ให้อภัยเราอย่างใจกว้าง (สด. 86:5) พระยะโฮวารู้ว่าเรามีขีดจำกัดด้วย พระองค์ไม่คาดหมายมากกว่าที่เราทำได้ (สด. 103:12-14) สำหรับผู้รับใช้ของพระยะโฮวา สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ก็คือความรัก ความรักและความเลื่อมใสต่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราต้องดีเยี่ยม ครบถ้วน และไม่มีที่ติ ถ้าความรักของเราเป็นแบบนั้นเสมอแม้เรากำลังถูกทดสอบ เราก็ยังคงรักษาความซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไปได้ (1 พศ. 28:9; มธ. 22:37) เรารู้ว่าพระยะโฮวามีมาตรฐานที่ถูกต้อง เราสนใจแต่การทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ภูมิใจและมีความสุข ความรักที่มีต่อพระองค์ทำให้เราคิดถึงพระองค์เสมอไม่ว่าจะตัดสินใจเรื่องอะไร และพิสูจน์ให้เห็นว่าเราซื่อสัตย์จริง ๆ ห19.02 น. 3 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน
ปกป้องหัวใจของลูก—สภษ. 4:23
ทุกครั้งที่เราเห็นประโยชน์ของการทำสิ่งที่ถูกต้อง ความเชื่อของเราก็จะเข้มแข็งขึ้น (ยก. 1:2, 3) เรารู้สึกดีใจเพราะทำให้พระยะโฮวาภูมิใจที่ได้เรียกเราว่าลูกของพระองค์ และความต้องการที่จะทำให้พระองค์พอใจก็จะเพิ่มมากขึ้น (สภษ. 27:11) การทดสอบแต่ละครั้งเป็นโอกาสที่จะแสดงว่าเราไม่ได้รับใช้พระยะโฮวาแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ (สด. 119:113) เราพิสูจน์ว่ารักพระองค์หมดทั้งหัวใจโดยเต็มใจเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์และทำตามทุกสิ่งที่พระองค์ต้องการ (1 พก. 8:61) เราอาจทำผิดพลาดได้ไหม? ได้ เพราะเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าเราทำผิดพลาด ขอให้คิดถึงตัวอย่างของกษัตริย์เฮเซคียาห์ เขาทำผิดพลาด แต่ก็กลับใจและรับใช้พระองค์ต่อ ๆ ไป “อย่างสุดหัวใจ” (อสย. 38:3-6; 2 พศ. 29:1, 2; 32:25, 26) อย่ายอมให้ซาตานใส่เชื้อความคิดที่ไม่ดีของมันในหัวใจเรา ให้อธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยให้เรา “เต็มใจเชื่อฟัง” และรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระองค์ต่อไป—1 พก. 3:9; สด. 139:23, 24 ห19.01 น. 18-19 ว. 17-18
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน
และให้เราถวายเครื่องบูชา . . . เสมอซึ่งก็คือคำสรรเสริญพระเจ้า เป็นคำพูดที่ออกจากปากเราซึ่งประกาศชื่อของพระองค์อย่างเปิดเผย—ฮบ. 13:15
ถ้าเราตอบที่การประชุมต่าง ๆ เราจะได้ประโยชน์ (อสย. 48:17) ได้ประโยชน์อย่างไร? อย่างแรก ถ้าเราวางแผนจะตอบในการประชุม เราก็ต้องเตรียมการประชุมอย่างดี และเมื่อเราเตรียมอย่างดี เราจะเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น และยิ่งเราเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น เราก็จะเอาไปใช้ได้ดีขึ้น อย่างที่ 2 การออกความเห็นทำให้เรามีความสุขและสนุกกับการประชุมมากขึ้นเพราะเราได้มีส่วนร่วม และอย่างที่ 3 เนื่องจากการออกความเห็นต้องใช้ความพยายามหลายอย่าง เลยทำให้เราจำคำตอบของเราได้นานหลังการประชุมจบไปแล้ว เราทำให้พระยะโฮวาพอใจด้วยเมื่อเราแสดงความเชื่อ เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาฟังและเห็นค่าที่เราพยายามออกความเห็นในการประชุม (มลค. 3:16) และพระองค์จะอวยพรเรามากมายที่เราพยายามเต็มที่ในการทำให้พระองค์พอใจ (มลค. 3:10) เห็นได้ชัดว่าเรามีเหตุผลที่ดีหลายอย่างที่จะออกความเห็นในการประชุม ห19.01 น. 8 ว. 3; น. 10 ว. 7-9
วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน
ให้เกลียดสิ่งที่ชั่ว และยึดมั่นกับสิ่งที่ดี—รม. 12:9
