มกราคม
วันพุธที่ 1 มกราคม
มีคนหามศพผู้ชายคนหนึ่งสวนทางออกมา คนตายนั้นเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ม่าย—ลก. 7:12
พระเยซู “เห็น” แม่ม่ายคนนี้กำลังเสียใจมาก ท่านเลยรู้สึก “สงสาร” เธอ (ลก. 7:13) แต่พระเยซูไม่ใช่แค่รู้สึกสงสาร ท่านแสดงออกว่าเข้าใจความรู้สึกของเธอจริง ๆ ท่านเข้าไปคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อย่าร้องไห้เลย” แล้วท่านก็เป็นฝ่ายเริ่มช่วยแม่ม่ายคนนี้ ท่านปลุกลูกชายของเธอให้ฟื้นขึ้นจากตายและ “มอบเขาให้แม่” (ลก. 7:14, 15) เราได้เรียนอะไรจากที่พระเยซูปลุกลูกชายของหญิงม่าย? เราควรแสดงความเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ และเราเลียนแบบพระเยซูได้โดยเป็นคนช่างสังเกต นอกจากนั้น เราควรเป็นฝ่ายเข้าไปคุยหรือทำบางอย่างเพื่อช่วยและปลอบใจคนที่กำลังโศกเศร้า (สภษ. 17:17; 2 คร. 1:3, 4; 1 ปต. 3:8) แค่คำพูดง่าย ๆ หรือการทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจให้กำลังใจพวกเขาได้มากจริง ๆ ห23.04 น. 5-6 ว. 13-15
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม
ที่เขาป่วยครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อให้ตาย แต่เพื่อทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่อง—ยน. 11:4
แม้พระเยซูรู้ว่าเพื่อนรักของท่านเพิ่งตาย แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนั้นต่ออีก 2 วันถึงค่อยไปที่เบธานี ดังนั้นกว่าที่พระเยซูจะไปถึงที่นั่น ลาซารัสก็ตายไปแล้ว 4 วัน ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะท่านตั้งใจจะทำบางอย่างเพื่อเพื่อน ๆ ของท่านและทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญ (ยน. 11: 6, 11, 17) เรื่องนี้ทำให้เราได้เรียนว่าเพื่อนที่ดีควรเป็นยังไง ตอนที่มาร์ธากับมารีย์ส่งข่าวไปถึงพระเยซู พวกเขาไม่ได้ขอให้ท่านมาที่เบธานี แต่แค่บอกว่าเพื่อนรักของท่านไม่สบายมาก (ยน. 11:3) และที่จริงพระเยซูไม่จำเป็นต้องไปที่เบธานีเพื่อจะปลุกลาซารัส ท่านแค่ปลุกเขาจากที่ที่ท่านอยู่ก็ได้ แต่ท่านเลือกที่จะไปที่นั่นเพื่ออยู่เป็นเพื่อนมาร์ธากับมารีย์ แล้วคุณล่ะ คุณมีเพื่อนที่พร้อมจะช่วยโดยที่คุณไม่ต้องขอไหม? ถ้ามี คุณก็รู้ว่าคุณพึ่งเขาได้ “ในเวลาลำบาก” (สภษ. 17:17) ส่วนเรา เราก็ต้องเลียนแบบพระเยซูด้วยโดยทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีกับคนอื่น ห23.04 น. 10 ว. 10-11
วันศุกร์ที่ 3 มกราคม
พระเจ้าที่สัญญากับเรานั้นซื่อสัตย์—ฮบ. 10:23
ในช่วงที่เจอปัญหา เราอาจรู้สึกว่าโลกใหม่ที่พระยะโฮวาสัญญาไว้คงอีกนานกว่าจะมา แต่นี่หมายความว่าเรามีความเชื่ออ่อนแอไหม? ก็อาจจะไม่ใช่ ให้เราคิดถึงตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ ในหน้าร้อนที่อากาศร้อนมาก ๆ ติดต่อกันหลายอาทิตย์ เราอาจรู้สึกว่าหน้าฝนทำไมไม่มาสักที แต่เราก็รู้ว่าเดี๋ยวมันจะมาแน่ ๆ เหมือนกันตอนที่เราเจอปัญหาและรู้สึกท้อใจมาก เราอาจรู้สึกว่าโลกใหม่อยู่ไกลเหลือเกิน ทำไมไม่มาสักที แต่ถ้าเรามีความเชื่อเข้มแข็ง เราก็รู้ว่าคำสัญญาทั้งหมดของพระยะโฮวาจะเป็นจริง และโลกใหม่จะมาแน่นอน (สด. 94:3, 14, 15; ฮบ. 6:17-19) ถ้าเรามั่นใจแบบนี้ เราก็จะให้การนมัสการพระยะโฮวาสำคัญที่สุดในชีวิตเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราต้องมีความเชื่อเข้มแข็งด้วยตอนที่ประกาศ หลายคนรู้สึกว่า “ข่าวดี” เรื่องโลกใหม่มันดีเกินไปที่จะเป็นจริง (มธ. 24:14; อสค. 33:32) เราต้องระวังไม่ให้ความคิดของพวกเขามีผลต่อเรา และเพื่อจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องทำให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งขึ้น ห23.04 น. 27 ว. 6-7; น. 30 ว. 14
วันเสาร์ที่ 4 มกราคม
เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งนั้น เพราะเราได้ขอจากพระองค์—1 ยน. 5:15
คุณเคยสงสัยไหมว่าพระยะโฮวากำลังตอบคำอธิษฐานของคุณหรือเปล่า? ถ้าเคย คุณก็ไม่ใช่คนเดียวที่คิดอย่างนั้น มีพี่น้องของเราหลายคนที่รู้สึกเหมือนคุณโดยเฉพาะตอนที่พวกเขากำลังเจอความยากลำบาก ถ้าเรากำลังเจอปัญหาหนัก ๆ เราอาจรู้สึกว่ายากขึ้นไปอีกที่จะรู้ว่าพระยะโฮวาจะตอบคำอธิษฐานเรายังไงทำไมเราถึงมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานของผู้รับใช้พระองค์ คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่าพระยะโฮวารักเรามากและเรามีค่าจริง ๆ สำหรับพระองค์ (ฮกก. 2:7; 1 ยน. 4:10) พระองค์ก็เลยเชิญเราให้อธิษฐานขอให้พระองค์ช่วย (1 ปต. 5:6, 7) นอกจากนั้น พระยะโฮวาอยากช่วยเราให้สนิทกับพระองค์และรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ ในคัมภีร์ไบเบิลเรามักจะได้อ่านว่าพระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานของผู้รับใช้พระองค์ คุณคิดถึงตัวอย่างของใครไหม? ห23.05 น. 8 ว. 1-4
วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม
มารีย์พูดว่า “ฉันขอยกย่องพระยะโฮวาสุดหัวใจ”—ลก. 1:46
มารีย์สนิทกับพระยะโฮวาเป็นส่วนตัว เธอไม่ได้แค่เชื่อตามสามีแต่มีความเชื่อเข้มแข็งด้วยตัวเอง มารีย์รู้พระคัมภีร์ดีมาก เธอมักจะใช้เวลาคิดใคร่ครวญด้วย (ลก. 2:19, 51) เพราะมารีย์สนิทกับพระยะโฮวาแบบนี้ เลยทำให้เธอเป็นภรรยาที่ดีมาก ทุกวันนี้ภรรยาหลายคนก็พยายามเลียนแบบมารีย์ เช่น พี่น้องหญิงที่ชื่อเอมิโกะบอกว่า “ตอนที่ฉันยังเป็นโสด ฉันทำกิจกรรมคริสเตียนเป็นประจำ แต่พอแต่งงาน สามีจะเป็นคนนำอธิษฐานและนำหน้าในการนมัสการ พอเวลาผ่านไปฉันก็เริ่มรู้สึกว่าฉันจะมีความเชื่อเข้มแข็งหรือไม่เข้มแข็งก็ขึ้นอยู่กับเขา ฉันเลยคิดว่าฉันต้องแบกความรับผิดชอบของตัวเองในเรื่องการสร้างสายสัมพันธ์กับพระยะโฮวา ฉันเลยจัดเวลาที่จะใช้เวลาอยู่กับพระยะโฮวาโดยการอธิษฐาน อ่านคัมภีร์ไบเบิล คิดใคร่ครวญและค้นคว้า” (กท. 6:5) พวกคุณที่เป็นภรรยา ถ้าคุณพยายามสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น สามีก็จะชื่นชมคุณและรักคุณมากขึ้น—สภษ. 31:30 ห23.05 น. 22 ว. 6
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม
เราจะสอนให้เกรงกลัวพระยะโฮวา—สด. 34:11
คนเราไม่ได้เกิดมาแล้วเกรงกลัวพระยะโฮวาได้ทันที เราเลยต้องพยายามที่จะมีคุณลักษณะนี้ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราทำแบบนั้นได้ก็คือการสังเกตดูสิ่งที่พระยะโฮวาสร้าง ยิ่งเราเห็นจาก “สิ่งที่พระองค์สร้าง” ว่าพระองค์ฉลาด มีอำนาจ และรักเราขนาดไหน เราก็จะยิ่งรักและนับถือพระองค์มากขึ้น (รม. 1:20) อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราเกรงกลัวพระยะโฮวาก็คือการอธิษฐานเป็นประจำ ยิ่งเราอธิษฐาน เราก็ยิ่งรู้จักพระองค์ดีขึ้น ทุกครั้งที่เราขอพระยะโฮวาให้กำลังกับเราเพื่อจะอดทนกับความยากลำบากได้ มันก็ยิ่งย้ำกับเราว่าพระองค์มีอำนาจมากขนาดไหน และเมื่อเราขอบคุณที่พระยะโฮวายอมสละลูกที่รักของพระองค์ มันก็ยิ่งทำให้เราคิดว่าพระองค์รักเรามากแค่ไหน และเมื่อเราอ้อนวอนขอพระยะโฮวาช่วยเรารับมือกับปัญหา มันก็ยิ่งย้ำกับเราว่าพระองค์ฉลาดมาก การอธิษฐานแบบนี้ทำให้เรายิ่งนับถือพระยะโฮวามากขึ้น และยิ่งทำให้เราตั้งใจจริง ๆ ที่จะไม่ยอมให้อะไรมาทำลายสายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระองค์ ห23.06 น. 15 ว. 6-7
วันอังคารที่ 7 มกราคม
พระยะโฮวาเป็นผู้ตั้งกฎหมายให้เรา—อสย. 33:22
พระยะโฮวาเป็นผู้มีสิทธิ์สูงสุดที่จะตั้งกฎหมาย และกฎหมายที่พระองค์ให้ก็เข้าใจได้ชัดเจนเสมอ เช่น คณะกรรมการปกครองในศตวรรษแรกพูดถึง 3 เรื่องที่คริสเตียนต้องหนักแน่นมั่นคงคือ (1) นมัสการพระยะโฮวาเท่านั้น ไม่นมัสการรูปเคารพ (2) นับถือความศักดิ์สิทธิ์ของเลือด และ (3) ทำตามมาตรฐานด้านศีลธรรมของคัมภีร์ไบเบิลเสมอ (กจ. 15:28, 29) แล้วคริสเตียนในทุกวันนี้จะหนักแน่นมั่นคงใน 3 เรื่องนี้ได้ยังไง? เราทำได้โดยนมัสการและเชื่อฟังพระยะโฮวา พระยะโฮวาสั่งให้ชาวอิสราเอลนมัสการพระองค์ผู้เดียว (ฉธบ. 5:6-10) และตอนที่พระเยซูถูกมารซาตานล่อใจ ท่านก็บอกชัดเลยว่าเราต้องนมัสการพระยะโฮวาเท่านั้น (มธ. 4:8-10) ดังนั้น เราจะไม่ไหว้รูปเคารพ และเราจะไม่นมัสการมนุษย์คนไหนด้วย เช่น เราจะไม่เทิดทูนหรือคลั่งไคล้ใครจนเหมือนกับเขาเป็นพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นพวกหัวหน้าศาสนา นักการเมือง ดารา นักร้อง หรือนักกีฬาดัง ๆ แต่เราจะอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาและนมัสการเฉพาะพระองค์ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ “สร้างทุกสิ่ง”—วว. 4:11 ห23.07 น. 14-15 ว. 3-4
วันพุธที่ 8 มกราคม
ความเกรงกลัวพระยะโฮวาช่วยให้คนเราเลิกทำชั่ว—สภษ. 16:6
โลกของซาตานเต็มไปด้วยการผิดศีลธรรมทางเพศและสื่อลามก เลยเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องมีความเกรงกลัวพระยะโฮวาเสมอและไม่ไปยุ่งกับสิ่งที่ไม่ดี (อฟ. 4:19) ในสุภาษิตบท 9 พูดถึงผู้หญิง 2 คนกำลังชักชวนคนที่ขาดประสบการณ์ซึ่งก็คือ “คนไม่รู้จักคิด” มันเหมือนกับพวกเธอกำลังบอกคนเหล่านั้นว่า ‘เข้ามาในบ้านฉันสิ มากินอาหารสักหน่อย’ (สภษ. 9:1, 4-6) แต่การทำตามคำชักชวนของผู้หญิง 2 คนนี้ลงเอยต่างกันมากจริง ๆ ลองดูคำชักชวนของ “ผู้หญิงโง่” (สภษ. 9:13-18) เธอชวนคนไม่รู้จักคิดว่า “เข้ามาที่นี่” เธออยากให้พวกเขาเข้ามากินอาหารในบ้านเธอ แล้วคนที่เข้าไปจะเป็นยังไง? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “บ้านของเธอเป็นที่ของคนตาย” ในตอนต้นของหนังสือสุภาษิต ที่นั่นเตือนเราให้ระวัง “ผู้หญิงชั่ว” และ “ผู้หญิงไม่มีศีลธรรม” และยังบอกว่า “การไปบ้านเธอก็เท่ากับไปหาที่ตาย” (สภษ. 2:11-19) นอกจากนั้น สุภาษิต 5:3-10 ก็มีคำเตือนเกี่ยวกับ “ผู้หญิงชั่ว” อีกคนหนึ่งที่ “เดินไปสู่ความตาย” ห23.06 น. 22 ว. 6-7
