กันยายน
วันอังคารที่ 1 กันยายน
ถึงแม้พวกคุณไม่เคยเห็นพระคริสต์ แต่ก็รักท่าน—1 ปต. 1:8
พระเยซูเห็นอกเห็นใจมาร์ธากับมารีย์ ตอนที่ท่านเห็นพวกเธอร้องไห้เพราะลาซารัสน้องชายตาย “พระเยซูก็ร้องไห้น้ำตาไหล” (ยน. 11:32-35) ท่านไม่ได้ร้องไห้เพราะเพื่อนสนิทตายจากไป ที่จริง ท่านรู้อยู่แล้วว่ากำลังจะปลุกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นจากตาย แต่ที่ท่านร้องไห้เพราะเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของมาร์ธากับมารีย์เพื่อนรักของท่าน การรู้ว่าพระเยซูเห็นอกเห็นใจผู้คนทำให้เราได้กำลังใจมาก เรารักท่านเพราะเห็นวิธีที่ท่านทำกับผู้คน เราได้กำลังใจที่รู้ว่าตอนนี้พระเยซูกำลังปกครองเป็นกษัตริย์ในรัฐบาลของพระเจ้า อีกหน่อยท่านจะกำจัดความทุกข์ทั้งหมด และเพราะท่านเคยเป็นมนุษย์มาก่อน ท่านจึงเหมาะที่สุดที่จะช่วยมนุษย์ให้ฟื้นตัวจากความเจ็บปวดและความทุกข์ซึ่งเกิดจากการปกครองของซาตาน เป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่เรามีผู้ปกครองที่ “เห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของเรา”—ฮบ. 2:17, 18; 4:15, 16 ห19.03 น. 17 ว. 12-13
วันพุธที่ 2 กันยายน
ไม่มีใครจะมาหาผมได้ นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ใช้ผมมาจะชักนำเขา—ยน. 6:44
เราเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คนอื่นเรียนความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า แต่เราไม่ใช่ส่วนสำคัญที่สุดของงานนี้ (1 คร. 3:6, 7) พระยะโฮวาต่างหากคือผู้ที่ชักนำคนอื่นให้มาหาพระองค์ การที่คนเราจะฟังหรือไม่ฟังข่าวดีก็ขึ้นอยู่กับหัวใจของเขา (มธ. 13:4-8) จำไว้ว่าในสมัยพระเยซู คนส่วนใหญ่ไม่สนใจข่าวดีที่ท่านประกาศทั้ง ๆ ที่ท่านเองเป็นครูที่เก่งและดีที่สุดในโลก ดังนั้น อย่าท้อใจถ้าหลายคนไม่สนใจฟัง เราจะได้เห็นผลดีหลายอย่างเมื่อเราแสดงความเห็นอกเห็นใจในงานรับใช้ เราจะมีความสุขกับงานประกาศมากขึ้น เราจะมีความสุขมากกว่าเพราะเราได้ให้ การแสดงความเห็นอกเห็นใจทำให้คนที่ “เต็มใจตอบรับความจริงซึ่งทำให้ได้ชีวิตตลอดไป” รู้สึกอยากฟังข่าวดีมากขึ้น (กจ. 13:48) ดังนั้น “เมื่อมีโอกาสก็ให้เราทำดีกับทุกคน” (กท. 6:10) แล้วเราจะมีความสุขที่ทำให้พระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ได้รับการยกย่องสรรเสริญ—มธ. 5:16 ห19.03 น. 25 ว. 18-19
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน
ผมจะสรรเสริญพระองค์ในที่ประชุม—สด. 22:22
กษัตริย์ดาวิดเขียนว่า “พระยะโฮวายิ่งใหญ่และสมควรได้รับการสรรเสริญมากที่สุด” (สด. 145:3) ดาวิดรักพระยะโฮวา และความรักนี่เองที่กระตุ้นเขาให้สรรเสริญพระองค์ “ในที่ประชุม” (1 พศ. 29:10-13; สด. 40:5) ทุกวันนี้วิธีหนึ่งที่เราจะสรรเสริญพระยะโฮวาได้ก็คือการออกความเห็นในการประชุม เราทุกคนเห็นค่าที่ได้ยินความเห็นที่หลากหลายในการประชุม เราชอบฟังตอนที่เด็กตอบแบบง่าย ๆ จากหัวใจ เราได้กำลังใจที่ได้ฟังความเห็นของคนที่ได้เรียนรู้ความจริงแง่มุมใหม่ ๆ ซึ่งตอบด้วยความตื่นเต้น เราชื่นชมคนที่ “รวบรวมความกล้า” เพื่อจะตอบแม้เขาจะเป็นคนขี้อายหรือเพิ่งเรียนภาษาของเรา (1 ธส. 2:2) แล้วเราจะแสดงอย่างไรว่าเราเห็นค่าความพยายามของพวกเขา? วิธีหนึ่งก็คือการขอบคุณพวกเขาหลังการประชุม และอีกวิธีก็คือโดยการที่เราเองออกความเห็น ถ้าเราทำอย่างนั้น เมื่อเราไปประชุม เราจะไม่ใช่แค่ได้รับกำลังใจ แต่เราได้ให้กำลังใจคนอื่นด้วย—รม. 1:11, 12 ห19.01 น. 8 ว. 1-2; น. 9 ว. 6
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน
ให้แสดงความขอบคุณด้วย—คส. 3:15
ผู้ชาย 10 คนรู้สึกเป็นทุกข์และสิ้นหวังมาก พวกเขาเป็นโรคเรื้อนและไม่มีหวังที่จะได้รับการรักษาให้หาย แต่วันหนึ่งพวกเขาเห็นพระเยซูแต่ไกล พวกเขาเคยได้ยินว่าพระเยซูสามารถรักษาความเจ็บป่วยได้ทุกอย่าง ดังนั้น พวกเขาเลยร้องตะโกนบอกท่านว่า “อาจารย์เยซู ขอเมตตาพวกเราด้วย” แล้วคนโรคเรื้อน 10 คนก็ได้รับการรักษาให้หายจริง ๆ แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนรู้สึกขอบคุณที่พระเยซูเมตตา แต่มีแค่คนเดียวที่ไม่ใช่แค่รู้สึก เขาแสดงออกโดยการกระทำด้วยว่าเห็นค่า ผู้ชายคนนั้นคือชาวสะมาเรีย เขารู้สึกขอบคุณมากจน “สรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง” (ลก. 17:12-19) เราก็อยากเป็นเหมือนชาวสะมาเรียคนนั้นที่เห็นค่าและแสดงความขอบคุณที่มีคนทำดีกับเรา พระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ดีให้เราในเรื่องการเห็นค่า วิธีหนึ่งที่พระองค์ทำอย่างนั้นก็คือ การให้รางวัลคนที่ทำให้พระองค์พอใจ (2 ซม. 22:21; สด. 13:6; มธ. 10:40, 41) คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนเราให้ “เลียนแบบพระเจ้าอย่างลูกที่รักของพระองค์” (อฟ. 5:1) ดังนั้น เหตุผลสำคัญที่เราต้องเห็นค่าและแสดงความขอบคุณก็คือเราอยากเลียนแบบพระยะโฮวา ห19.02 น. 14 ว. 1-2; น. 15 ว. 4
