ธันวาคม
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม
คนที่สงสัยก็เป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปซัดมา—ยก. 1:6
เราอาจจะสงสัยเพราะมีบางเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลที่เราไม่เข้าใจหรือเพราะพระยะโฮวาไม่ได้ตอบคำอธิษฐานอย่างที่เราคิด ถ้าเราปล่อยให้ความสงสัยยังค้างคาอยู่ในใจ ความเชื่อของเราก็อาจอ่อนแอลงและความสัมพันธ์ของเรากับพระยะโฮวาก็อาจมีปัญหา (ยก. 1:7, 8) นอกจากนั้น นี่อาจถึงกับทำให้เราไม่มั่นใจเกี่ยวกับความหวังของเราในอนาคตด้วย อัครสาวกเปาโลเปรียบเทียบความหวังเหมือนกับสมอเรือ (ฮบ. 6:19) สมอจะช่วยยึดเรือไว้ตอนที่เจอกับพายุและทำให้เรือไม่ลอยไปชนกับโขดหิน แต่ถ้าโซ่ที่คอยยึดเรือกับสมอขาด สมอนั้นก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย และเหมือนกับสนิมที่กัดกร่อนโซ่ของสมอเรือ ความสงสัยที่ยังค้างคาใจก็ทำให้ความเชื่ออ่อนแอลง ถ้าเรายังไม่จัดการกับความสงสัยแล้วไปเจอการต่อต้าน เราอาจจะไม่เชื่อว่าพระยะโฮวาจะทำตามที่สัญญาได้จริง ถ้าเราหมดความเชื่อ ความหวังที่เราเคยมีก็จะหายไปด้วย คนแบบนั้นไม่มีทางมีความสุขได้แน่ ๆ ห21.02 น. 30 ว. 14-15
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม
อับราฮัมเชื่อในพระยะโฮวา—ยก. 2:23
ตอนที่อับราฮัมกับครอบครัวออกจากเมืองเออร์ เขาน่าจะอายุมากกว่า 70 ปีแล้ว (ปฐก. 11:31-12:4) เขาต้องเดินทางเร่ร่อนในแผ่นดินคานาอันและอาศัยอยู่ในเต็นท์ประมาณ 100 ปี ในที่สุดเขาตายตอนอายุ 175 ปี (ปฐก. 25:7) แต่อับราฮัมก็ยังไม่เห็นพระยะโฮวาให้แผ่นดินที่พระองค์สัญญาไว้กับลูกหลานของเขา และเขาก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนเห็นเมืองหรือรัฐบาลของพระเจ้าตั้งขึ้น แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “อับราฮัมตายตอนที่แก่ชรามากแล้ว เขามีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข” (ปฐก. 25:8) ทั้ง ๆ ที่มีปัญหามากมายในชีวิตแต่เขาก็ยังมีความเชื่อเข้มแข็งและเต็มใจรอพระยะโฮวา ทำไมเขาถึงอดทนรอพระยะโฮวาได้? ก็เพราะว่าตลอดชีวิตของเขาพระยะโฮวาคุ้มครองดูแลและเป็นเพื่อนเขาเสมอ (ปฐก. 15:1; อสย. 41:8; ยก. 2:22) เหมือนกับอับราฮัมเราก็กำลังรอเมืองที่ตั้งอยู่บนฐานรากที่มั่นคงด้วย (ฮบ. 11:10) แต่เราไม่ได้รอให้เมืองนี้ถูกสร้างขึ้น รัฐบาลของพระเจ้าตั้งขึ้นแล้วในปี 1914 และควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์แล้ว แต่เรากำลังรอให้รัฐบาลของพระเจ้าควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ด้วย—วว. 12:7-10 ห20.08 น. 4-5 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม
ความคิดในใจคนเป็นเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะตักขึ้นมาได้—สภษ. 20:5
เพื่อจะตั้งใจฟังคนอื่น เราต้องเป็นคนถ่อมและอดทน มีเหตุผลอย่างน้อย 3 อย่างที่ทำไมการพยายามตั้งใจฟังถึงคุ้มค่า เหตุผลแรก การทำอย่างนี้จะช่วยให้เราไม่ด่วนสรุปง่ายและโอกาสที่เราจะเข้าใจพี่น้องผิดก็จะน้อยลง เหตุผลที่สอง เราจะเข้าใจความรู้สึกและเจตนาของพี่น้องซึ่งนี่จะช่วยเราให้เป็นคนเห็นอกเห็นใจมากขึ้น และเหตุผลที่สาม เราอาจช่วยพี่น้องให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เพราะบางครั้งคนเราไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองจนกว่าจะได้ระบายออกมาเป็นคำพูด สำหรับพี่น้องบางคนการพูดความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย อาจเป็นเพราะภูมิหลังของเขา ประสบการณ์ในอดีต วัฒนธรรม หรือบุคลิกนิสัยของเขา กว่าเขาจะรู้สึกสบายใจที่จะพูดกับเราก็อาจใช้เวลาเหมือนกัน แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่เราจะเข้าใจได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรจริง ๆ ดังนั้น ถ้าเราเลียนแบบพระยะโฮวาโดยอดทน พี่น้องก็จะไว้ใจเรา และเมื่อเขาพร้อมระบายความรู้สึกของตัวเองออกมา เราก็ต้องตั้งใจฟัง ห20.04 น. 15-16 ว. 6-7
วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม
คุณจะไปหาคนแทนที่จะหาปลา—ลก. 5:10
ส่วนใหญ่แล้วปลาจะอยู่ในน้ำที่มีสภาพที่เหมาะกับมันและในที่ที่มีอาหารเยอะ นอกจากนั้น เวลาที่ชาวประมงจะออกหาปลาก็เป็นเรื่องสำคัญด้วย พี่น้องท้องถิ่นคนหนึ่งที่อยู่ในเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกได้ชวนมิชชันนารีคนหนึ่งไปหาปลาด้วยกัน มิชชันนารีคนนั้นบอกว่า “เจอกันพรุ่งนี้ 9 โมงเช้า” แต่พี่น้องคนนั้นบอกว่า “ไม่ได้หรอก เราต้องไปเวลาที่จะเจอปลาไม่ใช่เวลาที่เราสะดวก” มิชชันนารีคนนั้นได้มาเข้าใจว่ามีเวลาเฉพาะที่จะออกหาปลาไม่ใช่จะไปตอนไหนก็ได้ เหมือนกันสาวกของพระเยซูในศตวรรษแรกก็ไป “หาคน” ในเวลาและสถานที่ที่พวกเขารู้ว่าจะเจอผู้คนได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น พวกเขาไปประกาศที่วิหาร ไปที่ประชุมของชาวยิว ไปตามบ้าน แล้วก็ไปที่ตลาด (กจ. 5:42; 17:17; 18:4) เราก็เหมือนกัน เราต้องรู้ว่าผู้คนในเขตของเราเป็นอย่างไร แล้วเราก็ต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อไปประกาศในเวลาและสถานที่ที่เราจะเจอพวกเขาได้มากที่สุด—1 คร. 9:19-23 ห20.09 น. 4 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม
ให้เราพูดความจริงและแสดงความรัก แล้วเราก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในทุกด้านและใช้ชีวิตแบบพระคริสต์ผู้นำของเรา—อฟ. 4:15
วิธีหนึ่งที่เราจะสนิทกับพระเยซูก็คือสนับสนุนองค์การของพระยะโฮวา เราจะสนิทกับพระเยซูผู้นำของประชาคมมากขึ้นถ้าเราให้ความร่วมมือกับคนที่ได้รับการแต่งตั้งเพื่อดูแลเรา (อฟ. 4:16) ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เราพยายามใช้หอประชุมอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ที่สุด และเพื่อจะทำอย่างนั้นได้จึงต้องรวมบางประชาคมเข้าด้วยกัน การปรับเปลี่ยนนี้ทำให้องค์การประหยัดการใช้เงินบริจาคขึ้นเยอะ แต่นี่อาจทำให้ผู้ประกาศบางคนต้องปรับเปลี่ยน ผู้ประกาศที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ต้องย้ายจากประชาคมที่เขาอยู่มานานและย้ายจากพี่น้องที่เขาสนิท พระเยซูต้องมีความสุขมากแน่ ๆ เมื่อเห็นสาวกที่ภักดีเหล่านี้ให้ความร่วมมือกับองค์การ ห20.04 น. 24 ว. 14
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม
กษัตริย์ทิศใต้กับกษัตริย์ทิศเหนือจะงัดข้อกัน—ดนล. 11:40; เชิงอรรถ
กษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้สู้กันต่อไปเพื่อแย่งกันเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ตัวอย่างเช่น หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตและชาติพันธมิตรมีอิทธิพลอย่างมากเหนือทวีปยุโรป กษัตริย์ทิศใต้จึงถูกกดดันให้รวมกลุ่มพันธมิตรทางการทหารกับประเทศอื่น ๆ เพื่อสู้กับกษัตริย์ทิศเหนือ นี่ทำให้เกิดองค์การซึ่งเป็นที่รู้จักว่านาโต้ กษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้ยังสู้กันโดยใช้เงินมหาศาลสร้างกองทัพของพวกเขาให้แข็งแกร่งที่สุดในโลก นอกจากนั้น พวกเขายังสู้กันในสงครามตัวแทนซึ่งเป็นสงครามที่ต่างฝ่ายต่างไม่ได้สู้กันโดยตรง แต่สนับสนุนพันธมิตรของตัวเองให้สู้กับประเทศอื่น พวกเขาสู้กันโดยใช้สงครามตัวแทนและโดยทำให้เกิดความไม่สงบทั้งในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกา ในช่วงไม่กี่ปีมานี้รัสเซียกับชาติพันธมิตรได้แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก พวกเขาได้ทำสงครามไซเบอร์กับกษัตริย์ทิศใต้ กษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้กล่าวหาว่าอีกฝ่ายพยายามใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำลายระบบเศรษฐกิจและระบบการเมืองของพวกเขา นอกจากนั้น ดาเนียลยังบอกด้วยว่ากษัตริย์ทิศเหนือจะโจมตีคนของพระเจ้าต่อไป—ดนล. 11:41 ห20.05 น. 13 ว. 5-6
วันพุธที่ 7 ธันวาคม
เราจะตามหาแกะของเราด้วยตัวเอง และเราจะดูแลพวกมัน—อสค. 34:11
“คนเป็นแม่จะลืมลูกที่ยังไม่หย่านม . . . หรือ?” พระยะโฮวาถามคำถามนี้ในสมัยของผู้พยากรณ์อิสยาห์ หลังจากนั้น พระองค์ก็บอกกับชาติอิสราเอลว่า “ถึงแม้เธอจะลืม แต่เราไม่มีทางลืมเจ้าเลย” (อสย. 49:15) ปกติแล้วพระองค์ไม่ค่อยเปรียบเทียบตัวเองกับแม่ แต่ในตอนนี้พระองค์เปรียบเทียบความผูกพันระหว่างแม่กับลูกเพื่อเน้นให้เห็นว่าพระองค์รักผู้รับใช้ของพระองค์มากแค่ไหน คนที่เป็นแม่หลายคนคงรู้สึกคล้ายกันกับแฮชมินที่บอกว่า “ตอนที่คุณให้นมลูก มันจะเกิดความผูกพันที่พิเศษระหว่างคุณกับลูกที่ยาวนานไปตลอดชีวิต” แค่ลูกของพระยะโฮวาคนหนึ่งเลิกประชุมเลิกประกาศ พระองค์ก็เสียใจมาก แต่ในทุกวันนี้มีพี่น้องเป็นพัน ๆ คนที่เลิกประกาศ ลองคิดดูว่าพระองค์จะเสียใจมากขนาดไหน ในช่วงที่ผ่านมามีพี่น้องที่เรารักหลายคนที่เลิกประชุมเลิกประกาศกลับเข้ามาที่ประชาคม นี่ทำให้เราดีใจมาก พระยะโฮวาอยากให้ทุกคนที่เลิกประชุมเลิกประกาศกลับมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง พวกเราก็อยากให้พวกเขากลับมาอีกครั้งหนึ่งเหมือนกัน—1 ปต. 2:25 ห20.06 น. 18 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม
มุ่งสนใจสิ่งที่มองไม่เห็น . . . เพราะสิ่งที่มองเห็นนั้นอยู่แค่ชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคงอยู่ตลอดไป—2 คร. 4:18
ไม่ใช่ของขวัญและสิ่งมีค่าทุกอย่างจะมองเห็นได้ ที่จริงของขวัญและสิ่งมีค่าที่สุดเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ในคำบรรยายบนภูเขา พระเยซูบอกว่าทรัพย์สมบัติในสวรรค์มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง ท่านยังบอกด้วยว่า “ทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย” (มธ. 6:19-21) ถ้าเรามองว่าสิ่งไหนมีค่าเราก็จะพยายามคว้ามาให้ได้ เราสะสม “ทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์” ได้โดยสร้างชื่อเสียงที่ดีกับพระเจ้า พระเยซูบอกว่าทรัพย์สมบัตินั้นจะไม่มีวันถูกทำลายและไม่มีใครมาขโมยได้ อัครสาวกเปาโลบอกเราให้ “มุ่งสนใจสิ่งที่มองไม่เห็น” (2 คร. 4:17, 18) สิ่งมีค่าที่มองไม่เห็นหมายถึงสิ่งดี ๆ ที่จะได้รับในโลกใหม่ของพระเจ้า เราแสดงว่าเห็นค่าของขวัญที่มองไม่เห็นเหล่านี้ไหม? ห20.05 น. 26 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม
คำสั่งสอนของผมจะโปรยปรายลงมาดั่งสายฝน—ฉธบ. 32:2
สิ่งที่โมเสสสอนทำให้ชาวอิสราเอลมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้นและสดชื่นเหมือนละอองฝนที่โปรยปรายลงมาบนต้นไม้ใบหญ้า แล้วเราจะสอนเหมือนโมเสสได้อย่างไร? เมื่อเราไปประกาศตามบ้านหรือประกาศสาธารณะ เราสามารถเปิดคัมภีร์ไบเบิลให้คนอื่นดูได้ว่าพระเจ้าชื่อว่าพระยะโฮวา เราสามารถให้เขาดูหนังสือดี ๆ เปิดวีดีโอ และเว็บไซต์ของเราที่ยกย่องพระยะโฮวา นอกจากนั้นไม่ว่าเราจะไปทำงาน ไปโรงเรียน หรือไปไหนมาไหน เราก็สามารถหาโอกาสที่จะเล่าให้คนอื่นฟังเกี่ยวกับพระเจ้าที่เรารัก แล้วก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแบบไหน เมื่อเราบอกคนที่เราเจอให้เข้าใจว่าพระเจ้าจะทำอะไรเพื่อมนุษย์และโลกในอนาคต เราก็อาจทำให้เขาเข้าใจเป็นครั้งแรกว่าพระเจ้ารักเขามากขนาดไหน เมื่อเราบอกความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าที่รักเรา เราก็กำลังทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ เรากำลังพิสูจน์ว่าคำโกหกใส่ร้ายที่คนอื่นอาจจะเคยได้ยินมาเกี่ยวกับพระยะโฮวาเป็นเรื่องไม่จริง สิ่งที่เราสอนทำให้พวกเขารู้สึกสดชื่นและมีกำลังใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน—อสย. 65:13, 14 ห20.06 น. 10 ว. 8-9
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม
ให้หันกลับมาหาเรา แล้วเราจะกลับมาสนใจพวกเจ้า—มลค. 3:7
เราต้องมีคุณลักษณะอะไรบ้างเพื่อจะช่วยคนที่อยากกลับมาหาพระยะโฮวา? ให้เราคิดถึงตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูเรื่องลูกที่หลงหาย (ลก. 15:17-24) พอลูกชายที่หลงผิดสำนึกตัว ก็ตัดสินใจกลับบ้าน พอพ่อเห็นลูกชาย เขาก็เข้าไปกอด และทำให้ลูกรู้ว่าเขารักลูกมาก ลูกชายคนนี้รู้สึกผิดมากและรู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรที่ถูกเรียกว่าลูกของพ่อด้วยซ้ำ เขาระบายความในใจของตัวเองออกมาทั้งหมด และพ่อก็ฟังเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ พ่อได้จัดงานเลี้ยงฉลองและให้เสื้อคลุมตัวที่ดีที่สุดกับลูกเพื่อแสดงให้เห็นว่าพ่อต้อนรับลูกกลับมาจริง ๆ และเป็นลูกที่รักของเขา พระยะโฮวาก็เปรียบเหมือนกับพ่อในตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ พระองค์รักคนที่เลิกประชุมเลิกประกาศและอยากให้พวกเขากลับมาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ถ้าเราเลียนแบบพระยะโฮวาเราก็จะสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่เราต้องมีความอดทน ความเห็นอกเห็นใจ และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรารักพวกเขา ห20.06 น. 25-26 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม
ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสอนเสมอ พวกคุณก็เป็นสาวกของผมจริง ๆ และพวกคุณจะรู้ความจริง แล้วความจริงจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ—ยน. 8:31, 32
พระเยซูบอกว่า บางคนรับความจริงเพราะ “ชอบ” หรือเพราะรู้สึกมีความสุข แต่พอเขาเจอการทดสอบ ความเชื่อของเขาก็ลดน้อยลง (มธ. 13:3-6, 20, 21) ทำไมบางคนถึงเป็นแบบนั้น? บางทีเขาอาจไม่ได้คิดว่าต้องเจอความลำบากเพราะติดตามพระเยซู (มธ. 16:24) หรือบางทีเขาอาจคิดว่าคนที่เป็นคริสเตียนจะได้พรจากพระเจ้าและไม่ต้องเจอปัญหาอะไรเลย แต่จริง ๆ แล้วในโลกทุกวันนี้ ยังไง ๆ เราก็ต้องเจอปัญหาแน่ ๆ ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และนั่นอาจทำให้ความสุขของเราลดน้อยลงได้ (สด. 6:6; ปญจ. 9:11) แต่พี่น้องส่วนใหญ่ไม่เป็นอย่างนั้น พวกเขามั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อเป็นความจริง เรารู้ได้อย่างไร? ถึงจะมีใครทำผิดหรือทำให้พวกเขาเสียใจ พวกเขาก็ยังมั่นใจในสิ่งที่เชื่อไม่เปลี่ยนแปลง (สด. 119:165) ไม่ใช่แค่นั้น ทุกครั้งที่พวกเขาเจอปัญหาและการทดสอบ ความเชื่อของพวกเขาก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้น (ยก. 1:2-4) เราต้องมีความเชื่อแบบนั้นด้วย ห20.07 น. 8 ว. 1; น. 9 ว. 4-5
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม
ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป—ยก. 1:5
