มกราคม
วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม
พวกเขาเป็นคนนำทางที่ตาบอด—มธ. 15:14
พระเยซูกล้าว่าพวกผู้นำศาสนาในสมัยของท่านเพราะสิ่งที่พวกเขาทำ ตัวอย่างเช่น ท่านว่าพวกเขาว่าเป็นคนเสแสร้ง เพราะพวกเขาเป็นห่วงเรื่องการล้างมือมากกว่าการดูแลพ่อแม่ (มธ. 15:1-11) ถึงพวกผู้นำศาสนาจะโกรธมากที่พระเยซูพูดแบบนั้น แต่ท่านก็ไม่ได้ยอมให้ความรู้สึกของพวกเขามาทำให้ท่านหยุดพูดความจริง พระเยซูยังเปิดโปงคำสอนผิด ๆ ด้วย ท่านบอกว่าพระเจ้าไม่ได้ยอมรับคำสอนของทุกศาสนา และจะมีหลายคนที่อยู่บนทางกว้างที่นำไปถึงความพินาศ แต่จะมีไม่กี่คนที่อยู่บนทางแคบที่นำไปถึงชีวิต (มธ. 7:13, 14) นอกจากนั้น พระเยซูพูดอย่างชัดเจนว่าจะมีบางคนที่ทำตัวเหมือนกับว่าพวกเขารับใช้พระเจ้า แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ได้รับใช้พระองค์เลย ท่านเตือนว่า “ให้ระวังพวกผู้พยากรณ์เท็จ พวกนั้นปลอมตัวมาหาคุณในคราบของแกะ แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็นหมาป่าที่ตะกละตะกลาม คุณจะรู้จักพวกเขาได้จากการกระทำของเขา”—มธ. 7:15-20 ห21.05 น. 9 ว. 7-8
วันจันทร์ที่ 2 มกราคม
หน้าตาก็ไม่เศร้าอีกต่อไป—1 ซม. 1:18
ฮันนาห์เป็นภรรยาของเอลคานาห์ แต่เอลคานาห์มีภรรยาอีกคนหนึ่งด้วยชื่อเปนินนาห์ เอลคานาห์รักฮันนาห์มากกว่าเปนินนาห์ “เปนินนาห์มีลูกหลายคนแต่ฮันนาห์ไม่มีลูกเลย” นี่ทำให้เปนินนาห์ “เอาแต่เยาะเย้ยฮันนาห์” “ฮันนาห์ทุกข์ใจมาก . . . จนเธอร้องไห้และไม่ยอมกินอาหาร” แต่ไม่มีที่ไหนในคัมภีร์ไบเบิลที่บอกว่าฮันนาห์พยายามเอาคืนหรือแก้แค้น ฮันนาห์ระบายความรู้สึกกับพระยะโฮวา ฝากเรื่องนี้ไว้กับพระองค์และมั่นใจว่าพระองค์จะช่วยเธอ (1 ซม. 1:2, 6, 7, 10, 18) เราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของฮันนาห์? ถ้ามีคนพยายามแข่งกับคุณ ขอให้จำไว้ว่าคุณควบคุมสถานการณ์ได้ คุณไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับเขา แทนที่จะทำชั่วตอบแทนชั่ว ให้คุณพยายามทำดีกับเขา (รม. 12:17-21) แต่ถ้าคุณพยายามทำดีแล้วเขาก็ยังไม่ยอมเปลี่ยน อย่างน้อยคุณก็จะสงบใจและมีความสุข ห21.07 น. 17 ว. 13-14
วันอังคารที่ 3 มกราคม
ระวังตัวให้ดี อย่าเป็นคนโลภ—ลก. 12:15
ความโลภทำให้ยูดาสอิสคาริโอทกลายเป็นคนทรยศและทำสิ่งที่ชั่วร้ายมาก แต่จริง ๆ แล้วตอนแรกเขาไม่ใช่คนแบบนั้น (ลก. 6:13, 16) ยูดาสคงต้องเป็นคนที่มีความสามารถและไว้ใจได้เพราะเขามีหน้าที่รับผิดชอบให้ดูแลกล่องเก็บเงินกองกลาง แต่พอเวลาผ่านไปยูดาสก็เริ่มขโมย ทั้ง ๆ ที่พระเยซูเตือนเรื่องความโลภหลายครั้งแล้วแต่ยูดาสก็ไม่สนใจฟังเลย (มก. 7:22, 23; ลก. 11:39) ไม่นานก่อนที่พระเยซูจะถูกประหารชีวิต มีเหตุการณ์หนึ่งที่เห็นชัดเลยว่ายูดาสเป็นคนโลภจริง ๆ ซีโมนที่เคยเป็นโรคเรื้อนชวนพระเยซูกับพวกสาวกรวมทั้งมารีย์และมาร์ธามาที่บ้านของเขา ตอนที่กำลังกินข้าวกันอยู่ มารีย์เอาน้ำมันหอมที่มีราคาแพงมากมาเทลงบนหัวของพระเยซู พอยูดาสกับพวกสาวกเห็นอย่างนี้ก็ไม่พอใจ พวกสาวกคิดว่าน่าจะเอาน้ำมันหอมไปขายแล้วเอาเงินไปแจกคนจนดีกว่า แต่ยูดาสไม่ได้คิดอย่างนั้น “เขาเป็นขโมย” ที่เขาพูดอย่างนั้นเพราะเขาอยากจะขโมยเงินจากกล่องเก็บเงินมากกว่า—ยน. 12:2-6; มธ. 26:6-16; ลก. 22:3-6 ห21.06 น. 18 ว. 12-13
วันพุธที่ 4 มกราคม
ผมนี่น่าสมเพชจริง ๆ ใครจะช่วยผม?—รม. 7:24
บางครั้งคุณรู้สึกกังวลเพราะมีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่างจนทำไม่ไหวไหม? ถ้าใช่ คุณก็คงรู้สึกเหมือนกับเปาโล เขาไม่ได้เป็นห่วงพี่น้องแค่ประชาคมเดียว แต่เขามี “ความกังวลเกี่ยวกับทุก ๆ ประชาคม” (2 คร. 11:23-28) คุณรู้สึกไม่มีความสุขเพราะมีปัญหาสุขภาพไหม? เปาโลก็ต้องทนกับ ‘หนามในร่างกาย’ ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาสุขภาพที่ทำให้เขาเจ็บปวดมากจนเขาอยากเอามันออกไป (2 คร. 12:7-10) หรือคุณรู้สึกท้อใจไหมเพราะความไม่สมบูรณ์และความอ่อนแอของตัวเอง? เปาโลก็เหมือนกัน เขาบอกว่าเขาเป็นคนที่ “น่าสมเพชจริง ๆ” เพราะเขาต้องสู้กับตัวเองตลอดเพื่อจะทำสิ่งที่ถูกต้อง (รม. 7:21-24) ถึงเปาโลจะต้องเจอปัญหาถาโถมและมีเรื่องที่ทำให้เขาท้อใจ เขาก็ยังรับใช้พระยะโฮวาต่อไป อะไรช่วยให้เขาทำอย่างนั้นได้? เปาโลรู้ดีว่าเขามีข้ออ่อนแออะไรบ้าง แต่เขามีความเชื่อที่มั่นคงในค่าไถ่ ห21.04 น. 22 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม
ลูกมนุษย์ . . . สละชีวิตเป็นค่าไถ่ให้คนมากมาย—มก. 10:45
อาดัมเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ พอเขาทำบาป เขาก็ทำให้ทั้งตัวเองและลูกหลานของเขาพลาดโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไป ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้นสำหรับอาดัมเพราะเขาจงใจทำบาป เขาสมควรตาย แต่ลูกหลานของเขาที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยล่ะ จะมีอะไรช่วยพวกเขาได้ไหม? แน่นอน (รม. 5:12, 14) ไม่นานหลังจากที่อาดัมทำบาป พระยะโฮวาก็เริ่มทำให้รู้ว่าพระองค์จะช่วยลูกหลานหลายล้านคนของอาดัมให้หลุดพ้นจากบาปและความตายยังไง (ปฐก. 3:15) เพราะค่าไถ่ เราถึงสนิทกับพระยะโฮวาได้ทั้ง ๆ ที่เราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ เพราะค่าไถ่ ผลงานของมารจะถูกทำลายจนไม่เหลือเลย (1 ยน. 3:8) และเพราะค่าไถ่ ความประสงค์ของพระยะโฮวาเกี่ยวกับโลกจะเกิดขึ้นจริง ทั้งโลกจะเป็นสวนอุทยาน ห21.04 น. 14 ว. 1; น. 19 ว. 17
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม
พวกคุณทุกคนต้อง . . . รับบัพติศมา—กจ. 2:38
มีผู้คนมากมายทั้งชายและหญิงจากหลายประเทศและพูดหลายภาษาเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาเจอเรื่องที่ทำให้แปลกใจมากเพราะอยู่ดี ๆ ชาวยิวบางคนก็พูดภาษาของพวกเขาได้ แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นก็คือเรื่องที่พวกเขาได้ยินอัครสาวกเปโตรกับชาวยิวเหล่านั้นพูด พวกเขาได้มารู้ว่าเพื่อจะรอดได้ต้องแสดงความเชื่อในพระเยซูคริสต์ นี่ทำให้พวกเขาประทับใจมากจนถึงกับถามว่า “พวกเราจะทำยังไงดี?” เปโตรบอกว่า “พวกคุณทุกคนต้อง . . . รับบัพติศมา” (กจ. 2:37, 38) จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่ยิ่งน่าตื่นเต้นขึ้นไปอีก มีประมาณ 3,000 คนรับบัพติศมาและเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูในวันนั้น นี่เป็นการเริ่มต้นของงานสอนคนให้เป็นสาวกที่พระเยซูสั่งให้คนที่ติดตามท่านทำ และคนที่ติดตามท่านก็ยังทำงานนั้นจนถึงทุกวันนี้ ห21.06 น. 2 ว. 1-2
วันเสาร์ที่ 7 มกราคม
ผมปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทำให้เติบโต คนที่ปลูกกับคนที่รดน้ำจึงไม่สำคัญอะไร พระเจ้าผู้ทำให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ—1 คร. 3:6, 7
เราอาจอยู่ในเขตที่หานักศึกษายาก หลายคนอาจไม่สนใจหรือถึงกับต่อต้านเราด้วยซ้ำ อะไรจะช่วยให้เราคิดบวกอยู่เสมอ? เราต้องจำไว้ว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาและชีวิตคนเราก็เปลี่ยนไปเร็วมาก คนที่ไม่สนใจเรื่องพระเจ้าในตอนแรกอาจจะเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้เขาต้องมีพระเจ้า (มธ. 5:3) ส่วนคนที่ไม่เคยรับหนังสือของเราในตอนแรกอาจจะเปลี่ยนมาอยากเรียนคัมภีร์ไบเบิลก็ได้ นอกจากนั้น เรารู้ว่าพระยะโฮวาเป็นเจ้าของนา (มธ. 9:38) พระองค์อยากให้เราปลูกและรดน้ำต่อ ๆ ไป แต่พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ทำให้เติบโต เราคงได้กำลังใจมากที่รู้ว่าถึงเราจะไม่มีนักศึกษาในตอนนี้ พระยะโฮวาก็จะให้รางวัลเพราะความพยายามของเราไม่ใช่เพราะผลงาน ห21.07 น. 6 ว. 14
วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม
ลูก ๆ เป็นมรดกจากพระยะโฮวา—สด. 127:3
พระยะโฮวาให้มนุษย์มีความสามารถที่จะมีลูกและให้พวกเขามีหน้าที่ที่จะสอนลูกให้รักและรับใช้พระองค์ ถึงพระยะโฮวาจะให้ทูตสวรรค์มีความสามารถหลายอย่าง แต่พระองค์ก็ไม่ได้ให้สิทธิพิเศษนี้กับพวกเขา พ่อแม่ต้องไม่ลืมว่าพวกเขาได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้าให้ทำหน้าที่สำคัญที่จะเลี้ยงลูก “ด้วยคำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา” (อฟ. 6:4; ฉธบ. 6:5-7) เพื่อพ่อแม่จะทำอย่างนั้นได้ องค์การของพระเจ้าเตรียมเครื่องมือสำหรับการสอนไว้หลายอย่าง เช่น หนังสือ วีดีโอ เพลง และบทความในเว็บไซต์ เห็นชัดเลยว่าพระยะโฮวาและพระเยซูลูกของพระองค์รักเด็ก ๆ มากจริง ๆ (ลก. 18:15-17) ถ้าพ่อแม่พึ่งพระยะโฮวาและพยายามเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด พวกเขาก็ทำให้พระยะโฮวาพอใจ และยังจะทำให้ลูก ๆ มีโอกาสได้เป็นครอบครัวของพระองค์ตลอดไปด้วย ห21.08 น. 5 ว. 9
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม
ความเชื่อ . . . เป็นความแน่ใจเพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมีจริง—ฮบ. 11:1