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน
ผมจะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจนวันตาย!—โยบ 27:5
เด็กหญิงพยานฯ คนหนึ่งอยู่ที่โรงเรียน ครูบอกให้นักเรียนทุกคนในชั้นมาฉลองเทศกาลหนึ่งที่โรงเรียน เด็กคนนี้รู้ว่าพระยะโฮวาไม่ชอบการฉลองนั้น เด็กหนุ่มขี้อายคนหนึ่งไปประกาศตามบ้าน และเคาะประตูบ้านของเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งที่ชอบล้อเลียนพยานฯ ผู้ชายคนหนึ่งทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว หัวหน้าบอกให้เขาทำบางอย่างที่ไม่ซื่อสัตย์หรือผิดกฎหมาย แต่เขาก็อธิบายกับหัวหน้าว่าเขาต้องซื่อสัตย์และเชื่อฟังกฎหมายเพราะพระเจ้าเรียกร้องให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทำแบบนั้น ผู้ชายคนนี้กล้าบอกแม้ว่าเสี่ยงที่จะตกงาน (รม. 13:1-4; ฮบ. 13:18) สามคนนี้มีคุณลักษณะอะไรที่เหมือนกัน? คุณอาจเห็นว่าพวกเขามีคุณลักษณะที่ดีหลายอย่าง เช่น ความกล้าหาญและซื่อตรง แต่พวกเขาทุกคนมีคุณสมบัติหนึ่งที่โดดเด่น นั่นคือความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ทั้ง 3 คนนี้แสดงออกว่าพวกเขาภักดีต่อพระยะโฮวาและไม่ยอมฝ่าฝืนมาตรฐานของพระองค์ ความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าทำให้พวกเขาแสดงออกแบบนั้น พระยะโฮวาภูมิใจที่พวกเขามีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เราก็อยากเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เราอยากทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ของเราภูมิใจ ห19.02 น. 2 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน
กฎหมายของโมเสสเป็นเงาของสิ่งดี ๆ ที่จะมีมา—ฮบ. 10:1
กฎหมายของโมเสสยังปกป้องบางคนเป็นพิเศษ เช่น ลูกกำพร้า แม่ม่าย และคนต่างชาติ คนเหล่านี้ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ พระเจ้าบอกผู้พิพากษาในอิสราเอลว่า “คุณต้องให้ความยุติธรรมเมื่อตัดสินคดีความของคนต่างชาติหรือลูกกำพร้าพ่อและอย่ายึดเสื้อคลุมของแม่ม่ายมาเป็นของประกันการกู้ยืม” (ฉธบ. 24:17) พระยะโฮวารักและเป็นห่วงคนที่อ่อนแอที่สุดในชุมชน และพระองค์จะลงโทษคนที่ทำไม่ดีกับพวกเขา (อพย. 22:22-24) พระยะโฮวาอยากให้ผู้มีอำนาจที่พระองค์แต่งตั้งเอาใจใส่คนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา พระองค์เกลียดการทำผิดกฎหมายในเรื่องเพศและอยากทำให้แน่ใจว่าทุกคนโดยเฉพาะคนที่อ่อนแอที่สุดได้รับการปกป้องและได้รับความยุติธรรม (ลนต. 18:6-30) เมื่อเรามั่นใจว่าพระยะโฮวาให้ความยุติธรรมกับเรา เราก็จะรักพระองค์มากขึ้น และเมื่อเรารักพระองค์และมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระองค์ สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นเราให้รักคนอื่นและปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความยุติธรรม ห19.02 น. 24-25 ว. 22-26
วันจันทร์ที่ 7 กันยายน
ปฏิเสธการทำชั่วและความต้องการแบบโลก—ทต. 2:12
ให้เรามาดูตัวอย่างหนึ่งว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อจะไม่ได้รับอิทธิพลจากความคิดของซาตาน พระยะโฮวาสอนเราว่า “อย่าพูดคุยกันในเรื่องเหล่านี้เลย คือ การผิดศีลธรรมทางเพศ การกระทำที่ไม่สะอาดทุกรูปแบบ” (อฟ. 5:3) แต่เราจะทำอย่างไรถ้าเพื่อนที่ทำงานหรือที่โรงเรียนเริ่มพูดเรื่องที่ผิดศีลธรรมทางเพศ? ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราซึ่งเป็นเหมือนคนเฝ้ายามอาจส่งสัญญาณเตือน (รม. 2:15) เราจะฟังไหม? เราอาจถูกล่อใจให้อยากฟังเพื่อนเล่าเรื่องลามกหรือดูภาพไม่ดีที่พวกเขาเอาให้ดู แต่นี่เป็นเวลาที่ต้องปิดประตูหัวใจทันทีเพื่อจะหนีจากอันตรายโดยเปลี่ยนเรื่องคุย หรือไม่ก็เดินหนีไปเลย เราต้องมีความกล้าเพื่อจะต้านทานแรงกดดันจากเพื่อนให้คิดหรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราแน่ใจว่าพระยะโฮวาเห็นความพยายามของเรา พระองค์จะให้กำลังและสติปัญญากับเราเพื่อต้านทานความคิดของซาตานได้—2 พศ. 16:9; อสย. 40:29; ยก. 1:5 ห19.01 น. 17-18 ว. 12-13
วันอังคารที่ 8 กันยายน
เมื่อเราคิดถึงทุกสิ่งที่เราทำ . . . เราก็เห็นว่าทุกสิ่งไร้ประโยชน์ . . . และไม่มีอะไร . . . ที่มีค่าจริง ๆ—ปญจ. 2:11
