กุมภาพันธ์
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวาอยู่ใกล้ทุกคนที่ร้องเรียกพระองค์—สด. 145:18
พระยะโฮวาสนใจผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคนและพระองค์อยากให้พวกเรามีความสุข พระองค์อยู่ใกล้เรา และตอนที่เรารู้สึกเศร้าหรือท้อใจ พระองค์ก็รู้ (สด. 145:18, 19) ให้เรามาดูตัวอย่างของเอลียาห์ ขอให้เราสังเกตว่าพระยะโฮวาสนใจความรู้สึกเขามากแค่ไหน เอลียาห์มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบากมากเพราะตอนนั้นผู้รับใช้ของพระเจ้าถูกข่มเหงอย่างหนักและตัวเขาก็ถูกศัตรูที่มีอำนาจมากตามล่า (1 พก. 19:1, 2) นอกจากนั้น เอลียาห์คิดว่าเขาเป็นผู้พยากรณ์คนเดียวของพระยะโฮวาที่ยังเหลืออยู่ นี่ก็เลยอาจทำให้เขายิ่งท้อใจเข้าไปอีก (1 พก. 19:10) พระยะโฮวาสนใจความรู้สึกของเอลียาห์และช่วยเขาทันที พระองค์ส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาให้กำลังใจเขาเพื่อช่วยให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ยังมีชาวอิสราเอลอีกหลายคนที่รับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์ (1 พก. 19:5, 18) พระเยซูบอกสาวกของท่านว่าพวกเขาจะได้พี่น้องคริสเตียนที่เป็นเหมือนครอบครัวของพวกเขา (มก. 10:29, 30) และพระยะโฮวาที่เป็นหัวหน้าครอบครัวก็สัญญาว่า พระองค์จะช่วยคนที่อยากรับใช้พระองค์แน่นอน—สด. 9:10 ห21.06 น. 8-9 ว. 3-4
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์
คนที่มาจากพระเจ้าก็ฟังคำสอนของพระองค์—ยน. 8:47
หลายคนไม่ชอบเราเพราะเราใช้คัมภีร์ไบเบิลอธิบายว่าสิ่งที่ศาสนาอื่น ๆ สอนนั้นผิด พวกนักบวชและคนสอนศาสนาบอกว่าพระเจ้าลงโทษคนชั่วในไฟนรก พวกเขาใช้คำสอนนี้เพื่อให้ผู้คนทำตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่เรานมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าที่เป็นความรัก เราอยากช่วยผู้คนให้เข้าใจว่านี่เป็นคำสอนที่ผิด พวกนักบวชและคนสอนศาสนายังสอนด้วยว่าคนเรามีวิญญาณอมตะ แต่ถ้าคำสอนนี้เป็นความจริงก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องมีการฟื้นขึ้นจากตาย เราเลยช่วยหลายคนเข้าใจว่านี่เป็นคำสอนที่ผิด นอกจากนั้น หลายศาสนาสอนว่าชีวิตคนถูกลิขิตไว้แล้ว แต่เราสอนว่าคนเรามีอิสระในการตัดสินใจและมีสิทธิ์เลือกว่าจะรับใช้พระเจ้าหรือเปล่า พอเราช่วยหลายคนให้เข้าใจว่าคำสอนเหล่านี้ผิด พวกนักบวชและคนสอนศาสนาก็เลยโมโหมาก ถ้าเรารักความจริงเราต้องเชื่อคำสอนของพระเจ้า (ยน. 8:45, 46) เราต้องไม่เป็นเหมือนกับซาตาน เรายึดมั่นในความจริง และเราจะไม่ยอมทำอะไรที่ขัดกับความเชื่อของเรา (ยน. 8:44) พระเจ้าบอกว่าคนของพระองค์ต้อง “เกลียดสิ่งที่ชั่ว” และ “ยึดมั่นกับสิ่งที่ดี” เหมือนกับพระเยซู—รม. 12:9; ฮบ. 1:9 ห21.05 น. 10 ว. 10-11
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์
ต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีไปจากคุณ—ยก. 4:7
เราควรทำยังไงถ้ารู้สึกว่าเราเริ่มหยิ่งหรือโลภ? เราเปลี่ยนตัวเองได้ อัครสาวกเปาโลบอกว่าคนที่ถูกซาตาน ‘จับทั้งเป็น’ ก็ยังหลุดพ้นจากกับดักของมันได้ (2 ทธ. 2:26) อย่าลืมว่าพระยะโฮวามีพลังมากกว่าซาตาน ถ้าเรายอมให้พระองค์ช่วย เราก็จะหนีจากกับดักของซาตานได้ แทนที่จะต้องหนีจากกับดักของซาตาน คงจะดีกว่าถ้าเราไม่ติดกับดักมันตั้งแต่แรก เราจะทำอย่างนั้นได้ถ้าเรายอมให้พระยะโฮวาช่วย คุณต้องอธิษฐานถึงพระยะโฮวาทุกวัน ขอพระองค์ให้ช่วยคุณเห็นว่าคุณมีนิสัยที่ไม่ดีแบบนี้ในตัวไหม ซึ่งมันอาจจะออกมาในความคิดหรือการกระทำของคุณ (สด. 139:23, 24) อย่ายอมให้ตัวเองกลายเป็นคนหยิ่งหรือคนโลภ ซาตานเป็นนักล่ามาหลายพันปี อีกไม่นานมันจะถูกมัดและถูกทำลาย (วว. 20:1-3, 10) เราอยากให้วันนั้นมาเร็ว ๆ แต่กว่าจะถึงวันนั้นเราต้องระวังที่จะไม่ติดกับดักของมัน ขอให้คุณตั้งใจที่จะไม่เป็นคนหยิ่งหรือคนโลภ และพยายาม “ต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีไปจากคุณ” ห21.06 น. 19 ว. 15-17
วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์
ให้ช่วยกันขอเจ้าของนาให้ส่งคนไปมากขึ้นเพื่อทำงานเกี่ยวของพระองค์—มธ. 9:38