ก่อนที่คุณจะอ่านคัมภีร์ไบเบิล ให้คุณขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้เห็นบทเรียนจากสิ่งที่คุณอ่าน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากได้คำแนะนำเพื่อจะรับมือกับปัญหา ให้คุณขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้เจอหลักการในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อคุณจะตัดสินใจเรื่องนั้นได้อย่างถูกต้อง (ฟป. 4:6, 7) พระยะโฮวาให้เรามีความสามารถที่จะจินตนาการ นี่เป็นความสามารถที่สุดยอดมาก ดังนั้นตอนที่คุณอ่านเกี่ยวกับเรื่องของใครสักคนในคัมภีร์ไบเบิล ให้คุณพยายามจินตนาการว่าคุณเป็นเขา และนึกภาพว่ารอบตัวคุณมีอะไรบ้าง คุณเห็นอะไรและรู้สึกยังไง ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณจะได้ประโยชน์มากขึ้นจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิล จากนั้นให้คิดใคร่ครวญ การคิดใคร่ครวญหมายถึงการคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่าน และคิดว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องยังไงกับคุณ การคิดใคร่ครวญช่วยให้คุณเชื่อมโยงความคิดหลาย ๆ เรื่องเข้าด้วยกันและทำให้เข้าใจเรื่องที่อ่านได้ดีขึ้น ถ้าคุณอ่านคัมภีร์ไบเบิลแต่ไม่คิดใคร่ครวญก็เหมือนกับคุณกำลังมองชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายอยู่เต็มโต๊ะ การคิดใคร่ครวญจะช่วยให้คุณเห็นภาพทั้งหมด ห21.03 น. 15 ว. 3-5
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม
ผมขอบคุณพระเจ้า . . . และผมนึกถึงคุณเสมอเมื่ออธิษฐานอ้อนวอนทั้งวันทั้งคืน—2 ทธ. 1:3
เรื่องที่เปาโลเจออาจจะทำให้เขาคิดถึงชีวิตในอดีต แล้วก็อาจจะคิดว่าถ้าเขาไม่มาเป็นคริสเตียนที่ขยันรับใช้ก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ หรือเขาอาจจะโมโหหรือเสียใจที่พี่น้องในแคว้นเอเชียทิ้งเขาไปจนไม่ไว้ใจเพื่อนคนอื่นอีก แต่เปาโลไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย เปาโลมั่นใจว่าเพื่อน ๆ จะยังซื่อสัตย์กับเขาอยู่และพระยะโฮวาจะอวยพรเขา ถึงเปาโลรู้ว่าอีกไม่นานเขาจะต้องตาย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็ยังเป็นการทำให้พระยะโฮวาได้รับการยกย่องสรรเสริญ นอกจากนั้น เขายังคิดถึงวิธีที่เขาจะให้กำลังใจคนอื่นด้วย เขาอธิษฐานบ่อย ๆ และพึ่งพระยะโฮวาเสมอ แทนที่เปาโลจะคิดแต่เรื่องที่พี่น้องพวกนั้นทิ้งเขาไป เขาบอกว่าเขารู้สึกขอบคุณมากที่เพื่อน ๆ ยังซื่อสัตย์กับเขาและคอยช่วยเหลือเขาอยู่ ไม่ใช่แค่นั้น เปาโลยังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำต่อ ๆ ไป (2 ทธ. 3:16, 17; 4:13) ที่สำคัญที่สุด เขามั่นใจเต็มที่ว่าพระยะโฮวาและพระเยซูรักเขาและไม่มีวันทิ้งเขาไป เขาแน่ใจว่าพระองค์ทั้งสองจะอวยพรเขาที่เขารับใช้อย่างซื่อสัตย์ ห21.03 น. 18 ว. 17-18
วันพุธที่ 14 ธันวาคม
วัชพืชถูกถอนและเผาไฟอย่างไร สมัยสุดท้ายของโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น—มธ. 13:40
หลังจากปี ค.ศ. 100 คริสเตียนปลอมได้เข้ามาในประชาคมคริสเตียนมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาสอนคำสอนเท็จและพยายามปิดบังความจริงในคัมภีร์ไบเบิล ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปี 1870 คนของพระเจ้าไม่ได้ถูกรวบรวมเป็นองค์การบนโลกนี้ คริสเตียนปลอมมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนวัชพืชในนา เลยทำให้ยากมากในตอนนั้นที่จะรู้ว่าใครเป็นคริสเตียนแท้ (มธ. 13:36-43) ทำไมข้อมูลนี้ถึงสำคัญ? ข้อมูลนี้ทำให้เรารู้ว่ากษัตริย์หรือรัฐบาลที่มีอำนาจในช่วงปี 100 ถึง 1870 จะเป็นกษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้ที่บอกไว้ในดาเนียลบท 11 ไม่ได้ เพราะในตอนนั้นคนของพระเจ้าไม่ได้ถูกรวบรวมเป็นองค์การจึงไม่มีใครให้กษัตริย์ทิศเหนือและกษัตริย์ทิศใต้โจมตีได้ แต่เรารู้ว่ากษัตริย์ทิศเหนือกับกษัตริย์ทิศใต้จะปรากฏตัวอีกครั้งแน่ ๆ ไม่นานหลังจากปี 1870 ห20.05 น. 3 ว. 5
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม
มีกองทัพตั๊กแตนบุกเข้ามาในแผ่นดินของผม—ยอล. 1:6
โยเอลบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตนซึ่งทำให้แผ่นดินอิสราเอลเสียหาย พวกมันกัดกินทุกอย่างที่ขวางหน้า (ยอล. 1:4) เป็นเวลาหลายปีที่เราเข้าใจว่าคำพยากรณ์นี้พูดถึงคนของพระเจ้าที่ประกาศเหมือนฝูงตั๊กแตนที่ไม่มีอะไรมาหยุดได้ เราเข้าใจว่าการประกาศนี้สร้างความเสียหายให้กับ “แผ่นดิน” หรือคนที่อยู่ใต้อิทธิพลของพวกผู้นำศาสนา แต่ถ้าเราดูท้องเรื่องของคำพยากรณ์นี้ก็จะเห็นว่าเราต้องปรับเปลี่ยนความเข้าใจใหม่ ขอสังเกตคำสัญญาของพระยะโฮวาเกี่ยวกับภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน พระองค์บอกว่า “เราจะไล่คนที่มาจากทางเหนือ [ฝูงตั๊กแตน] ไปให้ไกลจากพวกเจ้า” (ยอล. 2:20) ถ้าฝูงตั๊กแตนหมายถึงพยานพระยะโฮวาที่เชื่อฟังคำสั่งของพระเยซูที่ให้ไปประกาศและสอนคนให้เป็นสาวก ทำไมพระยะโฮวาต้องไล่พวกเขาออกไป? (อสค. 33:7-9; มธ. 28:19, 20) พระองค์จะไม่ไล่ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์แน่ ๆ แต่พระองค์จะไล่บางคนหรืออะไรบางอย่างที่เป็นศัตรูของผู้รับใช้พระองค์ ห20.04 น. 3 ว. 3-5
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม
ถ้าใครในพวกคุณขาดสติปัญญา ให้เขาพยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป—ยก. 1:5