กษัตริย์โซโลมอนเคยเป็นคนที่รวยที่สุดและมีอำนาจมากที่สุด เขาได้ทดลองทำอย่างหนึ่ง เขาบอกกับตัวเองว่า “เราจะลองทำอะไรสนุก ๆ บ้าง ดูซิว่าจะมีอะไรดี ๆ ไหม” (ปัญญาจารย์ 2:1-10) โซโลมอนเลยสร้างวังหรู ๆ ออกแบบสวนสวย ๆ แล้วทำทุกอย่างที่อยากทำ มันทำให้เขามีความสุขจริง ๆ ไหม? พอโซโลมอนคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำ เขาบอกอย่างในข้อคัมภีร์วันนี้ คุณได้บทเรียนจากสิ่งที่โซโลมอนทดลองทำไหม? บางคนเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตจากความผิดพลาดและจากผลเสียแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น พระยะโฮวาไม่อยากให้คุณเป็นแบบนั้น พระองค์อยากให้คุณเชื่อฟัง และเพื่อจะเชื่อฟังพระองค์ได้คุณก็ต้องมีความเชื่อ คุณจะไม่มีวันเสียใจเลยที่เลือกตามที่คุณเชื่อ และพระยะโฮวาจะไม่มีวันลืม “ความรักที่พวกคุณมีต่อชื่อของพระองค์” (ฮีบรู 6:10) ดังนั้น ให้พยายามเต็มที่ที่จะมีความเชื่อเข้มแข็งมากขึ้น แล้วคุณจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีให้กับชีวิตคุณ และคุณจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่ออยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคุณจริง ๆ—สดุดี 32:8 ห18.12 น. 22 ว. 14-15
วันพุธที่ 9 กันยายน
พระเจ้าหยิบยื่นความรักให้เรา โดยให้พระคริสต์มาตายแทนเราทั้ง ๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่—รม. 5:8
คนที่คิดแบบพระเจ้าจะมีความเชื่อในพระเจ้าและพยายามมองสิ่งต่าง ๆ แบบที่พระองค์มอง ไม่ว่าจะทำอะไร เขาจะคิดถึงคำแนะนำของพระเจ้าเสมอและตั้งใจเชื่อฟังพระองค์ (1 โครินธ์ 2:12, 13) ดาวิดเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่คิดแบบพระเจ้า เขาร้องเพลงว่า ‘พระยะโฮวาเป็นส่วนแบ่งของผม’ (สดุดี 16:5) ดาวิดเห็นค่า “ส่วนแบ่ง” ของเขาซึ่งหมายถึงการที่เขาสนิทกับพระยะโฮวา เขาไว้วางใจพระองค์เสมอ (สดุดี 16:1) ผลเป็นอย่างไร? เขาบอกว่า “ผมจึงมีความสุขและชื่นชมยินดีจริง ๆ” ไม่มีอะไรทำให้ดาวิดมีความสุขมากเท่ากับการสนิทกับพระยะโฮวา (สดุดี 16:9, 11) คนที่สนใจแต่เงินและความสนุกไม่มีวันมีความสุขได้เท่าดาวิด (1 ทิโมธี 6:9, 10) ถ้าคุณมีความเชื่อในพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์ คุณจะมีชีวิตที่มีความหมายและมีความสุขจริง ๆ ดังนั้น คุณควรทำอะไรเพื่อจะมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น? คุณต้องใช้เวลากับพระยะโฮวาโดยอ่านคัมภีร์ไบเบิล สังเกตสิ่งสวยงามต่าง ๆ ที่พระองค์สร้าง คิดถึงคุณลักษณะดี ๆ ของพระองค์ เช่น ความรักของพระองค์ที่มีให้คุณ—โรม 1:20 ห18.12 น. 25 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน
ให้ชีวิตสมรสเป็นแบบที่น่านับถือในสายตาของทุกคน—ฮบ. 13:4
ในข้อนี้เปาโลไม่ได้บอกแค่ว่าชีวิตคู่เป็นแบบไหน แต่เขาบอกคริสเตียนว่าต้องนับถือการจัดเตรียมในเรื่องนี้และมองว่ามีค่า คุณมองอย่างนั้นไหมโดยเฉพาะชีวิตคู่ของคุณเอง? ถ้าคุณมองว่าชีวิตคู่มีค่า คุณก็ได้เลียนแบบตัวอย่างที่ดีมากของพระเยซูซึ่งนับถือการจัดเตรียมเรื่องชีวิตคู่ เมื่อพวกฟาริสีถามท่านเกี่ยวกับการหย่า ท่านตอบโดยอ้างคำพูดของพระเจ้าเกี่ยวกับชีวิตแต่งงานคู่แรก ท่านบอกว่า “เพราะอย่างนั้น ผู้ชายจะจากพ่อแม่ไป แล้วผู้ชายกับผู้หญิงจะเป็นหนึ่งเดียว” พระเยซูบอกเพิ่มเติมอีกว่า “สิ่งที่พระเจ้าผูกไว้คู่กันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย” (มาระโก 10:2-12; ปฐมกาล 2:24) พระเยซูเห็นด้วยว่าพระเจ้าเป็นผู้ริเริ่มให้มนุษย์มีชีวิตคู่ และท่านยังเห็นด้วยว่าถ้าแต่งงานกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ตอนแรกที่พระเจ้าให้มีการแต่งงานครั้งแรก พระองค์ไม่ได้บอกอาดัมกับเอวาว่าพวกเขาจะหย่าได้ แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ความตั้งใจของพระองค์ก็คือให้ “ผู้ชายกับผู้หญิง” แต่งงานแล้วอยู่ด้วยกันตลอดไป ห18.12 น. 10-11 ว. 2-4
วันศุกร์ที่ 11 กันยายน
ให้เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่—โรม 12:2