พระยะโฮวามีความสุขเมื่อคนคนหนึ่งตอบรับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและบอกความจริงนี้ให้กับคนอื่น (สภษ. 23:15, 16) ลองคิดดูว่าพระยะโฮวาจะมีความสุขมากขนาดไหนที่เห็นคนของพระองค์ขยันขันแข็งในการทำงานประกาศและสอนในทุกวันนี้ ตัวอย่างเช่น ในปีการรับใช้ 2020 ทั้ง ๆ ที่มีโรคระบาดแต่มีถึง 7,705,765 คนที่เรียนคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งนี่ทำให้ 241,994 คนอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาและรับบัพติศมา แล้วคนใหม่เหล่านี้จะนำการศึกษากับคนอื่นและช่วยอีกหลายคนเข้ามาเป็นสาวก (ลก. 6:40) เรามั่นใจได้เลยว่าพระยะโฮวาจะมีความสุขแน่ ๆ ถ้าเราสอนคนอื่นให้เป็นสาวก งานสอนคนให้เป็นสาวกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พระยะโฮวาจะช่วยเราให้สอนคนให้รักพระองค์ได้ คุณจะตั้งเป้าที่จะมีนักศึกษาอย่างน้อยสัก 1 คนได้ไหม? ถ้าทุกครั้งที่เรามีโอกาส เราชวนทุกคนให้มาเรียนคัมภีร์ไบเบิล เราอาจจะเจอคนที่อยากเรียนคัมภีร์ไบเบิลก็ได้ ห21.07 น. 6-7 ว. 14-16
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์
เพราะเรารักวิหารของพระเจ้าของเรามาก เราจะบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวของเราคือทองคำและเงินให้กับวิหารของพระเจ้าของเรา—1 พศ. 29:3
กษัตริย์ดาวิดบริจาคเงินและสิ่งมีค่าหลายอย่างเพื่อสนับสนุนงานก่อสร้างวิหาร (1 พศ. 22:11-16) เขาทำอย่างนั้นถึงแม้ว่าวิหารที่สร้างขึ้นมาจะถูกเรียกว่าวิหารของโซโลมอน เราก็เหมือนกันถ้าเราอายุมากขึ้นและรู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรงแล้วที่จะช่วยโครงการก่อสร้าง เรายังสามารถสนับสนุนงานนี้ได้โดยการบริจาคเท่าที่เราจะทำได้ และเรายังใช้ประสบการณ์ที่มีเพื่อช่วยพี่น้องที่อายุน้อยกว่าได้ด้วย ให้เรามาดูตัวอย่างของเปาโลว่าเขาเป็นผู้ให้ยังไง เขาชวนทิโมธีที่ตอนนั้นอายุยังน้อยให้มาทำงานมิชชันนารีกับเขา แล้วเปาโลก็ฝึกให้ทิโมธีรู้จักวิธีประกาศและสอนคนอื่น (กจ. 16:1-3) เปาโลช่วยทิโมธีให้เป็นผู้รับใช้ที่เก่งมาก (1 คร. 4:17) แล้วทิโมธีก็เอาสิ่งที่เขาได้เรียนจากเปาโลไปฝึกคนอื่นต่อไป ห21.09 น. 12 ว. 14-15
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์
พวกคุณยังอิจฉากันและทะเลาะกัน—1 คร. 3:3
เราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของอปอลโลกับอัครสาวกเปาโล? ใคร ๆ ก็รู้จักสองคนนี้ ทั้งสองคนมีความรู้เรื่องพระคัมภีร์เป็นอย่างดีและสอนเก่ง และยังช่วยหลายคนให้มาเป็นสาวกด้วย ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาไม่เคยอิจฉากันและไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายเป็นคู่แข่ง (กจ. 18:24) เพราะหลังจากนั้นเปาโลยังคะยั้นคะยอให้อปอลโลกลับไปที่เมืองโครินธ์อีก (1 คร. 16:12) อปอลโลใช้พรสวรรค์ของเขาในทางที่ดีโดยการประกาศข่าวดีและให้กำลังใจพี่น้อง เรามั่นใจว่าอปอลโลเป็นคนถ่อมด้วย อย่างเช่น ตอนที่อะควิลลากับปริสสิลลา “อธิบายให้เขาเข้าใจแนวทางของพระเจ้าอย่างถูกต้องยิ่งขึ้น” ไม่มีที่ไหนในคัมภีร์ไบเบิลเลยที่บอกว่าอปอลโลโมโห (กจ. 18:24-28) เปาโลรู้ว่าอปอลโลมีอะไรดี ๆ หลายอย่าง แต่เขาไม่ได้กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าอปอลโลเก่งกว่าเขา พอเราได้อ่านคำแนะนำของเปาโลที่เขียนให้กับพี่น้องที่โครินธ์ เราก็เห็นได้ว่าเปาโลเป็นคนถ่อมตัวและมีเหตุผลจริง ๆ—1 คร. 3:4-6 ห21.07 น. 18-19 ว. 15-17
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์
ทำให้คนมากมายเป็นคนบาป—รม. 5:19
อาดัมกับเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า พวกเขาไม่สมควรที่จะเป็นครอบครัวของพระองค์อยู่แล้ว แต่พระยะโฮวารักลูกหลานของพวกเขา พระองค์เลยให้พระเยซูลูกคนเดียวของพระองค์มาเป็นค่าไถ่เพื่อมนุษย์ที่เชื่อฟังจะมีโอกาสได้มาเป็นครอบครัวของพระองค์อีกครั้ง (ยน. 3:16) ค่าไถ่ของพระเยซูทำให้มนุษย์ที่ซื่อสัตย์ 144,000 คนสามารถเป็นลูกของพระองค์ได้ (รม. 8:15-17; วว. 14:1) นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายล้านคนที่เชื่อฟังและพยายามทำตามความต้องการของพระยะโฮวา พวกเขามีความหวังว่าถ้าพวกเขาผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายตอนสิ้นสุดสมัยพันปี พวกเขาจะได้เป็นครอบครัวของพระยะโฮวาจริง ๆ (สด. 25:14; รม. 8:20, 21) แม้แต่ตอนนี้พวกเขาก็เรียกพระยะโฮวาผู้ที่สร้างพวกเขาว่า “พ่อ” ได้ (มธ. 6:9) ส่วนคนที่ถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายก็จะมีโอกาสได้เรียนว่าพระยะโฮวาต้องการให้พวกเขาทำอะไรบ้าง ถ้าพวกเขาเชื่อฟังและทำตาม พวกเขาก็จะมีโอกาสได้มาเป็นครอบครัวของพระองค์ด้วย ห21.08 น. 5 ว. 10-11
