ตุลาคม
วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม
ร้องไห้กับคนที่ร้องไห้—รม. 12:15
ถึงเราจะอ่านหัวใจคนอื่นไม่ได้เหมือนพระยะโฮวาและพระเยซู แต่เราก็ควรพยายามเข้าใจคนอื่นว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรและจำเป็นต้องได้รับอะไร (2 คร. 11:29) เราไม่เป็นเหมือนคนทั่วไปในโลกที่เห็นแก่ตัว แต่พยายามทำอย่างที่คัมภีร์ไบเบิลบอกคือ “อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ให้เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นด้วย” (ฟป. 2:4) ที่จริง ผู้ดูแลประชาคมต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นพิเศษ พวกเขารู้ดีว่าต้องรับผิดชอบต่อพระยะโฮวาเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาดูแลแกะของพระองค์ (ฮบ. 13:17) เพื่อจะช่วยพี่น้องได้ ผู้ดูแลควรเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น แล้วผู้ดูแลจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร? ผู้ดูแลที่เห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกจะใช้เวลาอยู่กับพี่น้อง เขาจะคอยถามพี่น้องและตั้งใจฟังอย่างอดทน เรื่องนี้สำคัญมากโดยเฉพาะถ้าพี่น้องอยากระบายความรู้สึกแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร (สภษ. 20:5) เมื่อผู้ดูแลเต็มใจให้เวลากับพี่น้อง เขาจะทำให้ตัวเขากับพี่น้องรู้สึกไว้ใจกันมากขึ้น สนิทกันมากขึ้น และรักกันมากขึ้น—กจ. 20:37 ห19.03 น. 17-19 ว. 14-17
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม
คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะ เป็นเหมือนแอปเปิลทองคำในชามเงินแกะสลัก—สภษ. 25:11
การเห็นค่าเป็นเหมือนการกินอาหารดี ๆ มื้อหนึ่ง และอาหารมื้อนั้นจะยิ่งอร่อยขึ้นถ้าเราได้กินกันหลาย ๆ คน เหมือนกัน เมื่อเรารู้สึกว่าคนอื่นเห็นค่าสิ่งที่เราทำ เราก็มีความสุข และเมื่อเราแสดงออกว่าเห็นค่าคนอื่น เราก็ทำให้เขามีความสุขเหมือนกัน เมื่อมีบางคนช่วยเราหรือให้สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ และเขารู้ว่าเราเห็นค่า มันจะทำให้เรากับเขาสนิทกันมากขึ้น การที่เราเห็นค่าและแสดงความขอบคุณเป็นสิ่งที่มีค่าจริง ๆ เหมือนอย่างที่บอกในข้อคัมภีร์วันนี้ ลองนึกถึงแอปเปิลสวย ๆ ที่ทำจากทองคำและใส่ไว้ในกระเช้าที่ทำจากเงินดูสิ! มันคงจะมีค่ามากจริง ๆ คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคุณได้มันเป็นของขวัญ? การพูดขอบคุณก็มีค่าแบบนั้นแหละ และลองคิดถึงข้อเท็จจริงนี้ แอปเปิลทองคำไม่มีวันเน่า เหมือนกัน เมื่อคุณเห็นค่าและแสดงความขอบคุณใครคนหนึ่ง สิ่งนั้นอาจอยู่ในใจของเขาและทำให้เขาจดจำไปตลอดชีวิต ห19.02 น. 15 ว. 5-6
วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม
ตอนนี้มนุษย์รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วเหมือนเราแล้ว—ปฐก. 3:22
ตอนที่อาดัมกับเอวากินผลไม้จากต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว สิ่งที่พวกเขาทำบอกชัดเจนว่าพวกเขาไม่ไว้วางใจพระยะโฮวาและมาตรฐานของพระองค์ พวกเขาเลือกที่จะตั้งมาตรฐานเอง แต่คุณเห็นแล้วใช่ไหมว่าพวกเขาสูญเสียอะไรบ้าง? พวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระยะโฮวาอีกต่อไป ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสจะมีชีวิตตลอดไป และลูกหลานต้องเป็นคนบาปและตาย (รม. 5:12) สิ่งที่อาดัมกับเอวาเลือกทำให้เกิดผลที่เลวร้ายจริง ๆ ให้เราลองเทียบสิ่งที่อาดัมกับเอวาทำกับสิ่งที่ขันทีชาวเอธิโอเปียทำตอนที่ฟีลิปมาประกาศกับเขา ขันทีรู้สึกเห็นค่าสิ่งที่พระยะโฮวากับพระเยซูทำเพื่อเขามากจนตัดสินใจรับบัพติศมาทันที (กจ. 8:34-38) เมื่อเราอุทิศตัวให้พระยะโฮวาและรับบัพติศมาเหมือนขันทีคนนั้น เรากำลังบอกชัดเจนว่าเราเลือกแบบไหน เราแสดงว่าเห็นค่าสิ่งที่พระยะโฮวากับพระเยซูทำเพื่อเรา และยังแสดงให้เห็นว่าเราไว้วางใจพระยะโฮวาและยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้ที่มีสิทธิ์ตั้งมาตรฐานว่าอะไรดีอะไรชั่ว ห19.03 น. 2 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม
ผมจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจนวันตาย!—โยบ 27:5
