มีนาคม
วันพุธที่ 1 มีนาคม
ที่พวกคุณได้ทำอย่างนั้นกับพี่น้องของผมแม้แต่คนที่ดูต่ำต้อยที่สุด ก็เหมือนพวกคุณได้ทำกับผมด้วย—มธ. 25:40
“แกะ” ในตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูในมัทธิว 25:31-36 หมายถึงคนที่ทำดีตามมาตรฐานพระเจ้า พวกเขาเป็นแกะอื่นที่มีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยสุดท้ายและมีความหวังที่จะได้อยู่บนโลกตลอดไป พวกเขาภักดีและสนับสนุนผู้ถูกเจิมที่เป็นพี่น้องของพระคริสต์ วิธีหนึ่งที่พวกเขาช่วยพวกผู้ถูกเจิมก็คือ พวกเขาประกาศและสอนคนให้เป็นสาวก (มธ. 24:14; 28:19, 20) อีกวิธีหนึ่งที่แกะอื่นจะแสดงว่าสนับสนุนพี่น้องของพระคริสต์ก็คือ ช่วงก่อนวันอนุสรณ์พวกเขาจะรณรงค์เชิญชวนคนให้เข้ามาร่วมการประชุมด้วยกัน นอกจากนั้น พวกเขาจะช่วยเตรียมการประชุมอนุสรณ์ แกะอื่นมีความสุขที่ได้ช่วยพวกผู้ถูกเจิม เพราะพวกเขารู้ว่าไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรให้กับพี่น้องของพระคริสต์ พระเยซูก็จะมองว่าพวกเขากำลังทำให้ท่านเหมือนกัน—มธ. 25:37-40 ห22.01 น. 22 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม
คนที่ได้เห็นผมก็ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วย—ยน. 14:9
ถ้าเราเลียนแบบตัวอย่างพระเยซูและคุณลักษณะของท่าน เราก็กำลังเลียนแบบพระยะโฮวาด้วย เช่น ท่านสงสารคนที่เป็นโรคเรื้อน ท่านเห็นอกเห็นใจผู้หญิงที่ป่วยหนัก และท่านเข้าใจความรู้สึกของคนที่คนรักของเขาตายจากไป (มก. 1:40, 41; 5:25-34; ยน. 11:33-35) และถ้าเราพยายามเป็นเหมือนกับพระยะโฮวามากขึ้น เราก็จะยิ่งสนิทกับพระองค์ การเดินตามรอยเท้าของพระเยซูจะช่วยให้เราไม่หลงไปกับโลกชั่วนี้ ในคืนสุดท้ายที่พระเยซูมีชีวิตบนโลก ท่านบอกว่า “ผมชนะโลกแล้ว” (ยน. 16:33) ที่ท่านสามารถพูดได้อย่างนี้ก็เพราะว่าตลอดเวลาที่ท่านอยู่บนโลก ท่านไม่ยอมให้ความคิด เป้าหมาย หรือการกระทำของผู้คนในโลกมามีอิทธิพลกับท่านเลย และท่านก็ไม่เคยลืมว่าที่ท่านมาบนโลกก็เพื่อทำให้ชื่อของพระยะโฮวาเป็นที่เคารพนับถือ เราก็เหมือนกัน ถึงโลกนี้จะมีหลายอย่างที่ดึงความสนใจของเราไปจากการรับใช้พระยะโฮวา แต่ถ้าเราเลียนแบบพระเยซูโดยให้ความต้องการของพระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราก็ “ชนะโลก” ได้เหมือนกัน—1 ยน. 5:5 ห21.04 น. 3-4 ว. 7-8
วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม
[ไม่มีอะไร] ขัดขวางความรักที่พระเจ้าแสดงต่อเรา—รม. 8:39
เปาโลรู้จักคำสัญญาของพระเยซูดีที่บอกว่า “ทุกคนที่แสดงความเชื่อใน [พระเยซู] . . . จะมีชีวิตตลอดไป” (ยน. 3:16; รม. 6:23) และเขาก็อยู่ในกลุ่มคนที่แสดงความเชื่อในค่าไถ่แน่ ๆ เขามั่นใจว่าพระยะโฮวาพร้อมจะให้อภัยคนที่ทำบาปและกลับใจ ถึงแม้บาปของเขาจะร้ายแรงมากแค่ไหนก็ตาม (สด. 86:5) อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยเปาโลให้รับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไปได้ก็คือ เขาเชื่อในความรักของพระเจ้าที่ให้กับเขาผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่กาลาเทีย 2:20 เปาโลบอกว่า “ลูกของพระเจ้า . . . รักผมและสละชีวิตเพื่อผม” เปาโลไม่ได้คิดว่าตัวเองเลวร้ายมากจนพระเจ้ารักเขาไม่ได้ เขาไม่ได้คิดว่า ‘ผมเข้าใจนะว่าทำไมพระยะโฮวารักพี่น้องของผม แต่พระองค์คงไม่มีวันรักผมหรอก’ เปาโลเตือนใจพี่น้องในโรมว่า “พระคริสต์มาตายแทนเราทั้ง ๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่” (รม. 5:8) ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามไม่ให้พระเจ้ารักเราได้ เปาโลมั่นใจในพลังแห่งความรักของพระเจ้า เขารู้ว่าพระยะโฮวาเคยอดทนกับชาติอิสราเอลมามากแค่ไหน ห21.04 น. 22 ว. 8-10
วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม
การรักพระเจ้าหมายถึงการเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์—1 ยน. 5:3
ตอนที่คุณนำการศึกษา ขอให้พยายามช่วยนักศึกษาให้รักพระยะโฮวา คุณจะทำอย่างนั้นได้ยังไง? ให้คุณพยายามเน้นคุณลักษณะของพระยะโฮวาทุกครั้งที่คุณทำได้ ช่วยนักศึกษาของคุณให้มองว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีความสุขและพระองค์จะคอยช่วยทุกคนที่รักพระองค์ (1 ทธ. 1:11; ฮบ. 11:6) ให้คุณช่วยนักศึกษาให้เห็นว่าเขาจะได้ประโยชน์ยังไงบ้างถ้าเอาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ และอธิบายให้นักศึกษาเข้าใจว่าเมื่อเขาทำตามแล้วได้ประโยชน์ นี่ก็แสดงว่าพระยะโฮวารักเขา (อสย. 48:17, 18) ยิ่งนักศึกษาของคุณรักพระยะโฮวามากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งอยากเปลี่ยนตัวเองมากขึ้น เพื่อนักศึกษาจะก้าวหน้าจนรับบัพติศมา เขาต้องเสียสละบางอย่าง นักศึกษาบางคนอาจต้องเสียสละวัตถุเงินทอง นอกจากนั้น หลายคนต้องทิ้งเพื่อนเก่าที่ไม่ได้รักพระยะโฮวา และบางคนอาจถึงกับถูกครอบครัวทิ้งเพราะครอบครัวไม่ชอบพยานฯ พระเยซูสัญญาว่าคนที่ติดตามท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอน พระยะโฮวาจะให้รางวัลกับพวกเขาโดยให้มีเพื่อนคริสเตียนที่เป็นครอบครัวที่รักเขา—มก. 10:29, 30 ห21.06 น. 4-5 ว. 8-9
วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม
เงยหน้ามองดูทุ่งนาสิ รวงข้าวเหลืองอร่ามพร้อมจะเกี่ยวได้แล้ว—ยน. 4:35
อัครสาวกเปาโลเปรียบเทียบงานสอนคนให้เป็นสาวกเหมือนกับการปลูกพืช นี่ทำให้เรารู้ว่าเราต้องไม่ใช่แค่ปลูกอย่างเดียวเท่านั้น เขาบอกคริสเตียนชาวโครินธ์ว่า “ผมปลูก อปอลโลรดน้ำ . . . พวกคุณเป็นไร่นาที่พระเจ้าเพาะปลูก” (1 คร. 3:6-9) เราเป็นคนงานที่ทำงานใน ‘ไร่นาของพระเจ้า’ เราจะไม่แค่ปลูกซึ่งก็คือประกาศ แต่เราสอนด้วยซึ่งก็เหมือนกับการรดน้ำและคอยดูว่าพืชนั้นเป็นยังไง และเรารู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เติบโต งานประกาศและสอนความจริงให้กับคนอื่นเป็นสิทธิพิเศษมาก งานนี้ทำให้เรามีความสุขจริง ๆ อัครสาวกเปาโลได้ช่วยหลายคนในเมืองเธสะโลนิกาให้เข้ามาเป็นสาวก เขาพูดถึงความรู้สึกของเขาว่า “อะไรจะเป็นความหวัง ความยินดี หรือมงกุฎที่ทำให้เราภาคภูมิใจเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเยซูผู้เป็นนายของเราในช่วงการประทับของท่าน? ไม่ใช่พวกคุณหรือ? พวกคุณนั่นแหละที่ทำให้เราภูมิใจและยินดี”—1 ธส. 2:19, 20; กจ. 17:1-4 ห21.07 น. 3 ว. 5; น. 7 ว. 17
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม
อย่าดูถูกเหยียดหยามคนที่ต่ำต้อย—มธ. 18:10
พระยะโฮวาชักนำเราแต่ละคนให้มาหาพระองค์ (ยน. 6:44) ลองคิดดูว่านี่หมายความว่ายังไง? ถึงจะมีคนเป็นล้าน ๆ อยู่บนโลก แต่ตอนที่พระองค์มองลงมาก็เห็นว่าคุณมีอะไรที่พิเศษในตัว และคุณมีหัวใจที่จะรักพระองค์ได้ พระองค์รู้ว่าคุณเป็นคนยังไง พระองค์เข้าใจคุณและรักคุณมาก (1 พศ. 28:9) เรื่องนี้คงทำให้คุณได้กำลังใจมากใช่ไหม? พระยะโฮวาห่วงใยคุณและพระองค์เป็นห่วงพี่น้องของคุณทุกคนมาก เพื่อเราจะเข้าใจเรื่องนี้พระเยซูเปรียบเทียบพระยะโฮวาเหมือนกับคนเลี้ยงแกะ ถ้าเขามีแกะอยู่ 100 ตัวแล้วมีตัวหนึ่งหายไป เขาจะทำยังไง? เขาจะ “ทิ้งแกะ 99 ตัวไว้บนภูเขาก่อน แล้วไปตามหาตัวที่หลงหายไป” แล้วพอเขาเจอแกะตัวนั้น เขาจะไม่โมโหและตะคอกใส่มัน แต่เขาจะดีใจที่ได้มันกลับมา จุดสำคัญคืออะไร? แกะทุกตัวมีค่ามากสำหรับพระยะโฮวา พระเยซูบอกว่า “พ่อของผมในสวรรค์ก็เหมือนกัน พระองค์ไม่อยากให้คนที่ต่ำต้อยสักคนเดียวต้องหายสาบสูญไป”—มธ. 18:12-14 ห21.06 น. 20 ว. 1-2
วันอังคารที่ 7 มีนาคม
เข้าไปใกล้ชิดกับพระเจ้า—ยก. 4:8
เมื่อเราได้คิดใคร่ครวญความรักที่พระองค์มีต่อเรา เราจะยิ่งรักพระยะโฮวาและสนิทกับพระองค์มากขึ้น (รม. 8:38, 39) การประชุมอนุสรณ์ทำให้เราอยากเลียนแบบตัวอย่างของพระเยซู (1 ปต. 2:21) ช่วงก่อนจะถึงวันประชุมอนุสรณ์ เราจะได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในสัปดาห์ก่อนที่พระเยซูจะตาย ตอนที่ท่านตาย และตอนที่ท่านฟื้นขึ้นจากตาย แล้วพอถึงวันประชุมอนุสรณ์เราจะได้ฟังคำบรรยายที่ทำให้เราคิดทบทวนว่าพระเยซูรักเรามากขนาดไหน (อฟ. 5:2; 1 ยน. 3:16) ถ้าเราอ่านและคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับตัวอย่างของพระเยซูว่าท่านเสียสละเพื่อเรามากมายจริง ๆ เราก็อยากจะ “ใช้ชีวิตตามอย่างท่านด้วย” (1 ยน. 2:6) การประชุมอนุสรณ์ทำให้เราตั้งใจทำตัวให้เป็นที่รักของพระเจ้าเสมอ (ยด. 20, 21) และเราจะเป็นอย่างนั้นได้ถ้าเราเชื่อฟังพระองค์ ทำให้ชื่อของพระองค์เป็นที่เคารพนับถือ และทำให้พระองค์ดีใจ (สภษ. 27:11; มธ. 6:9; 1 ยน. 5:3) เมื่อเราไปประชุมอนุสรณ์ เราจะยิ่งตั้งใจทำตัวให้เป็นที่รักของพระองค์ทุกวัน เหมือนกับเราบอกพระองค์ว่า “พระยะโฮวา ฉันอยากให้พระองค์รักฉันตลอดไป” ห22.01 น. 23 ว. 17; น. 25 ว. 18-19
วันพุธที่ 8 มีนาคม
ขอให้เลือก . . . ว่าจะนมัสการใคร—ยชว. 24:15
