มกราคม
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม
ให้คิดแบบคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว—1 คร. 14:20
สิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ดีใจที่สุดก็คือตอนที่ลูกน้อยของพวกเขาเกิดมา ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะรักลูกที่เป็นทารก แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยากให้ลูกเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ไปตลอด ที่จริง พวกเขาจะกังวลมากถ้าลูกไม่โตสักที เหมือนกันพระยะโฮวาก็มีความสุขที่ได้เห็นเราเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซู แต่พระองค์ไม่ได้อยากให้เราหยุดอยู่แค่นั้นและเป็นเหมือนกับทารกทางด้านความเชื่อ (1 คร. 3:1) พระองค์อยากให้เราก้าวหน้าเป็นคริสเตียน “ที่เป็นผู้ใหญ่” ในคัมภีร์ไบเบิล คำภาษากรีกที่แปลว่า “ผู้ใหญ่” อาจหมายถึง “โตเต็มที่” (1 คร. 2:6) ดังนั้น เหมือนกับเด็กทารกที่ค่อย ๆ เติบโตจนกลายเป็นผู้ใหญ่ เราเองก็ต้องเติบโตทางด้านความเชื่อซึ่งหมายถึงเราต้องสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น นี่แหละคือการเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ และถึงแม้เราจะทำตามเป้าหมายนั้นได้แล้ว เราก็ไม่ควรหยุดอยู่แค่นั้น—1 ทธ. 4:15 ห24.04 น. 2 ว. 1, 3
วันศุกร์ที่ 2 มกราคม
เต็นท์ของเราจะอยู่กับพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา—อสค. 37:27
พระยะโฮวาเป็นอะไรสำหรับคุณ? คุณอาจจะตอบว่า ‘พระยะโฮวาเป็นพ่อ เป็นพระเจ้า และเป็นเพื่อนของฉัน’ นอกจากนั้น พระยะโฮวายังเป็นอีกหลายอย่างในชีวิตของคุณด้วย แต่คุณเคยคิดไหมว่าพระยะโฮวาเป็นเจ้าภาพของคุณ? กษัตริย์ดาวิดเปรียบพระยะโฮวาว่าเป็นเจ้าภาพ และเปรียบผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ว่าเป็นแขกของพระองค์ ดาวิดถามว่า “พระยะโฮวา ใครจะได้เป็นแขกในเต็นท์ของพระองค์? ใครจะได้อยู่บนภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์?” (สด. 15:1) จากคำพูดที่ได้รับการดลใจนี้เราได้เห็นว่า เราสามารถเป็นแขกหรือเป็นเพื่อนของพระยะโฮวาได้ ก่อนที่พระยะโฮวาจะสร้างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ พระองค์มีชีวิตอยู่คนเดียวมาก่อน แต่แล้วพระยะโฮวาก็สร้างลูกชายคนแรกของพระองค์และได้เชิญให้ลูกคนนี้เข้ามาเป็นแขกในเต็นท์ของพระองค์ พระยะโฮวา “รัก” ลูกชายคนนี้มาก และลูกของพระองค์ก็ “มีความสุขที่ได้อยู่กับ [พระยะโฮวา] ตลอดเวลา”—สภษ. 8:30 ห24.06 น. 2 ว. 1-3
วันเสาร์ที่ 3 มกราคม
ศาโดกชายหนุ่มที่เก่งกล้า—1 พศ. 12:28
ลองนึกภาพว่ามีคนมากกว่า 340,000 คนมาหาดาวิดเพื่อตั้งเขาให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล คนเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ที่เนินเขาใกล้เมืองเฮโบรนนาน 3 วัน พวกเขาทุกคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข และร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวาด้วย (1 พศ. 12:39) ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อศาโดกก็อยู่ที่นั่น หลายคนอาจไม่สังเกตว่าเขาอยู่ตรงนั้น แต่พระยะโฮวาเห็นเขาแน่นอน