พระยะโฮวาฉลาดมาก พระองค์รู้ว่าต้องดูแลเราอย่างไร แทนที่พระองค์จะให้กฎหมายเยอะแยะมากมาย พระองค์อดทนสอนเราให้เชื่อฟังกฎหมายเกี่ยวกับความรัก พระองค์สอนเราให้ใช้หลักการต่าง ๆ และเกลียดสิ่งที่ชั่ว ในคำบรรยายบนภูเขา พระเยซูลูกชายของพระองค์ช่วยเราให้เข้าใจว่าทำไมคนถึงทำชั่ว (มัทธิว 5:27, 28) และในโลกใหม่ พระเยซูที่เป็นกษัตริย์ของรัฐบาลพระเจ้าจะสอนเราต่อไป ท่านจะสอนเราให้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดและคิดเหมือนท่าน (ฮีบรู 1:9) หลังจากนั้นพระเยซูจะทำให้เราสมบูรณ์แบบทั้งร่างกายและจิตใจ ลองนึกภาพว่าคุณเองจะเป็นอย่างไรถ้าไม่ต้องถูกล่อใจให้ทำชั่ว และไม่ต้องมีความทุกข์หรือเจอกับปัญหาเพราะเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ ในที่สุดเราก็จะ “มีเสรีภาพที่งดงาม” เหมือนที่พระยะโฮวาสัญญาไว้ (โรม 8:21) ในโลกใหม่เราจะมีอิสระ เราจะมีอิสระจริง ๆ ได้ก็ต่อเมื่อเราเลียนแบบพระยะโฮวา—1 ยอห์น 4:7, 8 ห18.12 น. 23 ว. 19-20
วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน
เขาจะต้องทำหนังสือหย่าให้เธอ แล้วให้เธอออกจากบ้านเขาไป—ฉธบ. 24:1
ผู้ชายอิสราเอลหย่ากับภรรยาได้ถ้า “เธอทำอะไรบางอย่างที่ไม่เหมาะสม” (เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1) ถึงกฎหมายของโมเสสไม่ได้อธิบายว่า “บางอย่างที่ไม่เหมาะสม” คืออะไร แต่นั่นต้องเป็นเรื่องที่น่าอายหรือร้ายแรงมาก ไม่ใช่เป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ (เฉลยธรรมบัญญัติ 23:14) ในสมัยของพระเยซู ชาวยิวหลายคนหย่าภรรยาของเขา “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม” พวกเขาหาเหตุผลสารพัดเพื่อจะหย่า (มัทธิว 19:3) เราไม่อยากมีความคิดแบบนั้นแน่ ๆ ในสมัยผู้พยากรณ์มาลาคี เป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะหย่าภรรยาแล้วแต่งงานใหม่กับผู้หญิงสาว ๆ ที่ไม่รับใช้พระยะโฮวา แต่พระองค์บอกชัดเจนว่าคิดอย่างไรเรื่องการหย่า พระองค์บอกว่า “เราเกลียดการหย่าร้าง” (มาลาคี 2:14-16) พระองค์บอกไว้ตั้งแต่แรกว่า ผู้ชายจะ “ผูกพันใกล้ชิดกับภรรยา แล้วทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียว” และความคิดของพระองค์ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย (ปฐมกาล 2:24) พระเยซูสนับสนุนความคิดพ่อของท่านในเรื่องนี้เมื่อท่านพูดว่า “สิ่งที่พระเจ้าผูกไว้คู่กันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย”—มัทธิว 19:6 ห18.12 น. 11 ว. 7-8
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน
งานเกี่ยวเป็นงานใหญ่จริง ๆ แต่ยังมีคนงานน้อยอยู่—มธ. 9:37
พี่น้องบางคนอาจย้ายไปที่อื่นได้ พวกเขาคิดเหมือนผู้พยากรณ์อิสยาห์ ตอนที่พระยะโฮวาถามว่า “เราจะส่งใครไปดี? ใครจะไปแทนเรา?” อิสยาห์ตอบว่า “ผมเองครับ ส่งผมไปเถอะ” (อิสยาห์ 6:8) คุณจะช่วยองค์การของพระยะโฮวาได้ไหม? คุณอยากช่วยองค์การของพระองค์ไหม? พระเยซูพูดถึงงานประกาศและงานสอนคนให้เป็นสาวกว่า “ดังนั้น ให้ช่วยกันขอเจ้าของนาให้ส่งคนไปมากขึ้นเพื่อทำงานเกี่ยวของพระองค์” (มัทธิว 9:38) คุณจะเป็นไพโอเนียร์ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศได้ไหม? หรือคุณจะช่วยคนอื่นให้ทำแบบนั้นได้ไหม? พี่น้องหลายคนรู้สึกว่าวิธีที่ดีที่สุดที่แสดงว่าเรารักพระยะโฮวาและรักคนอื่นคือการเป็นไพโอเนียร์ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศ คุณคิดถึงวิธีอื่นอีกไหมที่คุณจะทำงานรับใช้ได้มากขึ้น? ถ้าคุณทำมากขึ้นคุณจะมีความสุขมาก ห18.08 น. 27 ว. 14-15
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน
อย่าใช้ชีวิตแบบคนรักเงิน แต่ให้พอใจในสิ่งที่มีอยู่—ฮบ. 13:5