บางคนบอกว่าความเชื่อเป็นความงมงายไม่มีหลักฐาน แต่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่านี่ไม่ใช่ความเชื่อแท้ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าความเชื่อต้องมาจากหลักฐานชัดเจน ดังนั้นถึงเราจะมองไม่เห็นพระยะโฮวา พระเยซู หรือรัฐบาลของพระเจ้า แต่เรามีหลักฐานว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง (ฮบ. 11:3) พี่น้องคนหนึ่งที่เป็นนักชีวเคมีบอกว่า “ความเชื่อของเราไม่ได้เป็นแบบหลับหูหลับตาเชื่อโดยไม่สนใจข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์” เราอาจสงสัยว่า ‘ทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนมากมาย แต่ทำไมหลายคนถึงยังไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง?’ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยค้นคว้าหาหลักฐานด้วยตัวเอง โรเบิร์ตซึ่งตอนนี้มาเป็นพยานฯแล้วบอกว่า “ที่โรงเรียนไม่เคยสอนว่ามีผู้สร้าง ผมก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง กว่าผมจะมารู้ก็อายุ 20 กว่าแล้วตอนที่ได้คุยกับพยานพระยะโฮวา และได้เห็นหลักฐานในคัมภีร์ไบเบิลที่มีเหตุผลและทำให้มั่นใจว่ามีผู้สร้าง” ห21.08 น. 15 ว. 4-5
วันอังคารที่ 10 มกราคม
ลองชิมดู แล้วจะรู้ว่าพระยะโฮวาดีขนาดไหน—สด. 34:8
เราอาจจะเรียนรู้ความดีของพระยะโฮวาได้จากการอ่านคัมภีร์ไบเบิล หรือเราอาจจะได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟัง แต่เราจะเข้าใจจริง ๆ ว่าพระยะโฮวาดีขนาดไหนก็ต่อเมื่อเราได้ “ชิม” ด้วยตัวเอง เพื่อจะเข้าใจเรื่องนี้ สมมุติว่าเราอาจอยากจะรับใช้เต็มเวลา เพื่อจะทำอย่างนั้นเราก็ต้องปรับชีวิตให้เรียบง่ายมากขึ้น เรารู้ว่าถ้าเราให้รัฐบาลของพระเจ้ามาเป็นอันดับแรกในชีวิต พระยะโฮวาจะคอยดูแลให้เรามีสิ่งจำเป็น แต่เราไม่เคยเจอเรื่องนี้กับตัวเอง (มธ. 6:33) แต่ถึงอย่างนั้น เราก็เชื่อในคำสัญญาของพระเยซู เราก็เลยพยายามลดค่าใช้จ่าย ทำงานให้น้อยลง และรับใช้มากขึ้น พอเราทำแบบนั้นแล้ว เราก็ได้เห็นว่าพระยะโฮวาดูแลเราจริง ๆ เราได้ “ชิม” ด้วยตัวเองว่าพระยะโฮวาดีขนาดไหน ห21.08 น. 26 ว. 2
วันพุธที่ 11 มกราคม
พวกเขาจะไม่ยอมฟังคำสอนที่เป็นประโยชน์—2 ทธ. 4:3
เราเห็นปัญหาเดียวกันในทุกวันนี้ไหม? ใช่ พวกบาทหลวงและคนสอนศาสนาชอบให้คนรวย ๆ คนที่มีหน้ามีตา หรือคนที่ใคร ๆ มองว่าฉลาดเข้ามาเป็นสมาชิกในโบสถ์ของพวกเขาทั้ง ๆ ที่หลายคนไม่ได้ใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาเป็นคนขยันและทำตามมาตรฐานของพระองค์ แต่พวกบาทหลวงและคนสอนศาสนากลับดูถูกพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม แต่เปาโลบอกว่าพระเจ้าเลือกคนที่โดน “ดูถูก” (1 คร. 1:26-29) สำหรับพระยะโฮวา ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ทุกคนมีค่าไม่ว่าพวกเขาจะมีตำแหน่งหรือฐานะยังไง (มธ. 11:25, 26) เพื่อจะไม่ให้อะไรมาขัดขวางเราไม่ให้รับใช้พระยะโฮวา เราต้องไม่คิดเหมือนกับคนในโลกนี้ที่มองคนของพระเจ้าแบบผิด ๆ จำไว้ว่าพระยะโฮวาใช้คนถ่อมเท่านั้นเพื่อทำตามความต้องการของพระองค์ (สด. 138:6) และลองคิดดูว่าถึงคนในโลกจะมองว่าคนเหล่านี้ไม่ฉลาดและไม่มีความสามารถ พระยะโฮวาใช้พวกเขาให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้สำเร็จมากมายแค่ไหน ห21.05 น. 8 ว. 1; น. 9 ว. 5-6
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม
พวกคุณก็ส่งของมาช่วยผม—ฟป. 4:16
อัครสาวกเปาโลขอบคุณเวลาที่คนอื่นช่วยเขา เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่ง ไม่ต้องให้ใครมาช่วย แต่เขายอมรับความช่วยเหลือจากพี่น้อง (ฟป. 2:19-22) พี่น้องสูงอายุ มีหลายวิธีที่คุณจะแสดงว่าคุณเห็นค่าและขอบคุณพี่น้องที่อายุน้อยกว่าในประชาคมของคุณได้ ถ้าพวกเขาอยากจะช่วยไปซื้อของ พาคุณไปไหนมาไหน หรือทำอย่างอื่นให้ก็ขอให้คุณยอมให้พวกเขาช่วย ขอให้คุณมองว่าการที่พวกเขาช่วยคุณแบบนี้เป็นวิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาแสดงความรักกับคุณ บางทีคุณอาจจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกับพวกเขาก็ได้ นอกจากนั้น ให้คุณพยายามช่วยพี่น้องที่อายุน้อยกว่าให้ก้าวหน้าและสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น บอกพวกเขาว่าคุณดีใจมากที่เห็นพวกเขาพยายามทำหลายอย่างเพื่อช่วยประชาคม ให้เวลากับพวกเขา และเล่าประสบการณ์ในชีวิตของคุณให้พวกเขาฟังด้วย ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณก็กำลัง “แสดงความขอบคุณ” ต่อพระยะโฮวาที่พระองค์ให้มีพี่น้องที่อายุน้อยในประชาคม—คส. 3:15; ยน. 6:44; 1 ธส. 5:18 ห21.09 น. 11-12 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 13 มกราคม