สำหรับผู้รับใช้พระยะโฮวา ความซื่อสัตย์หมายถึงการรักพระองค์สุดหัวใจและเลื่อมใสพระองค์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น ไม่ว่าเราจะตัดสินใจเรื่องอะไร เราจะคิดถึงพระองค์ก่อนเสมอ ให้เรามาดูข้อมูลบางอย่างซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “ความซื่อสัตย์” ในคัมภีร์ไบเบิล คำนี้หมายถึงความดีเยี่ยม ครบถ้วน และไม่มีที่ติ ตัวอย่างเช่น ชาวอิสราเอลต้องถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชาให้พระยะโฮวา กฎหมายของโมเสสบอกว่าสัตว์ที่เอามาถวายจะต้องเป็นสัตว์ที่สมบูรณ์แข็งแรง (ลนต. 22:21, 22) กฎหมายของพระเจ้าห้ามชาวอิสราเอลถวายสัตว์พิการ เช่น ขาขาด หูขาด ตาบอด หรือป่วย เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพระยะโฮวาที่สัตว์สำหรับเป็นเครื่องบูชาต้องดีเยี่ยม ครบถ้วน และไม่มีที่ติ (มลค. 1:6-9) เราเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมพระยะโฮวาชอบความดีเยี่ยมและความครบถ้วน ขอให้นึกถึงตัวอย่างนี้ ตอนที่เราซื้อของ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ หนังสือ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ เราไม่อยากให้ของที่ซื้อมามีรูโหว่หรือชิ้นส่วนหาย เราอยากให้มันดีเยี่ยม ครบถ้วน และไม่มีที่ติ พระยะโฮวาก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อเรารักและภักดีต่อพระองค์ เราต้องทำอย่างดีเยี่ยม ครบถ้วน และไม่มีที่ติ ห19.02 น. 3 ว. 3
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม
ผมรักกฎหมายของพระองค์จริง ๆ ผมใคร่ครวญกฎหมายนั้นตลอดวัน—สด. 119:97
เพื่อจะปกป้องหัวใจของเรา เราต้องไม่ใช่แค่ปิดหัวใจไม่รับอิทธิพลที่ไม่ดีเท่านั้น แต่เราต้องเปิดรับอิทธิพลที่ดีเข้ามาด้วย ตอนที่มีศัตรูเข้ามาใกล้ คนเฝ้าประตูจะปิดประตูเมืองไว้ แต่ในเวลาอื่นเขาจะเปิดประตูเพื่อเอาอาหารและข้าวของเครื่องใช้เข้ามาในเมือง ถ้าคนเฝ้าประตูไม่เปิดประตูเลย คนในเมืองจะอดตาย คล้ายกัน เราต้องเปิดหัวใจรับความคิดของพระยะโฮวาเป็นประจำ และให้ความคิดของพระองค์มีอิทธิพลกับเรา ความคิดของพระยะโฮวาอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ทุกครั้งที่เราอ่าน เราก็กำลังให้ความคิดของพระองค์มีผลต่อความคิด ความรู้สึก และการกระทำของเรา เราจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร? การอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเราให้เห็น ‘สิ่งที่ยอดเยี่ยม’ ในคัมภีร์ไบเบิลอย่างชัดเจน (สด. 119:18) นอกจากนั้น เราต้องคิดใคร่ครวญเรื่องที่อ่านด้วย เมื่อเราอธิษฐาน อ่านคัมภีร์ไบเบิลและคิดใคร่ครวญ ถ้อยคำของพระเจ้าจะฝังลึกอยู่ในหัวใจเรา และทำให้เรารักความคิดของพระองค์—สภษ. 4:20-22 ห19.01 น. 18 ว. 14-15
วันอังคารที่ 6 ตุลาคม
ให้เราถวายเครื่องบูชา . . . เสมอซึ่งก็คือคำสรรเสริญพระเจ้า—ฮบ. 13:15
พระยะโฮวารู้ว่าเรามีความสามารถต่างกันและสภาพการณ์ก็ต่างกัน และพระองค์เห็นค่าเครื่องบูชาที่เราสามารถให้ได้ ลองคิดถึงเครื่องบูชาต่าง ๆ ที่พระองค์ยอมรับจากชาวอิสราเอล บางคนสามารถให้แกะหรือแพะได้ แต่คนยากจนอาจจะให้แค่ “นกเขา 2 ตัวหรือลูกนกพิราบ 2 ตัว” และถ้าใครไม่สามารถให้นก 2 ตัวได้ เขาก็เอา “แป้งเนื้อละเอียด 1 ใน 10 เอฟาห์” มาถวายได้ (ลนต. 5:7, 11) แป้งราคาถูกกว่าก็จริง แต่พระยะโฮวาก็เห็นค่าเครื่องบูชานั้นถ้ามันเป็น “แป้งเนื้อละเอียด” พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ใจดี ทุกวันนี้พระองค์ยังคงเป็นเหมือนเดิม เมื่อเราออกความเห็น พระองค์ไม่ได้คาดหมายให้ทุกคนมีพรสวรรค์ในการพูดเหมือนอปอลโล หรือเป็นคนพูดโน้มน้าวใจเก่งเหมือนเปาโล (กจ. 18:24; 19:8) พระยะโฮวาแค่อยากให้เราออกความเห็นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามความสามารถของเรา ลองนึกถึงตัวอย่างของแม่ม่ายที่บริจาคเงิน 2 เหรียญเล็ก ๆ เธอมีค่าในสายตาของพระยะโฮวาเพราะเธอให้สิ่งดีที่สุดที่สามารถให้ได้—ลก. 21:1-4 ห19.01 น. 8-9 ว. 3-5
วันพุธที่ 7 ตุลาคม
ทุกคนจะเกลียดชังคุณเพราะคุณเป็นสาวกของผม—มธ. 10:22
ในฐานะที่เราเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ เราคาดหมายได้เลยว่าเราจะโดนเกลียด พระเยซูบอกล่วงหน้าว่าสาวกของท่านจะถูกข่มเหงอย่างหนักในสมัยสุดท้าย (มธ. 24:9; ยน. 15:20) คำพยากรณ์ของอิสยาห์เตือนเราล่วงหน้าว่า ศัตรูจะไม่ใช่แค่เกลียดเราเท่านั้น แต่พวกเขาจะใช้อาวุธหลายอย่างมาทำร้ายเรา อาวุธเหล่านั้นมีทั้งการโกหกแบบมีเล่ห์เลี่ยม การใส่ร้าย และการข่มเหงอย่างโหดเหี้ยม (มธ. 5:11) พระยะโฮวาจะไม่ขัดขวางศัตรูไม่ให้ใช้อาวุธเหล่านี้มาทำร้ายเรา (อฟ. 6:12; วว. 12:17) แต่เราไม่ต้องกลัว พระยะโฮวาบอกว่า “ไม่มีอาวุธอะไรที่สร้างขึ้นมาต่อสู้เจ้าจะทำอะไรเจ้าได้” (อสย. 54:7) เหมือนกับกำแพงที่ป้องกันพายุฝนที่พัดกระหน่ำ พระยะโฮวาก็ปกป้องคุ้มครองเราให้พ้นจาก “ผู้กดขี่” (อสย. 25:4, 5) ศัตรูเหล่านั้นจะไม่มีทางทำให้เราได้รับผลเสียอย่างถาวร (อสย. 65:17) ศัตรูทุกคนของพระยะโฮวาจะต้อง “พินาศสาบสูญไป”—อสย. 41:11, 12 ห19.01 น. 6-7 ว. 13-16
วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม
คนที่ได้รับพลังของพระยะโฮวาก็มีอิสระ—2 คร. 3:17