การเกิดของพระเยซู ทำให้เห็นชัดเจนว่าพระยะโฮวาคิดอย่างไรกับทรัพย์สมบัติ พระองค์เลือกโยเซฟและมารีย์ให้เลี้ยงดูพระเยซู แม้พวกเขาไม่ใช่คนรวย (เลวีนิติ 12:8; ลูกา 2:24) ตอนที่พระเยซูเกิด มารีย์ “เอาผ้าพันทารกไว้แล้วให้นอนในรางหญ้า เพราะตอนนั้นไม่มีห้องพักเหลือให้พวกเขาเข้าพักได้” (ลูกา 2:7) ถ้าพระยะโฮวาอยากให้พระเยซูเกิดในที่ที่ดีกว่านี้ก็ทำได้แน่นอน แต่พระองค์อยากให้พระเยซูเติบโตมาในครอบครัวที่ให้การนมัสการพระองค์สำคัญที่สุด นี่คือสิ่งสำคัญมากสำหรับพระยะโฮวา เรื่องราวตอนพระเยซูเกิดสอนเราว่า พระยะโฮวามองทรัพย์สมบัติอย่างไร พ่อแม่บางคนอยากให้ลูกได้สิ่งที่พวกเขาคิดว่าดีที่สุดถึงแม้มันจะมีผลเสียต่อสายสัมพันธ์ของลูกกับพระยะโฮวา แต่เราเห็นชัดเจนว่าพระองค์ถือว่าความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด คุณเองคิดเหมือนพระยะโฮวาในเรื่องนี้ไหม? สิ่งที่คุณทำจะบอกว่าคุณคิดอย่างไร ห18.11 น. 24 ว. 7-8
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน
ประชาชนที่มีพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าก็มีความสุข—สด. 144:15
อพระยะโฮวาเป็นแหล่งที่มาของความสุข พระองค์เลยอยากให้เรามีความสุข พระองค์ให้เรามีเหตุผลหลายอย่างที่จะมีความสุขด้วย (เฉลยธรรมบัญญัติ 12:7; ปัญญาจารย์ 3:12, 13) แต่ทำไมการมีความสุขในโลกทุกวันนี้ถึงเป็นเรื่องยาก? เราหาความสุขได้ยากเพราะมีเรื่องเครียดหลายอย่างในชีวิต เช่น คนที่เรารักอาจตายไปหรือถูกตัดสัมพันธ์ ชีวิตแต่งงานของเราอาจต้องจบลงเพราะหย่า เราอาจตกงาน มีปัญหาครอบครัวเพราะทะเลาะกันตลอด ถูกเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนนักเรียนเยาะเย้ย ถูกข่มเหงหรือติดคุกเพราะรับใช้พระยะโฮวา สุขภาพแย่ลง ป่วยเรื้อรัง หรือเป็นโรคซึมเศร้า ถึงแม้เราอาจจะต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ แต่จำไว้พระเยซูซึ่งเป็น “ท่านผู้มีความสุขและเป็นผู้เดียวที่ได้ชื่อว่าผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่” ชอบให้กำลังใจผู้คนและทำให้พวกเขามีความสุข (1 ทิโมธี 6:15; มัทธิว 11:28-30) ในคำบรรยายบนภูเขา พระเยซูพูดถึงลักษณะบางอย่างของคนที่มีความสุข และถ้าเราเป็นแบบนั้นเราก็จะมีความสุขแม้มีปัญหาในโลกของซาตาน ห18.09 น. 17 ว. 1-3
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน
อย่าเชือดเนื้อตัวเอง หรือโกนคิ้วเพื่อคนตาย—ฉธบ. 14:1
หนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดเมื่อมาเรียนความจริงก็คือ การเลิกยุ่งกับธรรมเนียมและประเพณีที่พระยะโฮวาไม่ชอบ (สภษ. 23:23) แม้หลังจากที่บางคนได้รู้ว่าพระยะโฮวารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็ยังรู้สึกว่ายากที่จะเลิก พวกเขากลัวว่าครอบครัว คนในที่ทำงาน หรือเพื่อน ๆ จะคิดอย่างไร พวกเขารู้ว่าสำหรับคนทั่วไปแล้วธรรมเนียมบางอย่างเป็นเรื่องสำคัญมาก เช่น การให้เกียรติญาติที่ตายแล้ว ดังนั้น อะไรช่วยเราให้เปลี่ยนได้? เราสามารถเรียนจากตัวอย่างที่ดีของผู้คนในคัมภีร์ไบเบิลที่เปลี่ยนตัวเองได้เมื่อพวกเขาเรียนความจริง หลายคนในเมืองเอเฟซัสต้องทำอะไรเพื่อมาเป็นคริสเตียน? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “[พวกเขา] ก็เอาม้วนหนังสือของเขามากองรวมกันแล้วเผาต่อหน้าทุกคน พวกเขาคำนวณราคาม้วนหนังสือทั้งหมดนั้นรวมแล้วเป็นเงินถึง 50,000 เหรียญ” (กิจการ 19:19, 20) คริสเตียนที่ซื่อสัตย์เหล่านั้นเต็มใจทำลายหนังสือแพง ๆ และพระยะโฮวาก็อวยพรพวกเขา ห18.11 น. 7 ว. 15-16
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน
เมื่อทั้งชาติทำสุหนัตเสร็จแล้ว พวกเขาก็พักอยู่ในค่ายจนหายเป็นปกติ—ยชว. 5:8