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม
ให้คนอื่นเห็นว่าพวกคุณเป็นคนมีเหตุผล—ฟป. 4:5
ผู้ดูแลต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเป็นคนมีเหตุผล (1 ทธ. 3:2, 3) ตัวอย่างเช่น เขาจะไม่คิดว่าผู้ดูแลคนอื่นต้องเห็นด้วยกับความคิดของเขาเพราะเขาอายุมากกว่าหรือมีประสบการณ์มากกว่า ผู้ดูแลต้องจำไว้ว่าพระยะโฮวาสามารถใช้พลังบริสุทธิ์เพื่อช่วยผู้ดูแลคนไหนก็ได้ให้พูดในสิ่งที่จะช่วยให้ผู้ดูแลทั้งคณะตัดสินใจอย่างฉลาด และถ้าผู้ดูแลส่วนใหญ่ในคณะเห็นด้วยกับเรื่องหนึ่งซึ่งไม่ได้ผิดหลักการในคัมภีร์ไบเบิล ผู้ดูแลที่มีเหตุผลก็จะเต็มใจสนับสนุนการตัดสินใจนั้น ถึงแม้เขาเองจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ถ้าเราเป็นคนมีเหตุผล เราจะได้ประโยชน์หลายอย่าง เราจะสนิทกับพี่น้องมากขึ้น และประชาคมจะมีสันติสุข นอกจากนั้น เรามีความสุขที่ได้นมัสการอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องที่มีวัฒนธรรมหลากหลายและบุคลิกที่แตกต่างกัน และที่สำคัญที่สุด เรามีความสุขที่รู้ว่าเรากำลังเลียนแบบพระยะโฮวาพระเจ้าที่มีเหตุผล ห23.07 น. 25 ว. 16-17
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม
คนมีปัญญาจะเข้าใจ—ดนล. 12:10
ดาเนียลศึกษาคำพยากรณ์โดยมีเหตุผลที่ถูกต้อง นั่นคือเขาอยากรู้ความจริงในพระคัมภีร์ นอกจากนั้น ดาเนียลยังถ่อมด้วย เขายอมรับว่ามีแต่พระยะโฮวาเท่านั้นที่จะช่วยให้คนที่อยากรู้จักพระองค์และใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์เข้าใจคำพยากรณ์ (ดนล. 2:27, 28) ดาเนียลยังแสดงความถ่อมโดยขอให้พระยะโฮวาช่วย (ดนล. 2:18) ไม่ใช่แค่นั้น ดาเนียลยังศึกษาค้นคว้าคำพยากรณ์อย่างละเอียด เขาค้นคว้าพระคัมภีร์เท่าที่มีในสมัยนั้น (ยรม. 25:11, 12; ดนล. 9:2) แล้วคุณจะเลียนแบบดาเนียลได้ยังไง? ลองคิดว่าคุณศึกษาคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเพราะอะไร คุณทำเพราะคุณอยากรู้ความจริงไหม? ถ้าใช่ พระยะโฮวาจะช่วยคุณ (ยน. 4:23, 24; 14:16, 17) แต่บางคนศึกษาคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเพราะพวกเขาอยากจะหาหลักฐานว่าคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้มาจากพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะตัดสินใจได้เองว่าอะไรถูกอะไรผิดและทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ แต่เราต้องไม่เป็นแบบพวกเขา เราต้องศึกษาคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง ห23.08 น. 9 ว. 7-8
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม
ถ้าคุณท้อแท้ . . . กำลังเรี่ยวแรงของคุณก็จะน้อย—สภษ. 24:10
ถ้าเราเปรียบเทียบตัวเรากับคนอื่นเราอาจคาดหวังกับตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล และนั่นจะเป็นภาระหนักสำหรับเรา (กท. 6:4) การทำอย่างนั้นอาจทำให้เรากลายเป็นคนขี้อิจฉาและชอบแข่งขัน (กท. 5:26) เราอาจพยายามกดดันตัวเองให้ทำเหมือนกับคนอื่นทั้ง ๆ ที่ตัวเราเองทำไม่ได้ และนั่นจะส่งผลเสียกับตัวเรา คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ความคาดหวังที่ถูกเลื่อนออกไปทำให้เสียใจ” และถ้าเรายิ่งคาดหวังในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ เราก็จะยิ่งเสียใจมากขึ้นไปอีก (สภษ. 13:12) นี่จะทำให้เราหมดแรง และวิ่งได้ช้าลงในการวิ่งแข่งเพื่อชีวิต อย่าคาดหวังกับตัวเองมากกว่าที่พระยะโฮวาต้องการ พระองค์ไม่ได้คาดหมายเกินกว่าที่คุณจะให้ได้ (2 คร. 8:12) ขอให้มั่นใจว่าพระยะโฮวาไม่เคยเปรียบเทียบคุณกับคนอื่น (มธ. 25:20-23) พระองค์เห็นค่างานรับใช้อย่างสุดหัวใจของคุณ ความซื่อสัตย์ของคุณ และความอดทนของคุณ ห23.08 น. 29 ว. 10-11
วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม
ผมจะต้องมาตายเพราะหิวน้ำ—วนฉ. 15:18
พระยะโฮวาตอบคำอธิษฐานของแซมสันโดยทำการอัศจรรย์ให้โพรงแห่งหนึ่งแยกออกเป็นช่องและมีน้ำไหลออกมา แล้วพอแซมสันได้กินน้ำ เขาก็ “มีแรงและสดชื่นขึ้น” (วนฉ. 15:19) เป็นไปได้ว่าโพรงนั้นยังคงมีอยู่อีกหลายปีจนถึงตอนที่ผู้พยากรณ์ซามูเอลได้รับการดลใจให้เขียนหนังสือผู้วินิจฉัย ทุกครั้งเมื่อชาวอิสราเอลเห็นน้ำไหลออกมาจากโพรงนั้น มันคงเตือนใจพวกเขาว่าพวกเขาพึ่งพระยะโฮวาได้เสมอตอนที่ต้องการความช่วยเหลือ เราก็เหมือนกัน ไม่ว่าเราจะมีความสามารถแค่ไหนหรือทำงานรับใช้อะไรสำเร็จมาแล้วบ้าง เราก็ยังต้องให้พระยะโฮวาช่วย เราต้องเจียมตัวและยอมรับว่าเราจะทำงานรับใช้ได้สำเร็จจริง ๆ ก็ต่อเมื่อเราพึ่งพระองค์ เหมือนกับที่แซมสันมีแรงและสดชื่นขึ้นเพราะดื่มน้ำที่พระยะโฮวาให้ ถ้าเราอยากมีความเชื่อเข้มแข็งและซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป เราก็ต้องรับสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์เตรียมไว้ให้—มธ. 11:28 ห23.09 น. 4 ว. 8-10