เด็กและวัยรุ่น พระยะโฮวารักอิสระและสร้างคุณให้รักอิสระด้วย แต่พระองค์ก็อยากให้คุณใช้อิสระในแบบที่ฉลาดซึ่งจะปกป้องตัวคุณเอง เพื่อนคุณบางคนอาจดูภาพโป๊ ทำผิดศีลธรรม เล่นกีฬาเสี่ยงตาย เล่นยา กินเหล้า ตอนแรกคนที่ทำแบบนี้อาจรู้สึกสนุกตื่นเต้น แต่สุดท้ายพวกเขาอาจต้องเจอผลเสียร้ายแรงหลายอย่าง เช่น ติดโรค ติดยา หรือถึงกับตาย (กาลาเทีย 6:7, 8) เด็กและวัยรุ่นที่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้อาจคิดว่าตัวเองมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่อิสระเลย (ทิตัส 3:3) ตรงกันข้าม การเชื่อฟังพระยะโฮวามีแต่ข้อดี เช่น ทำให้เรามีสุขภาพดีและมีอิสระจริง ๆ (สดุดี 19:7-11) ถ้าคุณใช้อิสระที่มีอย่างฉลาด ก็คือเลือกที่จะเชื่อฟังกฎหมายกับหลักการที่สมบูรณ์แบบของพระยะโฮวา คุณจะทำให้ทั้งพระองค์กับพ่อแม่เห็นว่าคุณเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ และพ่อแม่ก็จะไว้ใจคุณมากขึ้นและให้อิสระกับคุณมากขึ้น—โรม 8:21 ห18.12 น. 22-23 ว. 16-17
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม
ผู้ชายจะจากพ่อแม่ไปผูกพันใกล้ชิดกับภรรยา แล้วทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียว—ปฐก. 2:24
เมื่ออาดัมทำบาปก็มีหลายอย่างเปลี่ยนไป อย่างหนึ่งก็คือมนุษย์ต้องตายและนั่นมีผลต่อชีวิตคู่ อัครสาวกเปาโลอธิบายกับคริสเตียนว่าความตายทำให้ชีวิตคู่สิ้นสุดและฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถแต่งงานใหม่ได้ (โรม 7:1-3) ในกฎหมายที่พระเจ้าให้กับชาติอิสราเอลมีเรื่องชีวิตคู่ด้วย ตัวอย่างเช่น ในสมัยนั้นมีธรรมเนียมที่ผู้ชายอิสราเอลสามารถมีภรรยาได้มากกว่า 1 คน ธรรมเนียมนี้มีอยู่ก่อนที่พระเจ้าจะให้กฎหมายกับชาติอิสราเอล พระองค์เลยให้มีกฎหมายที่คุ้มครองผู้หญิงและเด็กไม่ให้มีคนมาทำไม่ดีกับพวกเขา เช่น ถ้าผู้ชายอิสราเอลแต่งงานกับทาสคนหนึ่ง และต่อมาเขามีภรรยาใหม่ เขาก็ยังต้องดูแลภรรยาคนแรกเหมือนเดิม พระเจ้าสั่งว่าเขาต้องปกป้องและดูแลเอาใจใส่เธอต่อไป (อพยพ 21:9, 10) ตอนนี้เราไม่ต้องทำตามกฎหมายของโมเสสอีกแล้ว แต่กฎหมายนี้สอนเราว่าพระเจ้ามองว่าชีวิตคู่มีค่ามาก และนี่ช่วยเราให้นับถือการจัดเตรียมเรื่องชีวิตคู่อย่างแน่นอน ห18.12 น. 10 ว. 3; น. 11 ว. 5-6
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม
ถึงมีคนมาบอก เจ้าก็จะไม่เชื่อ—ฮบก. 1:5
หลังจากฮาบากุกบอกพระยะโฮวาว่าเขากังวลเรื่องอะไร เขาอาจสงสัยว่าพระองค์จะคิดอย่างไร พระยะโฮวาเป็นพ่อที่รักมนุษย์ พระองค์เข้าใจดีว่าฮาบากุกรู้สึกอย่างไร พระองค์รู้ว่าเขาเป็นทุกข์และกำลังขอให้พระองค์ช่วย พระองค์ไม่ได้ว่าที่เขารู้สึกอย่างนี้เลย พระองค์บอกเขาว่าอีกไม่นานพระองค์จะจัดการชาวยิวที่ไม่ซื่อสัตย์ ฮาบากุกอาจเป็นคนแรกที่พระยะโฮวาบอกว่าการลงโทษใกล้เข้ามามากแล้ว พระยะโฮวาอธิบายกับฮาบากุกว่าพระองค์พร้อมจะจัดการแล้ว พระองค์จะลงโทษชาวยูดาห์ที่ชั่วและชอบใช้ความรุนแรง การที่พระยะโฮวาใช้คำว่า “ในสมัยของเจ้า” แสดงว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นตอนที่ฮาบากุกหรือไม่ก็ชาวยูดาห์ซึ่งอยู่ในยุคเดียวกับเขายังมีชีวิตอยู่ แต่คำตอบของพระยะโฮวาไม่ได้เป็นแบบที่ฮาบากุกคิดเลย การทำแบบนี้ยิ่งจะทำให้ชาวยูดาห์ต้องเจอความทุกข์หนักขึ้นไปอีก ห18.11 น. 15 ว. 7-8
วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม
[พระเจ้า] ต้องการให้คนทุกชนิดรอดและได้รับความรู้ที่ถูกต้องเรื่องความจริง—1 ทธ. 2:4
คุณคิดอย่างไรกับคนที่ยังไม่ได้เรียนความจริง? อัครสาวกเปาโลประกาศกับคนยิวที่รู้จักพระยะโฮวาอยู่แล้ว แต่เขาก็ประกาศกับคนที่นมัสการพระเท็จด้วย ตอนที่เปาโลเป็นมิชชันนารีและเดินทางไปประกาศที่ต่างประเทศรอบแรก เขากับบาร์นาบัสไปที่เมืองลิสตรา คนที่พูดภาษาลิคาโอเนียซึ่งอยู่ที่นั่นทำกับเปาโลและบาร์นาบัสเหมือนกับเป็นเทพเจ้า แถมเรียกเปาโลว่าซุสและเรียกบาร์นาบัสว่าเฮอร์เมสซึ่งเป็นชื่อเทพของพวกเขา เปาโลกับบาร์นาบัสชอบที่พวกเขายกยอแบบนั้นไหม? ทั้งสองคนมองไหมว่าการได้เจออะไรดี ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเพราะเพิ่งโดนข่มเหงหนักใน 2 เมืองก่อนหน้านี้? พวกเขาคิดไหมว่าการได้รับความสนใจขนาดนี้มันเป็นโอกาสที่จะช่วยคนมากขึ้นให้ฟังข่าวดี? ไม่ใช่ พวกเขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย พอชาวเมืองลิสตรายกยอแบบนั้น พวกเขารู้สึกแย่มากและร้องว่า “พวกคุณทำอย่างนี้ทำไม? เราสองคนเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนพวกคุณนั่นแหละ”—กิจการ 14:8-15 ห18.09 น. 5 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม
พวกคุณไม่รู้หรือว่าคนทำชั่วจะไม่ได้รับรัฐบาลของพระเจ้า? . . . พวกคุณบางคนเคยเป็นอย่างนั้น แต่พระเจ้าชำระพวกคุณให้สะอาดแล้ว . . . และถือว่าพวกคุณเป็นที่ยอมรับของพระองค์—1 คร. 6:9, 11