ตอนที่เราเริ่มเรียนความจริง เรารู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งพื้นฐานของพระยะโฮวา แต่พอเราก้าวหน้ามากขึ้น เราก็ได้รู้ความคิดของพระองค์มากขึ้น เช่น พระองค์ชอบอะไรไม่ชอบอะไร และพระองค์มองเรื่องต่าง ๆ อย่างไร และนี่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกและการกระทำของเรา แม้เราชอบฝึกที่จะคิดเหมือนพระยะโฮวา แต่บางครั้งก็อาจทำได้ยากเพราะเราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ เช่น เรารู้ว่าพระองค์คิดอย่างไรกับเรื่องศีลธรรมที่ดี เรื่องเงิน เรื่องเลือด การประกาศ และเรื่องอื่น ๆ แต่เราอาจไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงคิดอย่างนั้น แล้วเราจะฝึกคิดเหมือนพระยะโฮวามากขึ้นได้อย่างไร? คำตอบเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนความคิดของเราใหม่ โดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เข้าใจความคิดของพระเจ้า คิดใคร่ครวญความคิดของพระองค์ และพยายามเต็มที่ที่จะคิดเหมือนพระองค์ ห18.11 น. 23-24 ว. 2-4
วันเสาร์ที่ 12 กันยายน
ผมต้องอ้อนวอนอีกนานแค่ไหนพระองค์ถึงจะมาช่วยให้รอดจากคนใจโหด?—ฮบก. 1:2
ฮาบากุกมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก รอบตัวเขามีแต่คนทำชั่วและชอบใช้ความรุนแรง มันเลยทำให้เขารู้สึกเศร้าใจมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นชาวอิสราเอลข่มเหงกันและทำกับคนอื่นแบบไม่ยุติธรรม ฮาบากุกสงสัยว่า ‘เรื่องชั่ว ๆ แบบนี้เมื่อไหร่จะจบลงซะที? ทำไมพระยะโฮวาปล่อยไว้ตั้งนานไม่จัดการอะไรเลย?’ เขารู้สึกว่าแม้แต่จะปกป้องตัวเองก็ทำไม่ได้ เขาเลยขอร้องพระยะโฮวาให้จัดการ เขาอาจถึงกับเริ่มคิดว่าพระยะโฮวาไม่สนใจประชาชนของพระองค์แล้ว หรือคิดว่าพระองค์จะไม่จัดการอะไรเลย คุณเองเคยคิดเหมือนฮาบากุกไหม? ฮาบากุกถามคำถามพวกนี้เพราะเขาเลิกวางใจพระยะโฮวาและเลิกมั่นใจในคำสัญญาของพระองค์แล้วไหม? ไม่ใช่เลย เขาถามเพื่อจะขอให้พระยะโฮวาช่วยเรื่องที่เขาสงสัยและช่วยเขาจัดการกับปัญหา นี่แสดงว่าเขาไม่ได้สิ้นหวังแต่ยังวางใจพระองค์อยู่ จริง ๆ แล้วฮาบากุกรู้สึกกังวลและสับสน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพระยะโฮวาไม่จัดการสักที ทำไมพระองค์ถึงปล่อยให้เขาทุกข์ใจขนาดนี้ ห18.11 น. 14 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน
เลิกสะสมทรัพย์สมบัติให้ตัวเองบนโลกได้แล้ว—มธ. 6:19
เปโตรกับอันดรูว์เป็นชาวประมง พอพระเยซูชวนพวกเขามาเป็นสาวก พวกเขาก็เลิกอาชีพนั้นทันที (มัทธิว 4:18-20) แต่การมาเรียนความจริงไม่ได้แปลว่าคุณต้องเลิกทำงาน ทุกคนต้องทำงานเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว (1 ทิโมธี 5:8) แต่พอคุณเรียนคัมภีร์ไบเบิล คุณจะมองทรัพย์สมบัติเงินทองไม่เหมือนเดิม วัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่อมาเรียได้ทำแบบนั้น มาเรียชอบเล่นกอล์ฟตั้งแต่เด็ก พอถึงชั้นมัธยมปลาย เธอก็เล่นเก่งขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัย มาเรียมีเป้าหมายอยากเป็นโปรกอล์ฟเพื่อจะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ แต่แล้วมาเรียก็เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้มาใช้ในชีวิต แล้วเธอก็รู้ว่าการเอาทั้งเรื่องพระเจ้าและเรื่องกอล์ฟมันยากมาก (มัทธิว 6:24) เธอเลยเลิกคิดจะเป็นโปรกอล์ฟและสละโอกาสที่จะร่ำรวยและมีชื่อเสียง ทุกวันนี้เธอเป็นไพโอเนียร์และบอกว่า “ฉันมีชีวิตที่มีความหมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันมีความสุขมากที่สุดในชีวิตเลยค่ะ” ห18.11 น. 5 ว. 9-10
วันจันทร์ที่ 14 กันยายน
เขาเป็นช่างไม้ ลูกชายมารีย์—มก. 6:3
ตอนที่อายุ 30 พระเยซูเลิกเป็นช่างไม้ แล้วมาเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ที่ทำอย่างนี้เพราะท่านรู้ว่างานนี้เป็นงานที่สำคัญที่สุด ท่านบอกว่างานประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระเจ้าส่งท่านมาบนโลก (มัทธิว 20:28; ลูกา 3:23; 4:43) พระเยซูทุ่มเทชีวิตเพื่อประกาศข่าวดีและอยากให้คนอื่นทำเหมือนกัน (มัทธิว 9:35-38) พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นช่างไม้ แต่ทุกคนเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่สอนข่าวดีให้กับคนอื่น งานนี้สำคัญมากจนพระเจ้ามีส่วนร่วมในงานนี้ด้วย ที่จริง เราถูกเรียกว่า “เพื่อนร่วมงานของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 3:9; 2 โครินธ์ 6:4) เราเห็นด้วยกับผู้เขียนหนังสือสดุดีที่บอกว่า “คำของพระองค์ทั้งหมดเป็นความจริง” (สดุดี 119:159, 160) เพราะคำของพระยะโฮวาเป็นความจริง เราเลยพยายาม “ใช้ถ้อยคำของพระองค์ที่เป็นความจริงอย่างถูกต้อง” ในงานรับใช้ (2 ทิโมธี 2:15) เราจึงพยายามใช้คัมภีร์ไบเบิลให้เก่ง ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลเป็นเครื่องมือหลักในการสอนเรื่องพระยะโฮวา พระเยซู และรัฐบาลของพระเจ้า ห18.10 น. 11 ว. 1-2
วันอังคารที่ 15 กันยายน