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม
คำตอบอ่อนโยนทำให้หายโกรธแต่คำพูดรุนแรงทำให้โมโห—สภษ. 15:1
เราจะทำยังไงถ้าเจอเรื่องที่น่าโมโหมาก? อย่างเช่น ถ้ามีคนมาว่าพระยะโฮวาหรือพูดไม่ดีเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล ถ้าเจอแบบนั้นให้เราขอพลังบริสุทธิ์จากพระยะโฮวาและขอสติปัญญาจากพระองค์ว่าควรแสดงความอ่อนโยนยังไงในสถานการณ์แบบนั้น แล้วถ้าเราตอบโต้คนนั้นในแบบที่ไม่ควรทำล่ะ? ก็ให้เราอธิษฐานอีกครั้งและให้คิดว่าคราวหน้าเราจะทำให้ดีกว่านี้ได้ยังไง เรามั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะให้พลังบริสุทธิ์กับเราเพื่อจะสามารถควบคุมอารมณ์และแสดงความอ่อนโยนได้ ข้อคัมภีร์บางข้อช่วยเราให้สามารถควบคุมคำพูดของเราได้ตอนที่เราถูกยั่วโมโห และพลังบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาจะช่วยให้เรานึกถึงข้อคัมภีร์เหล่านั้น (ยน. 14:26) เช่น หลักการบางข้อที่เราอ่านในสุภาษิตจะช่วยให้เราแสดงความอ่อนโยน (สภษ. 15:18) นอกจากนั้น ยังมีข้อคัมภีร์อื่น ๆ อีกในหนังสือสุภาษิตที่พูดถึงประโยชน์ของการควบคุมตัวเองในสถานการณ์ที่ถูกกดดัน—สภษ. 10:19; 17:27; 21:23; 25:15 ห23.09 น. 15 ว. 6-7
วันอังคารที่ 14 มกราคม
ผมจึงคอยเตือนพวกคุณอยู่เรื่อย ๆ ไม่ให้ลืมเรื่องเหล่านี้—2 ปต. 1:12
เปโตรรู้ว่าอีกไม่นานเขาจะตายแล้ว เขารับใช้อย่างซื่อสัตย์มานานหลายปี เขามีโอกาสได้ทำงานประกาศกับพระเยซู ได้เริ่มประกาศกับคนต่างชาติ และได้เป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครอง ไม่ใช่แค่นั้น ในช่วงท้าย ๆ ของชีวิตเปโตร พระยะโฮวาก็ยังให้งานเขาทำเพิ่มอีก ประมาณปี ค.ศ. 62-64 เขาได้รับการดลใจให้เขียนจดหมาย 2 ฉบับคือหนังสือ 1 เปโตร และ 2 เปโตร (2 ปต. 1:13-15) เปโตรเขียนจดหมายของเขาตอนที่เพื่อนร่วมความเชื่อกำลัง “ทุกข์ใจ . . . เพราะเจอความลำบากต่าง ๆ” (1 ปต. 1:6) คนชั่วพยายามแพร่คำสอนเท็จในประชาคมและชักจูงคริสเตียนคนอื่น ๆ ให้ทำสิ่งที่ไม่สะอาดในสายตาของพระเจ้า (2 ปต. 2:1, 2, 14) นอกจากนั้น อีกไม่นานคริสเตียนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก็จะต้องเจอกับ “จุดจบของทุกสิ่ง” นั่นคือกองทัพโรมันจะมาทำลายกรุงเยรูซาเล็มและวิหารในกรุงนั้น (1 ปต. 4:7) แน่นอนว่าจดหมายของเปโตรคงต้องช่วยคริสเตียนให้รู้ว่าพวกเขาควรทำอะไรเพื่อจะอดทนกับความยากลำบากในตอนนั้นได้ และเตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับความยากลำบากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ห23.09 น. 26 ว. 1-2
วันพุธที่ 15 มกราคม
[พระคริสต์] เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังเมื่อต้องทนทุกข์ลำบาก—ฮบ. 5:8
เหมือนกับพระเยซู หลายครั้งเราก็เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังในช่วงที่ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่โควิด-19 เพิ่งระบาดใหม่ ๆ เราได้รับคำแนะนำไม่ให้ไปประชุมที่หอประชุมและไม่ให้ไปประกาศตามบ้าน คุณรู้สึกยากที่จะทำตามคำแนะนำนี้ไหม? ถึงแม้จะรู้สึกยาก แต่การที่คุณเชื่อฟังก็ปกป้องตัวคุณ ทำให้คุณเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้อง และทำให้พระยะโฮวาพอใจ สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดนี้ช่วยให้เราพร้อมที่จะเชื่อฟังคำแนะนำทุกอย่างที่เราจะได้รับตอนที่เกิดความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ การเชื่อฟังคำแนะนำในช่วงเวลานั้นจะทำให้เรารอดชีวิต (โยบ 36:11) เหตุผลหลักที่เราเลือกที่จะเชื่อฟังพระยะโฮวาก็เพราะเรารักพระองค์และอยากทำให้พระองค์พอใจ (1 ยน. 5:3) เราไม่มีทางตอบแทนทุกสิ่งทุกอย่างที่พระยะโฮวาทำเพื่อเราได้ (สด. 116:12) แต่เราสามารถเชื่อฟังพระองค์และคนที่มีอำนาจได้ ถ้าเราเชื่อฟังก็แสดงว่าเราเป็นคนฉลาด และคนฉลาดจะทำให้พระยะโฮวาดีใจ—สภษ. 27:11 ห23.10 น. 11 ว. 18-19
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม
ให้ทุกคนนมัสการพระองค์ผู้สร้างฟ้า [และ] โลก—วว. 14:7