เมื่อเราเรียนคัมภีร์ไบเบิลและใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า เราต้องเต็มใจปรับความคิดและการกระทำของเรา อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “ในฐานะลูกที่เชื่อฟัง ให้พวกคุณเลิกทำตามความต้องการที่เคยมีตอนที่ยังไม่รู้เรื่องพระเจ้า” และเขายังบอกอีกว่า “ให้เป็นคนบริสุทธิ์ในการกระทำทุกอย่าง” (1 เปโตร 1:14, 15) ในเมืองโครินธ์โบราณ หลายคนที่เคยผิดศีลธรรมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เพื่อจะให้พระยะโฮวามองว่าพวกเขาสะอาด ทุกวันนี้ หลายคนก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่เมื่อมาเรียนคัมภีร์ไบเบิล เปโตรพูดถึงเรื่องนี้ว่า “ที่ผ่านมา พวกคุณใช้ชีวิตตามใจผู้คนในโลกมามากพอแล้ว ตอนนั้นพวกคุณประพฤติไร้ยางอาย ปล่อยตัวไปกับความต้องการผิด ๆ ดื่มเหล้ามากเกินไป กินเลี้ยงเฮฮากันจนสุดเหวี่ยง แข่งกันดื่ม และไหว้รูปเคารพที่น่าเกลียด”—1 เปโตร 4:3 ห18.11 น. 6 ว. 13
วันอังคารที่ 13 ตุลาคม
ทุกคนที่เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไปก็เข้ามาเป็นสาวก—กจ. 13:48
เราจะเจอคนที่ “เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไป” ได้อย่างไร? สำหรับคริสเตียนยุคแรก วิธีเดียวที่พวกเขาจะทำอย่างนั้นคือการประกาศ พระเยซูบอกสาวกว่า “เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านไหนเมืองไหนก็ตาม ให้ไปหาคนที่เต็มใจต้อนรับคุณและสนใจฟัง” (มัทธิว 10:11) เราเองก็ต้องทำอย่างนั้นเหมือนกัน แน่นอน ถ้าเราเจอคนที่หยิ่ง ไม่ได้สนใจจริง ๆ หรือไม่ได้อยากรู้เรื่องพระเจ้า เราก็ไม่ได้คาดหมายว่าพวกเขาจะฟังข่าวดี แต่เราต้องพยายามหาคนที่สนใจ ถ่อม และอยากรู้ความจริง เราอาจเปรียบการหาคนที่สนใจกับสิ่งที่พระเยซูทำตอนเป็นช่างไม้ ตอนแรกพระเยซูต้องหาไม้ที่เหมาะสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ ประตู แอก หรืออย่างอื่น แล้วท่านก็เอากล่องเครื่องมือมา และใช้เครื่องมือในกล่องนั้นอย่างชำนาญเพื่อทำเครื่องใช้เหล่านั้น ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ตอนแรกเราต้องหาคนที่สนใจก่อน แล้วใช้เครื่องมือต่าง ๆ อย่างชำนาญเพื่อช่วยพวกเขามาเป็นสาวก—มัทธิว 28:19, 20 ห18.10 น. 12 ว. 3-4
วันพุธที่ 14 ตุลาคม
ฟีลิปไปที่เมืองสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์ให้คนที่นั่นฟัง—กจ. 8:5
ฟีลิปผู้ประกาศข่าวดีเป็นตัวอย่างที่ดีมาก เขาขยันรับใช้ต่อไปไม่ว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปขนาดไหน ตอนที่ฟีลิปกำลังทำงานมอบหมายใหม่ในกรุงเยรูซาเล็มอย่างมีความสุข ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป (กิจการ 6:1-6) หลังจากที่สเทเฟนถูกฆ่า คริสเตียนก็ถูกข่มเหงอย่างหนักและต้องหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงนั้นฟีลิปไม่ได้แค่หนีแล้วก็อยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร เขาอยากทำงานรับใช้เต็มที่ต่อไป เขาเลยไปที่เมืองสะมาเรียซึ่งเป็นเมืองที่แทบจะไม่มีใครไปประกาศข่าวดี (มัทธิว 10:5; กิจการ 8:1) ฟีลิปเต็มใจไปประกาศที่ไหนก็ได้ที่พลังของพระยะโฮวาชี้นำให้ไป พระองค์เลยใช้เขาไปประกาศในที่ที่ยังไม่ค่อยมีใครได้ยินข่าวดี ที่จริงชาวยิวหลายคนดูถูกคนสะมาเรียและทำไม่ดีกับพวกเขา แต่ฟีลิปไม่มีอคติ เขาอยากประกาศข่าวดีกับคนเหล่านั้น ชาวสะมาเรีย “ทุกคนก็ตั้งใจฟังเขา” (กิจการ 8:6-8) ฟีลิปยังคงขยันรับใช้เสมอและพระยะโฮวาก็อวยพรเขาและครอบครัวต่อไป—กิจการ 21:8, 9 ห18.10 น. 30 ว. 14-16
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม
ให้เราสนใจกัน เราจะได้กระตุ้นกันให้มีความรักและทำความดี—ฮบ. 10:24
วันหนึ่งพระเยซูเดินทางผ่านเขตเดคาโปลิส มีคน “พาผู้ชายคนหนึ่งที่หูหนวกและพูดไม่ค่อยได้” มาหาท่าน (มาระโก 7:31-35) ท่านไม่ได้รักษาเขาต่อหน้าคนมากมาย ทำไม? เพราะเขาหูหนวก เขาเลยอาจรู้สึกอึดอัดถ้ามีคนเยอะ ๆ พระเยซูเข้าใจความรู้สึกเขา ท่าน “พาเขาแยกออกมาจากฝูงชน” พาไปในที่ที่ไม่มีใครและรักษาเขาที่นั่น ถึงเราจะทำการอัศจรรย์ไม่ได้ แต่เราก็คิดถึงความรู้สึกและความจำเป็นของพี่น้องได้ พระเยซูเข้าใจว่าคนหูหนวกคนนี้รู้สึกอย่างไรและคิดถึงความรู้สึกของเขา เราก็ควรทำเหมือนพระเยซูโดยคิดถึงความรู้สึกของพี่น้องที่สูงอายุ ป่วย และพิการ ลักษณะเด่นของประชาคมคริสเตียนคือทุกคนรักกัน ไม่ใช่การทำผลงานให้ได้มาก ๆ (ยอห์น 13:34, 35) ความรักทำให้เราพยายามเต็มที่ที่จะช่วยเหลือพี่น้องสูงอายุ เจ็บป่วย หรือพิการ เพื่อพวกเขาจะไปประชุมและไปประกาศได้ เราเต็มใจช่วยพวกเขาแม้เราจะไม่สะดวก หรือมันอาจทำให้เรารับใช้ไม่ได้มากเหมือนปกติ หรือพี่น้องเหล่านั้นอาจทำอะไรได้ไม่ค่อยมาก—มัทธิว 13:23 ห18.09 น. 29-30 ว. 7-8
วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม
ให้เราแต่ละคนทำสิ่งที่คนอื่นชอบเพื่อประโยชน์ของเขา และเพื่อช่วยเขาให้เข้มแข็งขึ้น—รม. 15:2