ช่วยคนที่อ่อนแอ และอย่าลืมสิ่งที่พระเยซูผู้เป็นนายเคยพูดไว้—กจ. 20:35
ถ้าสามีเลียนแบบพระเยซูผู้นำที่แสดงความรัก มันก็ทำให้ภรรยารู้สึกว่าง่ายที่จะ “นับถือสามีจากใจ” (เอเฟซัส 5:22-25, 33) และเมื่อภรรยานับถือสามี เธอจะพยายามเข้าใจและคิดถึงความรู้สึกของเขา ถ้าพ่อแม่คิดถึงความรู้สึกของกันและกัน ลูก ๆ ก็จะเลียนแบบ นอกจากนั้น พ่อแม่ต้องสอนลูกให้คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นด้วย เช่น พวกเขาต้องสอนลูกไม่ให้วิ่งในหอประชุม และสอนลูกตอนไปกินเลี้ยงสังสรรค์ว่าต้องรอให้คนที่อายุมากไปตักข้าวก่อน เราควรชมเมื่อเด็กทำสิ่งดี ๆ เช่น เปิดประตูให้เรา นี่จะทำให้เด็กรู้สึกดีและเรียนรู้ว่า “การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” ห18.09 น. 29 ว. 5-6
วันพุธที่ 16 กันยายน
คุณมีผู้นำเพียงผู้เดียวนั่นคือพระคริสต์—มธ. 23:10
การชี้นำที่เราได้รับจากพระเยซูซึ่งเป็นกษัตริย์ที่กำลังปกครองอยู่จะช่วยเราทั้งตอนนี้และอนาคต ดังนั้น ให้คุณมองที่ผลดีที่คุณได้รับจากการปรับเปลี่ยนตามคำแนะนำใหม่ ตอนนมัสการประจำครอบครัวให้ลองคุยกันว่าการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการประชุมหรือการประกาศช่วยครอบครัวคุณอย่างไร ถ้าเราจำไว้ว่าการทำตามคำแนะนำขององค์การของพระยะโฮวาทำให้เกิดผลดีมากมาย เราก็จะรู้สึกง่ายขึ้นและมีความสุขที่จะทำตามคำแนะนำนั้น เช่น เนื่องจากองค์การไม่ได้พิมพ์หนังสือเยอะเหมือนเมื่อก่อน เลยทำให้ประหยัดเงินได้มาก และเพราะองค์การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เลยทำให้มีการประกาศข่าวดีไปถึงผู้คนได้มากขึ้น ขอคุณใช้แท็บเล็ตหรือมือถือเพื่ออ่านหนังสือ ฟังไฟล์เสียง หรือดูวีดีโอต่าง ๆ มากขึ้นแทนที่จะสั่งหนังสือเป็นเล่ม นี่เป็นวิธีหนึ่งที่จะสนับสนุนพระเยซูซึ่งต้องการให้เราใช้ทรัพยากรขององค์การอย่างฉลาด ตอนที่เราสนับสนุนการชี้นำของพระเยซู เราก็ช่วยให้พี่น้องมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ห18.10 น. 25-26 ว. 17-19
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน
เรารักพวกคุณจริง ๆ เราจึงไม่ได้ให้แค่ข่าวดีของพระเจ้ากับพวกคุณเท่านั้น แต่ตั้งใจจะให้ชีวิตของเราเองด้วย—1 ธส. 2:8
เมื่อเราอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนพระยะโฮวา เราอาจจะเป็นคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของพี่น้องก็ได้ (2 โครินธ์ 1:3-6) อย่างไรก็ตาม อย่าคาดหมายให้พี่น้องสมบูรณ์แบบ ต้องคิดถึงความเป็นจริงเสมอ ถ้าคุณคาดหมายความสมบูรณ์แบบจากพี่น้อง คุณจะผิดหวัง (ปัญญาจารย์ 7:21, 22) จำไว้ว่าพระยะโฮวาคาดหมายจากเราตามความเป็นจริง ดังนั้น เราต้องอดทนกันและกัน (เอเฟซัส 4:2, 32) เราต้องไม่ทำให้พี่น้องรู้สึกว่าเขายังรับใช้พระยะโฮวาไม่มากพอ และอย่าเปรียบเทียบเขากับคนอื่น แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราต้องให้กำลังใจพี่น้อง ชมสิ่งดี ๆ ที่เขาทำ การทำแบบนี้ทำให้เขารับใช้พระยะโฮวาอย่างมีความสุข—กาลาเทีย 6:4 ห18.09 น. 16 ว. 16-17
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน
อาหารของผมคือการทำตามความประสงค์ของผู้ที่ใช้ผมมาและทำงานของพระองค์ให้สำเร็จ—ยน. 4:34
การทำตามความประสงค์ของพระเจ้าเป็นเหมือนอาหารสำหรับพระเยซู การกินอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยให้เรารู้สึกดีและมีสุขภาพแข็งแรง เหมือนกัน การทำตามความประสงค์ของพระเจ้าก็จะช่วยให้เรารู้สึกดีและมีความเชื่อที่เข้มแข็งขึ้น ถ้าเราทำตามที่พระยะโฮวาบอกก็แสดงว่าเรามีสติปัญญา (ยากอบ 3:13) คนที่มีสติปัญญาจะได้รับสิ่งดี ๆ มากมาย คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ทุกสิ่งที่ลูกอยากได้ยังเทียบกับสติปัญญาไม่ได้เลย . . . สติปัญญาเป็นต้นไม้ที่ให้ชีวิต คนที่ยึดมั่นในสติปัญญาจะมีชีวิตและมีความสุข” (สุภาษิต 3:13-18) พระเยซูบอกว่า “ถ้าพวกคุณรู้เรื่องนี้แล้วทำตาม พวกคุณจะมีความสุข” (ยอห์น 13:17) พวกสาวกจะมีความสุขก็ต่อเมื่อพวกเขาทำตามที่พระเยซูบอกต่อ ๆ ไป พวกเขาต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตทำตามคำสอนและเลียนแบบตัวอย่างของท่าน ห18.09 น. 4 ว. 4-5
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน
พระเจ้าจึงสร้างมนุษย์ตามแบบพระองค์—ปฐก. 1:27