ความสงสารนี้มาจากสวรรค์เหมือนกับแสงของวันใหม่—ลก. 1:78
พระยะโฮวารักพี่น้องของเราทุกคน แต่บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่ายากที่จะรักพวกเขา อาจจะเป็นเพราะภูมิหลังหรือวัฒนธรรมที่ต่างกัน หรือพี่น้องบางคนอาจจะทำให้เราไม่สบายใจและผิดหวัง แต่เราก็ยังแสดงความรักกับพวกเขาได้ถ้าเราเลียนแบบพระยะโฮวา (อฟ. 5:1, 2; 1 ยน. 4:19) คนที่สงสารคนอื่นจะพยายามหาวิธีช่วยคนนั้น พระเยซูเลียนแบบพระยะโฮวาในเรื่องนี้ (ยน. 5:19) ตัวอย่างเช่น ตอนที่ท่านอยู่บนโลกและเห็นประชาชนกลุ่มหนึ่ง ท่านก็ “รู้สึกสงสารเพราะพวกเขาถูกขูดรีดและถูกทอดทิ้งเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง” (มธ. 9:36) พระเยซูไม่ได้แค่รู้สึกสงสารเท่านั้น แต่ท่านยังพยายามหาวิธีช่วยพวกเขาด้วย เช่น ท่านรักษาคนป่วยและช่วยคนที่ “ทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยและมีภาระมาก” ให้สดชื่นหายเหนื่อย—มธ. 11:28-30; 14:14 ห21.09 น. 22 ว. 10-11
วันเสาร์ที่ 14 มกราคม
[พระเจ้า] เมตตา พระองค์ยกโทษให้พวกเขาและไม่ทำลายพวกเขา—สด. 78:38
พระยะโฮวาชอบแสดงความเมตตามาก เปาโลได้รับการดลใจให้เขียนว่า “พระเจ้ามีเมตตาล้นเหลือ” ในท้องเรื่องนี้เปาโลกำลังบอกว่าพระเจ้าแสดงความเมตตากับมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบโดยให้พวกเขามีความหวังในสวรรค์ (อฟ. 2:4-7) แต่พระยะโฮวาไม่ได้แสดงความเมตตากับคนกลุ่มนี้เท่านั้น ในหนังสือสดุดี ดาวิดเขียนว่า “พระยะโฮวาดีต่อทุกชีวิต ความเมตตาของพระองค์เห็นได้จากทุกสิ่งที่พระองค์สร้าง” (สด. 145:9) พระยะโฮวารักมนุษย์มาก พระองค์เลยหาทางที่จะแสดงความเมตตาทุกครั้งที่ทำได้ พระเยซูรู้ว่าพระยะโฮวาชอบแสดงความเมตตามากแค่ไหน ไม่มีใครรู้ดีเท่ากับท่านอีกแล้วเพราะท่านอยู่กับพระยะโฮวาบนสวรรค์เป็นเวลานานมาก (สภษ. 8:30, 31) ท่านได้เห็นว่าพระยะโฮวาแสดงความเมตตาไม่รู้กี่ครั้งกับมนุษย์ที่ทำบาปต่อพระองค์ (สด. 78:37-42) และตอนที่พระเยซูสอน ท่านก็เน้นคุณลักษณะนี้ของพระยะโฮวาบ่อย ๆ ห21.10 น. 8-9 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม
พ่อครับ ขอให้ชื่อของพระองค์ได้รับการยกย่อง—ยน. 12:28
มีครั้งหนึ่งที่พระเยซูอธิษฐานว่า “พ่อครับ ขอให้ชื่อของพระองค์ได้รับการยกย่อง” แล้วก็มีเสียงดังจากสวรรค์เหมือนเสียงฟ้าร้องเป็นเสียงของพระยะโฮวาบอกว่าพระองค์จะทำให้ชื่อของพระองค์ได้รับการยกย่องแน่นอน พระเยซูยกย่องชื่อพ่อของท่านเสมอตลอดเวลาที่ท่านอยู่บนโลก คริสเตียนแท้ที่ติดตามพระเยซูก็ภูมิใจที่ใช้ชื่อของพระเจ้าและภูมิใจที่ทำให้คนอื่นรู้จักชื่อของพระองค์เหมือนกัน (ยน. 17:26) หลังจากที่เริ่มมีประชาคมคริสเตียนได้ไม่นาน พระยะโฮวาก็ “หันมาสนใจคนต่างชาติ และแยกคนออกมาให้เป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ใช้ชื่อของพระองค์” (กจ. 15:14) คริสเตียนรุ่นแรกภูมิใจที่ใช้ชื่อของพระเจ้าและภูมิใจที่ทำให้คนอื่นรู้จักชื่อของพระองค์ พวกเขาใช้ชื่อของพระเจ้าทั้งในหนังสือคัมภีร์ไบเบิลที่พวกเขาเขียนและตอนที่พวกเขาประกาศ นี่ทำให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนกลุ่มเดียวที่ทำให้ชื่อของพระเจ้าเป็นที่รู้จัก (กจ. 2:14, 21) พยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้ก็เป็นคนกลุ่มเดียวที่ทำให้ชื่อของพระเจ้าเป็นที่รู้จัก ห21.10 น. 20-21 ว. 8-10
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม
ใคร่ครวญสิ่งที่พระยะโฮวาทำด้วยความรักที่มั่นคง—สด. 107:43
ความรักที่มั่นคงของพระเจ้าจะอยู่ตลอดไป มีการพูดถึงเรื่องนี้ 26 ครั้งในสดุดีบท 136 ตั้งแต่ข้อแรกบอกว่า “ขอให้ขอบคุณพระยะโฮวา เพราะพระองค์ดีจริง ๆ พระองค์มีความรักที่มั่นคงตลอดไป” (สด. 136:1) หลังจากนั้นตั้งแต่ข้อ 2 ถึงข้อ 26 ก็มีประโยคที่บอกว่า “เพราะพระองค์มีความรักที่มั่นคงตลอดไป” พอเราอ่านสดุดีบทนี้ทั้งบท เราก็รู้สึกประทับใจที่เห็นพระยะโฮวาแสดงความรักที่มั่นคงในหลายวิธี คำพูดที่ว่า “เพราะพระองค์มีความรักที่มั่นคงตลอดไป” ทำให้เรามั่นใจว่าพระยะโฮวาไม่เปลี่ยนไป เมื่อพระองค์รักใครแล้ว พระองค์จะไม่เลิกรักคนนั้น พระองค์จะไม่หมดหวัง และพระองค์จะไม่ทิ้งเขาโดยเฉพาะตอนที่เขาต้องเจอกับความลำบาก เมื่อเรารู้ว่าพระยะโฮวารักเราและจะอยู่กับเราเสมอ เราก็มีความสุข เรามีกำลังใจที่จะรับมือกับปัญหาต่าง ๆ และรับใช้พระองค์ต่อ ๆ ไปได้—สด. 31:7 ห21.11 น. 4 ว. 9-10