ผู้รับใช้ทุกคนมีค่ามากสำหรับพระยะโฮวาและพระเยซู (กาลาเทีย 2:20) เรารักพี่น้องมาก เราเลยต้องแสดงความอ่อนโยน เรา “ตั้งใจทำสิ่งที่สร้างสันติสุขและสิ่งที่ส่งเสริมกันให้เข้มแข็งขึ้น” (โรม 14:19) เราทุกคนรอคอยที่จะได้อยู่ในสวนอุทยานที่จะไม่มีสาเหตุอะไรที่ทำให้ท้อใจ จะไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีสงคราม ไม่มีความตายที่เกิดจากบาป ไม่มีการข่มเหง ไม่มีปัญหาครอบครัว และไม่มีความผิดหวังในชีวิต พอสิ้นสมัยพันปี ทุกคนจะสมบูรณ์แบบ พระยะโฮวาจะรับคนที่ซื่อสัตย์จนผ่านการทดสอบครั้งสุดท้ายให้เป็นลูกของพระองค์ที่อยู่บนโลก และพวกเขาจะ “มีเสรีภาพที่งดงามแบบที่ลูกของพระเจ้ามี” (โรม 8:21) ขอให้เราทุกคนให้กำลังใจกันด้วยความรัก และช่วยกันผ่านเข้าสู่โลกใหม่ของพระเจ้า ห18.09 น. 14 ว. 10; น. 16 ว. 18
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม
ผมรักกฎหมายของพระองค์จริง ๆ ผมใคร่ครวญกฎหมายนั้นตลอดวัน—สด. 119:97
การศึกษาส่วนตัวไม่ใช่การอ่านผ่าน ๆ หรือขีดเส้นใต้หาคำตอบ เราต้องคิดว่าเรื่องที่เราอ่านสอนอะไรเกี่ยวกับพระยะโฮวา พระองค์ทำอะไร และพระองค์คิดอะไร เราต้องพยายามเข้าใจว่าทำไมพระยะโฮวาบอกให้เราทำแบบนี้หรือไม่ให้ทำแบบนั้น นอกจากนั้น เราต้องคิดด้วยว่ามีอะไรที่เราต้องเปลี่ยนบ้าง ทั้งความคิดและการกระทำของเรา ถึงมันอาจเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคิดใคร่ครวญทุกจุดเหล่านี้ในการศึกษาแต่ละครั้ง แต่การศึกษาส่วนตัวต้องใช้เวลา และครึ่งหนึ่งของการศึกษาส่วนตัวแต่ละครั้งน่าจะเป็นการคิดใคร่ครวญ (1 ทิโมธี 4:15) ถ้าเราคิดใคร่ครวญเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ เราก็ได้ “ตรวจดูจนแน่ใจ” และเชื่อมั่นว่าความคิดของพระยะโฮวาสมบูรณ์แบบ เราจะเริ่มเข้าใจว่าพระองค์มองเรื่องต่าง ๆ อย่างไร และเราก็เห็นด้วยกับความคิดของพระองค์ จากนั้น เราก็เปลี่ยนความคิดของเราใหม่และเริ่มคิดแบบใหม่ (โรม 12:2) ตอนนี้เราจะคิดเหมือนพระยะโฮวามากขึ้นเรื่อย ๆ ห18.11 น. 24 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม
เราเป็นเพื่อนร่วมงานของพระเจ้า—1 คร. 3:9
เปาโลบอกว่าเขากับคริสเตียนคนอื่น ๆ ในสมัยศตวรรษแรกเป็น “เพื่อนร่วมงานของพระเจ้า” เพราะเขาประกาศและสอนคนอื่นเรื่องความจริง (1 โครินธ์ 3:6) ทุกวันนี้เราก็เป็น “เพื่อนร่วมงานของพระเจ้า” ได้ ถ้าเราเป็นคนใจกว้างโดยให้เวลา กำลัง และทรัพย์สินเงินทองเพื่อสนับสนุนงานประกาศที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำ นี่เป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ การเป็นคนใจกว้างโดยให้เวลาและกำลังเพื่อประกาศและสอนจะทำให้เรามีความสุขจริง ๆ พี่น้องหลายคนที่นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็บอกแบบนี้ด้วย เรามีความสุขมากที่ได้เห็นนักศึกษาตื่นเต้นที่รู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไร และมีความสุขที่เห็นพวกเขามีความเชื่อมากขึ้น เปลี่ยนแปลงชีวิต และเริ่มบอกเรื่องที่เขาได้เรียนกับคนอื่น พระเยซูก็มีความสุขมากที่เห็นสาวก 70 คนที่ท่านส่งไปประกาศ “กลับมาด้วยความดีใจ” เพราะได้เจอประสบการณ์ดี ๆ—ลูกา 10:17-21 ห18.02 น. 21 ว. 11-12
วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม
คนที่ไว้ใจหัวใจตัวเองเป็นคนโง่—สภษ. 28:26
เมื่อเราพึ่งความเข้าใจของตัวเองอาจทำให้เรามีปัญหา เราอาจเริ่มเชื่อว่าเราเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ทั้งที่จริงแล้วเราไม่รู้ข้อเท็จจริงทุกอย่าง อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างถูกต้องคือเรื่องเกี่ยวกับพี่น้องที่เราเข้ากับเขาไม่ได้ เมื่อเรารู้สึกเข้ากับพี่น้องคนหนึ่งไม่ได้และเอาแต่คิดถึงเรื่องที่มีปัญหากัน มันอาจทำให้เราเริ่มสงสัยเขาก็ได้ และพอเราได้ยินเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพี่น้องคนนี้ เราอาจอยากเชื่อเรื่องนั้นทันทีถึงแม้ไม่มีอะไรพิสูจน์เลยว่ามันเป็นเรื่องจริง บทเรียนคืออะไร? ถ้าเราปล่อยให้ตัวเองมีความรู้สึกไม่ดีกับพี่น้อง เราอาจจะได้ข้อสรุปผิด ๆ โดยไม่มีข้อเท็จจริง (1 ทิโมธี 6:4, 5) อย่าเก็บความรู้สึกไม่ดีไว้ในใจ เช่น ความอิจฉาริษยา อย่าลืมว่าพระยะโฮวาอยากให้เรารักกันและให้อภัยกันจากหัวใจ—โคโลสี 3:12-14 ห18.08 น. 6 ว. 15; น. 7 ว. 18
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม
สวรรค์เป็นของพระยะโฮวา . . . รวมทั้งโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลก—ฉธบ. 10:14