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์
มองให้ออกว่าอะไรสำคัญกว่า—ฟป. 1:10
เปาโลได้รับมอบหมายให้ทำงานรับใช้และเขาก็มองว่างานรับใช้เป็นงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เขาประกาศ “ทั้งในที่สาธารณะและตามบ้านด้วย” (กจ. 20:20) เขาหาโอกาสที่จะประกาศทุกที่ทุกเวลา ตัวอย่างเช่น ตอนที่เปาโลคอยเพื่อนอยู่ในกรุงเอเธนส์ เขาประกาศกับคนที่มีหน้ามีตาในสังคม บางคนก็ฟังเขาแล้วเข้ามาเป็นสาวก (กจ. 17:16, 17, 34) และแม้แต่ตอนที่เปาโล “ถูกกักขัง” เขาก็ยังหาวิธีประกาศกับคนอื่น (ฟป. 1:13, 14; กจ. 28:16-24) เปาโลเป็นคนที่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ามาก เขาชอบชวนคนอื่นไปรับใช้ด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ตอนที่เปาโลไปประกาศในต่างประเทศรอบแรก เขาชวนยอห์นที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย ตอนที่เขาไปประกาศรอบที่สอง เขาก็ชวนทิโมธีไปด้วย (กจ. 12:25; 16:1-4) ตอนที่ไปด้วยกัน เปาโลสอนพี่น้องชายเหล่านี้ว่าจะจัดระเบียบในประชาคมยังไง จะดูแลและให้กำลังใจพี่น้องยังไง และจะเป็นคนที่สอนได้ดีได้ยังไงบ้าง—1 คร. 4:17 ห22.03 น. 27 ว. 5-6
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์
[พระเจ้า] ไม่ได้อยู่ไกลจากเราแต่ละคนเลย—กจ. 17:27
บางคนไม่เชื่อว่ามีผู้สร้างเพราะพวกเขาบอกว่าพวกเขาเชื่อในสิ่งที่ตัวเองมองเห็นเท่านั้น แต่บางอย่างที่พวกเขามองไม่เห็นพวกเขาก็ยังเชื่อเลย อย่างเช่น แรงโน้มถ่วงของโลก คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าความเชื่อต้อง “มีหลักฐานชัดเจนว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมีจริง” (ฮบ. 11:1) เราต้องใช้เวลาและความพยายามเพื่อจะหาหลักฐานที่ทำให้ตัวเองมั่นใจ แต่หลายคนไม่อยากจะทำอย่างนั้น พวกเขาก็เลยสรุปเอาเองว่าไม่มีพระเจ้า หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์บางคนได้ศึกษาหลักฐาน พวกเขาก็เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่สร้างเอกภพ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าไม่มีผู้สร้างเพราะมหาวิทยาลัยไม่เคยสอนเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ได้มาเรียนเกี่ยวกับพระยะโฮวาแล้วก็รักพระองค์ ไม่ว่าเราจะเรียนสูงมามากแค่ไหนก็ตามเราทุกคนต้องพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น ห21.08 น. 14 ว. 1; น. 15-16 ว. 6-7
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวาดีต่อทุกชีวิต ความเมตตาของพระองค์เห็นได้จากทุกสิ่งที่พระองค์สร้าง—สด. 145:9
พระเยซูใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องลูกที่หลงหายเพื่อช่วยให้เราเข้าใจว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่เมตตาขนาดไหน ในตัวอย่างเปรียบเทียบนั้น ลูกคนหนึ่งออกจากบ้านแล้วก็ “ใช้ชีวิตอย่างเสเพล และใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย” (ลก. 15:13) แต่หลังจากนั้น เขากลับใจ ถ่อมตัวลงแล้วก็กลับบ้าน พ่อของเขาทำยังไง? พระเยซูบอกว่า “ตอนที่ [ลูก] ยังอยู่แต่ไกล พ่อก็เห็นเขาและรู้สึกสงสาร พ่อเลยวิ่งเข้าไปหา ทั้งกอดและจูบเขา” พ่อไม่ได้ด่าว่าลูกหรือทำให้เขารู้สึกแย่ไปกว่าเดิม แต่พ่อเมตตาและต้อนรับเขากลับมาในครอบครัวอีกครั้ง ถึงลูกคนนี้ได้ทำบาปร้ายแรงมาก แต่เพราะเขากลับใจ พ่อก็เลยให้อภัยเขา พ่อในตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ก็เหมือนพระยะโฮวา พระเยซูทำให้เราเห็นว่าพระยะโฮวาพร้อมจะให้อภัยคนบาปที่กลับใจจริง ๆ—ลก. 15:17-24 ห21.10 น. 8 ว. 4; น. 9 ว. 6
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์
ตอนนี้พระเจ้าหันมาสนใจคนต่างชาติ และแยกคนออกมาให้เป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ใช้ชื่อของพระองค์—กจ. 15:14