วันอังคารที่ 17 มกราคม
อย่าทุกข์ใจไปเลย ขอให้แสดงความเชื่อ—ยน. 14:1
คุณกังวลไหมตอนคิดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้ เช่น ตอนที่ศาสนาเท็จถูกทำลาย โกกแห่งมาโกกมาโจมตี และสงครามอาร์มาเกดโดน? หรือคุณเคยถามตัวเองไหมว่า ‘พอถึงตอนนั้นฉันจะผ่านมันไปได้ไหม? ฉันจะยังรักษาความซื่อสัตย์ไว้ได้รึเปล่า?’ ถ้าคุณคิดแบบนี้ คำพูดของพระเยซูซึ่งเป็นข้อคัมภีร์ประจำวันนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณ ท่านพูดกับพวกสาวกว่า “อย่าทุกข์ใจไปเลย ขอให้แสดงความเชื่อ” ถ้าเรามีความเชื่อเข้มแข็ง เราจะมั่นใจว่าจะผ่านเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้แน่นอน และถ้าเราอยากมีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น เราต้องสังเกตดูว่าตอนนี้ที่เราถูกทดสอบความเชื่อ เรารับมือกับมันยังไง การทำอย่างนี้จะทำให้รู้ว่าเราต้องเพิ่มความเชื่อมากขึ้นในเรื่องไหน และทุกครั้งที่เราผ่านการทดสอบ ความเชื่อของเราก็จะเพิ่มขึ้น แล้วเราก็จะอดทนกับปัญหาและการทดสอบในอนาคตได้ ห21.11 น. 20 ว. 1-2
วันพุธที่ 18 มกราคม
เมื่อไรที่ผมอ่อนแอ ผมกลับยิ่งเข้มแข็งขึ้น—2 คร. 12:10
เปาโลบอกให้ทิโมธีทำงานรับใช้อย่างเต็มที่ (2 ทธ. 4:5) แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำอย่างนั้น ลองคิดถึงพี่น้องที่อยู่ในประเทศที่งานของเราถูกสั่งห้ามหรือไม่มีอิสระเต็มที่ นอกจากนั้น คนของพระยะโฮวาต้องเจอกับปัญหาหลายอย่างที่ทำให้ท้อใจ ตัวอย่างเช่น หลายคนต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว พวกเขาอยากรับใช้มากขึ้น แต่พอถึงวันเสาร์อาทิตย์พวกเขาก็หมดแรงแล้ว ส่วนบางคนก็รับใช้พระยะโฮวาได้น้อยมากเพราะป่วยหนักหรืออายุมากแล้ว บางคนถึงกับต้องอยู่แต่ในบ้านออกไปไหนไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วยังมีบางคนที่ต้องสู้อยู่เรื่อย ๆ กับความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่มีค่าด้วย ไม่ว่าเราจะต้องเจอกับปัญหาอะไร พระยะโฮวาสามารถให้พลังกับเราเพื่อจะรับมือและยังรับใช้พระองค์มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ห21.05 น. 20 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม
อย่า . . . ทำให้ชื่อของพระเจ้าของเจ้าเสื่อมเสีย—ลนต. 19:12
บางครั้งเพื่อนนักเรียน คนที่ทำธุรกิจกับเรา ญาติพี่น้องที่ไม่ได้เป็นพยานฯหรือคนอื่น ๆ อาจจะกดดันเราให้ทำสิ่งที่พระยะโฮวาไม่ชอบ เมื่อเป็นแบบนั้นเราต้องเลือก ให้เราคิดถึงหลักการในเลวีนิติ 19:19 ที่บอกว่า “อย่าสวมเสื้อผ้าที่ทำจากด้าย 2 ชนิด” กฎหมายข้อนี้ทำให้ชาวอิสราเอลแตกต่างจากชาติอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะใส่เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุผสม เช่น เนื้อผ้าที่มีผ้าฝ้าย ผ้าโพลีเอสเตอร์ และขนสัตว์ผสมกัน แต่เราจะไม่เชื่อและไม่ทำสิ่งที่ขัดกับคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล แน่นอนว่าเรารักญาติพี่น้องของเราและเราอยากแสดงความรักต่อคนอื่น แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เราต้องเลือกว่าจะเชื่อฟังพระเจ้าหรือเปล่า เราต้องทำให้คนอื่นเห็นว่าเราแตกต่างจากคนทั่วไป นี่เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถ้าเราอยากเป็นคนบริสุทธิ์ เราต้องแยกตัวเองไว้สำหรับพระเจ้า—2 คร. 6:14-16; 1 ปต. 4:3, 4 ห21.12 น. 5 ว. 14; น. 6 ว. 16
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม
ประตูแคบและทางแคบที่เดินลำบากจะนำไปถึงชีวิต—มธ. 7:14
ทางที่นำไปถึงชีวิตไม่ใช่เส้นทางที่พบได้ยาก พระเยซูบอกว่า “ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสอนเสมอ พวกคุณก็เป็นสาวกของผมจริง ๆ และพวกคุณจะรู้ความจริง แล้วความจริงจะทำให้พวกคุณเป็นอิสระ” (ยน. 8:31, 32) น่าดีใจที่คุณไม่ได้ทำตามคนส่วนใหญ่ คุณอยากรู้ความจริง คุณเลยศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจังเพราะอยากรู้ว่าพระเจ้าต้องการอะไร และคุณยังเชื่อฟังคำสอนของพระเยซูด้วย คุณได้เรียนรู้ว่าพระยะโฮวาอยากให้คุณเลิกทำตามคำสอนของศาสนาเท็จและเลิกฉลองวันหยุดทางศาสนา นอกจากนั้น พระเยซูยังสอนคุณให้รู้ด้วยว่าการทำสิ่งที่พระเจ้าอยากให้ทำและการเปลี่ยนแปลงชีวิตในแบบที่พระองค์พอใจไม่ใช่เรื่องง่าย (มธ. 10:34-36) แต่คุณก็พยายามทำอย่างนั้นเพราะคุณรักพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ของคุณ พระยะโฮวาต้องภูมิใจในตัวคุณแน่ ๆ—สภษ. 27:11 ห21.12 น. 22 ว. 3; น. 23 ว. 5