เราควรทำยังไงถ้าเรารู้สึกว่าพระยะโฮวาไม่ตอบคำอธิษฐานของเราทันที? ยากอบบอกว่าให้เรา “พยายามขอจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป” ไม่ว่าเราจะขอพระยะโฮวาบ่อยแค่ไหน พระองค์ก็จะไม่รำคาญและไม่โกรธเรา ถ้าเราอธิษฐานขอสติปัญญาเพื่อเราจะอดทนกับปัญหา พระยะโฮวาก็จะ ‘เต็มใจให้เราอย่างใจกว้าง’ (สด. 25:12, 13) พระองค์รู้ว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง พระองค์เข้าใจความรู้สึกของเราและอยากช่วยเรา นี่แหละที่ทำให้เรามีความสุขจริง ๆ แต่พระยะโฮวาให้สติปัญญากับเรายังไง? โดยผ่านทางคัมภีร์ไบเบิล (สภษ. 2:6) เพื่อจะได้สติปัญญา เราต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิล แต่แค่ศึกษาให้ได้ความรู้เยอะ ๆ ยังไม่พอ เราต้องเอาคำแนะนำของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตของเราด้วย ยากอบบอกว่า “ให้ทำตามคำสอนของพระเจ้าเสมอ อย่าเป็นแค่ผู้ฟัง” (ยก. 1:22) ถ้าเราทำตามคำแนะนำของพระเจ้า เราก็จะมีสันติสุข มีเหตุผล และมีความเมตตามากขึ้น (ยก. 3:17) คุณลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้เรายังมีความสุขได้ทั้ง ๆ ที่เจอกับปัญหา ห21.02 น. 29 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม
เมื่ออวัยวะแต่ละส่วนทำงานอย่างดี ทั้งร่างกายก็เติบโต—อฟ. 4:16
ถ้าพี่น้องในประชาคมช่วยคนที่เป็นนักศึกษา เขาก็จะมีโอกาสมากกว่าที่จะก้าวหน้าจนถึงขั้นรับบัพติศมา พี่น้องทุกคนมีส่วนช่วยประชาคมให้เติบโตได้ ไพโอเนียร์คนหนึ่งบอกว่า “มีสุภาษิตหนึ่งของแอฟริกาบอกว่า ‘กว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาได้ คนทั้งหมู่บ้านต้องช่วยกัน’ ฉันคิดว่าเวลาสอนคนให้เป็นสาวกก็เหมือนกัน กว่าคนคนหนึ่งจะเข้ามาในความจริงได้ พี่น้องทั้งประชาคมก็ต้องช่วยกัน” เหมือนกับที่พ่อแม่ ญาติ ๆ ครู และคนอื่นมีส่วนช่วยให้เด็กโตเป็นผู้ใหญ่โดยสอนเขาและให้กำลังใจเขา พี่น้องในประชาคมก็สามารถให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ และวางตัวอย่างที่ดีเพื่อช่วยให้นักศึกษาก้าวหน้าจนรับบัพติศมาได้เหมือนกัน (สภษ. 15:22) ทำไมคนที่มีนักศึกษาควรยินดีให้พี่น้องคนอื่นช่วย? เพราะพี่น้องทุกคนมีส่วนช่วยให้นักศึกษาก้าวหน้ามากขึ้นได้ ห21.03 น. 8 ว. 1-3
วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม
ถ้าเราบอกว่า “เราไม่มีบาป” เราก็หลอกตัวเองและไม่ได้เชื่อความจริง—1 ยน. 1:8
ความรู้ของโลกอาจทำให้คนเรากลายเป็นคนตีสองหน้า คริสเตียนทุกคนไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยต้องระวังที่จะไม่ใช้ชีวิตแบบตีสองหน้า ยอห์นบอกว่าเราไม่สามารถใช้ชีวิตตามความจริงและใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรมได้ในเวลาเดียวกัน (1 ยน. 1:6) ถ้าเราอยากทำให้พระเจ้าพอใจทั้งในตอนนี้และในอนาคต เราต้องจำไว้เสมอว่าพระองค์เห็นทุกอย่างที่เราทำ ถึงเราจะแอบทำผิดได้โดยไม่มีใครเห็น แต่เราแอบพระยะโฮวาไม่ได้ (ฮบ. 4:13) เราต้องปฏิเสธความคิดแบบโลกเกี่ยวกับบาป คนทรยศพระเจ้าในสมัยของยอห์นบอกว่าถึงคนเราจะทำบาปก็ยังเป็นเพื่อนกับพระเจ้าได้ คนในทุกวันนี้ก็คิดคล้าย ๆ กัน หลายคนบอกว่าเชื่อพระเจ้าแต่พวกเขาไม่ยอมรับความคิดของพระยะโฮวาเกี่ยวกับบาป พวกเขาไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับสิ่งที่พระยะโฮวาบอกในเรื่องเพศ พวกเขาบอกว่าสิ่งที่พระยะโฮวาบอกว่าผิดเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่คนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกได้เอง ห20.07 น. 22 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม
ให้รักด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ—1 ยน. 3:18
คุณพูดปกป้องพี่น้องหญิงของคุณไหม? ลองคิดถึงสถานการณ์ต่อไปนี้ พี่น้องหญิงคนหนึ่งเป็นพยานฯ คนเดียวในบ้าน พี่น้องคนอื่นสังเกตว่าเธอชอบมาประชุมสายและชอบรีบกลับตอนประชุมจบ และเธอก็ไม่ค่อยเอาลูกมาประชุมด้วย ตอนนี้พี่น้องเริ่มพูดกันว่าถึงสามีจะไม่ให้เอาลูกมาประชุมแต่เธอก็น่าจะพยายามมากกว่านี้ แต่ความเป็นจริงก็คือพี่น้องหญิงคนนี้กำลังทำดีที่สุดแล้ว เนื่องจากสามีไม่มีความเชื่อเธอเลยไม่สามารถควบคุมตารางชีวิตของตัวเองได้ทั้งหมด และคนที่มีอำนาจตัดสินใจจริง ๆ ในเรื่องลูกก็คือสามี ถ้าคุณพูดถึงสิ่งดี ๆ ที่เธอทำให้คนอื่นฟังและชมเธอต่อหน้าคนอื่น คุณก็กำลังปกป้องเธอ ผู้ดูแลก็ควรดูแลเอาใจใส่พี่น้องหญิงเหมือนกัน พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้สำคัญสำหรับพระยะโฮวา (ยก. 1:27) ดังนั้นพวกเขาจะเลียนแบบพระเยซูและเป็นคนมีเหตุผล พวกเขาจะไม่เข้มงวดจนเกินไปถ้าบางเรื่องสามารถจะมองข้ามได้ (มธ. 15:22-28) เมื่อผู้ดูแลพยายามช่วยพี่น้องหญิง พวกเขาก็ทำให้พวกเธอรู้สึกว่าพระยะโฮวาและองค์การรักและเป็นห่วงพวกเธอ ห20.09 น. 24-25 ว. 17-19
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม
[พระเจ้า] บอกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น—ดนล. 2:28