ในทุกวันนี้ผู้นำศาสนาพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำให้คนไม่รู้จักชื่อพระเจ้า พวกเขาเอาชื่อของพระยะโฮวาออกจากคัมภีร์ไบเบิลและในบางครั้งก็ไม่ให้พูดชื่อนี้ในโบสถ์ของพวกเขา แต่พยานพระยะโฮวาไม่ได้เป็นแบบนั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่าพยานพระยะโฮวาใช้ชื่อของพระเจ้าและยกย่องชื่อนี้เสมอ พวกเราทำให้คนอื่นรู้จักชื่อของพระองค์ ไม่มีศาสนาไหนที่ทำแบบนี้ ไม่ใช่แค่นั้น เรายังใช้ชีวิตสมกับชื่อพยานพระยะโฮวาด้วย (อสย. 43:10-12) นอกจากนั้น เราผลิตคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลโลกใหม่ มากกว่า 240 ล้านเล่ม ฉบับแปลนี้มีชื่อพระยะโฮวาในที่ที่ควรจะมีซึ่งฉบับแปลอื่นตัดออก และเรายังผลิตหนังสือที่อธิบายคัมภีร์ไบเบิลมากกว่า 1,000 ภาษาซึ่งช่วยผู้คนให้รู้จักชื่อของพระยะโฮวา ห21.10 น. 20-21 ว. 9-10
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์
ถ้าพี่น้องของคุณไม่ว่าอยู่ในเมืองไหน . . . เกิดยากจนขึ้นมา ก็อย่าใจจืดใจดำไม่ช่วยเหลือเขา—ฉธบ. 15:7
เรานมัสการพระยะโฮวาโดยช่วยพี่น้องที่กำลังเดือดร้อน พระยะโฮวาสัญญาว่าถ้าชาวอิสราเอลคนไหนช่วยคนที่ยากจน พระองค์จะตอบแทนสิ่งที่พวกเขาทำ (ฉธบ. 15:10) ทุกครั้งที่เราช่วยพี่น้องที่กำลังลำบาก พระยะโฮวาก็มองว่านี่เป็นของขวัญที่เราให้กับพระองค์ (สภษ. 19:17) ตัวอย่างเช่น ตอนที่คริสเตียนในฟีลิปปีฝากของไปให้เปาโลที่เป็นนักโทษ เปาโลบอกว่า “ของเหล่านั้นเป็นเหมือนเครื่องบูชาที่พระเจ้ายอมรับ เป็นกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ” (ฟป. 4:18) ดังนั้น ขอให้คิดถึงพี่น้องในประชาคมของคุณและถามตัวเองว่า ‘มีใครที่ฉันพอจะช่วยเขาได้ไหม?’ พระยะโฮวาจะดีใจถ้าเราใช้เวลา กำลัง ความสามารถ และเงินของเราเพื่อช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน พระองค์มองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการพระองค์ (ยก. 1:27) การนมัสการพระยะโฮวาต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายาม แต่มันไม่ได้เป็นภาระสำหรับเราเลย (1 ยน. 5:3) ที่เรานมัสการพระยะโฮวาก็เพราะเรารักพระองค์และรักพี่น้องของเรามาก ห22.03 น. 24 ว. 14-15
วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์
พระองค์ให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงแก่ทั้งคนดีและคนชั่ว—มธ. 5:45
เพื่อจะแสดงว่าเราสงสารพี่น้องจริง ๆ เราต้องคิดก่อนว่าเขาเจอปัญหาอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น พี่น้องหญิงคนหนึ่งอาจจะป่วยหนักมาก ถึงเธอไม่เคยบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอคงจะดีใจใช่ไหมถ้ามีบางคนไปช่วยเธอ? เราอาจลองคิดว่า ‘ถ้าเราไปช่วยทำอาหารหรือทำความสะอาดบ้านจะดีไหม’ หรือถ้าพี่น้องชายคนหนึ่งเพิ่งตกงาน เราอาจลองคิดว่า ‘จะดีไหมถ้าเราให้เงินเขาสักหน่อยโดยไม่ต้องบอกให้เขารู้ เงินนั้นอาจจะช่วยเขาได้จนกว่าเขาจะได้งานใหม่’ พระองค์ให้หลายสิ่งหลายอย่างกับเราโดยที่เราไม่ทันได้ขอด้วยซ้ำ เราอยากจะเลียนแบบโดยเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าไปช่วยพี่น้องของเราโดยไม่ต้องรอให้เขามาขอความช่วยเหลือจากเราก่อน ลองคิดดูว่าพระยะโฮวาให้ดวงอาทิตย์ขึ้นทุกวันโดยที่ไม่ต้องรอเราขอก่อน และพระองค์ก็ให้กับทุกคนแม้แต่คนที่ไม่ได้เห็นค่าสิ่งที่พระองค์ทำด้วยซ้ำ นี่แสดงว่าพระยะโฮวารักเราจริง ๆ เมื่อเราคิดว่าพระยะโฮวาห่วงใยเราและใจกว้างมากขนาดไหน เราก็ยิ่งรักพระองค์มากขึ้น ห21.09 น. 22-23 ว. 12-13
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวา พระองค์ดีจริง ๆ และพร้อมจะให้อภัย พระองค์มีความรักที่มั่นคงต่อทุกคนที่ร้องเรียกพระองค์—สด. 86:5
ความรักที่มั่นคงของพระเจ้าทำให้พระองค์ให้อภัยเรา เมื่อพระยะโฮวาเห็นคนที่ทำบาปกลับใจและไม่ทำสิ่งที่พระองค์ไม่ชอบอีกต่อไป ความรักที่มั่นคงของพระองค์ก็กระตุ้นให้พระองค์ให้อภัยเขา ดาวิดผู้เขียนหนังสือสดุดีพูดถึงพระยะโฮวาว่า “พระองค์ไม่ลงโทษพวกเราให้สมกับบาปของพวกเรา และไม่ตอบแทนพวกเราให้สมกับความผิดที่พวกเราทำ” (สด. 103:8-11) ดาวิดได้เรียนจากประสบการณ์ตัวเองว่าความรู้สึกผิดมันเจ็บปวดมากขนาดไหน แต่เขาก็ได้เรียนด้วยว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ “พร้อมจะให้อภัย” อะไรทำให้พระยะโฮวาให้อภัย? คำตอบอยู่ในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ ดาวิดบอกว่าพระยะโฮวาให้อภัยเพราะ “พระองค์มีความรักที่มั่นคงต่อทุกคนที่ร้องเรียกพระองค์” ถ้าเราทำบาปก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องและดีด้วยที่เราจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เราทำลงไป เพราะนั่นจะช่วยให้เรากลับใจแล้วก็เปลี่ยนแปลงตัวเอง ห21.11 น. 5 ว. 11-12