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม
ลูกพ่อ ขอให้ฟังและยอมรับคำสอนของพ่อ—สภษ. 4:10
โมเสสเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นตัวอย่างที่ดี หลังจากที่เขาทำผิดร้ายแรงมาแล้ว พอเขาได้รับคำแนะนำ เขาก็ยอมรับคำแนะนำนั้น ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งโมเสสโมโหมากจนไม่ได้ให้เกียรติพระยะโฮวา เลยทำให้เขาไม่ได้สิทธิพิเศษที่จะได้เข้าในแผ่นดินที่พระองค์สัญญา (กดว. 20:1-13) โมเสสอ้อนวอนขอให้พระยะโฮวาเปลี่ยนใจ แต่พระยะโฮวาบอกว่า “พอแล้ว ไม่ต้องมาพูดกับเราเรื่องนี้อีก” (ฉธบ. 3:23-27) ถึงโมเสสจะเจอแบบนี้ เขาก็ไม่ได้โกรธ เขายอมรับการตัดสินใจของพระยะโฮวา พระองค์เลยให้เขานำหน้าชาวอิสราเอลต่อไป (ฉธบ. 4:1) โมเสสเป็นตัวอย่างที่ดีที่เราควรเลียนแบบจริง ๆ เขาแสดงให้เห็นว่าเขายอมรับคำแนะนำของพระยะโฮวาโดยซื่อสัตย์ต่อพระองค์ต่อไปแม้จะเสียสิทธิพิเศษที่มีค่ามากสำหรับเขา ถ้าเราเลียนแบบโมเสส เราจะได้ประโยชน์มาก (สภษ. 4:10-13) ในทุกวันนี้มีพี่น้องหลายคนที่ทำแบบนั้น ห22.02 น. 11 ว. 9-10
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม
แล้วพระเยซูก็ร้องไห้น้ำตาไหล—ยน. 11:35
ในหมู่บ้านเบธานีมีครอบครัวหนึ่งที่พระเยซูรักมาก พวกเขามีกันอยู่ 3 คนพี่น้องคือลาซารัส มาร์ธา และมารีย์ พระเยซูรักเพื่อนทั้ง 3 คนนี้มาก ในฤดูหนาวปี ค.ศ. 32 ลาซารัสป่วยหนักแล้วก็ตาย พอมาร์ธาได้ยินว่าพระเยซูมาก็รีบมาหาท่านทันที ลองคิดดูว่ามาร์ธาจะเสียใจขนาดไหนตอนที่บอกพระเยซูว่า “นายคะ ถ้าท่านอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ตาย” (ยน. 11:21, 32, 33) พระเยซูร้องไห้สะเทือนใจเมื่อเห็นมาร์ธากับมารีย์เจ็บปวดเพราะเสียคนที่รักไป ถ้าคนที่คุณรักตายจากไป พระยะโฮวาเข้าใจความรู้สึกคุณ เนื่องจากพระเยซู “ถอดแบบมาจาก [พ่อของท่าน] อย่างไม่ผิดเพี้ยน” พอพระเยซูร้องไห้ เราเลยรู้ว่าพระยะโฮวารู้สึกยังไง (ฮบ. 1:3; ยน. 14:9) คุณมั่นใจได้เลยว่าพระยะโฮวาไม่ใช่แค่เห็นคุณเสียใจ แต่พระองค์เสียใจไปกับคุณด้วย พระองค์อยากรักษาหัวใจที่แตกสลายของคุณ—สด. 34:18; 147:3 ห22.01 น. 15 ว. 5-7
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม
ความเชื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ยินข่าวดี—รม. 10:17
ถ้าคุณใช้เวลาคุยกับพระยะโฮวา ฟังพระองค์ และคิดเกี่ยวกับพระองค์ คุณจะได้ประโยชน์หลายอย่าง อย่างแรก คุณจะตัดสินใจได้ดีขึ้น คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “คนที่คบกับคนฉลาดจะฉลาด” (สภษ. 13:20) อย่างที่สอง คุณจะสอนนักศึกษาได้ดีขึ้น เมื่อสอนคัมภีร์ไบเบิลให้กับนักศึกษา เป้าหมายสำคัญที่สุดของเราก็คือช่วยเขาให้สนิทกับพระยะโฮวา ยิ่งเราอธิษฐานถึงพระยะโฮวาและรู้จักพระองค์มากขึ้น เราก็จะยิ่งรักพระองค์และจะช่วยให้นักศึกษารักพระองค์มากขึ้น นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูด้วย เวลาที่พระเยซูพูดถึงพระยะโฮวาทีไร ท่านก็จะใช้คำที่ทำให้เห็นว่าท่านรักและสนิทกับพระยะโฮวามาก เลยทำให้พวกสาวกรักพระยะโฮวาด้วยเหมือนกัน (ยน. 17:25, 26) อย่างที่สาม คุณจะมีความเชื่อที่เข้มแข็งขึ้น ลองคิดดูว่าจะเป็นยังไงถ้าคุณอธิษฐานถึงพระยะโฮวา ขอการชี้นำและการช่วยเหลือจากพระองค์ และทุกครั้งพระองค์ก็ตอบคำอธิษฐานของคุณ คุณก็จะมีความเชื่อที่เข้มแข็งขึ้นแน่ ๆ—1 ยน. 5:15 ห22.01 น. 30 ว. 15-17
วันอังคารที่ 24 มกราคม
ให้ทิ้งลักษณะนิสัยเก่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำ—คส. 3:9
พระยะโฮวาอยากให้เราเลิกคิดและเลิกทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะพระองค์รักเรามากและอยากให้เรามีความสุข (อสย. 48:17, 18) พระองค์รู้ว่าคนที่ยอมทำตามใจตัวเองทั้งที่รู้ว่ามันผิดจะทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเจ็บปวด และนี่ก็ทำให้พระยะโฮวาเจ็บปวดไปด้วย ถ้าเราพยายามจะเปลี่ยนตัวเอง ตอนแรกเพื่อนหรือคนในครอบครัวอาจเยาะเย้ยเรา (1 ปต. 4:3, 4) เขาอาจบอกเราว่าเรามีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ไม่จำเป็นต้องไปฟังใคร แต่คนที่ไม่ทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาได้อิสระจริง ๆ ไหม? ไม่ใช่เลย พวกเขาอยู่ใต้อำนาจโลกของซาตาน (รม. 12:1, 2) เราทุกคนต้องเลือกว่าจะมีนิสัยเก่า ๆ แบบเดิมซึ่งได้อิทธิพลจากบาปในตัวเราและโลกของซาตาน หรือจะยอมให้พระยะโฮวาเปลี่ยนเราเป็นคนใหม่ ซึ่งพระองค์จะทำให้เราเป็นคนที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะเป็นได้ในทุกวันนี้—อสย. 64:8 ห22.03 น. 3 ว. 6-7