พระยะโฮวาให้เรามีอิสระในการตัดสินใจ เราเลือกเองได้ว่าจะใช้ชีวิตยังไง และพระยะโฮวาก็มีความสุขถ้าเราเลือกรับใช้พระองค์ (สด. 84:11; สภษ. 27:11) นอกจากนั้น เรายังเลือกที่จะทำสิ่งดี ๆ หลายอย่างได้ด้วย วิธีหนึ่งที่เราจะใช้อิสระที่เรามีได้ก็คือเลือกที่จะให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าตัวเราเอง ถ้าทำแบบนี้เราก็กำลังเลียนแบบพระเยซู มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านกับสาวกรู้สึกเหนื่อยมากก็เลยไปหาที่เงียบ ๆ เพื่อจะพักผ่อน แต่พอผู้คนรู้ พวกเขาก็ตามมาฟังพระเยซูสอน ถึงพระเยซูจะเหนื่อย แต่ท่านไม่ได้รำคาญพวกเขา ท่านสงสารและ “สอนพวกเขาหลายเรื่อง” (มก. 6:30-34) เราเลียนแบบพระเยซูได้โดยสละเวลาและกำลังเพื่อช่วยคนอื่น ถ้าเราทำอย่างนี้ เราก็จะทำให้พระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ของเราได้รับการยกย่องสรรเสริญ—มธ. 5:14-16 ห21.08 น. 3 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม
ให้แต่ละคน . . . ภูมิใจกับตัวเอง และอย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น—กท. 6:4
พระยะโฮวาชอบความหลากหลาย เห็นได้จากสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์สร้างรวมทั้งตัวคุณด้วย ไม่มีใครเหมือนคุณ และพระยะโฮวาไม่เคยเปรียบเทียบคุณกับคนอื่น พระองค์รู้จักคุณและรู้ว่าคุณเป็นคนยังไง (1 ซม. 16:7) พระองค์รู้ว่าคุณมีภูมิหลังอะไร มีข้อดีข้อเสียอะไร และพระองค์ไม่ได้คาดหมายมากกว่าที่คุณทำได้ เราก็น่าจะมองตัวเองอย่างที่พระยะโฮวามองด้วย ถ้าเราทำอย่างนั้น เราก็จะ “คิดอย่างสมเหตุสมผล” และไม่คิดถึงตัวเองมากเกินไปหรือคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ (รม. 12:3) เราเรียนจากตัวอย่างที่ดีของคนอื่นได้ เช่น อาจจะมีพี่น้องบางคนที่ประกาศเก่ง เราอาจจะดูว่าเขาประกาศยังไงเพื่อเราจะประกาศเก่งขึ้นได้ (ฟป. 3:17; ฮบ. 13:7) แต่การที่คุณดูคนอื่นแล้วเลียนแบบตัวอย่างที่ดีของเขากับการเปรียบเทียบตัวเองกับเขามันไม่เหมือนกัน ห21.07 น. 20 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม
เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและดูซิว่า ใครเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านั้น?—อสย. 40:26
คุณจะมั่นใจว่ามีผู้สร้างได้ถ้าคุณสังเกตสัตว์ต่าง ๆ ต้นไม้ และดวงดาว (สด. 19:1) ยิ่งคุณศึกษาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ คุณก็จะยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นว่าพระยะโฮวาเป็นผู้สร้าง ตอนที่คุณศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ ให้คิดด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นสอนอะไรคุณเกี่ยวกับผู้ที่สร้างมันขึ้นมา (รม. 1:20) ตัวอย่างเช่น คุณคงรู้ว่าดวงอาทิตย์ให้ความร้อนและแสงสว่างที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ แต่มันก็มีรังสียูวี (อัลตราไวโอเลต) ที่เป็นอันตรายต่อเราด้วย แต่คุณรู้ไหมว่ามีบางอย่างที่ป้องกันเราไว้? มีชั้นโอโซนที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันโลกของเราเอาไว้จากรังสีที่เป็นอันตราย ถ้ารังสียูวีมีเพิ่มขึ้น ปริมาณโอโซนก็จะมีเพิ่มขึ้นด้วย คุณเห็นด้วยไหมว่าต้องมีใครสักคนที่ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ และเขาต้องเป็นผู้สร้างที่รักเราและฉลาดมากจริง ๆ? ห21.08 น. 17 ว. 9-10
วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม
คนที่รักพระเจ้าก็ต้องรักพี่น้องด้วย—1 ยน. 4:21
หลังจากนักศึกษารับบัพติศมาแล้ว เรายังต้องรักเขาและให้เกียรติเขา (1 ยน. 4:20) ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเรื่องอะไรที่อาจทำให้เราสงสัยเขาได้ เราน่าจะพยายามมองเขาในแง่ดีและไม่คิดว่าเขามีเจตนาร้าย เราจะให้เกียรติพี่น้องและมองว่าเขาดีกว่าตัวเราเอง (รม. 12:10; ฟป. 2:3) เราควรเมตตาและทำดีกับทุกคน ถ้าเราอยากเรียกพระยะโฮวาว่าพ่อและเป็นครอบครัวของพระองค์ตลอดไป เราต้องทำตามสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอก ตัวอย่างเช่น พระเยซูสอนให้เราเมตตาและทำดีกับทุกคน แม้แต่กับศัตรูของเราด้วยซ้ำ (ลก. 6:32-36) ถ้าเรารู้สึกว่ายากที่จะทำอย่างนั้นก็ให้เราพยายามคิดและทำตามพระเยซู และถ้าเราเชื่อฟังพระยะโฮวาและเลียนแบบพระเยซูอย่างดีที่สุด เราก็ทำให้พระยะโฮวาเห็นว่าเราอยากเป็นครอบครัวของพระองค์ตลอดไป ห21.08 น. 6 ว. 14-15
วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม
แล้วเราจะเปิดประตูท้องฟ้าและเทพรให้จนไม่ขาดอะไรเลย—มลค. 3:10