ถ้าทูตสวรรค์มาพูดกับคุณ คุณจะฟังสิ่งที่เขาพูดไหม? ทุกวันนี้ทูตสวรรค์กำลังพูด “กับทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกชนชาติ” แล้วเขากำลังพูดอะไร? เขาพูดว่า “ให้เกรงกลัวพระเจ้าและยกย่องสรรเสริญพระองค์ . . . ให้ทุกคนนมัสการพระองค์ผู้สร้างฟ้า [และ] โลก” (วว. 14:6, 7) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวที่ทุกคนควรนมัสการ เรารู้สึกขอบคุณพระองค์มากที่ให้เรามีโอกาสนมัสการในวิหารโดยนัยที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ วิหารโดยนัยหมายถึงอะไร? แล้วเราจะหาคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้จากที่ไหน? วิหารโดยนัยไม่ใช่อาคารจริง ๆ ที่มีอยู่บนโลก แต่เป็นการจัดเตรียมของพระยะโฮวาที่ช่วยให้เราสามารถนมัสการพระองค์ในแบบที่พระองค์ยอมรับโดยอาศัยค่าไถ่ของพระเยซู อัครสาวกเปาโลอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในจดหมายที่เขาเขียนถึงคริสเตียนชาวฮีบรูที่อาศัยอยู่ในยูเดีย ห23.10 น. 24 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม
เรายะโฮวา . . . บอกว่า “เรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะกำลังทหารหรือกำลังอย่างอื่น แต่เพราะพลังของเรา”—ศคย. 4:6
ในปี 522 ก่อน ค.ศ ศัตรูได้ยุยงให้รัฐบาลเปอร์เซียออกคำสั่งห้ามการสร้างวิหารของพระยะโฮวาขึ้นใหม่ และพวกเขาก็ทำสำเร็จ แต่ผู้พยากรณ์เศคาริยาห์รับรองกับชาวยิวว่าพระยะโฮวาจะใช้พลังของพระองค์ขจัดอุปสรรคทุกอย่างให้หมดไป ในปี 520 ก่อน ค.ศ. กษัตริย์ดาริอัสได้ยกเลิกคำสั่งห้ามการสร้างวิหาร เขาถึงกับให้เงินทุนเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างวิหารนี้และสั่งข้าราชการของเขาให้ช่วยสนับสนุนชาวยิวด้วย (อสร. 6:1, 6-10) พระยะโฮวาสัญญาว่า ถ้าพวกเขาให้เรื่องการสร้างวิหารของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระองค์จะคอยช่วยพวกเขา (ฮกก. 1:8, 13, 14; ศคย. 1:3, 16) พอชาวยิวเหล่านั้นได้กำลังใจจากพวกผู้พยากรณ์ พวกเขาก็เลยเริ่มสร้างวิหารของพระองค์อีกครั้งในปี 520 ก่อน ค.ศ. และสร้างเสร็จโดยใช้เวลาไม่ถึง 5 ปี พอชาวยิวให้ความประสงค์ของพระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตแม้ต้องเจอกับความไม่แน่นอนและความยากลำบาก นี่ก็เลยทำให้พวกเขานมัสการพระองค์อย่างมีความสุข—อสร. 6:14-16, 22 ห23.11 น. 15 ว. 6-7
วันเสาร์ที่ 18 มกราคม
คนที่ใช้ชีวิตแบบที่แสดงว่ามีความเชื่อ ซึ่งเป็นความเชื่อที่อับราฮัม พ่อของพวกเรามี—รม. 4:12
แม้หลายคนเคยได้ยินชื่อของอับราฮัม แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครจริง ๆ แต่คุณรู้หลายอย่างเกี่ยวกับอับราฮัม เช่น คุณรู้ว่าคัมภีร์ไบเบิลเรียกเขาว่า “พ่อของทุกคนที่มีความเชื่อ” (รม. 4:11) ถึงอย่างนั้น คุณก็อาจสงสัยว่า ‘แล้วฉันจะเลียนแบบอับราฮัมและมีความเชื่อเข้มแข็งเหมือนกับเขาได้ไหม?’ คำตอบก็คือ คุณทำได้แน่นอน วิธีหนึ่งที่เราจะมีความเชื่อเหมือนกับอับราฮัมก็คือการศึกษาตัวอย่างของเขา พระยะโฮวาสั่งให้อับราฮัมทำอะไร เขาก็ทำทุกอย่าง เช่น เขาต้องย้ายบ้านไปอยู่ในดินแดนที่อยู่ไกลออกไป ต้องไปอาศัยอยู่ในเต็นท์นานหลายสิบปี และตอนที่พระยะโฮวาบอกให้เขาเผาอิสอัคลูกชายที่เขารักเป็นเครื่องบูชา เขาก็เต็มใจทำ ทั้งหมดนี้แสดงว่าอับราฮัมมีความเชื่อและทำตามสิ่งที่เขาเชื่อจริง ๆ นี่ทำให้เขาเป็นคนที่พระยะโฮวายอมรับ และพระองค์ก็พอใจเขามาก (ยก. 2:22, 23) พระยะโฮวาอยากให้เราทุกคน ซึ่งก็รวมถึงคุณด้วย ได้พรเหมือนกับอับราฮัม พระองค์ก็เลยดลใจให้เปาโลกับยากอบพูดถึงอับราฮัม ห23.12 น. 2 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม
ทุกคนต้องไวในการฟัง ช้าในการพูด—ยก. 1:19
คุณที่เป็นพี่น้องหญิง ขอให้พัฒนาความสามารถในการฟังและสื่อสารได้ดี นี่เป็นคุณลักษณะที่สำคัญสำหรับคริสเตียน ยากอบให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างที่เราได้อ่านในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ ถ้าคุณตั้งใจฟังคนอื่นพูด คุณก็กำลังแสดงความ “เห็นอกเห็นใจ” เขา (1 ปต. 3:8) ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าคุณเข้าใจคนอื่นไหมหรือไม่มั่นใจว่าเขารู้สึกยังไง ก็ให้ถามเขา จากนั้นพอคุณเข้าใจแล้ว ก่อนที่คุณจะพูดอะไรออกไปให้หยุดคิดนิดหนึ่ง (สภษ. 15:28, เชิงอรรถ) คุณอาจถามตัวเองว่า ‘สิ่งที่ฉันกำลังจะพูดเป็นเรื่องจริงและจะทำให้เขารู้สึกดีไหม? ฉันแสดงความนับถือและกรุณาเขาไหม?’ นอกจากนั้น ลองสังเกตพี่น้องหญิงที่เป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักวิธีพูดและฟัง และให้คุณเลียนแบบเขา (สภษ. 31:26) ยิ่งคุณเรียนทักษะนี้ได้ดีขึ้น คุณก็จะเป็นเพื่อนกับคนอื่นได้ง่ายขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ห23.12 น. 21 ว. 12
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม
คนที่ปลีกตัวอยู่คนเดียว . . . ไม่สนใจสติปัญญาเลย—สภษ. 18:1
ในทุกวันนี้ พระยะโฮวาอาจใช้คนในครอบครัว เพื่อน หรือผู้ดูแลเพื่อช่วยเรา แต่บางครั้งตอนที่เรากำลังเจ็บปวดใจ เราอาจรู้สึกว่าไม่อยากเจอหน้าใครและอยากอยู่คนเดียว ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติ แล้วเราต้องทำอะไรเพื่อจะยอมรับความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา? อย่าอยู่คนเดียวแม้ใจเราอยากจะทำแบบนั้น เพราะถ้าเราอยู่คนเดียว เราจะเอาแต่คิดลบ สงสารตัวเอง แล้วก็คิดถึงแต่ปัญหาที่เราเจอ และนี่อาจทำให้เราตัดสินใจได้แย่มาก ๆ ก็จริงที่บางครั้งเราอยากอยู่คนเดียวโดยเฉพาะตอนที่เรากำลังเจอปัญหาหนัก แต่ถ้าเราอยู่คนเดียวนาน ๆ ไม่ยอมเจอหน้าใคร เราอาจจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนที่พระยะโฮวาใช้ก็ได้ ดังนั้น ให้ยอมรับความช่วยเหลือจากคนในครอบครัว เพื่อน ๆ หรือผู้ดูแล และให้มองว่านี่เป็นวิธีที่พระยะโฮวากำลังช่วยคุณ—สภษ. 17:17; อสย. 32:1, 2 ห24.01 น. 24 ว. 12-13
วันอังคารที่ 21 มกราคม
อย่าให้เขาตัดผม—กดว. 6:5
พวกนาศีร์ปฏิญาณว่าจะไม่ตัดผม ซึ่งเป็นการแสดงว่าพวกเขายอมอยู่ใต้อำนาจของพระยะโฮวาและเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ทุกอย่าง น่าเศร้าที่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำอย่างนั้น มีหลายครั้งที่ชาวอิสราเอลไม่ได้เห็นค่าหรือสนับสนุนสิ่งที่พวกนาศีร์ทำ ดังนั้น พวกนาศีร์ต้องมีความกล้าหาญมากเพื่อที่จะทำตามคำปฏิญาณและยอมแตกต่างจากคนอื่น (อมส. 2:12) พวกเราก็เลือกที่จะทำตามความต้องการของพระยะโฮวา เราเลยแตกต่างจากคนในโลกนี้เหมือนกัน เราก็ต้องมีความกล้าหาญเพื่อจะบอกคนอื่นว่าเราเป็นพยานพระยะโฮวาไม่ว่าจะที่ทำงานหรือที่โรงเรียน ความคิดและการกระทำของคนในโลกนี้แย่ลงเรื่อย ๆ เราเลยอาจรู้สึกยากขึ้นที่จะใช้ชีวิตตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลและประกาศข่าวดีกับคนอื่น (2 ทธ. 1:8; 3:13) แต่จำไว้ว่าเราจะ “ทำให้ [พระยะโฮวา] ดีใจ” ถ้าเรากล้าที่จะแตกต่างจากคนที่ไม่รับใช้พระองค์—สภษ. 27:11; มลค. 3:18 ห24.02 น. 16 ว. 7; น. 17 ว. 9
วันพุธที่ 22 มกราคม
ขอให้ต้อนรับกัน—รม. 15:7
ใคร ๆ ในสมัยนั้นก็รู้ว่าคริสเตียนยุคแรกรักกันมาก แต่การที่พวกเขาแสดงความรักต่อกันไม่ใช่เรื่องง่าย เช่น ลองคิดถึงประชาคมในกรุงโรมที่มีความแตกต่างหลากหลาย คริสเตียนที่นั่นไม่ได้มีแค่คนยิวที่ถูกสอนตั้งแต่เด็กให้ทำตามกฎหมายของโมเสส แต่ยังมีคนจากหลายชาติที่มีภูมิหลังและโตมาในวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน นอกจากนั้น คริสเตียนบางคนอาจเป็นทาส ส่วนคนอื่นก็ไม่ได้เป็นทาส และก็อาจมีบางคนที่เป็นเจ้าของทาสด้วยซ้ำ ถึงพวกเขาจะแตกต่างกันมาก แต่พวกเขารักกันมากขึ้นได้ยังไง? เปาโลบอกให้พวกเขา “ต้อนรับกัน” คำว่า “ต้อนรับ” หมายถึงการมีน้ำใจต้อนรับบางคนให้มาที่บ้านหรือให้มาเป็นเพื่อนกับเรา อย่างเช่น เปาโลบอกฟีเลโมนให้ “ต้อนรับ” โอเนสิมัสอย่างดี แม้โอเนสิมัสจะเป็นทาสที่หนีฟีเลโมนไป (ฟม. 17) ส่วนปริสสิลลากับอะควิลลาต้อนรับอปอลโลและ “ชวนเขามาที่บ้าน” ทั้ง ๆ ที่อปอลโลมีความรู้เรื่องคริสเตียนน้อยกว่าพวกเขา (กจ. 18:26) ถึงแม้คริสเตียนในสมัยนั้นจะแตกต่างกันมากแต่พวกเขาก็ไม่แตกแยก พวกเขาต้อนรับกันและรักกันมากจริง ๆ ห23.07 น. 6 ว. 13
วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม
ผมจะทำตามที่ปฏิญาณไว้กับพระยะโฮวา—สด. 116:14
เหตุผลสำคัญที่คุณอุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาก็คือคุณรักพระองค์ ความรักนี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มาจาก “ความรู้ที่ถูกต้อง” และ “ความเข้าใจที่เกิดจากพลังของพระองค์” คุณได้เรียนเกี่ยวกับพระยะโฮวาจนคุณรักพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ (คส. 1:9) คุณได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจนมั่นใจว่า (1) พระยะโฮวามีอยู่จริง (2) คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และ (3) พระยะโฮวาใช้องค์การของพระองค์เพื่อทำให้ความต้องการของพระองค์เป็นจริง คนที่อุทิศตัวให้กับพระยะโฮวาควรเข้าใจคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิล และต้องใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ นอกจากนั้น เขาจะพยายามเต็มที่ที่จะพูดถึงความเชื่อของตัวเองให้คนอื่นฟัง (มธ. 28:19, 20) ยิ่งเขารักพระยะโฮวาเขาก็ยิ่งอยากนมัสการพระองค์ผู้เดียว คุณรู้สึกแบบนี้ด้วยไหม? ห24.03 น. 4-5 ว. 6-8
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม
ทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียว—ปฐก. 2:24