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์
พระเจ้า พ่อของพวกเราในสวรรค์ ขอให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถืออยู่เสมอ—มธ. 6:9
พระยะโฮวารักชื่อของพระองค์ และพระองค์อยากให้ทุกคนเคารพนับถือชื่อนี้ (อสย. 42:8) แต่ตลอด 6,000 ปีที่ผ่านมาชื่อของพระองค์ถูกทำให้เสื่อมเสีย (สด. 74:10, 18, 23) เรื่องนี้เริ่มตั้งแต่ตอนที่มารกล่าวหาพระเจ้าว่าไม่ยอมให้สิ่งดี ๆ กับอาดัมและเอวา (ปฐก. 3:1-5) ตั้งแต่นั้นมาพระยะโฮวาก็ถูกกล่าวหาว่าพระองค์กีดกันสิ่งดี ๆ ที่มนุษย์ควรได้รับและพระเยซูก็เป็นห่วงชื่อเสียงของพ่อท่านมาก พระยะโฮวาเท่านั้นมีสิทธิ์ปกครองทั้งสวรรค์และโลก และวิธีปกครองของพระองค์ดีที่สุด (วว. 4:11) แต่ซาตานหลอกทูตสวรรค์และมนุษย์ให้คิดว่าพระเจ้าไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้น อีกไม่นานประเด็นนี้จะไม่ต้องมีการพิสูจน์ซ้ำอีก พระยะโฮวาจะทำให้เห็นว่าพระองค์มีสิทธิ์ที่จะปกครองทั้งสวรรค์และโลก ทุกคนจะเห็นว่าวิธีการปกครองของพระยะโฮวาดีที่สุด และมีแค่รัฐบาลของพระองค์เท่านั้นที่จะทำให้โลกมีความสงบสุขและปลอดภัยจริง ๆ ห21.07 น. 9 ว. 5-6
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์
ผมก็จะยินดีเพราะพระยะโฮวา และสุขใจเพราะผมมีพระเจ้าเป็นผู้ช่วยให้รอด—ฮบก. 3:18
เป็นเรื่องปกติที่หัวหน้าครอบครัวจะอยากให้ลูก ๆ และภรรยามีอาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัยที่ดี คุณกำลังเจอปัญหาเศรษฐกิจอยู่ไหม? ถึงนี่จะเป็นช่วงเวลาที่ลำบากมาก แต่ขอให้คุณใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้ความเชื่อเข้มแข็งขึ้น ให้คุณอธิษฐานถึงพระยะโฮวา และลองอ่านคำพูดของพระเยซูที่อยู่ในมัทธิว 6:25-34 แล้วคิดใคร่ครวญเรื่องนี้ นอกจากนั้น ลองดูประสบการณ์ของพี่น้องคนอื่น ๆ ที่ทำให้เห็นว่าพระยะโฮวาดูแลคนที่ทุ่มเทตัวในงานรับใช้พระองค์ (1 คร. 15:58) เมื่อคุณเห็นว่าพระองค์ช่วยพวกเขา คุณก็จะมั่นใจว่าพระองค์จะช่วยคุณเหมือนกัน พระองค์รู้ว่าคุณต้องมีอะไรและรู้ว่าจะช่วยคุณยังไง พอคุณเห็นว่าพระยะโฮวาช่วยคุณจริง ๆ ความเชื่อของคุณจะเข้มแข็งขึ้น แล้วคุณจะอดทนกับความลำบากที่หนักกว่านี้ในอนาคตได้ ห21.11 น. 20 ว. 3; น. 21 ว. 6
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์
ถ้าใครทำบาป เราก็มีผู้ช่วยที่อยู่กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ซึ่งผู้ช่วยนั้นก็คือพระเยซูคริสต์—1 ยน. 2:1
คริสเตียนหลายคนต้องเจอการต่อต้านและความยากลำบากหลายอย่าง แต่เพราะคำสอนเรื่องค่าไถ่ พวกเขาเลยมีความเชื่อเข้มแข็ง และนี่ทำให้พวกเขาอดทนและประกาศต่อไปได้ตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา ให้เรามาดูตัวอย่างของยอห์น เขาประกาศความจริงเรื่องพระคริสต์และค่าไถ่อย่างซื่อสัตย์เป็นเวลานานซึ่งน่าจะมากกว่า 60 ปี ตอนที่เขาอายุเกือบ 100 ปี จักรวรรดิโรมันมองว่าเขาเป็นตัวอันตรายและเนรเทศเขาไปที่เกาะปัทมอส เขาถูกจับด้วยข้อหาอะไร? เพราะเขา “พูดเรื่องพระเจ้าและประกาศเรื่องพระเยซู” (วว. 1:9) เขาเป็นตัวอย่างที่ดีจริง ๆ ในเรื่องความเชื่อและความอดทน! ในหนังสือที่ยอห์นเขียน เขาบอกว่าเขารักพระเยซูมากและเขาเห็นค่าค่าไถ่มากขนาดไหน หนังสือเหล่านี้พูดถึงค่าไถ่และประโยชน์ของค่าไถ่มากกว่า 100 ครั้ง (1 ยน. 2:2) เราเห็นชัดเลยว่ายอห์นเห็นค่าค่าไถ่จริง ๆ ห21.04 น. 17 ว. 9-10
วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์
อย่าแช่งคนหูหนวก—ลนต. 19:14