เพราะพระยะโฮวาสร้างมนุษย์ เราทุกคนจึงเป็นคนของพระองค์ (สดุดี 100:3; วิวรณ์ 4:11) และท่ามกลางมนุษย์ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลก พระยะโฮวาได้ใช้วิธีพิเศษเลือกบางคนให้เป็นคนของพระองค์ เราดูตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่สดุดี 135 สดุดีบทนี้พูดถึงผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาในอิสราเอลโบราณว่าเป็น “ชนชาติพิเศษของพระองค์” (สดุดี 135:4) โฮเชยาบอกล่วงหน้าว่าบางคนที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอลจะมาเป็นประชาชนของพระองค์ด้วย (โฮเชยา 2:23) คำพยากรณ์นี้เป็นจริงตอนที่พระยะโฮวาเริ่มเลือกคนที่ไม่ใช่ชาวยิวมาปกครองกับพระคริสต์ในสวรรค์ (กิจการ 10:45; โรม 9:23-26) คนเหล่านั้นถูกเจิมด้วยพลังบริสุทธิ์และถูกเรียกว่า “ชาติบริสุทธิ์” พวกเขาเป็น “สมบัติพิเศษ” ของพระยะโฮวา (1 เปโตร 2:9, 10) แล้วคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ในทุกวันนี้ที่มีความหวังอยู่บนโลกตลอดไปล่ะ? พระยะโฮวาเรียกพวกเขาด้วยว่าเป็น “ประชาชนของเรา” และ “คนที่เราเลือกไว้”—อิสยาห์ 65:22 ห18.07 น. 22 ว. 1-2
วันพุธที่ 21 ตุลาคม
ให้พวกคุณคิดแบบเดียวกับพระคริสต์เยซู ท่านยอมสละทุกสิ่ง มารับสภาพทาส—ฟป. 2:5, 7
เราควรเลียนแบบพระเยซูด้วย ท่านเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบว่ามนุษย์จะเป็นคนใจกว้างได้อย่างไร (มัทธิว 20:28) เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ฉันจะเลียนแบบพระเยซูให้มากกว่าเดิมได้ไหม?’ (1 เปโตร 2:21) พระยะโฮวาจะพอใจถ้าเราทำตามตัวอย่างของพระองค์และพระเยซู เราทำได้โดยสนใจคนอื่นและหาวิธีช่วยพวกเขา พระเยซูแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญขนาดไหนโดยเล่าเรื่องของชาวสะมาเรีย (ลูกา 10:29-37) พระเยซูสอนสาวกว่าพวกเขาต้องช่วยคนอื่นไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครมาจากไหน คุณจำได้ไหมว่าทำไมพระเยซูเล่าเรื่องนี้? เป็นเพราะชาวยิวคนหนึ่งถามท่านว่า “ใครคือคนที่ผมจะต้องรัก?” คำตอบของพระเยซูสอนว่าถ้าเราอยากให้พระยะโฮวาพอใจ เราต้องเป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจเหมือนชาวสะมาเรีย ห18.08 น. 19 ว. 5-6
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม
ทูตสวรรค์ . . . พูดว่า “มารีย์ คุณเป็นคนที่พระยะโฮวาชอบมาก พระองค์อยู่กับคุณเสมอ”—ลก. 1:28
มารีย์รับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์โดยเลี้ยงดูและเอาใจใส่พระเยซูอย่างดี พระยะโฮวายังคงให้ความสำคัญกับเธอต่อไปไหม? ใช่ พระองค์ให้มีการบันทึกคำพูดและสิ่งที่มารีย์ทำไว้ในคัมภีร์ไบเบิล ดูเหมือนว่ามารีย์ไม่สามารถเดินทางไปกับพระเยซูในช่วง 3 ปีครึ่งที่ท่านทำงานรับใช้ มันอาจเป็นเพราะมารีย์เป็นม่ายเลยต้องอยู่ที่เมืองนาซาเร็ธ เธอเลยไม่ได้มีประสบการณ์ดี ๆ มากมายแบบที่คนอื่นมี แต่เธอก็ได้อยู่กับพระเยซูตอนที่ท่านตาย (ยอห์น 19:26) ต่อมา คัมภีร์ไบเบิลบอกว่ามารีย์อยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มกับสาวกของพระเยซูก่อนที่พวกเขาได้รับพลังบริสุทธิ์ในวันเพ็นเทคอสต์ (กิจการ 1:13, 14) ดูเหมือนว่ามารีย์จะได้รับการเจิมจากพลังบริสุทธิ์พร้อมกับสาวกคนอื่น ๆ ด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็มีโอกาสได้อยู่กับพระเยซูตลอดไปในสวรรค์ นั่นเป็นรางวัลที่ดีเยี่ยมจริง ๆ จากการที่เธอได้รับใช้อย่างซื่อสัตย์ ห18.07 น. 9 ว. 11; น. 10 ว. 14
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม
ให้คุณทำทุกสิ่งแบบที่จะทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ—1 คร. 10:31
พระเยซูใช้หลักการต่าง ๆ เพื่อสอนสาวกของท่านว่าสิ่งที่เราคิดและทำจะมีผลตามมาเสมอ ตัวอย่างเช่น ท่านสอนว่าถ้าเราโกรธ มันก็อาจทำให้เราใช้ความรุนแรง หรือถ้าเราคิดเรื่องผิดศีลธรรม มันก็อาจทำให้เราเล่นชู้ได้ (มัทธิว 5:21, 22, 27, 28) ถ้าเรายอมให้หลักการของพระยะโฮวาชี้นำชีวิตเรา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราก็จะถูกฝึกอย่างดีและเราก็จะตัดสินใจในแบบที่ทำให้พระยะโฮวาได้รับคำสรรเสริญ แม้คริสเตียนสองคนอาจฝึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเหมือนกัน แต่ทั้งสองคนก็อาจตัดสินใจบางเรื่องต่างกันได้ เช่น เรื่องการดื่มเหล้า คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอกว่าการดื่มเหล้าเป็นเรื่องผิด แต่เตือนเราว่าอย่าดื่มมากเกินไปหรือดื่มจนเมา (สุภาษิต 20:1; 1 ทิโมธี 3:8) นี่หมายความว่าถ้าคริสเตียนคนหนึ่งไม่มีปัญหาเรื่องการดื่มมากเกินไป เขาก็สามารถตัดสินใจดื่มได้โดยไม่ต้องคิดอะไรเลยอย่างนั้นไหม? ไม่ใช่ ถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจะยอมให้เขาดื่มได้ แต่เขายังต้องคิดถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนอื่นด้วย ห18.06 น. 18 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม
อย่าไปรับเชื้อของพวกฟาริสีและของเฮโรดมาล่ะ—มก. 8:15