อาบีกายิลแต่งงานกับนาบาล คัมภีร์ไบเบิลบอกว่านาบาลเป็นคนก้าวร้าวและนิสัยไม่ดี (1 ซม. 25:3) อาบีกายิลคงต้องทุกข์ทรมานใจมากที่อยู่กับผู้ชายแบบนี้ แล้วเธอมีโอกาสที่จะจบชีวิตคู่ที่แสนเลวร้ายนี้ไหม? ใช่ จริง ๆ แล้วเธอได้โอกาสนั้นตอนที่ดาวิดกษัตริย์ของชาติอิสราเอลในอนาคตตัดสินใจว่าจะฆ่านาบาลเพราะนาบาลดูถูกดาวิดกับคนของเขา (1 ซม. 25:9-13) ที่จริง อาบีกายิลจะหนีไปแล้วปล่อยให้ดาวิดฆ่านาบาลก็ได้ แต่เธอไม่ทำแบบนั้น เธอยังเกลี้ยกล่อมดาวิดให้ไว้ชีวิตนาบาลด้วย (1 ซม. 25:23-27) ทำไมอาบีกายิลถึงทำแบบนั้น? อาบีกายิลรักพระยะโฮวาและนับถือการจัดเตรียมเรื่องชีวิตคู่ เธอรู้ดีว่าพระยะโฮวามองว่าการแต่งงานเป็นการจัดเตรียมที่ศักดิ์สิทธิ์ อาบีกายิลอยากทำให้พระยะโฮวาพอใจ นี่เลยทำให้เธอพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องทุกคนในครอบครัวรวมทั้งสามีด้วย อาบีกายิลรีบเข้าไปขวางดาวิดไม่ให้ฆ่านาบาล ห24.03 น. 16-17 ว. 9-10
วันเสาร์ที่ 25 มกราคม
ผมจะพูดให้กำลังใจคุณ—โยบ 16:5
ในประชาคมของคุณ มีพี่น้องคนไหนไหมที่เลือกใช้ชีวิตเรียบง่ายเพื่อจะรับใช้ได้มากขึ้น? คุณรู้จักเด็กหรือวัยรุ่นคนไหนไหมที่กล้าแตกต่างจากเพื่อนที่โรงเรียนแม้การทำแบบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย? มีใครไหมที่ถูกครอบครัวต่อต้านแต่ก็ยังพยายามรักษาความซื่อสัตย์? ถ้าคุณรู้จักใครที่กำลังเจอเรื่องที่ว่ามานี้ คุณสามารถชมเชยพวกเขาและทำให้พวกเขามั่นใจว่าคุณเห็นค่าที่พวกเขาเสียสละและแสดงความกล้าหาญ (ฟม. 4, 5, 7) พระยะโฮวามั่นใจว่าเราอยากทำให้พระองค์พอใจและเราเต็มใจเสียสละเพื่อจะใช้ชีวิตให้สมกับที่เราอุทิศตัวให้กับพระองค์ พระยะโฮวาให้เกียรติเราโดยให้เราเลือกเองที่จะแสดงความรักต่อพระองค์ (สภษ. 23:15, 16) ดังนั้น ขอให้เราตั้งใจที่จะรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไปและเต็มใจให้สิ่งที่ดีที่สุดกับพระองค์ ห24.02 น. 18 ว. 14; น. 19 ว. 16
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม
พระเยซูเดินทางไปทั่วทุกแห่งเพื่อทำสิ่งดี ๆ และรักษาคน—กจ. 10:38
ลองนึกภาพเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นช่วงปลายปีคริสต์ศักราช 29 ตอนที่พระเยซูเริ่มทำงานรับใช้บนโลก พระเยซูกับมารีย์แม่ของท่านได้รับเชิญให้ไปงานแต่งงานที่เมืองคานา ดูเหมือนว่ามารีย์จะไปช่วยพวกเขาต้อนรับแขก แต่มีปัญหาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่กินเลี้ยงกัน เหล้าองุ่นในงานแต่งงานกำลังจะหมด มารีย์ก็เลยรีบไปบอกพระเยซูลูกชายของเธอว่า “ทำยังไงดี เหล้าองุ่นจะหมดแล้ว?” (ยน. 2:1-3) แล้วพระเยซูทำยังไง? ท่านทำการอัศจรรย์โดยเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่นอย่างดี (ยน. 2:9, 10) พระเยซูทำการอัศจรรย์อื่น ๆ อีกหลายอย่างตอนที่ท่านรับใช้บนโลก ท่านใช้พลังในการทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยคนเป็นหมื่น ๆ เช่น ในการอัศจรรย์ที่ท่านเลี้ยงอาหารผู้คนสองครั้ง ครั้งแรกถ้านับเฉพาะผู้ชายก็มีถึง 5,000 คน ส่วนอีกครั้งหนึ่งมีถึง 4,000 คน สองครั้งนั้นมีผู้หญิงและเด็กกินด้วย เลยอาจเป็นไปได้ว่าพระเยซูเลี้ยงอาหารผู้คนมากกว่า 27,000 คน (มธ. 14:15-21; 15:32-38) และในการอัศจรรย์ทั้งสองครั้งนั้น พระเยซูยังรักษาคนป่วยอีกหลายคนด้วย—มธ. 14:14; 15:30, 31 ห23.04 น. 2 ว. 1-2
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม
เรายะโฮวาพระเจ้าของเจ้ากำลังจับมือขวาของเจ้าไว้และบอกว่า ‘ไม่ต้องกลัว เราจะช่วยเจ้า’—อสย. 41:13
ตอนที่เจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนัก บางวันเราอาจรู้สึกท้อจนหมดแรงและไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร เราอาจเป็นเหมือนเอลียาห์ที่หมดแรงจนอยากจะนอนนิ่ง ๆ เท่านั้น ไม่อยากทำอะไร (1 พก. 19:5-7) เราอาจต้องการความช่วยเหลือเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวาต่อไปได้ ตอนที่เราเจอเรื่องเลวร้ายพระองค์รับรองกับเราอย่างที่บอกไว้ในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ กษัตริย์ดาวิดก็ได้รับความช่วยเหลือแบบนี้ ตอนที่เขาเจอปัญหาหนักและถูกศัตรูตามล่า เขาก็ได้พูดกับพระยะโฮวาว่า “มือขวาของพระองค์พยุงผมไว้” (สด. 18:35) วิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาคอยพยุงเราก็คือพระองค์อาจกระตุ้นคนอื่นให้มาช่วยเรา ตัวอย่างเช่น ตอนที่ดาวิดรู้สึกอ่อนแอ โยนาธานก็มาหาเขาเพื่อให้กำลังใจเขา (1 ซม. 23:16, 17) และพระยะโฮวาก็ใช้เอลีชาให้ช่วยเอลียาห์ด้วย—1 พก. 19:16, 21; 2 พก. 2:2 ห24.01 น. 23-24 ว. 10-12
วันอังคารที่ 28 มกราคม
พระยะโฮวาเป็นผู้ให้สติปัญญา และความรู้ความเข้าใจออกมาจากปากพระองค์—สภษ. 2:6