วันพุธที่ 25 มกราคม
ถ้อยคำของพระเจ้ามีชีวิต ทรงพลัง คมยิ่งกว่าดาบสองคม . . . และสามารถรู้ถึงความคิดและเจตนาในใจ—ฮบ. 4:12
การคิดใคร่ครวญสิ่งที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาที่เราเจอ ให้เรามาดูว่าคัมภีร์ไบเบิลช่วยแม่ม่ายคนหนึ่งที่กำลังเสียใจได้ยังไง ผู้ดูแลแนะนำให้เธออ่านเรื่องราวของโยบ พอเธออ่าน ตอนแรกเธอรู้สึกว่าทำไมโยบถึงคิดแบบนี้ เธอคิดในใจว่า “โยบ อย่าคิดลบอย่างนั้นสิ ทำไมถึงคิดแต่ปัญหาของตัวเอง!” แล้วเธอก็เริ่มคิดได้ว่า เธอก็ไม่ต่างอะไรจากโยบเลย เธอเลยพยายามไม่คิดถึงแต่ปัญหาของตัวเองแต่คิดถึงพระยะโฮวามากกว่า นี่ทำให้เธอมีพลังที่จะรับมือกับความเสียใจที่ต้องสูญเสียสามีไป อีกวิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาให้พลังกับเราก็คือโดยทางพี่น้อง เปาโลเขียนว่าเขาอยากเจอพี่น้องมากเพื่อ “จะได้ให้กำลังใจกันและกัน”—รม. 1:11, 12 ห21.05 น. 22 ว. 10-11; น. 24 ว. 12
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม
ให้ฉลองเทศกาลนี้ให้พระยะโฮวาพระเจ้า 7 วันในที่ที่พระยะโฮวาเลือกไว้—ฉธบ. 16:15
พระยะโฮวาบอกกับชาวอิสราเอลว่า “ผู้ชายทุกคนในพวกคุณจะต้องไปหาพระยะโฮวาพระเจ้าปีละ 3 ครั้งในที่ที่พระองค์เลือกไว้” (ฉธบ. 16:16) เพื่อพวกเขาจะทำอย่างนั้น พวกเขาต้องทิ้งบ้านทิ้งสวนและทิ้งไร่นา แต่พระยะโฮวาก็สัญญาว่า “จะไม่มีใครอยากได้ดินแดนของเจ้าตอนที่เจ้าไปหาพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า” (อพย. 34:24) ชาวอิสราเอลไว้ใจพระยะโฮวาจริง ๆ แล้วพวกเขาก็ไปฉลองเทศกาลประจำปี นี่ทำให้พวกเขาได้รับผลดีหลายอย่าง ชาวอิสราเอลมีโอกาสได้เรียนรู้และเข้าใจกฎหมายของพระเจ้ามากขึ้น พวกเขามีโอกาสได้คิดถึงสิ่งดีต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาทำให้พวกเขา และพวกเขาก็มีโอกาสได้เจอกับคนอื่นที่รักพระยะโฮวาเหมือนกันซึ่งทำให้พวกเขาได้รับกำลังใจมาก ในทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราเสียสละสิ่งต่าง ๆ เพื่อจะไปประชุมเป็นประจำ เราก็ได้รับผลดีหลายอย่าง นอกจากนั้น ให้เราคิดดูว่าพระยะโฮวาจะมีความสุขมากแค่ไหนเมื่อพระองค์เห็นเราเตรียมการประชุม และออกความคิดเห็นสั้น ๆ ที่คิดมาอย่างดี ห22.03 น. 22 ว. 9
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม
ท่านสามารถช่วยเหลือคนที่ถูกทดสอบได้—ฮบ. 2:18
พระยะโฮวาฝึกพระเยซูให้พร้อมสำหรับหน้าที่มหาปุโรหิตของเราในอนาคต พระเยซูได้มาเจอด้วยตัวเองว่าการเชื่อฟังพระยะโฮวาตอนที่ถูกทดสอบอย่างหนักมันยากขนาดไหน พระเยซูเครียดมากจนท่าน “อธิษฐานขอและอ้อนวอนเสียงดังทั้งน้ำตา” เพราะท่านเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ท่านเลยเข้าใจว่าเราต้องการอะไรและ “สามารถช่วยเหลือ” เราตอนที่เรา “ทนทุกข์เมื่อถูกทดสอบ” เราขอบคุณพระยะโฮวาจริง ๆ ที่แต่งตั้งมหาปุโรหิตที่เมตตาและ “เห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของเรา”! (ฮบ. 2:17; 4:14-16; 5:7-10) พระยะโฮวายอมให้พระเยซูต้องทนทุกข์อย่างหนักเพื่อตอบคำถามสำคัญที่ว่า มนุษย์จะยังซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาอยู่ไหมถ้าเขาถูกทดสอบอย่างหนัก? ซาตานบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก! มันบอกว่ามนุษย์เห็นแก่ตัว และไม่มีใครรักพระเจ้าจริง ๆ หรอก (โยบ 1:9-11; 2:4, 5) แต่พระเยซูพิสูจน์ว่าซาตานเป็นตัวโกหก ห21.04 น. 16-17 ว. 7-8
วันเสาร์ที่ 28 มกราคม
ดังนั้น ให้พวกคุณไปสอนคนทุกชาติให้เป็นสาวก . . . สอนพวกเขาให้ทำตามทุกสิ่งที่ผมสั่งคุณไว้—มธ. 28:19, 20