ฝึกที่จะไว้ใจพระยะโฮวา พระองค์สัญญาว่าจะให้พรเรามากมายถ้าเราไว้ใจพระองค์และให้พระองค์มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ในคัมภีร์ไบเบิลมีตัวอย่างของหลายคนที่ทุ่มเทให้กับการรับใช้พระยะโฮวา และหลายครั้งเราเห็นว่าก่อนที่พระยะโฮวาจะอวยพรพวกเขา พวกเขาต้องลงมือทำอะไรบางอย่างที่แสดงว่าพวกเขาไว้ใจพระองค์ ตัวอย่างเช่น พระยะโฮวาอวยพรอับราฮัมหลังจากที่เขาเชื่อฟังพระองค์และออกจากบ้าน “ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่า [พระองค์] จะให้ไปไหน” (ฮบ. 11:8) ยาโคบก็ต้องปล้ำสู้กับทูตสวรรค์ก่อน เขาถึงได้พรจากพระยะโฮวา (ปฐก. 32:24-30) ตอนที่ชาวอิสราเอลจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะไปถึงแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา พวกปุโรหิตต้องเหยียบลงไปในแม่น้ำก่อน น้ำถึงหยุดไหล แล้วประชาชนถึงเดินข้ามแม่น้ำนั้นได้ (ยชว. 3:14-16) คุณยังเรียนจากตัวอย่างของพี่น้องในปัจจุบันที่ไว้ใจพระยะโฮวาและพยายามรับใช้มากขึ้นได้ด้วย ห21.08 น. 29-30 ว. 12-14
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม
อย่าถามว่า “ทำไมเมื่อก่อนดีกว่าเดี๋ยวนี้?”—ปญจ. 7:10
พี่น้องที่สูงอายุ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาคุณรู้ว่าจะทำสิ่งต่าง ๆ ยังไงแต่ตอนนี้คุณก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนด้วย นอกจากนั้น ผู้สูงอายุที่เพิ่งรับบัพติศมาก็ยังช่วยคนอื่นได้ในหลายวิธี พี่น้องที่อายุน้อยกว่าชอบฟังประสบการณ์ของพวกคุณที่เป็นพี่น้องสูงอายุ และอยากฟังว่าคุณได้เรียนรู้อะไรมาบ้างในชีวิต ถ้าคุณ “มีนิสัยชอบแบ่งปัน” ประสบการณ์ที่คุณสะสมมาและชอบฝึกคนอื่น พระยะโฮวาก็จะอวยพรคุณมากมาย (ลก. 6:38) ถ้าคุณพยายามสนิทกับพี่น้องที่อายุน้อยกว่า คุณก็จะช่วยกันและกันได้ (รม. 1:12) พี่น้องที่สูงอายุมีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่พวกเขาสะสมมานาน ส่วนพี่น้องที่อายุน้อยก็มีแรงและกำลัง แต่ละฝ่ายมีอะไรบางอย่างที่อีกฝ่ายไม่มี ถ้าพี่น้องสูงอายุและพี่น้องที่อายุน้อยกว่าเป็นเพื่อนกันและรับใช้ด้วยกัน พวกเขาก็ทำให้พระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ของเราได้รับการยกย่องสรรเสริญ และทุกคนในประชาคมก็จะได้รับประโยชน์ ห21.09 น. 8 ว. 3; น. 13 ว. 17-18
วันอังคารที่ 14 มีนาคม
แต่เรากลับประกาศเรื่องที่พระคริสต์ถูกประหารบนเสา—1 คร. 1:23
ทำไมชาวยิวหลายคนถึงรับไม่ได้ที่พระเยซูตายบนเสาทรมาน? พวกเขาคิดว่าคนที่ตายแบบนี้มีแต่อาชญากรและคนบาป ไม่มีทางเป็นเมสสิยาห์ได้หรอก (ฉธบ. 21:22, 23) แต่ชาวยิวที่ไม่ยอมรับพระเยซูไม่ได้สนใจว่าจริง ๆ แล้วท่านไม่ได้ทำผิดอะไร ท่านถูกกล่าวหาและถูกตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม คนที่ตัดสินพระเยซูไม่ได้สนใจเรื่องความยุติธรรมเลย มีการเรียกสมาชิกศาลสูงสุดของชาวยิวมาประชุมกันอย่างเร่งรีบ และการพิจารณาคดีก็ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย (ลก. 22:54; ยน. 18:24) แทนที่คณะผู้พิพากษาจะดูหลักฐานและฟังข้อกล่าวหาด้วยความไม่ลำเอียง พวกเขากลับ “หาพยานเท็จมาใส่ร้ายพระเยซูเพื่อจะได้ประหารท่าน” (มธ. 26:59; มก. 14:55-64) และหลังจากที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย คณะผู้พิพากษาก็ “ให้เงินก้อนใหญ่” กับทหารยามชาวโรมันเพื่อโกหกว่าทำไมอุโมงค์ฝังศพถึงว่างเปล่า—มธ. 28:11-15 ห21.05 น. 11 ว. 12-13
วันพุธที่ 15 มีนาคม
วันเวลานั้นไม่มีใครรู้ แม้แต่ทูตสวรรค์หรือผมเองที่เป็นลูกของพระเจ้าก็ไม่รู้ มีแต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่รู้—มธ. 24:36
พระยะโฮวาจะจัดการกับปัญหาในโลกชั่วนี้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่พระองค์อดทนและนี่ทำให้เราได้ประโยชน์มาก มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาก็ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนกัน แต่พระยะโฮวาก็ยังรักและเป็นห่วงพวกเขา พระองค์สัญญาว่าจะทำให้ความชั่วบนโลกหมดไป (1 ยน. 4:19) และพระองค์กำหนดเวลาไว้แล้วเมื่อรู้อย่างนี้ เราก็อยากอดทนไปพร้อมกับพระองค์จนกว่าจะถึงเวลาที่พระองค์มาจัดการ พระยะโฮวาเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในเรื่องความอดทน และพระเยซูก็เลียนแบบพ่อของท่านในเรื่องนี้ด้วย ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านต้องทนกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามและความอับอาย และทนทุกข์บนเสาทรมานเพื่อเรา (ฮบ. 12:2, 3) ตัวอย่างของพระยะโฮวาช่วยพระเยซูให้มีกำลังที่จะอดทนได้ ตัวอย่างของพระยะโฮวาจะช่วยเราได้เหมือนกัน ห21.07 น. 12-13 ว. 15-17
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม
ให้คุณเมตตาคนอื่นเสมอเหมือนกับที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณแสดงความเมตตา—ลก. 6:36