พระยะโฮวาอยากให้คนของพระองค์เห็นใจคนพิการ อย่างเช่น ชาวอิสราเอลต้องไม่แช่งคนหูหนวก การแช่งอาจหมายถึงการขู่หรือว่าคนนั้นด้วย การทำแบบนี้กับคนหูหนวกเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากจริง ๆ เพราะคนหูหนวกไม่ได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดถึงเขา และนี่ทำให้เขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย เลวีนิติ 19:14 ยังบอกอีกว่า “อย่าวางของขวางทางคนตาบอด” หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งบอกว่า “ในแถบตะวันออกกลางสมัยโบราณ คนตาบอดมักถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายและไม่ยุติธรรม” หลายคนทำแบบนั้นกับพวกเขาเพื่อจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บหรือทำให้พวกเขากลายเป็นตัวตลก มันเป็นการกระทำที่แย่มากจริง ๆ แต่ในคำสั่งนี้ที่พระยะโฮวาให้กับคนของพระองค์ทำให้เราเห็นว่า พระยะโฮวาอยากจะให้คนของพระองค์เห็นใจคนพิการ ห21.12 น. 8-9 ว. 3-4
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์
ยาโคบก็กลัวและกังวลมาก—ปฐก. 32:7
ยาโคบกังวลมากว่าพี่ชายจะยังแค้นเขาอยู่ไหม เขาเลยอธิษฐานอย่างจริงจังต่อพระยะโฮวาเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากนั้นเขาก็ส่งของหลายอย่างเป็นของขวัญให้กับเอซาว (ปฐก. 32:9-15) แล้วพอยาโคบเจอเอซาว เขาก็เข้าไปหมอบลงกับพื้นต่อหน้าเอซาวไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแต่ถึง 7 ครั้ง จากเรื่องนี้เราเห็นว่าเพื่อจะคืนดี ยาโคบต้องถ่อมและแสดงความนับถือต่อเอซาวจริง ๆ (ปฐก. 33:3, 4) เราเรียนอะไรได้หลายอย่างเรื่องการคืนดีกับคนอื่น โดยสังเกตสิ่งที่ยาโคบทำก่อนที่เขาจะเจอกับเอซาวและตอนที่พวกเขาเจอกัน ยาโคบอธิษฐานถึงพระยะโฮวาด้วยความถ่อม และหลังจากนั้นเขาก็ทำตามที่อธิษฐานโดยพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะให้พี่ชายยกโทษให้เขา พอยาโคบเจอกับเอซาว เขาก็ไม่ได้ทะเลาะกับเอซาวหรือพยายามหาว่าใครถูกใครผิด แต่เป้าหมายของเขาก็เพื่อจะคืนดีกับพี่ชายให้ได้ คุณจะเลียนแบบตัวอย่างของยาโคบได้ไหม? ห21.12 น. 25 ว. 11-12
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์
พระเจ้าก็รู้จักตัวเราดีกว่าที่เรารู้จักตัวเอง และพระองค์รู้ทุกสิ่ง—1 ยน. 3:20
เมื่อคุณคิดเกี่ยวกับการที่พระเยซูมาตายเพื่อไถ่บาปให้คุณ คุณอาจจะคิดว่า ‘ฉันไม่ดีพอสำหรับอะไรที่มีค่ามากขนาดนี้หรอก’ ทำไมคุณอาจจะรู้สึกแบบนั้น? เพราะเราทุกคนไม่สมบูรณ์แบบ หัวใจของเราอาจจะหลอกให้คิดว่าเราไม่มีค่าพอและไม่คู่ควรที่ใครจะรัก (1 ยน. 3:19) ถ้าเรารู้สึกอย่างนั้น ให้จำไว้ว่า พระเจ้า “รู้จักตัวเราดีกว่าที่เรารู้จักตัวเอง” ถึงเราจะไม่เชื่อว่าพระยะโฮวาจะรักและให้อภัยเรา แต่ยังไงพระองค์ก็จะยังรักและให้อภัยเราอยู่ดี เราต้องทำให้ตัวเองเชื่อว่าพระยะโฮวารักเราอย่างนี้จริง ๆ เพื่อจะทำอย่างนั้น เราต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ อธิษฐานถึงพระองค์บ่อย ๆ และใช้เวลากับคนที่รับใช้พระองค์ ทำไมการทำสิ่งเหล่านี้ถึงเป็นเรื่องสำคัญมาก? คุณจะเข้าใจคุณลักษณะดี ๆ ของพระยะโฮวามากขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะสัมผัสได้ถึงความรักที่พระองค์มีให้คุณ ถ้าคุณคิดใคร่ครวญสิ่งที่อ่านในคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน คุณก็จะคิดอย่างมีเหตุผลมากขึ้น เพราะคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยปรับความคิดและความต้องการที่ไม่ดีของคุณ—2 ทธ. 3:16 ห21.04 น. 23-24 ว. 12-13
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์
ผมจะร้องหาพระเจ้า และพระองค์จะฟังผม—สด. 77:1
เพื่อจะมีความเชื่อที่เข้มแข็ง แค่อ่านคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือต่าง ๆ ขององค์การยังไม่พอ เราต้องคิดใคร่ครวญด้วย ให้เรามาดูตัวอย่างของผู้เขียนหนังสือสดุดีบท 77 เขาทุกข์ใจเพราะเขารู้สึกว่าพระยะโฮวาไม่พอใจตัวเขาและชาติอิสราเอล เขาไม่สบายใจจนนอนไม่หลับ (ข้อ 2-8) เขาเลยบอกพระยะโฮวาว่า “ผมจะใคร่ครวญทุกสิ่งที่พระองค์ทำ และไตร่ตรองผลงานของพระองค์” (ข้อ 12) ที่จริง ผู้เขียนหนังสือสดุดีคนนี้รู้อยู่แล้วว่าพระยะโฮวาเคยทำอะไรมาแล้วเพื่อคนของพระองค์ในอดีต แต่เขากังวลมากจนพูดว่า “พระเจ้าลืมแสดงความเมตตา และโกรธจนเลิกสงสารแล้วหรือ?” (ข้อ 9) เขาเลยคิดใคร่ครวญทุกสิ่งที่พระยะโฮวาทำ และคิดว่าพระยะโฮวาเคยแสดงความเมตตาและสงสารคนของพระองค์ในอดีตมาแล้วยังไงบ้าง (ข้อ 11) นี่ทำให้เขามั่นใจว่าพระยะโฮวาจะไม่ทิ้งประชาชนของพระองค์ (ข้อ 15) ห22.01 น. 30-31 ว. 17-18
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์
พระองค์มองว่าพวกเขาทุกคนมีชีวิตอยู่—ลก. 20:38