ดาเนียลขอการชี้นำจากพระยะโฮวาด้วยความถ่อมเสมอ มีครั้งหนึ่งพระยะโฮวาใช้ดาเนียลให้อธิบายความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ว่าหมายถึงอะไร ดาเนียลไม่ได้บอกว่าที่เขาทำได้ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความสามารถของเขาเอง เขายกย่องพระยะโฮวา และให้ความดีความชอบทั้งหมดกับพระองค์ (ดนล. 2:26-28) บทเรียนสำหรับเราคืออะไร? ถ้าพี่น้องชอบที่เราทำส่วนได้ดีหรือถ้าเราประสบความสำเร็จในงานรับใช้ เราต้องจำไว้ว่าเราต้องยกย่องพระยะโฮวา และยอมรับด้วยความเจียมตัวว่าถ้าพระยะโฮวาไม่ช่วย เราคงทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แน่ ๆ (ฟป. 4:13) ถ้าเราทำแบบนั้น เราก็กำลังเลียนแบบพระเยซูด้วย พระเยซูพึ่งพระยะโฮวาเสมอ (ยน. 5:19, 30) พระเยซูไม่เคยคิดที่จะแย่งอำนาจจากพ่อของท่าน ฟีลิปปี 2:6 บอกว่า “ท่านไม่เคยคิดจะชิงอำนาจเพื่อจะมีฐานะเท่าเทียมกับพระเจ้า” พระเยซูเป็นลูกที่ยอมอยู่ใต้อำนาจ ท่านรู้ว่าท่านมีขีดจำกัดและยอมรับอำนาจของพ่อท่านเสมอ ห20.08 น. 11 ว. 12-13
วันพุธที่ 21 ธันวาคม
ให้พวกคุณวิ่งอย่างที่จะเอารางวัลให้ได้—1 คร. 9:24
พี่น้องบางคนที่กำลังวิ่งในทางที่นำไปถึงชีวิตเจอกับปัญหาที่คนอื่นไม่เห็นและไม่เข้าใจ ถ้าคุณเจอปัญหาหรืออุปสรรคที่ทำให้รู้สึกว่ารับใช้พระยะโฮวาไม่ได้มากอย่างที่อยากทำและรู้สึกว่าคนอื่นไม่เข้าใจคุณ คุณจะได้กำลังใจจากตัวอย่างของเมฟีโบเชท (2 ซม. 4:4) เมฟีโบเชทพิการเป็นง่อย เขาถูกดาวิดมองอย่างผิด ๆ และทำกับเขาอย่างไม่ยุติธรรม แทนที่เมฟีโบเชทจะปล่อยให้ตัวเองคิดลบและรู้สึกแค้น เขาเห็นค่าสิ่งดี ๆ ที่เขามีในชีวิต เขาขอบคุณดาวิดที่เคยทำดีกับเขา (2 ซม. 9:6-10) พอดาวิดมองเมฟีโบเชทอย่างผิด ๆ และทำกับเขาอย่างไม่ยุติธรรม เมฟีโบเชทไม่ได้สนใจแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เขามองที่ภาพรวม และถึงสิ่งที่ดาวิดทำกับเขาไม่ถูกต้อง แต่เขาก็ไม่ได้โกรธดาวิดหรือโทษพระยะโฮวา เขาสนใจว่าตัวเขาจะทำอะไรได้บ้างเพื่อสนับสนุนดาวิดซึ่งเป็นกษัตริย์ที่พระยะโฮวาแต่งตั้ง (2 ซม. 16:1-4; 19:24-30) พระยะโฮวาให้มีการบันทึกตัวอย่างที่ดีของเมฟีโบเชทไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อประโยชน์สำหรับเรา—รม. 15:4 ห20.04 น. 26 ว. 3; น. 30 ว. 18-19
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม
เราเป็นเพื่อนร่วมงานของพระเจ้า—1 คร. 3:9
พี่น้องบางคนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมิชชันนารี ไพโอเนียร์พิเศษ หรือไพโอเนียร์ประจำ พวกเขาทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ในงานรับใช้เต็มเวลา ถึงพวกเขาจะไม่มีเงินเยอะหรือข้าวของมากมาย แต่พระยะโฮวาก็อวยพรพวกเขาหลายอย่าง (มก. 10:29, 30) เรารักพี่น้องเหล่านี้มากและเห็นค่าที่มีพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคม แต่มีแค่พี่น้องชายที่ได้รับการแต่งตั้งและพี่น้องที่รับใช้เต็มเวลาเท่านั้นไหมที่เป็นคนสำคัญในประชาคม? ไม่ใช่ ที่จริงพี่น้องทุกคนที่เป็นผู้ประกาศข่าวดีเป็นคนสำคัญสำหรับพระเจ้าและประชาคม (รม. 10:15; 1 คร. 3:6-8) ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าเป้าหมายสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของประชาคมก็คือ การไปสอนคนให้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ (มธ. 28:19, 20; 1 ทธ. 2:4) พี่น้องทุกคนที่กำลังไปประกาศไม่ว่าจะรับบัพติศมาแล้วหรือเป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติศมากำลังพยายามให้งานนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต—มธ. 24:14 ห20.08 น. 21 ว. 7-8
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม
ผมจะอยู่กับพวกคุณเสมอจนถึงสมัยสุดท้ายของโลกนี้—มธ. 28:20
อย่างที่เราเห็นในข้อคัมภีร์วันนี้ พระเยซูจะคอยช่วยเราเสมอตอนที่เราเจอปัญหา คำพูดนี้ของพระเยซูช่วยให้เรามีกำลังใจมากขึ้นได้ เพราะบางวันเราต้องเจอกับบางเรื่องที่รู้สึกรับมือได้ยาก เช่น ตอนที่คนที่เรารักเสียชีวิต เราก็ต้องรับมือกับความเสียใจที่ไม่ได้อยู่กับเราแค่วันสองวันเท่านั้น แต่อาจจะอยู่กับเราไปหลายปีเลยก็ได้ ส่วนคนที่อายุมากอาจต้องเจอกับวันแย่ ๆ เหมือนกัน และก็มีคนที่ต้องสู้กับวันที่รู้สึกท้อหรือซึมเศร้ามาก ๆ ด้วย ถึงอย่างนั้น เราก็ยังมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปได้เพราะเรารู้ว่าพระเยซู ‘จะอยู่กับเราเสมอ’ ทุกวัน แม้แต่วันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเรา (มธ. 11:28-30) นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่าพระยะโฮวาจะใช้ทูตสวรรค์เพื่อช่วยเรา (ฮบ. 1:7, 14) ตัวอย่างเช่น ทูตสวรรค์จะชี้นำและช่วยเราตอนที่ไป “ประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า” กับผู้คน “ทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกภาษา”—มธ. 24:13, 14; วว. 14:6 ห20.11 น. 13-14 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม
ความคิดในใจคนเป็นเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะตักขึ้นมาได้—สภษ. 20:5