แม้อาดัมกับเอวาจะอยู่กันตามลำพังในสวนเอเดน แต่พวกเขาก็น่าจะคิดถึงคนอื่นด้วย ทำไม? พระยะโฮวามอบหมายงานให้พวกเขาทำคือให้เกิดลูกหลานมากมายเต็มโลกและทำให้โลกเป็นสวนอุทยาน (ปฐมกาล 1:28) อาดัมกับเอวาควรจะคิดถึงลูกหลานที่จะเกิดมาและอยากให้พวกเขามีความสุขเหมือนที่พระยะโฮวาอยากให้ทุกคนมีความสุข พวกเขาทุกคนจะร่วมมือกันทำให้โลกเป็นสวนอุทยาน นี่เป็นงานที่ใหญ่จริง ๆ เพื่อทำให้โลกเป็นสวนอุทยาน มนุษย์สมบูรณ์แบบต้องร่วมมือทำงานกับพระยะโฮวาอย่างเต็มที่และทำให้ความประสงค์ของพระองค์เป็นจริง ในวิธีนี้ พวกเขาจะได้เข้าไปในที่หยุดพักของพระเจ้า (ฮีบรู 4:11) ลองคิดดูสิว่า งานนี้จะทำให้มีความสุขขนาดไหน พระยะโฮวาจะอวยพรพวกเขามากมายที่ทำงานอย่างไม่เห็นแก่ตัวและห่วงใยคนอื่น ห18.08 น. 18 ว. 2; น. 19-20 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน
เขาใส่ร้ายผมให้ท่านฟัง กษัตริย์ผู้เป็นนายของผม—2 ซม. 19:27
คุณจะทำอย่างไรถ้ามีบางคนกระจายเรื่องโกหกเกี่ยวกับคุณ? พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็เจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน (มัทธิว 11:18, 19) แล้วพระเยซูทำอย่างไร? พระเยซูไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงและเวลาทั้งหมดไปกับการพยายามทำให้คนอื่นเชื่อว่าเรื่องนั้นไม่จริง แต่พระเยซูสอนให้ผู้คนดูที่ข้อเท็จจริง ท่านอยากให้พวกเขาสนใจสิ่งที่ท่านสอนและทำ ท่านบอกว่า “สติปัญญาที่แท้จริงก็เห็นได้จากผลที่ปรากฏออกมา” (มัทธิว 11:19) เราได้บทเรียนที่มีค่าเรื่องนี้จากพระเยซู บางครั้งผู้คนพูดไม่ดีเกี่ยวกับเราในแบบที่ไม่ยุติธรรม และเราอาจกลัวว่ามันจะทำให้เราเสียชื่อ ถ้าบางคนพูดโกหกเกี่ยวกับเรา เราควรใช้ชีวิตในแบบที่ทำให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนอย่างไรจริง ๆ และอย่างที่เห็นจากตัวอย่างของพระเยซู ความประพฤติที่ดีของเราจะแสดงให้เห็นว่าเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างเกี่ยวกับตัวเราหรือเรื่องที่คนอื่นกล่าวหาเรา มันไม่เป็นความจริงเลย ห18.08 น. 6 ว. 11-13
วันจันทร์ที่ 21 กันยายน
ให้เกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้า นมัสการพระองค์ ใกล้ชิดกับพระองค์—ฉธบ. 10:20
คาอิน โซโลมอน และชาวอิสราเอลมีโอกาสกลับใจและเปลี่ยนแปลงตัวเอง (กิจการ 3:19) พระยะโฮวาไม่ได้หมดหวังในตัวพวกเขาทันทีเพียงเพราะพวกเขาทำผิดแค่ครั้งเดียวเหมือนอย่างที่เราเห็นในกรณีของอาโรนที่พระยะโฮวาให้อภัยเขา ในทุกวันนี้พระยะโฮวาก็ให้คำเตือนเพื่อปกป้องเราไม่ให้เราทำสิ่งที่พระองค์เกลียด พระองค์ให้เรามีคัมภีร์ไบเบิล หนังสือต่าง ๆ ขององค์การ และพี่น้องคริสเตียนเพื่อช่วยเตือนเรา ถ้าเราตั้งใจฟังคำเตือนของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าพระองค์จะเมตตาเราแน่นอนความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวามีจุดมุ่งหมาย (2 โครินธ์ 6:1) ความกรุณานี้ทำให้เรามีโอกาสที่จะ “ปฏิเสธการทำชั่วและความต้องการแบบโลก” (ทิตัส 2:11-14) ในยุคนี้ มีสถานการณ์หลายอย่างที่ทดสอบความซื่อสัตย์ภักดีที่เรามีต่อพระยะโฮวา ดังนั้น ขอให้เราตั้งใจอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาจริง ๆ ห18.07 น. 21 ว. 20-21
วันอังคารที่ 22 กันยายน
พระยะโฮวารู้ว่าใครเป็นคนของพระองค์—2 ทธ. 2:19
ถ้าความอยากที่จะเป็นคนสำคัญสำหรับพระยะโฮวามีมากพอ เราก็จะไม่อยากเป็นคนสำคัญของโลก แล้วอะไรจะช่วยให้เรารู้สึกแบบนั้น? เราต้องคิดถึงความจริงสำคัญ 2 อย่าง อย่างแรก พระยะโฮวาให้ความสำคัญเสมอกับคนที่รับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ (ฮีบรู 6:10; 11:6) สำหรับพระยะโฮวาแล้ว ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ทุกคนมีค่ามาก ถึงขนาดที่พระองค์ถือว่าการไม่สนใจผู้รับใช้คนหนึ่งเป็นการ “ทำสิ่งที่ชั่ว” พระองค์ “รู้จักทางของคนดี” และรู้วิธีช่วยพวกเขา (สดุดี 1:6; 2 เปโตร 2:9) ความจริงอย่างที่สองคือ พระยะโฮวาอาจให้ความสำคัญกับเราในแบบที่เราอาจคิดไม่ถึง ถ้าคนเราทำดีแค่เพื่อจะให้คนอื่นชม พระยะโฮวาจะไม่ให้รางวัลเขา ทำไม? พระเยซูบอกว่า นั่นก็เป็นรางวัลของเขาอยู่แล้ว (มัทธิว 6:1-5) ตรงกันข้าม พระยะโฮวา “ผู้เห็นทุกสิ่ง” มองเห็นคนที่ทำดีแต่ไม่มีใครชม พระองค์สังเกตเห็นสิ่งที่เขาทำ พระองค์จะให้รางวัลและอวยพรเขา และบางครั้งพระองค์ก็ให้รางวัลผู้รับใช้ของพระองค์ในวิธีที่พวกเขาคิดไม่ถึง ห18.07 น. 9 ว. 8, 10
วันพุธที่ 23 กันยายน
สิ่งที่พระเจ้าทำให้สะอาดแล้ว อย่าถือว่าไม่สะอาดอีกเลย—กจ. 10:15