สุภาษิตบท 9 ให้ภาพผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนของ “สติปัญญาแท้” ภาพนี้ทำให้เราเห็นว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ใจกว้างและให้สิ่งดี ๆ มากมายกับเรา ผู้หญิงคนนี้เตรียมอาหารมื้ออร่อย เตรียมเหล้าองุ่น และจัดโต๊ะเอาไว้เรียบร้อย (สภษ. 9:2) ในข้อ 4 และ 5 ยังบอกด้วยว่า เธอ “พูดกับคนไม่รู้จักคิดว่า ‘มาสิ มากินอาหารที่เราเตรียมไว้’” ทำไมเราควรไปที่บ้านของผู้หญิงคนนี้ที่เป็นตัวแทนของสติปัญญาแท้และกินอาหารของเธอ? เราควรทำแบบนั้นเพราะเรารู้ว่าพระยะโฮวาอยากปกป้องเราและอยากให้เราเป็นคนฉลาด พระองค์ไม่อยากให้เราทำผิดพลาดและต้องเรียนจากประสบการณ์ที่เจ็บปวดของตัวเอง พระองค์ก็เลย “เก็บสติปัญญาไว้ให้คนซื่อตรง” (สภษ. 2:7) ถ้าเราเกรงกลัวพระยะโฮวา เราก็อยากจะทำให้พระองค์พอใจ เราจะฟังและทำตามคำแนะนำของพระองค์ แล้วมีความสุขที่ได้ทำอย่างนั้น—ยก. 1:25 ห23.06 น. 23-24 ว. 14-15
วันพุธที่ 29 มกราคม
พระเจ้าไม่ทำสิ่งที่ชั่ว พระองค์จึงไม่มีวันลืมงานที่พวกคุณทำ—ฮบ. 6:10
ถึงแม้บางครั้งเรารู้สึกว่า อยากรับใช้พระยะโฮวา แต่ทำไม่ได้มากอย่างที่อยากทำ เราก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาเห็นค่าทุกอย่างที่เราทำเพื่อจะทำให้พระองค์พอใจ เรารู้ได้ยังไง? ในสมัยของเศคาริยาห์ พระยะโฮวาสั่งให้เขาเอาเงินและทองที่ได้จากชาวยิวในบาบิโลนไปทำเป็นมงกุฎ (ศคย. 6:11) “มงกุฎ” นี้จะทำให้ “ระลึกถึง” น้ำใจเสียสละของชาวยิวเหล่านั้น (ศคย. 6:14) เหมือนกัน เราก็มั่นใจได้ว่าแม้ชีวิตเราจะไม่แน่นอนและลำบาก แต่ถ้าเรารับใช้พระยะโฮวาสุดหัวใจ พระองค์จะไม่มีวันลืมเลย ในสมัยสุดท้ายเรายังต้องเจอปัญหาและความลำบากอีกหลายอย่าง และในวันข้างหน้ามันอาจยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ (2 ทธ. 3:1, 13) แต่เราไม่ต้องกังวลจนเกินไป ขอให้จำสิ่งที่พระยะโฮวาพูดกับชาวยิวในสมัยฮักกัยว่า “เราอยู่กับพวกเจ้า . . . ไม่ต้องกลัว” (ฮกก. 2:4, 5) เราเองก็มั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะอยู่กับเราถ้าเราพยายามสุดความสามารถเสมอเพื่อจะทำสิ่งที่พระองค์ต้องการ ห23.11 น. 19 ว. 20-21
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม
ผมเป็นคนบาป—ลก. 5:8
พระยะโฮวาอาจไม่ให้บันทึกความผิดพลาดของอัครสาวกเปโตรก็ได้แต่พระองค์ก็ยังให้มี เพราะอะไร? เพราะพระองค์อยากให้เรื่องราวของเขาเป็นบทเรียนสำหรับเรา (2 ทธ. 3:16, 17) การดูตัวอย่างของเปโตรซึ่งมีจุดอ่อนและมีความรู้สึกเหมือนกันกับเราจะช่วยให้เห็นว่าพระยะโฮวาไม่ได้คาดหมายความสมบูรณ์แบบจากเรา แต่พระองค์อยากให้เราพยายามต่อ ๆ ไปและไม่ยอมแพ้แม้จะมีจุดอ่อน ทำไมเราต้องพยายามต่อ ๆ ไปและไม่ยอมแพ้? เราอาจคิดว่าเอาชนะจุดอ่อนบางอย่างได้แล้ว แต่เราก็อาจกลับไปทำอีก ดังนั้น เราต้องพยายามต่อ ๆ ไป จริง ๆ แล้วเราทุกคนอาจพูดหรือทำอะไรที่ทำให้เสียใจทีหลัง แต่ถ้าเราไม่ยอมแพ้ พระยะโฮวาจะช่วยให้เราปรับปรุงตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ (1 ปต. 5:10) และดูว่าการที่พระเยซูเมตตาเปโตรแม้เขาจะทำผิดพลาดจะทำให้เราได้กำลังใจยังไงที่จะรับใช้พระยะโฮวาต่อ ๆ ไป ห23.09 น. 20 ว. 2-3
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม
นายคะ ถ้าท่านอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ตาย—ยน. 11:21
พระเยซูสามารถรักษาลาซารัสให้หายป่วยได้แน่ ๆ อย่างที่มาร์ธาบอกในข้อคัมภีร์ประจำวันนี้ แต่ท่านอยากทำสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มากกว่านั้น ท่านสัญญากับมาร์ธาว่า “เขาจะฟื้นขึ้นจากตาย” และพระเยซูยังบอกด้วยว่า “ผมคือคนที่ปลุกคนตายให้ฟื้นและให้เขามีชีวิต” (ยน. 11:23, 25) พระยะโฮวาให้พลังอำนาจนั้นกับพระเยซู ก่อนหน้านั้นพระเยซูปลุกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้ฟื้นหลังจากที่เธอเพิ่งตายไม่นาน แล้วก็มีอีกครั้งที่ท่านปลุกผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอาจเพิ่งตายในวันเดียวกัน (ลก. 7:11-15; 8:49-55) แต่พระเยซูจะปลุกคนที่ตายมาแล้วถึง 4 วันได้ไหม แถมศพยังเริ่มเน่าแล้วด้วย? มารีย์ออกไปเจอพระเยซูด้วย เธอพูดเหมือนมาร์ธาว่า “นายคะ ถ้าท่านอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ตาย” (ยน. 11:32) มารีย์กับคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้วยเสียใจกันมาก พอพระเยซูเห็นแบบนั้น ท่านก็ร้องไห้ตามไปด้วยเพราะสงสารเพื่อน ๆ จับใจ ท่านรู้ดีว่าเมื่อคนที่เรารักตายจากไป มันทำให้รู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน ท่านต้องอยากกำจัดต้นเหตุที่ทำให้ผู้คนร้องไห้แน่ ๆ ห23.04 น. 10-11 ว. 12-13