พระยะโฮวาให้อภัยเราทุกวัน (สด. 103:10-14) พระเยซูก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ถึงสาวกของท่านเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ ท่านก็เมตตาและให้อภัยพวกเขา พระเยซูถึงกับยอมสละชีวิตของท่านเพื่อพวกเราทุกคนจะได้รับการอภัยบาป (1 ยน. 2:1, 2) เราจะรักพี่น้องมากขึ้นเมื่อเรา “ให้อภัยกันอย่างใจกว้าง” (อฟ. 4:32) แต่นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย เราเลยต้องออกความพยายามมาก พี่น้องหญิงคนหนึ่งรู้สึกว่าบทความจากหอสังเกตการณ์ ที่ชื่อ “จงให้อภัยกันอย่างใจกว้าง” ช่วยเธอได้เยอะมาก เธอเขียนว่า “บทความนี้บอกว่าการพร้อมจะให้อภัยคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเราเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำและไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้รับผลอะไรจากสิ่งที่เขาทำ แต่การให้อภัยหมายความว่าเราไม่โกรธเขาอีกต่อไปและเราก็จะสงบใจได้” เมื่อเราให้อภัยอย่างใจกว้างก็แสดงว่าเรารักพี่น้องและเราเลียนแบบพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ของเรา ห21.09 น. 23-24 ว. 15-16
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม
คนที่นมัสการ [พระเจ้า] ต้อง . . . นมัสการอย่างที่สอดคล้องกับความจริง—ยน. 4:24
พระเยซูรักความจริงซึ่งก็คือความจริงเกี่ยวกับพระยะโฮวาและความประสงค์ของพระองค์ นอกจากนั้น พระเยซูยังใช้ชีวิตตามความจริงและทำให้คนอื่นรู้จักความจริงด้วย (ยน. 18:37) สาวกที่ติดตามพระเยซูก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน พวกเขารักความจริงมาก (ยน. 4:23) เปโตรพูดถึงความเชื่อของคริสเตียนว่าเป็น “ทางของความจริง” (2 ปต. 2:2) คริสเตียนรุ่นแรกรักความจริงมาก พวกเขาเลยไม่ยอมรับความเชื่อทางศาสนา ธรรมเนียม หรือความคิดอะไรก็ตามที่ไม่ตรงกับความจริง (คส. 2:8) คริสเตียนแท้ในทุกวันนี้ก็พยายาม “ใช้ชีวิตตามความจริง” เหมือนกัน ทุกอย่างที่พวกเขาเชื่อมาจากคัมภีร์ไบเบิลและพวกเขาใช้ชีวิตตามที่คัมภีร์ไบเบิลบอก (3 ยน. 3, 4) พยานพระยะโฮวาไม่ได้บอกว่าพวกเขาเข้าใจความจริงครบถ้วนหรือรู้เรื่องในคัมภีร์ไบเบิลทุกแง่มุม บางครั้งพวกเขาก็เข้าใจคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลผิดไปหรืออาจจะชี้นำประชาคมผิดไปบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น พวกเขาก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน ห21.10 น. 21-22 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม
คนที่วางใจพระยะโฮวาจะได้รับความรักที่มั่นคงจากพระองค์—สด. 32:10
ในสมัยอดีตมีกำแพงที่คอยปกป้องประชาชนที่อยู่ในเมือง ความรักที่มั่นคงของพระยะโฮวาก็เหมือนกับกำแพงที่ปกป้องเราจากอะไรก็ตามที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์เสียหาย นอกจากนั้น ความรักที่มั่นคงของพระยะโฮวายังทำให้พระองค์เข้ามาใกล้ชิดกับเราด้วย (ยรม. 31:3) ดาวิดผู้เขียนหนังสือสดุดีใช้ภาพเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งเพื่อทำให้เห็นว่าคนของพระเจ้าได้รับการปกป้องยังไง เขาเขียนว่า “พระเจ้าเป็นที่หลบภัยของผม เป็นพระเจ้าที่รักผมอย่างมั่นคง” และเขายังบอกอีกว่า “พระองค์รักผมอย่างมั่นคงและเป็นป้อมปราการของผม เป็นที่หลบภัยและเป็นผู้ช่วยผมให้พ้นภัย เป็นโล่ของผมและเป็นที่พึ่งของผม” (สด. 59:17; 144:2) ทำไมดาวิดถึงเชื่อมโยงความรักที่มั่นคงของพระยะโฮวากับที่หลบภัยและป้อมปราการ? เพราะถ้าเราเป็นคนของพระยะโฮวา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน พระองค์ก็จะคอยปกป้องเราจากอะไรก็ตามที่จะทำให้เราห่างจากพระองค์ ห21.11 น. 6 ว. 14-15
วันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม
ผมจะใคร่ครวญทุกสิ่งที่พระองค์ทำ—สด. 77:12
ตอนที่พระเยซูกับสาวกของท่านเจอพายุ ท่านใช้โอกาสนี้เพื่อช่วยให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาต้องมีความเชื่อมากขึ้น (มธ. 8:23-26) ตอนนั้นมีพายุใหญ่มากและคลื่นซัดจนน้ำท่วมเรือ แต่พระเยซูก็ยังนอนหลับอย่างสบายใจ สาวกของท่านกลัวมากก็เลยมาปลุกท่านและขอให้ท่านช่วย แต่พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ทำไมต้องกลัว พวกคุณมีความเชื่อน้อยจริง ๆ” คุณกำลังเจอกับ “พายุใหญ่” ในชีวิตไหม? อาจจะเป็นภัยธรรมชาติหรือปัญหาสุขภาพที่หนักมากจนทำให้คุณรู้สึกเครียดกังวลจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้น อย่าปล่อยให้ความกังวลมาทำให้คุณไม่วางใจพระยะโฮวา พยายามสนิทกับพระองค์และอธิษฐานพูดความในใจกับพระองค์ พยายามทำให้ความเชื่อของคุณเข้มแข็งขึ้นโดยคิดทบทวนว่าที่ผ่านมาพระยะโฮวาเคยช่วยคุณมาแล้วยังไงบ้าง (สด. 77:11) คุณมั่นใจได้เลยว่าพระยะโฮวาจะไม่มีวันทิ้งคุณทั้งในตอนนี้และตลอดไป ห21.11 น. 22 ว. 7, 10