ไม่นานหลังจากข้ามแม่น้ำจอร์แดน โยชูวาก็เจอผู้ชายคนหนึ่งยืนถือดาบอยู่ เขาแปลกใจที่คนนั้นบอกว่าเป็น “นายทัพของพระยะโฮวา” ซึ่งก็คือทูตสวรรค์ที่พร้อมปกป้องผู้รับใช้ของพระองค์ (โยชูวา 5:13-15) โยชูวาได้รับคำแนะนำที่ชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรเพื่อจะพิชิตเมืองเยรีโคได้ ตอนแรกคำแนะนำนั้นอาจดูเหมือนเป็นกลยุทธ์ที่ไม่น่าจะได้ผล เช่น ทูตสวรรค์บอกให้โยชูวาทำสุหนัตให้ทหารทุกคน การทำแบบนี้ทำให้ทหารไปรบไม่ได้หลายวัน (ปฐมกาล 34:24, 25; โยชูวา 5:2) ทหารอิสราเอลเหล่านั้นอาจสงสัยว่า ‘ถ้าเกิดศัตรูมาโจมตี เราจะปกป้องครอบครัวของเราได้ยังไง?’ แต่แล้วก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น! ชาวเยรีโคกลัวชาวอิสราเอลจนไม่กล้าออกมาสู้ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ประตูเมืองเยรีโคถูกปิดอย่างแน่นหนาเพราะพวกอิสราเอล ไม่มีใครเข้าออกได้เลย” (โยชูวา 6:1) เรื่องนี้ต้องทำให้ชาวอิสราเอลไว้วางใจการชี้นำของพระยะโฮวามากขึ้นแน่ ๆ ห18.10 น. 23 ว. 5-7
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน
พวกคุณทำอย่างนี้ทำไม? เราสองคนเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนพวกคุณนั่นแหละ—กจ. 14:15
เราเลียนแบบเปาโลในเรื่องความถ่อมได้ วิธีหนึ่งก็คือ เราไม่ควรรู้สึกว่างานประกาศที่พระยะโฮวามอบหมายให้เราทำหรือการที่พระองค์ช่วยเราให้ทำงานสำเร็จจะทำให้เราวิเศษกว่าคนอื่น เราควรถามตัวเองว่า ‘ฉันรู้สึกยังไงกับคนในเขตประกาศ? ฉันมีอคติกับคนบางกลุ่มไหม?’ พยานพระยะโฮวาทั่วโลกพยายามหาคนที่ฟังข่าวดี พี่น้องบางคนถึงกับพยายามเรียนภาษาและวัฒนธรรมของคนที่ใคร ๆ ก็มองว่าต่ำกว่า พวกเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น แต่พยายามเข้าใจแต่ละคนที่เจอเพื่อจะช่วยคนเหล่านั้นให้มาเรียนเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ห18.09 น. 5 ว. 9, 11
วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน
ยูดาสชาวกาลิลีได้ตั้งตัวขึ้นเป็นผู้นำ . . . เขาชักจูงคนให้ติดตามเขาไป—กจ. 5:37
ในที่สุดยูดาสก็ถูกพวกโรมันฆ่าตาย ชาวยิวส่วนใหญ่ยังรอเมสสิยาห์อย่างใจจดใจจ่อเพราะคิดว่าท่านจะมาปลดปล่อยพวกเขาจากการอยู่ใต้อำนาจของโรมัน และทำให้ชาติอิสราเอลกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (ลูกา 2:38; 3:15) หลายคนเชื่อว่าเมสสิยาห์จะมาตั้งรัฐบาลบนโลกนี้ที่อิสราเอล แล้วชาวยิวทั่วโลกก็จะเดินทางกลับมาอยู่ที่นั่น แม้แต่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็เคยถามพระเยซูว่า “ท่านคือคนที่เรารอคอยอยู่ใช่ไหมครับ หรือเรายังต้องรอคนอื่น?” (มัทธิว 11:2, 3) ยอห์นอาจสงสัยว่าจะมีอีกคนหนึ่งมาปลดปล่อยชาวยิวให้เป็นอิสระหรือเปล่า ต่อมา ตอนที่สาวก 2 คนกำลังเดินทางไปเอมมาอูส พวกเขาได้พบกับพระเยซูหลังจากที่ท่านฟื้นขึ้นจากตาย พวกเขาบอกว่าพวกเขาก็เคยหวังว่าพระเยซูจะมาปลดปล่อยคนอิสราเอลให้เป็นอิสระ (ลูกา 24:21) หลังจากนั้นไม่นาน พวกอัครสาวกก็ถามพระเยซูเหมือนกันว่า “นายครับ ท่านจะกู้เอกราชให้อาณาจักรอิสราเอลตอนนี้เลยไหม?”—กิจการ 1:6 ห18.06 น. 4 ว. 3-4
วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน
คนขาดประสบการณ์เชื่อคำพูดทุกคำ—สภษ. 14:15
เราต้องระวังเป็นพิเศษเมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวา จำไว้ว่าซาตานถูกเรียกว่า “ผู้ที่กล่าวหาพวกพี่น้องของเรา” (วิวรณ์ 12:10) พระเยซูเตือนว่าคนที่ต่อต้านจะ “ใส่ร้าย” เรา (มัทธิว 5:11) ถ้าเราเชื่อคำพูดนี้ของพระเยซูจริง ๆ เราจะไม่ตกใจที่ได้ยินเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับพยานฯ คุณชอบส่งอีเมลหรือข้อความทางมือถือให้เพื่อน ๆ ไหม? ตอนที่คุณได้ยินเรื่องน่าสนใจในข่าวหรือได้ยินประสบการณ์เรื่องหนึ่ง คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนนักข่าวที่ต้องแชร์ข่าวเป็นคนแรกไหม? ก่อนจะส่งอีเมลหรือข้อความทางมือถือ ให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันแน่ใจไหมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง? ฉันมีข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้จริง ๆ ไหม?’ ถ้าคุณไม่แน่ใจ คุณก็อาจกำลังกระจายเรื่องโกหก ดังนั้น ถ้าคุณไม่รู้ว่าเรื่องที่ได้ยินมามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า อย่าส่งต่อเรื่องนั้นให้คนอื่น ลบทิ้งไปเลย! ห18.08 น. 3 ว. 3; น. 4 ว. 6-7
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน
ให้มีนิสัยชอบแบ่งปัน แล้วคนอื่นจะแบ่งปันให้คุณ—ลก. 6:38
พระเยซูอยากให้เราเป็นคนใจกว้างเพราะมันทำให้เรามีความสุข เมื่อเราใจกว้าง หลายคนก็จะใจกว้างด้วย ถึงไม่ใช่ทุกคนจะเห็นค่า แต่ขอให้คุณพยายามมีน้ำใจและใจกว้างต่อไป คุณไม่มีทางรู้ว่าการเป็นคนใจกว้างแค่ครั้งเดียวจะส่งผลดีขนาดไหน คนที่เป็นคนใจกว้างจริง ๆ จะไม่ทำเพราะหวังสิ่งตอบแทน พระเยซูบอกว่า “เมื่อคุณจัดงานเลี้ยง ให้เชิญคนจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด แล้วคุณจะมีความสุขเพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะตอบแทน” (ลูกา 14:13, 14) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ใคร ๆ ก็อวยพรคนที่โอบอ้อมอารี” และยังบอกอีกว่า “คนที่เห็นใจคนต่ำต้อยก็มีความสุข” (สุภาษิต 22:9; สดุดี 41:1) เราควรใจกว้างเพราะใจเราอยากช่วยคนอื่นจริง ๆ ห18.08 น. 21-22 ว. 15-16
วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน
ขอให้วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ และอย่าพึ่งความเข้าใจของตัวเอง คิดถึงพระองค์เสมอไม่ว่าจะทำอะไร แล้วพระองค์จะทำให้ชีวิตราบรื่น—สภษ. 3:5, 6
ทุกวันนี้เป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะได้ข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้และวิเคราะห์อย่างถูกต้อง เพราะอะไร? เพราะข้อมูลส่วนใหญ่ไม่ครบถ้วน หรืออาจจริงบ้างไม่จริงบ้าง แถมเราเองก็เป็นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ แล้วอะไรจะช่วยเราได้? สิ่งที่ช่วยได้คือหลักการในคัมภีร์ไบเบิล ตัวอย่างเช่น หลักการหนึ่งบอกว่าถ้าเราตอบก่อนได้ยินข้อเท็จจริงทั้งหมด เราก็ทำอะไรโง่ ๆ (สุภาษิต 18:13) อีกหลักการหนึ่งบอกว่าเราไม่ควรเชื่อทุกอย่างที่ได้ยินโดยไม่เช็กก่อนว่าจริงหรือไม่ (สุภาษิต 14:15) ส่วนอีกหลักการหนึ่งบอกว่าไม่ว่าเราจะรับใช้พระยะโฮวามานานแค่ไหน เราไม่สามารถพึ่งความเข้าใจของเราเองได้ หลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลจะป้องกันเราโดยช่วยให้เราวิเคราะห์ข้อมูลเป็น ช่วยให้เราได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง และตัดสินใจอย่างฉลาด ห18.08 น. 7 ว. 19
วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน
แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ให้กำเนิดเราด้วยพลังของพระองค์ล่ะ เราน่าจะเชื่อฟังยิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่?—ฮบ. 12:9
เราขอบคุณพระยะโฮวาโดยอุทิศตัวและรับบัพติศมา การทำอย่างนี้ทำให้ทุกคนเห็นว่าเราเป็นคนของพระองค์และเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ พระเยซูก็ทำแบบนั้นเหมือนกันตอนที่ท่านรับบัพติศมา แต่ท่านก็อุทิศตัวเองให้กับพระยะโฮวา มันเหมือนกับท่านกำลังบอกว่า “พระเจ้าของผม ผมอยากทำตามความประสงค์ของพระองค์” (สดุดี 40:7, 8, เชิงอรรถ) พระยะโฮวารู้สึกอย่างไรที่พระเยซูรับบัพติศมา? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เมื่อรับบัพติศมาแล้ว พระเยซูก็ขึ้นจากน้ำทันที และตอนนั้นเองท้องฟ้าก็เปิดออก และยอห์นเห็นพลังของพระเจ้ารูปร่างเหมือนนกเขาลงมาบนพระเยซู แล้วมีเสียงจากฟ้าว่า ‘นี่คือลูกรักของเรา เราพอใจในตัวเขามาก’” (มัทธิว 3:16, 17) พระเยซูเป็นคนของพระยะโฮวาอยู่แล้ว แต่พระองค์ดีใจมากที่เห็นพระเยซูเต็มใจใช้ชีวิตเพื่อรับใช้พระองค์ผู้เดียว พระองค์ดีใจด้วยเมื่อเราอุทิศชีวิตให้พระองค์ และพระองค์จะอวยพรเรา—สดุดี 149:4 ห18.07 น. 23 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน
อยากให้พวกเราเอาน้ำออกจากหินนี้มากใช่ไหม?—กดว. 20:10
การที่โมเสสใช้คำว่า “พวกเรา” เขาอาจหมายถึงตัวเขากับอาโรน สิ่งที่โมเสสทำไม่ได้ให้เกียรติพระยะโฮวาเพราะว่าทุกคนควรรู้ว่าการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นมาจากพระองค์ สดุดี 106:32, 33 บอกว่า “พวกเขายั่วให้พระองค์โมโหที่น้ำเมรีบาห์ โมเสสจึงเดือดร้อนเพราะพวกเขา พวกเขาทำให้โมเสสโมโห เขาจึงพูดออกมาโดยไม่คิด” (กันดารวิถี 27:14) โมเสสไม่ได้ให้เกียรติพระยะโฮวาอย่างที่พระองค์สมควรได้รับ พระองค์บอกโมเสสกับอาโรนว่า “เจ้าทั้งสองขัดคำสั่งของเรา” (กันดารวิถี 20:24) เรื่องนี้เป็นบาปร้ายแรงจริง ๆ ก่อนหน้านี้พระยะโฮวาไม่ให้ชาวอิสราเอลรุ่นหนึ่งเข้าแผ่นดินที่พระองค์สัญญาก็เพราะคนเหล่านั้นขัดคำสั่งของพระองค์ (กันดารวิถี 14:26-30, 34) ดังนั้น พอโมเสสขัดคำสั่งของพระองค์ มันก็เลยยุติธรรมและถูกต้องแล้วที่พระยะโฮวาจะลงโทษเขา โมเสสจึงไม่ได้เข้าแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา ห18.07 น. 14 ว. 9, 12-13
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน
ดังนั้น ดีที่สุดถ้าจะไม่กินเนื้อ หรือดื่มเหล้าองุ่น หรือทำอะไรที่ทำให้ความเชื่อของพี่น้องอ่อนลง—รม. 14:21
ถึงแม้ว่าเรามีสิทธิ์ดื่มเหล้า แต่เราจะเต็มใจไม่ดื่มถ้าเรารู้ว่ามันทำให้คริสเตียนคนอื่นไม่สบายใจ บางทีพี่น้องที่เคยติดเหล้าอาจตัดสินใจที่จะไม่กลับไปดื่มอีก เราจึงไม่ควรทำอะไรก็ตามที่อาจทำให้เขากลับไปทำนิสัยเก่า ๆ (1 โครินธ์ 6:9, 10) ถ้ามีพี่น้องแบบนี้เป็นแขกในบ้านเรา เราจะคะยั้นคะยอให้เขาดื่มไหมทั้ง ๆ ที่เขาพยายามเลิกดื่ม? เราคงไม่ทำอย่างนั้นแน่ ๆ ตอนที่ทิโมธีเป็นหนุ่ม เขายอมเข้าสุหนัตถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาเจ็บมากก็ตาม ที่เขาทำอย่างนั้นเพราะเขากำลังจะไปประกาศกับชาวยิว และเขารู้ว่าการเข้าสุหนัตเป็นเรื่องสำคัญสำหรับชาวยิวมาก ทิโมธีก็เหมือนกับเปาโล เขาไม่อยากทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ (กิจการ 16:3; 1 โครินธ์ 9:19-23) แล้วคุณล่ะ? คุณจะเต็มใจเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อช่วยคนอื่นไหม? ห18.06 น. 18 ว. 12-13
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน
เราจะให้มนุษย์เปลี่ยนไปพูดภาษาบริสุทธิ์—ศฟย. 3:9
ตอนที่คุณเจอคนที่ไม่ใช่พยานฯ ครั้งแรก คุณรู้จักเขามากแค่ไหน? คุณอาจรู้ว่าเขาชื่ออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่คุณคงรู้แค่นั้น แต่มันไม่เหมือนกันเลยกับตอนที่เจอพี่น้องพยานฯ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณรู้ว่าเขารักพระยะโฮวา รู้ว่าพระองค์เห็นสิ่งดี ๆ ในตัวเขา และพระองค์เชิญเขาให้มาเป็นครอบครัวของพระองค์ (ยอห์น 6:44) ไม่ว่าคนคนนั้นจะมาจากไหน จะโตมาอย่างไร คุณก็รู้จักเขามากอยู่แล้ว และเขาก็รู้จักคุณมากด้วยเหมือนกัน สำหรับพยานฯ ถึงคุณจะเจอกันเป็นครั้งแรก แต่คุณก็รู้ว่าพี่น้องที่คุณเจอมีสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเหมือนคุณ ถึงคุณกับเขาจะพูดกันคนละภาษา แต่พวกคุณก็พูด “ภาษาบริสุทธิ์” เหมือนกันซึ่งก็คือความจริงในคัมภีร์ไบเบิล มันหมายความว่าคุณกับเขาเชื่อพระเจ้าองค์เดียวกัน มีมาตรฐานทางศีลธรรมเหมือนกัน และมีความหวังในอนาคตเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ทำให้คุณไว้ใจกันและเป็นเพื่อนกันตลอดไป ห18.12 น. 21 ว. 9-10
วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน
ถ้าพวกคุณไม่เข้าสุหนัต . . . พวกคุณจะไม่รอดนะ—กจ. 15:1
พระเยซูชี้นำคณะกรรมการปกครองสมัยนั้นเพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่า คริสเตียนที่ไม่ใช่ชาวยิวไม่จำเป็นต้องเข้าสุหนัต (กิจการ 15:19, 20) แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี คริสเตียนชาวยิวหลายคนยังคงให้ลูกชายของพวกเขาเข้าสุหนัต เราอาจสงสัยว่าทำไมพระเยซูยอมให้ปัญหาเรื่องการเข้าสุหนัตยังคงมีอยู่ต่อไปหลายปีทั้ง ๆ ที่กฎหมายนั้นถูกยกเลิกตั้งแต่ที่ท่านตายแล้ว (โคโลสี 2:13, 14) การปรับตัวเพื่อจะยอมรับความเข้าใจใหม่ต้องใช้เวลา คริสเตียนชาวยิวบางคนต้องใช้เวลานานกว่าจะยอมรับความจริงว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ใต้กฎหมายของโมเสสแล้ว (ยอห์น 16:12) พวกเขาคิดว่าการเข้าสุหนัตเป็นสิ่งที่แสดงถึงการมีสายสัมพันธ์ที่พิเศษกับพระเจ้า (ปฐมกาล 17:9-12) ส่วนบางคนกลัวว่าถ้าพวกเขาไม่ทำเหมือนคนอื่นก็จะโดนข่มเหงจากชุมชนชาวยิว (กาลาเทีย 6:12) แต่พอถึงเวลา พระเยซูก็ได้ให้การชี้นำมากขึ้นผ่านทางจดหมายของเปาโล—โรม 2:28, 29; กาลาเทีย 3:23-25 ห18.10 น. 24-25 ว. 10-12
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน
เคยาฟาส . . . แนะนำผู้นำชาวยิวว่า จะเป็นประโยชน์กับพวกเขาเอง ถ้าให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน—ยน. 18:14
เคยาฟาสรอจนถึงช่วงกลางคืนแล้วส่งทหารออกไปจับพระเยซู แต่ท่านรู้ทันแผนของพวกเขา ในอาหารมื้อสุดท้ายของท่านกับอัครสาวก ท่านเลยบอกพวกเขาให้เอาดาบไปด้วย และดาบ 2 เล่มก็พอสำหรับบทเรียนสำคัญ (ลูกา 22:36-38) ต่อมาในคืนนั้นตอนที่ฝูงชนมาจับพระเยซู เปโตรโมโหมากที่เกิดความไม่ยุติธรรมแบบนี้ เขาเลยชักดาบออกมาฟันผู้ชายคนหนึ่ง (ยอห์น 18:10) แต่พระเยซูกลับบอกเปโตรว่าให้ “เก็บดาบใส่ฝักซะ เพราะทุกคนที่ใช้ดาบจะตายด้วยดาบ” (มัทธิว 26:52, 53) พระเยซูกำลังสอนตัวอย่างที่มีพลังเรื่องอะไรกับพวกสาวก? พวกเขาต้องไม่เป็นคนของโลก และนี่เป็นสิ่งที่ท่านได้อธิษฐานก่อนหน้านี้ในคืนเดียวกัน (ยอห์น 17:16) พระยะโฮวาผู้เดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะจัดการกับความไม่ยุติธรรม ดังนั้น พวกเราจะอยู่อย่างสงบและเป็นหนึ่งเดียว เมื่อพระยะโฮวามองผู้คนในโลกที่แตกแยกนี้ พระองค์จะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ ที่เห็นคนของพระองค์ยังเป็นหนึ่งเดียวกันได้—เศฟันยาห์ 3:17 ห18.06 น. 7 ว. 13-14, 16
วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน
พญานาคก็โกรธแค้นผู้หญิงนั้น จึงออกไปทำสงครามกับลูกหลานของเธอที่ยังเหลืออยู่—วว. 12:17
นอกจากจะใช้เหยื่อล่อที่มันเสนอให้ ซาตานยังพยายามต่อต้านเราโดยตรงและทำให้เรากลัวเพื่อเราจะเลิกภักดีต่อพระยะโฮวา ตัวอย่างเช่น มันอาจทำให้รัฐบาลสั่งห้ามงานประกาศของเรา มันอาจทำให้เพื่อนร่วมงานและเพื่อนนักเรียนเยาะเย้ยเราเมื่อเห็นเราใช้ชีวิตตามมาตรฐานของคัมภีร์ไบเบิล (1 เปโตร 4:4) มันอาจถึงกับทำให้สมาชิกครอบครัวที่ไม่ได้เป็นพยานฯ ซึ่งมีเจตนาดีห้ามเราไม่ให้ไปประชุม (มัทธิว 10:36) เราจะรับมือกับการต่อต้านโดยตรงนี้ได้อย่างไร? อย่างแรก เราไม่ควรแปลกใจว่าทำไมซาตานถึงต่อต้านเรา เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ามันกำลังทำสงครามกับเรา (วิวรณ์ 2:10) นอกจากนั้น เราต้องจำไว้ว่าอะไรคือประเด็นสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ นั่นคือซาตานอ้างว่าเรารับใช้พระยะโฮวาแค่ตอนที่มีชีวิตสะดวกสบายเท่านั้น แต่ถ้าเราเจอปัญหาหรือมีชีวิตที่ลำบาก เราจะทิ้งพระองค์ (โยบ 1:9-11; 2:4, 5) ที่สำคัญเราต้องขอให้พระยะโฮวาช่วยเราเข้มแข็ง และเราต้องจำไว้ว่าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งเราแน่นอน—ฮีบรู 13:5 ห18.05 น. 26 ว. 14
วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน
คุณไม่รู้ว่าตรงไหนจะเกิดผล—ปญจ. 11:6
เราต้องไม่ลืมว่างานประกาศของเราอาจมีผลกับคนอื่นมากแม้ดูเหมือนไม่มีใครสนใจเลย หลายคนมองดูเราอยู่ พวกเขาสังเกตว่าเราแต่งตัวเรียบร้อย สุภาพ และดูท่าทางเป็นมิตร สิ่งเหล่านี้อาจทำให้พวกเขาประทับใจ และอาจถึงกับทำให้คนที่เคยมองเราไม่ดีเริ่มเปลี่ยนความคิดและมองเราดีขึ้น ไพโอเนียร์ชื่อเซอร์จิโอกับโอลินดาบอกว่า “ช่วงหนึ่งเราไม่ได้ไปที่ลานสาธารณะเพราะเราป่วย พอกลับมาประกาศที่นั่นเหมือนเดิม คนแถวนั้นก็ทักเราว่า ‘หายไปนานเลย เราคิดถึงลุงกับป้านะ’” ถ้าคุณ ‘ไม่หยุด’ บอกเรื่องรัฐบาลของพระเจ้ากับคนอื่นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ฟัง คุณก็มีส่วนสำคัญในการช่วย “ให้คนทุกชาติมีโอกาสได้ยิน” (มัทธิว 24:14) และที่สำคัญที่สุด คุณจะมีความสุขมากที่รู้ว่าคุณกำลังทำให้พระยะโฮวามีความสุข พระองค์รักทุกคนที่ “เกิดผลด้วยความอดทน”—ลูกา 8:15 ห18.05 น. 16 ว. 16-18
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน
ขอให้พระเจ้า . . . ได้รับการยกย่องสรรเสริญ . . . พระองค์ให้กำลังใจเราทุกครั้งที่เจอความยากลำบาก—2 คร. 1:3, 4
พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ให้กำลังใจตั้งแต่มนุษย์ทำบาปและเป็นคนไม่สมบูรณ์ ทันทีที่อาดัมกับเอวากบฏต่อพระยะโฮวา พระองค์ก็ให้คำพยากรณ์ที่ให้กำลังใจและความหวังกับลูกหลานของพวกเขาที่จะเกิดมาในอนาคต คำพยากรณ์นั้นอยู่ที่ปฐมกาล 3:15 ซึ่งเป็นคำสัญญาที่บอกว่ามารซาตานและสิ่งต่าง ๆ ที่มันทำจะถูกทำลาย (1 ยอห์น 3:8; วิวรณ์ 12:9) ขอให้ลองคิดดูว่าพระยะโฮวาให้กำลังใจโนอาห์อย่างไร เหตุผลที่โนอาห์ต้องการกำลังใจก็เพราะว่าคนในสมัยของเขาชอบความรุนแรงและทำผิดศีลธรรม มีแค่ครอบครัวของเขาเท่านั้นที่นมัสการพระยะโฮวา นี่อาจทำให้เขาท้อใจได้ (ปฐมกาล 6:4, 5, 9, 11; ยูดา 6) พระยะโฮวาให้กำลังใจโนอาห์เพื่อเขาจะนมัสการพระองค์และทำสิ่งที่ถูกต้องต่อ ๆ ไปได้ พระองค์ให้กำลังใจเขาโดยบอกว่าโลกชั่วจะถูกทำลาย และบอกว่าเขาต้องทำอะไรบ้างเพื่อช่วยให้ครอบครัวของเขารอดชีวิต (ปฐมกาล 6:13-18) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ให้กำลังใจโนอาห์จริง ๆ ห18.04 น. 15 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน
ขอให้พวกคุณคอยให้กำลังใจกันและเสริมสร้างกันให้เข้มแข็งเหมือนที่พวกคุณทำอยู่ตอนนี้—1 ธส. 5:11
คุณจะทำอย่างไรถ้ารู้สึกว่าพูดให้กำลังใจไม่เป็น? ที่จริง ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะให้กำลังใจคนอื่น ลองยิ้มให้พี่น้องดูสิ และถ้าเขาไม่ยิ้มกลับ ก็อาจหมายความว่าเขากำลังมีปัญหาและอยากให้มีคนคุยด้วย พอถึงตอนนี้คุณอาจให้กำลังใจแบบง่าย ๆ ได้โดยตั้งใจฟังเขา (ยากอบ 1:19) จริง ๆ แล้วเราทุกคนสามารถให้กำลังใจพี่น้องของเราได้ โซโลมอนเขียนว่า “คำพูดที่ถูกกาลเทศะก็ดีจริง ๆ ดวงตาที่เป็นประกายทำให้ใจเบิกบาน” (สุภาษิต 15:23, 30) เปาโลบอกว่าการร้องเพลงราชอาณาจักรด้วยกันทำให้เรารู้สึกดีขึ้น (โคโลสี 3:16; กิจการ 16:25) ยิ่งวันของพระยะโฮวาใกล้มาถึงมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องให้กำลังใจกันมากขึ้น—ฮีบรู 10:25 ห18.04 น. 23 ว. 16; น. 24 ว. 18-19