พระยะโฮวารู้สึกยังไงกับผู้รับใช้ของพระองค์ที่ตายจากไป? พระองค์คิดถึงและอยากเจอพวกเขามาก (โยบ 14:15) ลองนึกภาพดูว่าพระยะโฮวาจะคิดถึงอับราฮัมเพื่อนของพระองค์มากแค่ไหน (ยก. 2:23) พระยะโฮวาเคย “คุยกับโมเสสเหมือนคน 2 คนคุยกัน” พระองค์คงอยากจะคุยกับเขาอีกแน่ ๆ (อพย. 33:11) และลองคิดดูว่าพระองค์อยากจะได้ยินดาวิดและผู้เขียนหนังสือสดุดีคนอื่น ๆ ร้องเพลงสรรเสริญมากขนาดไหน (สด. 104:33) ถึงเพื่อนของพระองค์ทั้งหมดนี้จะตายไปแล้ว แต่พระองค์ไม่เคยลืมพวกเขาเลย (อสย. 49:15) พระองค์ยังจำรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาได้ อีกไม่นานพระองค์จะปลุกพวกเขาให้ฟื้นขึ้นจากตาย แล้วพระองค์จะได้ฟังคำอธิษฐานของพวกเขา และได้เห็นพวกเขานมัสการพระองค์อีกครั้ง ถ้าคุณมีคนที่รักตายจากไป เรื่องนี้คงต้องให้กำลังใจคุณมากแน่ ๆ ที่จริงตั้งแต่มีการกบฏในสวนเอเดน พระยะโฮวารู้ว่าก่อนที่พระองค์จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น โลกนี้จะแย่ลงเรื่อย ๆ และพระยะโฮวาก็เกลียดความชั่ว ความไม่ยุติธรรม และความรุนแรงที่มีอยู่ในโลกทุกวันนี้ ห21.07 น. 10 ว. 11; น. 12 ว. 12
วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์
ให้รักด้วยการกระทำและด้วยความจริงใจ—1 ยน. 3:18
ถ้าเรารักพี่น้อง เราก็แสดงว่าเราเห็นค่าค่าไถ่ ทำไม? เพราะพระเยซูไม่ได้ตายเพื่อเราเท่านั้น แต่ตายเพื่อพี่น้องของเราด้วย ถ้าท่านพร้อมที่จะตายเพื่อพวกเขาก็แสดงว่าพวกเขามีค่ามากในสายตาของท่าน (1 ยน. 3:16-18) เราแสดงว่าเรารักพี่น้องโดยสิ่งที่เราทำกับพวกเขา (อฟ. 4:29, 31-5:2) ตัวอย่างเช่น เราช่วยพี่น้องตอนที่พวกเขาป่วย และตอนที่พวกเขาต้องเจอกับปัญหาหนัก ๆ เช่น ภัยธรรมชาติ แต่ถ้าพี่น้องพูดหรือทำอะไรที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีล่ะ เราควรทำยังไง? บางครั้งคุณรู้สึกว่ายากไหมที่จะให้อภัย? (ลนต. 19:18) ถ้าเป็นอย่างนั้น ให้คุณทำตามคำแนะนำนี้ “ถ้าใครมีสาเหตุจะบ่นคนอื่น ก็ขอให้ทนกันและกัน และให้อภัยกันอย่างใจกว้างต่อไป พวกคุณต้องเต็มใจให้อภัยกันเหมือนที่พระยะโฮวาเต็มใจให้อภัยคุณ” (คส. 3:13) ทุกครั้งที่เราให้อภัยพี่น้อง เราก็กำลังแสดงให้พระยะโฮวาพ่อในสวรรค์เห็นว่าเราเห็นค่าค่าไถ่จริง ๆ ห21.04 น. 18 ว. 12-13
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์
ให้ใช้ความสามารถตามขนาดที่ได้รับมาเพื่อรับใช้กัน—1 ปต. 4:10
เราเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของอปอลโลและเปาโล? เราอาจจะรับใช้พระยะโฮวามาเยอะมากและช่วยหลายคนให้รับบัพติศมา แต่เราต้องจำไว้ว่าที่เราทำอย่างนั้นได้เป็นเพราะพระยะโฮวาช่วยเรา อีกอย่างที่เราเรียนได้จากอปอลโลและอัครสาวกเปาโลก็คือ ยิ่งเรามีหน้าที่รับผิดชอบหลายอย่างในประชาคม เรายิ่งมีโอกาสที่จะช่วยให้ประชาคมมีสันติสุข เรารู้สึกขอบคุณผู้ดูแลและผู้ช่วยงานรับใช้จริง ๆ ที่ช่วยให้ประชาคมมีสันติสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาให้คำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลและไม่พยายามให้พี่น้องมาสนใจที่ตัวเขา แต่พวกเขาช่วยคนอื่นให้ติดตามพระเยซู (1 คร. 4:6, 7) เราแต่ละคนมีพรสวรรค์และความสามารถไม่เหมือนกัน เราอาจจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำได้อาจจะดูเล็กน้อยไม่ค่อยสำคัญ แต่เหมือนกับรอยเย็บเล็ก ๆ ของตะเข็บที่ทำให้เป็นเสื้อผ้าที่สวยงามได้ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราทำก็ช่วยให้ประชาคมเป็นหนึ่งเดียวกันได้เหมือนกัน ขอให้เราแต่ละคนพยายามที่จะไม่แข่งขันกัน แต่ให้เราตั้งใจที่จะพยายามทำทุกอย่างที่เราทำได้เพื่อช่วยให้ประชาคมมีสันติสุขและเป็นหนึ่งเดียวกัน—อฟ. 4:3 ห21.07 น. 19 ว. 18-19
วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์
เขาจะฟื้นขึ้นจากตาย—ยน. 11:23