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม
อย่าขโมย—ลนต. 19:11
บางคนอาจคิดว่าถ้าเขาไม่ได้เอาของของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง เขาก็กำลังเชื่อฟังคำสั่งนี้ แต่จริง ๆ แล้วเขาอาจกำลังทำบางอย่างที่ถือว่าเป็นการขโมย ตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อค้าคนไหนใช้ตราชั่งที่ทำไว้เพื่อตั้งใจจะโกงลูกค้า เขาก็กำลังขโมยของของคนอื่น เลวีนิติ 19:13 บอกว่า “อย่าโกงคนอื่น” ดังนั้นการทำธุรกิจแบบไม่ซื่อสัตย์เท่ากับการขโมย บัญญัติข้อที่ 8 ในบัญญัติ 10 ประการบอกว่าอย่าขโมย แต่รายละเอียดในเลวีนิติช่วยให้เห็นว่าเราจะเอาหลักการในบัญญัติข้อนี้มาใช้ในชีวิตยังไง ทุกวันนี้เราได้ประโยชน์มากถ้าเราคิดว่าพระยะโฮวาคิดยังไงกับเรื่องของการขโมยและความไม่ซื่อสัตย์ เราน่าจะถามตัวเองว่า ‘ถ้าคิดถึงเลวีนิติ 19:11-13 ฉันต้องปรับเปลี่ยนอะไรในชีวิตบ้างไหมโดยเฉพาะในเรื่องธุรกิจหรือนิสัยการทำงาน?’ ห21.12 น. 9-10 ว. 6-8
วันอังคารที่ 21 มีนาคม
พวกคุณต้องเต็มใจให้อภัยกันเหมือนที่พระยะโฮวาเต็มใจให้อภัยคุณ—คส. 3:13
ตอนที่คุณอธิษฐาน ให้คุณเล่าให้พระยะโฮวาฟังว่าคุณทำผิดพลาดอะไรมาบ้างและขอพระองค์ยกโทษให้คุณ แต่ถ้าคุณทำผิดร้ายแรง คุณก็ต้องขอให้ผู้ดูแลในประชาคมช่วยคุณด้วย พวกเขาจะตั้งใจฟังสิ่งที่คุณพูดและให้คำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลด้วยความรัก แล้วพวกเขาจะอธิษฐานกับคุณ ขอพระยะโฮวายกโทษให้คุณโดยใช้คุณค่าของค่าไถ่เพื่อคุณจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระองค์อีกครั้ง (ยก. 5:14-16) นอกจากนั้น การคิดใคร่ครวญเรื่องค่าไถ่ยังช่วยได้มากด้วย ถึงคุณอาจรู้สึกเจ็บปวดว่าพระเยซูต้องทรมานมากขนาดไหน แต่ยิ่งคุณคิดใคร่ครวญว่าพระเยซูต้องเสียสละมากแค่ไหน คุณก็จะยิ่งรักท่านและพ่อของท่านมากขึ้น และเราจะเห็นค่าค่าไถ่มากขึ้นถ้าเราไปประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการตายของพระเยซูทุกปีและพยายามชวนคนอื่นให้เข้าร่วมการประชุมนี้ด้วย เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่พระยะโฮวาให้เราได้สอนคนอื่นเกี่ยวกับลูกของพระองค์ ห21.04 น. 18-19 ว. 13-16
วันพุธที่ 22 มีนาคม
พระเยซูจึงสอนพวกเขาหลายเรื่อง—มก. 6:34
ขอให้คิดถึงสิ่งที่พระเยซูทำตอนที่มีหลายคนมาหาท่านบนภูเขา พระเยซูคงเหนื่อยมากเพราะคืนก่อนหน้านั้นท่านอธิษฐานมาทั้งคืน แต่พอมีหลายคนมาหา ท่านก็รู้สึกสงสารพวกเขาโดยเฉพาะคนจนและคนป่วย ท่านไม่ได้แค่รักษาพวกเขาให้หายเท่านั้น แต่ยังบรรยายให้พวกเขาฟังด้วย คำบรรยายนั้นถูกเรียกว่าคำบรรยายบนภูเขาซึ่งเป็นคำบรรยายที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา (ลก. 6:12-20) นอกจากนั้น ถึงพระเยซูอยากจะอยู่คนเดียว แต่ท่านก็ยังให้เวลาคนอื่นด้วย ลองคิดดูว่าพระเยซูจะรู้สึกยังไงตอนที่ได้ยินว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาที่เป็นเพื่อนของท่านถูกตัดหัว คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “พอพระเยซูรู้ข่าว [เรื่องยอห์นตาย] ก็ลงเรือออกจากที่นั่นไปในที่ห่างไกลผู้คนเพราะอยากอยู่ตามลำพัง” (มธ. 14:10-13) แต่ผู้คนก็ไปดักรอท่านที่นั่น (มก. 6:31-33) พระเยซูรู้ว่าพวกเขาอยากได้กำลังใจจากพระเจ้า ท่านเลยช่วยพวกเขาทันที—ลก. 9:10, 11 ห22.02 น. 21 ว. 4, 6
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม
ให้คุณพยายามเต็มที่ที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน—รม. 12:18
เราจะทำยังไงถ้ารู้สึกว่าทำให้พี่น้องโกรธหรือไม่สบายใจ? เราต้องทำตามตัวอย่างของยาโคบโดยอธิษฐานถึงพระยะโฮวาอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ และขอพระองค์ให้ช่วยเราคืนดีกับพี่น้องคนนั้น นอกจากนั้น เราอาจจะต้องใช้เวลาทบทวนว่าตัวเราเองเป็นยังไงโดยถามตัวเองว่า ‘ฉันยอมเป็นฝ่ายผิด เข้าไปขอโทษพี่น้อง และคืนดีกับเขาไหม? และถ้าฉันเป็นฝ่ายเข้าไปคืนดีกับพี่น้อง พระยะโฮวากับพระเยซูจะรู้สึกยังไง?’ การถามตัวเองแบบนี้จะช่วยให้เราเชื่อฟังพระเยซูและถ่อมตัวเข้าไปคืนดีกับพี่น้อง ตอนที่เราไปคืนดีกับพี่น้องก็เหมือนกัน เราต้องเป็นคนถ่อม (อฟ. 4:2, 3) เราต้องมีเป้าหมายที่จะคืนดีกับเขาและทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ขอให้จำไว้ว่าการคืนดีสำคัญกว่าการหาว่าใครถูกใครผิด—1 คร. 6:7 ห21.12 น. 26 ว. 13-16
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม
ท่านมองดูกรุงนั้นแล้วก็ร้องไห้—ลก. 19:41