เราอยากให้นักศึกษาเข้าใจว่าสิ่งที่เขาได้เรียนมาจากคัมภีร์ไบเบิลที่เป็นคำสอนของพระเจ้า (1 ธส. 2:13) เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร? โดยสนับสนุนให้นักศึกษาพูดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เรียน แทนที่เราจะอธิบายข้อคัมภีร์ให้เขาฟังฝ่ายเดียวเราน่าจะให้เขาได้อธิบายสิ่งที่เขาได้เรียนให้เราฟังบ้าง แล้วช่วยเขาให้เห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวข้องกับเขาและเขาจะเอาไปใช้ได้อย่างไร ให้ใช้คำถามเพื่อช่วยให้เขาพูดออกมาว่าเขาคิดและรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับข้อคัมภีร์ที่ได้อ่าน (ลก. 10:25-28) เช่น คุณอาจจะถามเขาว่า “ข้อคัมภีร์นี้ช่วยให้คุณเห็นคุณลักษณะของพระยะโฮวายังไง?” “สิ่งที่กำลังเรียนอยู่นี้เป็นประโยชน์กับคุณยังไง?” “คุณรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เพิ่งเรียน?” สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ว่านักศึกษามีความรู้มากแค่ไหน แต่ว่าเขารักและเอาสิ่งที่เรียนไปใช้มากแค่ไหนต่างหาก ให้ใช้คัมภีร์ไบเบิลในการสอน และคุณต้องถ่อมถ้าคุณอยากนำการศึกษาได้ดีขึ้น ห20.10 น. 15 ว. 5-6
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม
ให้หว่านพืชในตอนเช้าและอย่าหยุดจนกว่าจะถึงตอนเย็น—ปญจ. 11:6
เรามั่นใจได้ว่างานประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าจะเสร็จตามเวลาที่กำหนดแน่นอน ให้เราลองคิดถึงสิ่งที่พระยะโฮวาทำในสมัยของโนอาห์ สิ่งที่พระองค์ทำในตอนนั้นช่วยให้เราเห็นว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่รักษาเวลาและทำสิ่งต่าง ๆ ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด เช่น พระองค์กำหนดเวลาที่น้ำจะท่วมโลกเอาไว้แล้วก่อนหน้านั้น 120 ปี หลายปีหลังจากนั้นพระองค์ก็สั่งให้โนอาห์สร้างเรือ และเขาอาจจะใช้เวลา 40 หรือ 50 ปีทำงานอย่างหนักก่อนที่น้ำจะท่วมโลก ถึงจะไม่มีใครฟังเขาเลยแต่โนอาห์ก็ยังประกาศคำเตือนต่อไปจนพระยะโฮวาบอกเขาให้เข้าไปในเรือ แล้วเมื่อถึงเวลา “พระยะโฮวาก็ปิดประตูเรือ” (ปฐก. 6:3; 7:1, 2, 16) อีกไม่นานพระยะโฮวาจะบอกเราว่างานประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระองค์เสร็จแล้ว แล้วพระองค์จะ “ปิดประตู” และทำลายโลกของซาตาน พระองค์จะพาเราเข้าสู่โลกใหม่ที่มีแต่คนที่เชื่อฟังพระองค์ กว่าจะถึงตอนนั้น ขอให้เราเลียนแบบโนอาห์และคนอื่น ๆ ที่ไม่หยุดทำงานรับใช้ของเขา ขอให้เราทำให้งานประกาศเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเสมอ อดทน และรักษาความเชื่อในพระยะโฮวาและคำสัญญาของพระองค์เสมอ ห20.09 น. 13 ว. 18-19
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม
ให้ทำทุกสิ่งอย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบเรียบร้อย—1 คร. 14:40
ถ้าไม่มีการบอกชัดเจนเรื่องตำแหน่งผู้นำ ครอบครัวของพระองค์ก็จะวุ่นวายและไม่มีความสุข เช่น เราจะไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนตัดสินใจขั้นสุดท้ายหรือใครจะเป็นคนทำตามการตัดสินใจนั้น แต่ถ้าการที่ผู้ชายใช้อำนาจในครอบครัวเป็นเรื่องที่ดี แล้วทำไมผู้หญิงหลายคนถึงรู้สึกว่าโดนกดขี่และถูกควบคุม? ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะผู้ชายหลายคนทำตามธรรมเนียมที่เขาคุ้นเคยและไม่ได้สนใจมาตรฐานของพระเจ้า บางคนก็ทำร้ายภรรยาเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดี ตัวอย่างเช่น สามีบางคนข่มเหงภรรยาเพื่อจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญและมั่นใจมากขึ้น หรือเพื่อทำให้คนอื่นเห็นว่าเขาเป็น “ลูกผู้ชาย” เขาคิดว่าถึงเขาบังคับให้ภรรยารักเขาไม่ได้แต่เขาทำให้เธอกลัวได้ แล้วเขาอาจจะใช้ความกลัวนั้นเพื่อควบคุมภรรยา ความคิดและการกระทำแบบนี้ไม่ได้ให้เกียรติและความนับถือกับผู้หญิงอย่างที่พวกเธอควรจะได้รับ และมันเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่พระยะโฮวาต้องการ—อฟ. 5:25, 28 ห21.02 น. 3 ว. 6-7
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม
ฝากความกังวลทั้งหมดไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ห่วงใยคุณ—1 ปต. 5:7
ถ้าคุณกำลังกังวลกับอะไรบางอย่าง คุณอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาได้ พระยะโฮวาจะตอบคำอธิษฐานของคุณโดยให้ “สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจทุกอย่าง” (ฟป. 4:6, 7) พระยะโฮวาจะให้พลังบริสุทธิ์ของพระองค์ที่มีพลังมากเพื่อช่วยให้คุณสงบใจ (กท. 5:22) ตอนที่อธิษฐานถึงพระยะโฮวา ขอให้คุณระบายความในใจกับพระองค์ บอกพระองค์ว่าคุณเจอปัญหาอะไรอยู่และรู้สึกอย่างไร ถ้าปัญหาที่คุณเจอยังพอมีทางออก ก็ให้ขอสติปัญญาจากพระองค์เพื่อจะรู้ว่าคุณควรทำอะไร และขอกำลังจากพระองค์เพื่อคุณจะทำตามนั้น แต่ถ้าปัญหาที่เจอเป็นเรื่องที่คุณทำอะไรกับมันไม่ได้ ก็ให้ขอพระยะโฮวาช่วยคุณไม่ให้กังวลกับมันมากเกินไป ยิ่งคุณอธิษฐานถึงพระยะโฮวาอย่างเจาะจง คุณก็จะยิ่งเห็นชัดขึ้นว่าพระองค์ตอบคำอธิษฐานอย่างไร แต่ถ้าพระยะโฮวายังไม่ตอบคำอธิษฐานทันที ก็อย่าเพิ่งท้อใจ พระยะโฮวาไม่ได้แค่อยากให้คุณอธิษฐานอย่างเจาะจงเท่านั้น แต่อยากให้คุณอธิษฐานต่อไปเรื่อย ๆ ด้วย—ลก. 11:8-10 ห21.01 น. 3 ว. 6-7