คุณเองมั่นใจได้ว่าคุณจะได้เจอคนที่คุณรักอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น เราได้เรียนอะไรจากน้ำตาของพระเยซูตอนที่ท่านปลอบเพื่อนที่กำลังร้องไห้? เราได้เรียนว่าพระเยซูอยากปลุกคนที่ตายให้ฟื้นขึ้นมามาก (ยน. 11:35) คุณช่วยคนที่กำลังเสียใจได้ พระเยซูไม่ใช่แค่ร้องไห้กับมาร์ธาและมารีย์เท่านั้น แต่ท่านฟังและให้กำลังใจพวกเขาด้วย (ยน. 11:25-27) เราเองก็ทำแบบนั้นได้ แดนที่เป็นผู้ดูแลในออสเตรเลียบอกว่า “หลังจากภรรยาผมตาย ผมต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ พี่น้องชายหลายคนกับภรรยาของพวกเขามาอยู่เป็นเพื่อนผมทั้งกลางวันและกลางคืนฟังผมระบาย พวกเขาไม่รู้สึกอึดอัดตอนที่ผมร้องไห้ และพวกเขายังช่วยผมอีกหลายอย่างด้วยตอนที่ผมทำไม่ไหว เช่น พวกเขาช่วยล้างรถ ซื้อของ หรือทำอาหารให้ และพวกเขายังอธิษฐานกับผมด้วย พี่น้องเหล่านี้เป็นเพื่อนแท้จริง ๆ และเป็น ‘พี่น้องที่เกิดมาเพื่อช่วยกันในเวลาลำบาก’”—สภษ. 17:17 ห22.01 น. 16 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์
คนที่ฟังคำตักเตือนที่ให้ชีวิต ก็อาศัยอยู่กับคนฉลาด—สภษ. 15:31
พระยะโฮวาหวังดีกับเราเสมอ (สภษ. 4:20-22) ถ้าเราได้รับคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล หนังสือและสื่อขององค์การ หรือจากพี่น้องที่มีประสบการณ์ก็แสดงว่าพระยะโฮวารักเรา (ฮบ. 12:9, 10) ดังนั้น ให้ดูที่คำแนะนำ ไม่ใช่วิธีให้คำแนะนำ บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่ชอบวิธีที่บางคนแนะนำเราเลย ก็จริงที่เราทุกคนต้องพยายามแนะนำในแบบที่คนอื่นยอมรับได้ง่าย (กท. 6:1) แต่ถึงเราจะรู้สึกว่าคนที่แนะนำเราน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ให้เราสนใจที่คำแนะนำไม่ใช่วิธีของเขา เราควรถามตัวเองว่า ‘ถึงฉันไม่ชอบวิธีที่เขาแนะนำฉัน แต่บางอย่างที่เขาพูด มันถูกไหม? ฉันจะมองข้ามข้อเสียของเขา และมองที่ประโยชน์จากคำแนะนำของเขาได้ไหม?’ ถ้าทุกครั้งที่เราได้รับคำแนะนำ เราพยายามมองที่ประโยชน์ของคำแนะนำนั้น เราก็จะเป็นคนฉลาด ห22.02 น. 12 ว. 13-14
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์
ข้อเตือนใจของพระยะโฮวาวางใจได้และทำให้คนขาดประสบการณ์ฉลาดขึ้น—สด. 19:7
พระยะโฮวารู้ว่ากว่าเราจะเลิกคิดและเลิกทำสิ่งที่ไม่ดีได้ต้องใช้เวลาและต้องพยายามมาก (สด. 103:13, 14) แต่พระองค์ให้คัมภีร์ไบเบิล พลังบริสุทธิ์ และองค์การของพระองค์เพื่อช่วยเราให้มีสติปัญญาและกำลังเพื่อเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ให้อ่านคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะดูว่าตัวคุณเป็นยังไง คัมภีร์ไบเบิลเป็นเหมือนกระจกที่ช่วยให้คุณรู้ว่าความคิด คำพูด และสิ่งที่คุณทำเป็นยังไง (ยก. 1:22-25) พระยะโฮวาก็พร้อมจะช่วยคุณด้วยเหมือนกัน พระองค์รู้ดีที่สุดว่าจะช่วยคุณยังไงเพราะพระองค์รู้ทุกสิ่งที่อยู่ในหัวใจ (สภษ. 14:10; 15:11) ดังนั้น ให้คุณอธิษฐานเป็นประจำ อ่านและคิดใคร่ครวญคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน มั่นใจว่ามาตรฐานของพระยะโฮวาดีที่สุด ทุกสิ่งที่พระยะโฮวาบอกให้เราทำเป็นประโยชน์กับเรา คนที่ทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวาจะนับถือตัวเอง จะมีชีวิตที่มีความหมาย และมีความสุขแท้—สด. 19:8-11 ห22.03 น. 4 ว. 8-10
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์
ดูเนินดินของเมืองนี้ให้ดี ตรวจดูป้อมปราการทั้งหลาย เพื่อจะเล่าให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปฟังได้—สด. 48:13
เรานมัสการพระยะโฮวาโดยก่อสร้างและดูแลรักษาสถานที่นมัสการพระองค์ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าการทำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์และสิ่งของเครื่องใช้ในนั้นเป็นงานรับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ (อพย. 36:1, 4) ทุกวันนี้พระยะโฮวาก็มองว่าการก่อสร้างหอประชุมและอาคารต่าง ๆ ขององค์การเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการพระองค์และเป็นงานรับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย พี่น้องหลายคนได้ทุ่มเทเวลาอย่างมากเพื่อช่วยในโครงการเหล่านั้น พวกเราเห็นค่าสิ่งที่พวกเขาทำจริง ๆ นอกจากนั้น พี่น้องเหล่านั้นยังจัดเวลาออกไปประกาศตามบ้านด้วย และบางคนถึงกับอยากเป็นไพโอเนียร์ด้วยซ้ำ ถ้าพวกเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นไพโอเนียร์ประจำ ผู้ดูแลก็ต้องไม่ลังเลที่จะแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นไพโอเนียร์ ซึ่งการทำอย่างนี้แสดงว่าผู้ดูแลกำลังสนับสนุนงานก่อสร้างด้วย และไม่ว่าเราจะเก่งเรื่องงานก่อสร้างหรือไม่ เราทุกคนสามารถดูแลรักษาหอประชุมให้อยู่ในสภาพดีเสมอได้ ห22.03 น. 22 ว. 11-12