พระเยซูร้องไห้เพราะคนยิวส่วนใหญ่ไม่สนใจข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า กรุงเยรูซาเล็มจึงต้องถูกทำลายและชาวยิวที่ไม่ได้ถูกฆ่าในกรุงนั้นก็ต้องถูกจับไปเป็นเชลย (ลก. 21:20-24) แล้วทุกวันนี้ล่ะ คนในเขตของคุณสนใจฟังที่คุณประกาศไหม? ถ้าไม่ค่อยมีใครสนใจ คุณเรียนอะไรได้จากน้ำตาของพระเยซู? พระยะโฮวาเป็นห่วงผู้คน น้ำตาของพระเยซูทำให้เรารู้ว่าพระยะโฮวาเป็นห่วงผู้คนมากแค่ไหน พระองค์ “ไม่อยากให้ใครต้องถูกทำลาย แต่อยากให้ทุกคนกลับตัวกลับใจ” (2 ปต. 3:9) ในทุกวันนี้เราจะแสดงว่ารักผู้คนได้ ถ้าเราพยายามช่วยพวกเขาให้สนใจเรียนความจริง—มธ. 22:39 ห22.01 น. 16 ว. 10-12
วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม
ผมยึดมั่นอยู่กับพระองค์ มือขวาของพระองค์จับผมไว้แน่น—สด. 63:8
ถ้าคุณคิดใคร่ครวญว่าพระยะโฮวาเคยทำอะไรเพื่อคุณมาแล้วและทำอะไรเพื่อคนของพระองค์มาแล้วบ้าง ความเชื่อของคุณก็จะเข้มแข็งขึ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณจะรักพระยะโฮวามากขึ้น ความรักจะทำให้คุณเชื่อฟังพระยะโฮวา ทำให้คุณยอมสละทุกอย่างเพื่อทำให้พระองค์พอใจ และทำให้คุณอดทนกับความยากลำบากทุกอย่างได้ (มธ. 22:37-39; 1 คร. 13:4, 7; 1 ยน. 5:3) ไม่มีอะไรอีกแล้วที่สำคัญไปกว่าการสนิทกับพระยะโฮวาพระเจ้าที่รักคุณ (สด. 63:1-7) จำไว้ว่าการอธิษฐาน การศึกษาส่วนตัว และการคิดใคร่ครวญคือการนมัสการพระยะโฮวา ให้เลียนแบบพระเยซูโดยหาที่เงียบ ๆ เพื่อใช้เวลาอยู่กับพระยะโฮวา อย่าให้อะไรมาทำให้เสียสมาธิ อธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยคุณให้จดจ่อกับการศึกษาส่วนตัวและการประชุม ถ้าคุณใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุดตั้งแต่ตอนนี้ พระยะโฮวาจะอวยพรคุณให้คุณมีชีวิตตลอดไปในโลกใหม่—มก. 4:24 ห22.01 น. 31 ว. 18-20
วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม
ให้เกลียดสิ่งที่ชั่ว—รม. 12:9
ความคิดของเรามีผลต่อสิ่งที่เราทำ นั่นเป็นเหตุผลที่พระเยซูสอนว่าถ้าเราเริ่มคิดถึงสิ่งที่จะทำให้เราทำบาปร้ายแรง เราต้องหยุดคิดทันที (มธ. 5:21, 22, 28, 29) เราอยากจะทำให้พระยะโฮวาพอใจใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น เมื่อไหร่ที่เราเริ่มคิดอะไรที่ไม่ดีก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะเลิกคิดเรื่องนั้นทันที พระเยซูบอกว่า “สิ่งที่ออกจากปาก ก็มาจากใจ” (มธ. 15:18) สิ่งที่เราพูดจะทำให้เห็นว่าตัวตนของเราเป็นยังไงจริง ๆ เราต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันไม่พูดโกหกถึงแม้ว่าการพูดความจริงจะทำให้ฉันเดือดร้อนไหม? ถ้าฉันแต่งงานแล้ว ฉันระวังไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าฉันกำลังจีบเขาไหม? ฉันไม่พูดลามก สองแง่สองง่าม หรือหยาบคายแม้แต่นิดเดียวไหม? ถ้ามีใครทำให้ฉันอารมณ์เสีย ฉันใจเย็นและพูดดี ๆ กับเขาไหม?’ เราต้องคิดถึงคำถามเหล่านี้ดี ๆ ว่าเราเป็นยังไงจริง ๆ เราเลิกใช้คำพูดที่ไม่ดี รวมทั้งการพูดโกหก พูดลามก และพูดหยาบคาย เราก็จะถอดและทิ้งลักษณะนิสัยเก่าได้ง่ายขึ้น ห22.03 น. 5 ว. 12-14
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม
คนที่เสาะหาคำแนะนำจะมีสติปัญญา—สภษ. 13:10
คนที่เข้าไปขอคำแนะนำจากคนอื่นจะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ดีกว่าคนที่มัวแต่รอให้คนอื่นมาแนะนำเขา ดังนั้น ขอให้คุณเข้าไปขอคำแนะนำจากคนอื่น แล้วตอนไหนบ้างที่เราอาจทำอย่างนั้นได้? ขอให้คิดถึง 3 สถานการณ์ต่อไปนี้ (1) พี่น้องหญิงคนหนึ่งชวนพี่น้องอีกคนไปศึกษาด้วยกัน พอศึกษาเสร็จ เธอก็ถามพี่น้องคนนั้นว่าทำยังไงถึงจะสอนได้ดีขึ้น (2) พี่น้องหญิงที่เป็นโสดตั้งใจจะซื้อกางเกงตัวหนึ่ง เธอเลยขอให้พี่น้องหญิงที่อายุมากกว่าช่วยบอกตรง ๆ ว่าคิดยังไงกับกางเกงที่เธอเลือก (3) ตอนที่พี่น้องชายคนหนึ่งจะบรรยายสาธารณะครั้งแรก เขาขอให้ผู้บรรยายที่มีประสบการณ์ช่วยตั้งใจฟังเป็นพิเศษและช่วยบอกเขาว่ามีตรงไหนบ้างที่เขาต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น ที่จริง แม้แต่พี่น้องชายที่บรรยายมาแล้วหลายปีก็น่าจะขอคำแนะนำจากผู้บรรยายที่มีประสบการณ์และก็พยายามทำตามคำแนะนำด้วย—สภษ. 19:20 ห22.02 น. 13 ว. 15-17
วันอังคารที่ 28 มีนาคม
ผมไม่ได้ตัดสินด้วยตัวเอง แต่ตัดสินร่วมกับพ่อของผมที่ใช้ผมมา—ยน. 8:16