ก่อนที่นักศึกษาจะรับบัพติศมาได้ เขาต้องเอาสิ่งที่เรียนจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ เมื่อนักศึกษาเอาสิ่งที่เรียนไปใช้ เขาก็จะเป็นเหมือน “คนฉลาด” ในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูที่ขุดหลุมลึกและสร้างบ้านบนพื้นหิน (มธ. 7:24, 25; ลก. 6:47, 48) คุณต้องช่วยนักศึกษาของคุณให้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง (มก. 10:17-22) ถึงพระเยซูรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายร่ำรวยคนนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองโดยขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามี แต่ท่านก็ยังบอกให้เขาทำ (มก. 10:23) เพราะอะไร? เพราะพระเยซูรักเขา เราก็เหมือนกันอาจไม่กล้าบอกให้นักศึกษาเปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะคิดว่าเขายังไม่พร้อม (คส. 3:9, 10) แต่ยิ่งคุณคุยเรื่องนี้กับนักศึกษาได้เร็วเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เร็วเท่านั้น และถ้าคุณคุยเรื่องนี้กับเขา คุณก็ทำให้เขารู้ว่าคุณเป็นห่วงเขา—สด. 141:5; สภษ. 27:17 ห21.06 น. 2-3 ว. 3, 5
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม
พระคริสต์ . . . เป็นตัวอย่างเพื่อให้พวกคุณเดินตามรอยเท้าของท่านอย่างใกล้ชิด—1 ปต. 2:21
เปโตรกำลังพูดถึงตัวอย่างของพระเยซูที่ท่านทนกับความทุกข์ แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่เราเลียนแบบท่านได้ (1 ปต. 2:18-25) เราควรจะเลียนแบบทุกสิ่งที่พระเยซูพูดและทำในชีวิตของท่าน แต่เราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ เราจะเลียนแบบตัวอย่างของพระเยซูได้จริง ๆ เหรอ? ได้สิ จำที่เปโตรบอกได้ไหม เขาไม่ได้บอกให้เราเดินตามรอยเท้าของพระเยซูอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ให้เรา “เดินตามรอยเท้าของท่านอย่างใกล้ชิด” ถึงเราจะเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าเราพยายามเลียนแบบตัวอย่างของพระเยซูให้ได้มากที่สุด เราก็กำลังทำตาม 1 ยอห์น 2:6 ที่ยอห์นบอกให้เรา “ใช้ชีวิตตามอย่างพระเยซู” การเดินตามรอยเท้าของพระเยซูจะช่วยให้เราสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น ทำไมถึงบอกแบบนั้น? เพราะพระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการทำสิ่งที่พระยะโฮวาพอใจ (ยน. 8:29) ถ้าเราเดินตามรอยเท้าของพระเยซู เราก็จะทำให้พระยะโฮวาพอใจเหมือนกัน และเราก็มั่นใจได้ว่าพ่อที่อยู่บนสวรรค์ของเราจะเข้ามาสนิทกับคนที่พยายามเป็นเพื่อนกับพระองค์—ยก. 4:8 ห21.04 น. 3 ว. 4-6
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม
พระยะโฮวาพอใจประชาชนของพระองค์—สด. 149:4
พระยะโฮวาเห็นสิ่งดี ๆ ในตัวเรา พระองค์เห็นศักยภาพของเราและรู้ว่าเราจะพัฒนาตัวเองไปได้อีกมากแค่ไหน และพระองค์ช่วยให้เราเป็นเพื่อนกับพระองค์ได้ ถ้าเราซื่อสัตย์กับพระองค์เสมอ พระองค์ก็จะอยู่เคียงข้างเราตลอดไป (ยน. 6:44) ถ้าเรามั่นใจว่าพระยะโฮวารักเราและจะช่วยเหลือเราเสมอ เราก็จะอยากรับใช้พระองค์อย่างสุดหัวใจไม่ว่าจะเจอกับปัญหาอะไรก็ตามในชีวิต แต่ถ้าเราสงสัยว่าพระยะโฮวารักและเป็นห่วงเราจริงหรือเปล่า ‘กำลังเรี่ยวแรงของเราก็จะน้อย’ (สภษ. 24:10) และพอเราท้อใจและคิดว่าพระเจ้าไม่รัก เราก็จะถูกซาตานโจมตีได้ง่าย (อฟ. 6:16) พี่น้องของเราบางคนมีความเชื่ออ่อนแอลงเพราะไม่มั่นใจว่าพระยะโฮวารักพวกเขาจริงหรือเปล่า ถ้าความคิดแบบนี้เข้ามาในหัวของคุณ คุณต้องทำยังไง? คุณต้องเลิกคิดเรื่องนั้นทันทีและรีบขอพระยะโฮวาช่วยคุณไม่ให้ “กังวล” เรื่องนั้น แต่ให้มี ‘สันติสุขของพระเจ้าที่จะปกป้องหัวใจและความคิดของคุณไว้’ (สด. 139:23; ฟป. 4:6, 7) และขอจำไว้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว ห21.04 น. 20 ว. 1; น. 21 ว. 4-6
วันอังคารที่ 31 มกราคม
พระเจ้าเป็นผู้ที่กระตุ้นพวกคุณให้มีทั้งความต้องการและกำลัง—ฟป. 2:13
คุณเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาได้ยังไง? บางทีคุณอาจได้ยิน “ข่าวดี” จากพ่อแม่ จากเพื่อนที่ทำงาน เพื่อนที่โรงเรียน หรือมีคนมาประกาศกับคุณที่บ้าน (มก. 13:10) จากนั้นก็มีคนมาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับคุณ เขาใช้เวลาและความพยายามมากเพื่อช่วยคุณ คุณได้รู้ว่าพระยะโฮวารักคุณมากแล้วคุณก็เริ่มรักพระองค์ พระยะโฮวาชักนำคุณให้รู้ความจริง ตอนนี้คุณมาเป็นสาวกของพระเยซูแล้ว และคุณมีความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไป (ยน. 6:44) คุณต้องรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวามากแน่ ๆ ที่ให้มีคนมาสอนความจริงกับคุณ และให้คุณเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทีนี้พอเรารู้ความจริงแล้ว เราก็ได้รับสิทธิพิเศษที่จะช่วยคนอื่นให้เข้ามาอยู่บนเส้นทางที่นำไปถึงชีวิตด้วยกันกับเรา คุณคงชอบไปประกาศตามบ้าน แต่คุณอาจรู้สึกว่ายากถ้าจะให้คุณชวนคนมาเรียนคัมภีร์ไบเบิลและสอนเขา ห21.07 น. 2 ว. 1-2