เปโตรไม่เข้าใจว่าเสียงนั้นอยากให้เขาทำอะไร ตอนที่เขายังงงและสงสัยอยู่ก็มีคนของโคร์เนลิอัสมาที่หน้าบ้านของเขา และพลังบริสุทธิ์ก็สั่งให้เขาไปที่บ้านโคร์เนลิอัส เปโตรก็เลยไป ถ้าเปโตรตัดสิน “ตามที่เห็นภายนอก” เขาไม่มีทางที่จะไปบ้านโคร์เนลิอัสแน่นอน ปกติแล้วชาวยิวจะไม่ไปที่บ้านคนต่างชาติ แล้วทำไมเปโตรถึงไป? แม้เขาจะมีอคติกับคนต่างชาติ แต่นิมิตที่เขาเพิ่งเห็นรวมทั้งการได้รับการชี้นำจากพลังบริสุทธิ์ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป และหลังจากที่เปโตรได้ฟังโคร์เนลิอัสพูด เขาก็บอกว่า “ตอนนี้ผมเข้าใจจริง ๆ แล้วว่าพระเจ้าไม่ลำเอียง พระองค์ยอมรับทุกคนที่เกรงกลัวพระองค์และทำสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนชาติไหนก็ตาม” (กิจการ 10:34, 35) เปโตรตื่นเต้นกับความเข้าใจใหม่นี้ ห18.08 น. 9 ว. 3-4
วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน
ให้เกลียดความชั่ว—อมส. 5:15
ถ้าเรารู้ว่าพระยะโฮวาเกลียดอะไร เราก็จะไม่ยุ่งกับสิ่งนั้นแน่นอน แต่เราจะทำอย่างไรถ้าบางเรื่องไม่มีบอกอย่างเจาะจงในกฎหมายของพระเจ้า? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าอยากให้เราทำอะไรจริง ๆ? ถ้าเรายอมให้คัมภีร์ไบเบิลฝึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเรา เราจะตัดสินใจอย่างฉลาดได้ เนื่องจากพระยะโฮวารักเรา พระองค์จึงให้หลักการที่ช่วยชี้นำความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเรา พระองค์บอกว่า “เรายะโฮวาเป็นพระเจ้าของเจ้า เราสอนเจ้าก็เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง เรานำทางเจ้าให้เดินในทางที่ถูกต้อง” (อิสยาห์ 48:17, 18) ถ้าเราคิดใคร่ครวญหลักการในคัมภีร์ไบเบิลอย่างลึกซึ้งและให้มันกระตุ้นหัวใจของเรา เราก็จะได้รับการแก้ไขและมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ชี้นำเราให้ทำสิ่งที่ถูกต้องได้ ผลก็คือมันจะทำให้เราตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างฉลาด หลักการเป็นความจริงพื้นฐานที่ชี้นำความคิดและช่วยเราให้ตัดสินใจอย่างดีได้ การที่เรารู้หลักการของพระยะโฮวาจะช่วยเราให้เข้าใจความคิดของพระองค์และเหตุผลที่พระองค์ให้กฎหมายกับเรา ห18.06 น. 17 ว. 5; น. 18 ว. 8-10
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน
ถูกต้องไหมที่เราจะเสียภาษีให้ซีซาร์?—มธ. 22:17
“พรรคพวกของเฮโรด” คือพวกที่มีแนวคิดทางการเมืองแบบเฮโรดหวังว่าถ้าพระเยซูตอบว่าพวกเขาไม่ต้องจ่ายภาษี พวกเขาก็สามารถกล่าวหาท่านว่าเป็นศัตรูของจักรวรรดิโรมันได้ แต่ถ้าพระเยซูตอบว่าต้องจ่าย ประชาชนก็จะเลิกติดตามท่าน แล้วพระเยซูจะทำอย่างไร? พระเยซูระมัดระวังมากเพื่อจะรักษาความเป็นกลาง พระเยซูรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเก็บภาษีจะเป็นพวกขี้โกง แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจตรงนั้น สิ่งที่ท่านสนใจคือรัฐบาลของพระเจ้าที่จะมาแก้ไขปัญหาของมนุษย์ได้จริง ๆ พระเยซูเป็นตัวอย่างให้เราในเรื่องนี้ ถ้าเป็นเรื่องการเมืองเราจะไม่เข้าข้างฝ่ายไหน ถึงฝ่ายนั้นจะดูเหมือนทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม และอีกฝ่ายหนึ่งดูเหมือนทำผิดและไม่ยุติธรรมเลย แต่สิ่งที่คริสเตียนสนใจก็คือรัฐบาลของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์บอกว่าถูกต้องเท่านั้น เพราะอย่างนี้เราจะไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่ยุติธรรมและไม่ว่ารัฐบาล (มัทธิว 6:33) พยานฯ หลายคนสามารถเลิกแนวคิดที่รุนแรงเรื่องการเมืองได้ ห18.06 น. 6 ว. 9-11
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน
ลูก ๆ ของพระเจ้าเที่ยงแท้สังเกตเห็นว่าลูกสาวของมนุษย์สวย—ปฐก. 6:2
นอกจากซาตานจะใช้การผิดศีลธรรมทางเพศล่อใจทูตสวรรค์แล้ว มันคงสัญญากับทูตสวรรค์พวกนั้นด้วยว่าจะให้มีอำนาจเหนือผู้คน ที่ซาตานทำอย่างนี้อาจเป็นเพราะมันอยากขัดขวางคำพยากรณ์ของพระยะโฮวาเรื่อง “ลูกหลานของผู้หญิง” (ปฐมกาล 3:15) แต่พระยะโฮวาไม่ปล่อยให้มันทำสำเร็จ พระองค์เอาน้ำมาท่วมโลกเพื่อทำลายแผนของมันและพวกปีศาจ การผิดศีลธรรมและความหยิ่งเป็นเหยื่อล่อที่ใช้ได้ผลมาก แม้ว่าทูตสวรรค์ที่อยู่ฝ่ายซาตานจะเคยอยู่กับพระยะโฮวามานานมากก็ตาม แต่พวกมันก็ยอมให้ตัวเองมีความต้องการผิด ๆ แถมยังปล่อยให้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เราต้องจำไว้ว่าไม่ว่าเราจะรับใช้พระยะโฮวามานานแค่ไหนก็ตาม อาจเป็นไปได้ที่ความต้องการที่ไม่ดีจะเริ่มฝังในหัวใจเรา (1 โครินธ์ 10:12) ดังนั้น เราต้องตรวจสอบตัวเองเป็นประจำว่าหัวใจของเราเป็นอย่างไร มีความคิดที่ผิดศีลธรรมและมีความหยิ่งไหม ถ้ามี เราต้องรีบจัดการ—กาลาเทีย 5:26; โคโลสี 3:5 ห18.05 น. 25 ว. 11-12
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน
ผมเศร้าจริง ๆ และปวดร้าวใจไม่หาย—รม. 9:2
เปาโลรู้สึกท้อที่ชาวยิวไม่ฟังตอนที่เขาประกาศเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า แต่ถึงอย่างนั้นเปาโลก็ไม่ได้หยุดประกาศกับพวกเขา เปาโลอธิบายความรู้สึกที่มีต่อชาวยิวว่า “ผมหวังดีกับพวกอิสราเอลจากใจจริงและผมอ้อนวอนพระเจ้าให้พวกเขาได้รับความรอด ผมบอกได้ว่า พวกเขามีใจกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้า แต่ขาดความรู้ที่ถูกต้อง” (โรม 10:1, 2) เปาโลบอกว่าที่เขาประกาศกับชาวยิวต่อไปก็เพราะ ‘เขาหวังดีจากใจจริง’ เขาอยากช่วยให้ชาวยิวรอด (โรม 11:13, 14) เปาโลอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาช่วยชาวยิวแต่ละคนให้ฟังเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า และพูดถึงชาวยิวว่า “พวกเขามีใจกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้า” คำพูดนี้แสดงว่าเปาโลเห็นสิ่งดี ๆ ในตัวชาวยิวและมองว่าพวกเขาสามารถรับใช้พระยะโฮวาได้ เขารู้ว่าชาวยิวที่กระตือรือร้นอาจเข้ามาเป็นสาวกของพระคริสต์ที่กระตือรือร้นเหมือนกับเขา ห18.05 น. 13 ว. 4; น. 15 ว. 13-14
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน
ให้พูดแต่สิ่งดี ๆ ซึ่งให้กำลังใจคนที่ต้องการกำลังใจ เพื่อให้คนฟังได้รับประโยชน์—อฟ. 4:29
เราแต่ละคนควรพยายามสังเกตว่าคนอื่น “ต้องการ” อะไร เพื่อเราจะช่วยพวกเขาได้ เปาโลเขียนถึงคริสเตียนชาวฮีบรูว่าต้องช่วย “ให้มือที่ห้อยอยู่และหัวเข่าที่อ่อนแรงมีกำลังขึ้น และทำทางเดิน . . . ให้ตรงอยู่เสมอเพื่อขาที่พิการจะไม่หลุดจากข้อ แต่จะหายเป็นปกติ” (ฮีบรู 12:12, 13) จริง ๆ แล้วเราทุกคนสามารถพูดให้กำลังใจคนอื่นได้ แม้ว่าเราจะอายุยังน้อยด้วยซ้ำ เปาโลเขียนถึงคริสเตียนในเมืองฟีลิปปีว่า “ดังนั้น พวกคุณต้องให้กำลังใจกันแบบพระคริสต์ ปลอบใจกันด้วยความรัก ห่วงใยกัน แสดงความรักที่ลึกซึ้งต่อกัน และเห็นอกเห็นใจกัน ผมมีความสุขจริง ๆ ถ้าพวกคุณคิดเหมือนกัน มีความรักอย่างเดียวกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความคิดไปในทางเดียวกัน อย่าทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือถือว่าตัวเองสำคัญ แต่ให้ถ่อมตัวและมองว่าคนอื่นดีกว่าตัวเอง อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ให้เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นด้วย”—ฟีลิปปี 2:1-4 ห18.04 น. 22 ว. 10; น. 23 ว. 12
วันอังคารที่ 29 กันยายน
ให้ใช้ชีวิตแบบคนที่มีอิสระ แต่ใช้อิสรภาพนั้นเพื่อรับใช้พระเจ้าอย่างทาส—1 ปต. 2:16
เหตุผลที่พระยะโฮวาใช้พระเยซูปลดปล่อยเราจากการเป็นทาสของบาปและความตายก็เพื่อที่เราจะใช้ทั้งชีวิตรับใช้พระองค์ วิธีที่ดีที่สุดที่เราจะใช้อิสระของเราคือใช้เวลาและกำลังเพื่อรับใช้พระยะโฮวาอย่างเต็มที่ ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะไม่ให้ความต้องการของเราเองและเป้าหมายแบบโลกเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต (กาลาเทีย 5:16) ขอให้คิดถึงโนอาห์กับครอบครัว พวกเขาอยู่ในโลกที่รุนแรงและไม่มีศีลธรรม แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำเหมือนที่ผู้คนรอบตัวทำและไม่ได้มีเป้าหมายเหมือนคนเหล่านั้น พวกเขาเลือกที่จะยุ่งอยู่กับการทำงานที่พระยะโฮวามอบหมาย พวกเขาสร้างเรือ เก็บเสบียงสำหรับพวกเขาและสัตว์ และไปเตือนผู้คนเรื่องน้ำท่วมโลก “โนอาห์ทำตามที่พระเจ้าสั่ง เขาทำตามทุกอย่าง” (ปฐมกาล 6:22) นี่ทำให้โนอาห์และครอบครัวรอดชีวิตจากจุดจบของโลกในตอนนั้น—ฮีบรู 11:7 ห18.04 น. 10 ว. 8; น. 11 ว. 11-12
วันพุธที่ 30 กันยายน
ผมจะยกอำนาจและความยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้ให้คุณ มันเป็นของผมและผมอยากจะยกให้ใครก็ได้—ลก. 4:6
ซาตานกับพวกปีศาจหลอกลวงโลก “ทั้งโลก” โดยใช้ศาสนาเท็จและโลกธุรกิจ (วิวรณ์ 12:9) มันใช้ศาสนาเท็จเพื่อแพร่คำโกหกเรื่องของพระยะโฮวาและพยายามทำให้ผู้คนไม่รู้จักชื่อของพระองค์ (เยเรมีย์ 23:26, 27) นี่ทำให้คนที่อยากรู้จักพระเจ้าจริง ๆ คิดว่าพวกเขากำลังนมัสการพระองค์อยู่ แต่ที่แท้แล้วพวกเขากำลังนมัสการพวกปีศาจต่างหาก (1 โครินธ์ 10:20; 2 โครินธ์ 11:13-15) ซาตานยังใช้โลกธุรกิจด้วยเพื่อแพร่คำโกหกว่าสิ่งของและเงินทองจะทำให้คนเรามีความสุขจริง ๆ (สุภาษิต 18:11) หลายคนเชื่อคำโกหกนี้โดยใช้ชีวิตเพื่อรับใช้ “ทรัพย์สมบัติ” แทนที่จะรับใช้พระเจ้า (มัทธิว 6:24) นี่ทำให้แม้แต่คนที่เคยรักพระเจ้ากลับรักทรัพย์สมบัติมากจนไม่เหลือความรักให้พระองค์อีกต่อไป—มัทธิว 13:22; 1 ยอห์น 2:15, 16 ห18.05 น. 23 ว. 6-7