พระเยซูเตือนสาวกให้ระวัง “เชื้อ” ซึ่งก็คือคำสอนของกลุ่มฟาริสี พวกสะดูสีและพรรคพวกของเฮโรด (มัทธิว 16:6, 12) เป็นเรื่องน่าคิดที่พระเยซูให้คำเตือนนี้ไม่นานหลังจากที่ประชาชนอยากตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ เมื่อศาสนาเข้าไปยุ่งกับการเมืองก็มักจะเกิดความรุนแรง พระเยซูบอกสาวกของท่านว่าพวกเขาต้องเป็นกลางจริง ๆ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกปุโรหิตใหญ่อยากฆ่าท่าน พวกเขากลัวว่าประชาชนจะฟังท่านและเลิกติดตามพวกเขา ซึ่งจะทำให้พวกเขาเสียอำนาจทั้งทางศาสนาและการเมือง พวกเขาเลยบอกว่า “ถ้าขืนปล่อยไว้อย่างนี้ ผู้คนจะแห่กันไปเชื่อเขาหมด แล้วพวกโรมันก็จะมายึดทั้งวิหารและประเทศของเราด้วย” (ยอห์น 11:48) ดังนั้น มหาปุโรหิตเคยาฟาสจึงวางแผนฆ่าพระเยซู—ยอห์น 11:49-53; 18:14 ห18.06 น. 6-7 ว. 12-13
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม
ให้รักคนอื่นด้วยความจริงใจ—รม. 12:9
เหยื่อล่อที่ซาตานชอบใช้ก็คือความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ ในทุกวันนี้มันพยายามทำให้มนุษย์สนใจเรื่องของพวกปีศาจโดยใช้ศาสนาเท็จและความบันเทิง มันทำให้เรื่องลี้ลับกลายเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้นโดยใช้หนัง เกม และความบันเทิงต่าง ๆ เราจะไม่ไปติดเหยื่อได้อย่างไร? เราเองต้องไม่คาดหวังว่าองค์การจะเขียนรายการบอกทุกสิ่งทุกอย่างว่าความบันเทิงอะไรดีหรือไม่ดี แต่เราต้องฝึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราเพื่อที่เราจะเลือกอย่างฉลาดโดยอาศัยหลักการในคัมภีร์ไบเบิล (ฮีบรู 5:14) นอกจากนั้น ถ้าเรารักพระยะโฮวา “ด้วยความจริงใจ” เราก็จะเลือกอย่างฉลาด เราต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลเหมือนที่ฉันสอนคนอื่นไหม? ถ้านักศึกษาหรือผู้สนใจเห็นความบันเทิงที่ฉันเลือก พวกเขาจะคิดยังไง?’ ถ้าเราทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลเหมือนที่เราสอนคนอื่น โอกาสที่เราจะติดเหยื่อของซาตานก็จะน้อยลง—1 ยอห์น 3:18 ห18.05 น. 25 ว. 13
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม
ผมหวังดีกับพวกอิสราเอลจากใจจริงและผมอ้อนวอนพระเจ้าให้พวกเขาได้รับความรอด—รม. 10:1
เราจะเลียนแบบเปาโลได้อย่างไร? อย่างแรก ตัวเราเองต้องอยากช่วยผู้คนจริง ๆ เราต้องอยากหาคนที่ “เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไป” อย่างที่สอง เราต้องอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคนที่อยากรู้ความจริงให้เปิดใจฟังตอนที่เราประกาศ (กิจการ 13:48; 16:14) ซิลวานาซึ่งเป็นไพโอเนียร์มาเกือบ 30 ปีแล้วก็ทำแบบนั้น เธอบอกว่า “ก่อนที่ฉันจะเข้าไปคุยแต่ละบ้าน ฉันจะอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วยฉันให้คิดบวก” เราเองก็สามารถอธิษฐานขอให้ทูตสวรรค์พาเราไปหาคนที่สนใจได้ (มัทธิว 10:11-13; วิวรณ์ 14:6) โรเบิร์ตที่เป็นไพโอเนียร์มากกว่า 30 ปีแล้วบอกว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ ที่ได้ทำงานกับทูตสวรรค์ที่รู้ว่าสถานการณ์ในชีวิตของคนที่เราจะไปประกาศเป็นยังไง” อย่างที่สาม เราต้องพยายามมองหาสิ่งดี ๆ ในตัวผู้คนและคิดว่าพวกเขาอาจเข้ามาเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาก็ได้ ตัวอย่างเช่น คาลที่เป็นผู้ดูแลบอกว่า “ผมจะมองหาสัญญาณเล็ก ๆ อะไรสักอย่างที่อาจช่วยให้ผมรู้ว่าเขาสนใจจริง ๆ ไหม เช่น เขาอาจจะยิ้ม ท่าทางใจดี หรือถามเพราะอยากรู้จริง ๆ” ถ้าเราทำทั้งหมดนี้เราก็จะ “เกิดผลด้วยความอดทน” เหมือนกับเปาโล ห18.05 น. 15 ว. 13; น. 16 ว. 15
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม
ให้เราสนใจกัน . . . ให้กำลังใจกัน และทำสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นเมื่อเห็นว่าวันนั้นใกล้มาถึงแล้ว—ฮบ. 10:24, 25
เรามีความสุขที่ได้ยินข่าวว่าคนที่เราเคยช่วยเมื่อก่อนยังคงซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาอยู่ อัครสาวกยอห์นเขียนว่า “สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดก็คือ การได้ยินว่าลูก ๆ ของผมยังใช้ชีวิตตามความจริง” (3 ยอห์น 4) พี่น้องไพโอเนียร์หลายคนก็ได้รับกำลังใจเหมือนกันเมื่อเขาได้รู้ว่า คนที่เขาเคยสอนความจริงให้เมื่อก่อนยังคงรับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์อยู่และถึงกับเป็นไพโอเนียร์ด้วยซ้ำ ถ้าไพโอเนียร์รู้สึกท้อใจ เราน่าจะให้กำลังใจพวกเขาโดยชวนให้คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่พวกเขาเคยช่วยคนอื่นในอดีต ผู้ดูแลหมวดหลายคนบอกว่า เมื่อเขาได้รับจดหมายหรือการ์ดขอบคุณหลังจากที่เยี่ยมเสร็จ เขาและภรรยาได้รับกำลังใจมาก ผู้ดูแลในประชาคม มิชชันนารี ไพโอเนียร์ หรือแม้แต่สมาชิกเบเธลก็ได้รับกำลังใจด้วยเหมือนกันเมื่อเราขอบคุณที่พวกเขารับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ ห18.04 น. 23 ว. 14-15