พระยะโฮวารักเราเหมือนที่พระองค์รักพระเยซู (ยน. 5:20) ตลอดเวลาที่พระเยซูอยู่บนโลก พระองค์ดูแลพระเยซูให้มีความเชื่อเข้มแข็ง คอยให้กำลังใจท่านตอนที่ท่านรู้สึกท้อใจ และคอยดูแลให้ท่านมีสิ่งจำเป็นในชีวิต พระยะโฮวาบอกว่าพระองค์รักและพอใจในตัวท่านด้วย (มธ. 3:16, 17) พระเยซูไม่เคยรู้สึกเดียวดายเพราะท่านรู้ว่าพระยะโฮวาจะอยู่เคียงข้างท่านเสมอ พระเยซูรู้ว่าพระยะโฮวารักท่านมาก เราก็รู้สึกว่าพระยะโฮวารักเรามากเหมือนกันและพระองค์ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเรา เช่น พระยะโฮวาชักนำเราให้มารู้จักกับพระองค์ และพระองค์ให้เรามีพี่น้องที่เป็นเหมือนครอบครัวที่ทำให้เรามีความสุขและคอยให้กำลังใจเราเมื่อเราท้อแท้ (ยน. 6:44) นอกจากนั้น พระองค์ยังให้หลายอย่างที่ช่วยให้เรามีความเชื่อเข้มแข็ง และพระองค์คอยดูแลให้เรามีสิ่งจำเป็นในชีวิตด้วย (มธ. 6:31, 32) เมื่อเราคิดใคร่ครวญถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาทำเพื่อเรา เราก็รักพระองค์มากขึ้น ห21.09 น. 22 ว. 8-9
วันพุธที่ 29 มีนาคม
ให้ทิ้งลักษณะนิสัยเก่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำ—คส. 3:9
ก่อนที่จะมาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลชีวิตของคุณเป็นยังไง? พวกเราหลายคนคงไม่อยากคิดถึงชีวิตตอนนั้น เพราะก่อนที่เราจะมาศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เรา “ไม่มีความหวังและไม่รู้จักพระเจ้า” นิสัยและความคิดของเราเลยเป็นเหมือนคนทั่วไปในโลกที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ (อฟ. 2:12) แต่พอได้มาศึกษาคัมภีร์ไบเบิล คุณได้รู้ว่าพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ของคุณรักคุณมาก และคุณรู้ด้วยว่าถ้าคุณอยากทำให้พระองค์พอใจและเป็นครอบครัวของพระองค์ คุณต้องเปลี่ยนรูปแบบชีวิตและเปลี่ยนความคิด และต้องใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ (อฟ. 5:3-5) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าผู้สร้างและเป็นพ่อในสวรรค์ของเรา พระองค์เลยมีสิทธิ์กำหนดว่าคนในครอบครัวของพระองค์ควรจะใช้ชีวิตยังไง พระองค์บอกว่าก่อนที่เราจะรับบัพติศมา พระองค์อยากให้เรา “ทิ้งลักษณะนิสัยเก่ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำ” ห22.03 น. 2 ว. 1-3
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม
ผมยังมีแกะอื่น—ยน. 10:16
แกะอื่นมีความสุขที่ได้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ การเข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ทำให้แกะอื่นคิดถึงความหวังของพวกเขาบนโลก เมื่อแกะอื่นได้ฟังคำบรรยายการประชุมอนุสรณ์ พวกเขามีโอกาสได้คิดใคร่ครวญเป็นพิเศษว่าพระเยซูกับ 144,000 คนจะทำอะไรบ้างเพื่อมนุษย์ในช่วงพันปีที่พระเยซูปกครอง ในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมนั้นพระเยซูและคนที่ปกครองร่วมกับท่านจะช่วยเปลี่ยนโลกให้เป็นสวนอุทยานและช่วยให้คนบนโลกในตอนนั้นกลายเป็นมนุษย์สมบูรณ์ นอกจากนั้น ในวันประชุมอนุสรณ์หลายล้านคนที่เข้าร่วมการประชุมนั้นรู้สึกตื่นเต้นและมีความสุขมากที่ได้คิดถึงคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับอนาคตที่ดีมาก เช่น อิสยาห์ 35:5, 6; 65:21-23 และวิวรณ์ 21:3, 4 เมื่อพวกเขานึกภาพตัวเองและคนที่พวกเขารักได้อยู่ในโลกใหม่ พวกเขาก็ยิ่งมั่นใจเรื่องความหวังในอนาคตและตั้งใจที่จะไม่เลิกรับใช้พระยะโฮวา—มธ. 24:13; กท. 6:9 ห22.01 น. 21 ว. 5-7
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์หลังดวงอาทิตย์ตก 9 นิสาน) มัทธิว 26:6-13
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม
ลูกมนุษย์ . . . สละชีวิตเป็นค่าไถ่ให้คนมากมาย—มก. 10:45
ค่าไถ่หมายถึงอะไร? คำว่าค่าไถ่หมายถึงสิ่งที่พระเยซูจ่ายเพื่อซื้อชีวิตที่อาดัมทำให้สูญเสียไป (1 คร. 15:22) ทำไมเราต้องมีค่าไถ่? เพราะมาตรฐานเรื่องความยุติธรรมในกฎหมายของพระยะโฮวาบอกว่าให้ชีวิตแทนชีวิต (อพย. 21:23, 24) อาดัมสูญเสียชีวิตที่สมบูรณ์แบบของเขา ดังนั้น เพื่อจะเป็นไปตามมาตรฐานเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้า พระเยซูเลยต้องสละชีวิตที่สมบูรณ์แบบของท่าน (รม. 5:17) นี่ทำให้ท่านเป็น “บิดาถาวร” ของทุกคนที่แสดงความเชื่อในค่าไถ่ (อสย. 9:6; รม. 3:23, 24) พระเยซูเต็มใจสละชีวิตของท่านเพราะท่านรักพ่อในสวรรค์และรักพวกเราทุกคน (ยน. 14:31; 15:13) ความรักนี้ทำให้พระเยซูตั้งใจที่จะรักษาความซื่อสัตย์จนถึงที่สุดและทำสิ่งที่พ่อต้องการให้สำเร็จ ท่านทำอย่างนั้นโดยซื่อสัตย์จนวันตาย นี่เลยทำให้เป็นไปได้ที่ความประสงค์ของพระยะโฮวาเกี่ยวกับมนุษย์และโลกจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต ห21.04 น. 14 ว. 2-3
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลช่วงการประชุมอนุสรณ์ (เหตุการณ์ตอนกลางวัน 9 นิสาน) มัทธิว 21:1-11, 14-17