วันพุธที่ 28 ธันวาคม
พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ไม่ใช่ทุกคนจะทำอย่างนั้นได้ นอกจากคนที่ได้รับพรนั้นจากพระเจ้า”—มธ. 19:11
ในประชาคมคริสเตียนไม่ได้มีแค่คู่สมรสกับคนที่มีลูกเท่านั้น แต่มีคนโสดด้วย เราควรมองพี่น้องที่เป็นโสดอย่างไร? ให้เราคิดถึงวิธีที่พระเยซูมองพวกเขา ตอนที่พระเยซูทำงานรับใช้บนโลก ท่านไม่ได้แต่งงาน ท่านให้เวลาและทุ่มเทกับงานมอบหมายที่ท่านได้รับ พระเยซูไม่เคยสอนว่าคริสเตียนต้องแต่งงานหรือต้องเป็นโสด แต่ท่านก็บอกว่ามีบางคนที่เลือกจะไม่แต่งงาน (ดูข้อมูลสำหรับศึกษาในมัทธิว 19:12) พระเยซูให้เกียรติคนที่เป็นโสด ท่านไม่ได้มองว่าพวกเขาด้อยกว่าคนอื่นหรือขาดอะไรไปในชีวิต เหมือนพระเยซูเปาโลก็เป็นโสดตอนที่ทำงานรับใช้ เขาไม่เคยสอนว่าผิดที่คริสเตียนจะแต่งงาน เปาโลรู้ว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว ห20.08 น. 28 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม
พระเจ้าเป็นความรัก—1 ยน. 4:16
อัครสาวกยอห์นมีอายุยืนแล้วก็ผ่านอะไรมาหลายอย่างในชีวิต ทั้งเรื่องที่น่าตื่นเต้นและก็ปัญหาที่อาจทำให้ความเชื่อของเขาอ่อนแอลงได้ แต่เขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะเชื่อฟังคำสั่งที่พระเยซูให้ไว้ ซึ่งรวมถึงคำสั่งที่บอกให้รักพี่น้องด้วย เพราะเขาทำอย่างนั้นเขาก็เลยมั่นใจว่าพระยะโฮวาและพระเยซูรักเขา และจะให้กำลังเขาเพื่อเอาชนะปัญหาอะไรก็ตามที่เขาเจอ (ยน. 14:15-17; 15:10) ยอห์นแสดงความรักกับพี่น้องทั้งโดยคำพูดและการกระทำ ซาตานและโลกของมันไม่สามารถหยุดเขาได้เลย เหมือนกับยอห์นเราก็กำลังอยู่ในโลกที่ซาตานปกครอง มันเป็นพระเจ้าที่เกลียดชังและไม่เคยรักใคร (1 ยน. 3:1, 10) มันอยากให้เราเลิกรักพี่น้อง แต่ถ้าเราไม่ยอมมัน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ดังนั้นขอให้เรารักพี่น้องของเรา และแสดงความรักนั้นออกมาทั้งคำพูดและการกระทำ เมื่อเราทำอย่างนั้น เราก็จะมีความสุขที่ได้อยู่ในครอบครัวของพระยะโฮวา และชีวิตของเราก็จะมีความหมายอย่างแท้จริง—1 ยน. 4:7 ห21.01 น. 13 ว. 18-19
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม
พระเจ้าช่วยคุณให้อดทน—รม. 15:5
การใช้ชีวิตในโลกของซาตานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และบางครั้งเราไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไงดี (2 ทธ. 3:1) แต่เราไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไร พระยะโฮวารู้ว่าเราต้องเจอกับอะไรบ้าง และถ้าเราล้มลง พระองค์สัญญาว่าจะใช้มือขวาของพระองค์ดึงเราขึ้นมาแน่นอน (อสย. 41:10, 13) เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาจะช่วยเรา และเราจะได้กำลังจากคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะรับมือกับปัญหาอะไรก็ตามที่เข้ามาในชีวิต คุณสามารถดูวีดีโอต่าง ๆ ฟังการอ่านคัมภีร์ไบเบิลแบบละคร และอ่านบทความชุด “เลียนแบบความเชื่อของเขา” แต่ก่อนจะทำอย่างนั้น ให้คุณอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้เห็นบทเรียนที่คุณจะเอาไปใช้ได้ หลังจากนั้นให้จินตนาการว่าคุณเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์คนนั้นในคัมภีร์ไบเบิล คิดใคร่ครวญว่าเขาทำอะไรบ้างและพระยะโฮวาช่วยเขายังไง แล้วเอาบทเรียนที่คุณได้ไปใช้ นอกจากนั้น ให้ขอบคุณพระยะโฮวาที่พระองค์ช่วยคุณตลอดมา คุณจะแสดงว่าคุณเห็นค่าความช่วยเหลือจากพระองค์ได้โดยพยายามให้กำลังใจและช่วยเหลือคนอื่น ห21.03 น. 19 ว. 22-23
วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม
ลูก ๆ เป็นมรดกจากพระยะโฮวา—สด. 127:3
ถ้าคุณแต่งงานแล้วและอยากจะมีลูก ให้ถามตัวเองว่า ‘เราสองคนรักพระยะโฮวาและรักคัมภีร์ไบเบิลจริง ๆ ไหม?’ ‘เราเป็นคนถ่อมที่พระยะโฮวาจะเลือกให้ดูแลชีวิตที่มีค่าอีกชีวิตหนึ่งไหม?’ (สด. 127:4) ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันสอนลูกให้เห็นค่าการทำงานหนักไหม?’ (ปญจ. 3:12, 13) ‘ฉันพยายามปกป้องลูกจากสิ่งไม่ดีและอันตรายต่าง ๆ ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือศีลธรรมไหม?’ (สภษ. 22:3) มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะปกป้องลูกไม่ให้ต้องเจอกับปัญหาเลย แต่คุณต้องค่อย ๆ สอนเขาด้วยความรัก เตรียมเขาให้พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาโดยช่วยให้เขารู้วิธีเอาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ (สภษ. 2:1-6) ตัวอย่างเช่น ถ้าญาติเลิกรับใช้พระยะโฮวา คุณต้องใช้คัมภีร์ไบเบิลเพื่อช่วยให้ลูกเห็นว่าทำไมถึงสำคัญที่จะภักดีต่อพระองค์ (สด. 31:23) และถ้ามีคนที่รักตาย ก็ให้คุณเปิดคัมภีร์ไบเบิลให้ลูกดูว่ามีข้อคัมภีร์ข้อไหนที่จะช่วยเขาให้หายเศร้าและรู้สึกสบายใจขึ้นได้—2 คร. 1:3, 4; 2 ทธ. 3:16 ห20.10 น. 27 ว. 7