วันพุธที่ 28 ตุลาคม
[กษัตริย์] ต้องไม่มีภรรยาหลายคน ใจของเขาจะได้ไม่หลงไป—ฉธบ. 17:17
โซโลมอนไม่เชื่อฟังกฎหมายนี้ เขามีภรรยาถึง 700 คนและนางสนมอีก 300 คน (1 พงศ์กษัตริย์ 11:3) ภรรยาหลายคนของเขาเป็นคนต่างชาติและนมัสการพระเท็จ นี่จึงหมายความว่าโซโลมอนไม่เชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าที่ห้ามแต่งงานกับคนต่างชาติด้วย (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:3, 4) โซโลมอนค่อย ๆ เลิกรักกฎหมายของพระยะโฮวาและในที่สุดเขาก็ทำชั่วมาก เขาสร้างแท่นบูชาเทพธิดาอัชโทเรทและพระเคโมช เขากับพวกภรรยาพากันนมัสการพระเท็จเหล่านั้น เขาถึงกับสร้างแท่นบูชาหลายแท่นบนภูเขาหน้ากรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นที่ที่เขาได้สร้างวิหารที่สวยงามให้กับพระยะโฮวา (1 พงศ์กษัตริย์ 11:5-8; 2 พงศ์กษัตริย์ 23:13) บางทีโซโลมอนอาจหลอกตัวเองว่าพระยะโฮวาคงไม่สนใจที่เขาทำชั่วทั้งหมดนี้หรอกตราบใดที่เขายังถวายเครื่องบูชาที่วิหารของพระยะโฮวาอยู่ แต่พระยะโฮวาไม่เคยมองข้ามการทำผิด ห18.07 น. 18-19 ว. 7-9
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม
ให้เอาความเชื่อเป็นโล่ใหญ่เพื่อจะดับลูกธนูไฟทุกดอกของตัวชั่วร้ายได้—อฟ. 6:16
“ลูกธนูไฟ” ที่ซาตานใช้ยิงคุณคืออะไร? มันอาจเป็นคำโกหกเกี่ยวกับพระยะโฮวา ซาตานทำให้คุณรู้สึกว่าพระยะโฮวาไม่รักและไม่สนใจคุณเลย ไอด้าอายุ 19 บอกว่า “ฉันชอบรู้สึกบ่อย ๆ ว่าพระยะโฮวาไม่อยากสนิทและเป็นเพื่อนกับฉัน” เธอทำอย่างไรถ้ารู้สึกแบบนั้น? เธอบอกว่า “การประชุมเพิ่มพลังความเชื่อของฉันมากจริง ๆ เมื่อก่อนฉันจะไปนั่งเฉย ๆ ในหอประชุมและไม่ยอมตอบ ฉันคิดว่าไม่มีใครอยากได้ยินคำตอบของฉันหรอก แต่ตอนนี้ฉันเตรียมประชุมอย่างดีและพยายามตอบ 2-3 ครั้ง” โล่ของทหารมีไซส์เดียว แต่จากประสบการณ์ของไอด้า เรารู้ว่าความเชื่อของเราไม่ได้เป็นแบบนั้น ความเชื่อของเราเพิ่มได้และลดได้ เข้มแข็งได้และอ่อนแอได้ มันขึ้นอยู่กับเรา (มัทธิว 14:31; 2 เธสะโลนิกา 1:3) เพื่อ ‘ความเชื่อที่เป็นโล่ใหญ่’ จะป้องกันเรา เราต้องทำให้ความเชื่อเพิ่มขึ้นและเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ห18.05 น. 29-30 ว. 12-14
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม
ผมต้องทำอะไรผมถึงจะรอดได้?—กจ. 16:30
ผู้คุมคนนี้เริ่มเปลี่ยนความคิดและขอความช่วยเหลือหลังจากเกิดแผ่นดินไหว (กิจการ 16:25-34) คล้ายกันในทุกวันนี้ ถึงผู้คนอาจจะไม่ฟังเราในตอนแรก แต่เมื่อมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นในชีวิต เขาอาจเปลี่ยนใจและต้องการความช่วยเหลือก็ได้ เช่น บางคนอาจรู้สึกช็อคมากที่ต้องออกจากงานที่ทำมานานแล้ว หรือผิดหวังอย่างมากที่ต้องหย่าร้าง บางคนเสียใจมากที่ตัวเองป่วยหรือคนที่รักตายจากไป พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลายคนอาจเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตอย่างที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน และอาจเป็นครั้งแรกที่พวกเขาสนใจฟังเรื่องความหวังดี ๆ ที่พวกเราไปประกาศ ถ้าเราประกาศอย่างซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป เราก็จะมีโอกาสประกาศกับผู้คนตอนที่เขาพร้อมจะฟังและสนใจความหวังจากคัมภีร์ไบเบิล—อิสยาห์ 61:1 ห18.05 น. 19-20 ว. 10-12
วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม
พระยะโฮวาให้พลังของพระองค์กับผม พระองค์แต่งตั้งผมให้ประกาศข่าวดี—ลก. 4:18
ทุกวันนี้ซาตานปิดหูปิดตาผู้คนส่วนใหญ่ พวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังเป็นทาสของศาสนาเท็จ ทรัพย์สินเงินทอง และระบบสังคม (2 โครินธ์ 4:4) เหมือนกับพระเยซู เรามีสิทธิพิเศษที่ได้ช่วยให้คนอื่นมารู้จักและเข้ามานมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นแหล่งของอิสรภาพ (มัทธิว 28:19, 20) การประกาศกับผู้คนไม่ใช่เรื่องง่าย ในบางแห่งผู้คนไม่สนใจที่จะรู้จักพระเจ้าแถมยังโมโหใส่เราตอนที่เราประกาศกับพวกเขา แต่เนื่องจากพระยะโฮวาสั่งให้เราประกาศ เราจึงควรถามตัวเองว่า ‘ฉันจะใช้อิสระที่ฉันมีเพื่อรับใช้พระยะโฮวามากขึ้นได้ไหม?’ เป็นเรื่องที่ให้กำลังใจจริง ๆ ที่ได้เห็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวามากมายได้ปรับชีวิตให้เรียบง่ายและเริ่มรับใช้เป็นไพโอเนียร์ เพราะพวกเขามั่นใจว่าโลกนี้ใกล้จะถึงจุดจบอยู่แล้ว (1 โครินธ์ 9:19, 23) บางคนเป็นไพโอเนียร์ในเขตที่เขาอยู่ บางคนก็ย้ายไปประชาคมอื่นที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่า เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ ที่หลายคนกำลังใช้อิสระของพวกเขาเพื่อรับใช้พระยะโฮวา—สดุดี 110:3 ห18.04 น. 11-12 ว. 13-14