และพระองค์ก็อยากให้เรารู้จักเขาด้วย (1 พศ. 12:22, 26-28) ศาโดกเป็นปุโรหิต เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับมหาปุโรหิตอาบียาธาร์ และเขาเป็นผู้หยั่งรู้ พระยะโฮวาให้เขามีสติปัญญาและมีความสามารถที่จะเข้าใจความประสงค์ของพระองค์ ศาโดกเป็นคนที่กล้าหาญมาก (2 ซม. 15:27) ในสมัยสุดท้าย ซาตานพยายามสุดความสามารถเพื่อจะทำลายความเชื่อของผู้รับใช้พระเจ้า (1 ปต. 5:8) เราเลยต้องมีความกล้าหาญเพื่อจะอดทนได้ต่อ ๆ ไปจนกว่าพระยะโฮวาจะทำลายซาตานกับโลกชั่วนี้ (สด. 31:24) เราทุกคนสามารถเลียนแบบความกล้าหาญของศาโดกได้ ห24.07 น. 2 ว. 1-3
วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม
อาดัมตายตอนอายุ 930 ปี—ปฐก. 5:5
ตอนที่พระยะโฮวาสร้างมนุษย์คู่แรก พระองค์ต้องการให้พวกเขามีความสุข เลยให้พวกเขามีบ้านที่สวยงาม ได้แต่งงานกัน และให้งานมอบหมายที่ยอดเยี่ยมคือให้พวกเขามีลูกหลานเต็มโลกและทำให้ทั่วทั้งโลกกลายเป็นสวนอุทยานที่สวยงามเหมือนสวนเอเดน พระองค์ให้คำสั่งพวกเขาแค่ข้อเดียวง่าย ๆ และยังเตือนด้วยว่าถ้าฝ่าฝืนคำสั่งหรือจงใจกบฏ พวกเขาจะต้องตาย แต่ทูตสวรรค์องค์หนึ่งที่ไม่รักพระยะโฮวาและไม่รักพวกเขาได้มาล่อใจ แล้วพวกเขาก็ยอมแพ้การล่อใจนั้นเพราะไม่ได้ไว้วางใจพระยะโฮวาพ่อที่รักพวกเขา ทั้งสองคนลงมือทำบาป และนับแต่นั้นมาพวกเขาก็ต้องรับผลจากการทำบาป ซึ่งก็คือแก่ลงและในที่สุดก็ตาย—ปฐก. 1:28, 29; 2:8, 9, 16-18; 3:1-6, 17-19, 24 ห24.08 น. 3 ว. 3
วันจันทร์ที่ 5 มกราคม
ให้ทำตามคำสอนของพระเจ้าเสมอ อย่าเป็นแค่ผู้ฟัง—ยก. 1:22
พระยะโฮวาและพระเยซูอยากให้เรามีความสุข สดุดี 119:2 บอกว่า “คนที่ทำตามข้อเตือนใจของพระองค์ก็มีความสุข คือคนที่เสาะหาพระองค์สุดหัวใจ” พระเยซูก็บอกด้วยว่า “คนที่ได้ยินคำสอนของพระเจ้าและทำตามนั่นแหละถึงจะมีความสุข” (ลก. 11:28) พวกเราที่เป็นผู้นมัสการของพระยะโฮวามีความสุขมาก เราอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำและพยายามเต็มที่ที่จะนำสิ่งที่เรียนไปใช้ในชีวิต (ยก. 1:22-25) เราทำให้พระยะโฮวาพอใจ (ปญจ. 12:13) เมื่อเราทำตามสิ่งที่เราอ่านในคัมภีร์ไบเบิล ชีวิตครอบครัวของเราก็มีความสุขมากขึ้นและเรายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่น้องคนอื่นด้วย นอกจากนั้น เรายังไม่ต้องเจอกับปัญหาหลายอย่างเหมือนคนที่ไม่ได้ทำตามมาตรฐานของพระยะโฮวา ที่จริงพวกเราทุกคนคงรู้สึกเหมือนกับกษัตริย์ดาวิด หลังจากที่เขาพูดถึงกฎหมาย ข้อกำหนด และคำพิพากษาของพระยะโฮวาในเพลงที่เขาแต่ง เขาบอกตอนท้ายว่า “คนที่ทำตามก็จะได้รับผลดีมากมาย”—สด. 19:7-11 ห24.09 น. 2 ว. 1-3
วันอังคารที่ 6 มกราคม
พระองค์รักษาคนที่ใจแตกสลายและพันแผลให้พวกเขา—สด. 147:3
พระยะโฮวาคอยสังเกตผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคนที่อยู่บนโลก พระองค์เห็นทั้งตอนที่เรามีความสุขและตอนที่เราเจอความทุกข์ (สด. 37:18) เมื่อพระองค์เห็นว่าเรากำลังพยายามสุดความสามารถเพื่อจะรับใช้พระองค์แม้ต้องเจอกับเรื่องที่ทำให้เศร้าเสียใจ พระองค์ก็ภูมิใจในตัวเรามาก และยิ่งกว่านั้นพระองค์ก็พร้อมที่จะช่วยเราและให้กำลังใจเราเสมอ ที่สดุดี 147:3 พระยะโฮวา ‘พันแผลให้’ คนที่ใจแตกสลาย ข้อคัมภีร์นี้ทำให้เราเห็นวิธีที่พระยะโฮวาดูแลคนที่มีบาดแผลทางจิตใจ แต่เราต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับการดูแลจากพระยะโฮวา? ลองคิดถึงตัวอย่างนี้ หมอเก่ง ๆ สามารถช่วยคนที่บาดเจ็บให้หายได้ แต่เพื่อคนไข้จะหายได้จริง ๆ เขาก็ต้องทำตามคำแนะนำของหมอด้วย พระยะโฮวาก็ได้ให้คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อช่วยคนที่กำลังเศร้าเสียใจ ห24.10 น. 6 ว. 1-2
วันพุธที่ 7 มกราคม
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้นถูกกวาดล้างไปจนหมดจากโลก—ปฐก. 7:23
เมื่อก่อนในหนังสือของเราเคยอธิบายว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนชั่วที่ถูกพระยะโฮวาพิพากษาลงโทษไปแล้ว ตอนนั้นเราเคยบอกว่าคนแบบนั้นที่ถูกพิพากษาลงโทษจากพระเจ้าจะไม่ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่น ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวกับการพิพากษาลงโทษคนชั่ว เช่น คนที่ตายในช่วงน้ำท่วมโลก หรือ 7 ชาติที่เคยอยู่ในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาซึ่งพระยะโฮวาให้ประชาชนของพระองค์ไปทำลายพวกเขา หรือทหารอัสซีเรีย 185,000 คนที่ถูกทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาฆ่าตายในคืนเดียว (ฉธบ. 7:1-3; อสย. 37:36, 37) ในเหตุการณ์เหล่านี้ คัมภีร์ไบเบิลให้ข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปได้ไหมว่าพระยะโฮวาตัดสินลงโทษให้คนเหล่านั้นถูกทำลายตลอดไปและไม่มีหวังจะได้รับการปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตาย? ไม่ เราไม่รู้ว่าพระยะโฮวาตัดสินแต่ละคนยังไง และเราก็ไม่รู้ว่าถ้าคนเหล่านั้นที่ตายไปมีโอกาสได้รู้จักพระยะโฮวาเขาจะกลับใจไหม ห24.05 น. 3 ว. 5-7
วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม
ให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี—รม. 12:21
พระเยซูเล่าตัวอย่างเปรียบเทียบเกี่ยวกับแม่ม่ายคนหนึ่งที่อ้อนวอนขอความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาอยู่เรื่อย ๆ สาวกของพระเยซูในตอนนั้นคงเข้าใจดีว่าแม่ม่ายคนนี้รู้สึกยังไง เพราะคนธรรมดาในสมัยนั้นมักจะเจอกับความไม่ยุติธรรมบ่อย ๆ (ลก. 18:1-5) พวกเราในทุกวันนี้ก็เข้าใจความรู้สึกของแม่ม่ายคนนั้นด้วย เพราะเราแต่ละคนต่างก็เคยเจอกับความไม่ยุติธรรมในชีวิต ในโลกทุกวันนี้มีแต่อคติ ความเหลื่อมล้ำ และการกดขี่ เราเลยไม่แปลกใจถ้าเราจะถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม (ปญจ. 5:8) เราอาจจะไม่คิดว่าเราจะเจอความไม่ยุติธรรมจากคนที่เป็นพี่น้อง แต่ความจริงก็คือเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ แน่นอนว่าพี่น้องของเราไม่ใช่ผู้ต่อต้านความจริง พวกเขาแค่เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม เราสามารถเรียนได้จากวิธีที่พระเยซูรับมือกับความไม่ยุติธรรมจากคนที่ต่อต้าน ถ้าเราสามารถอดทนกับความไม่ยุติธรรมที่มาจากคนที่ต่อต้าน เราก็ยิ่งควรจะอดทนกับพี่น้องของเราด้วยจริงไหม? ห24.11 น. 2 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 9 มกราคม
พวกเราจะหาซื้อขนมปังจากที่ไหนดีถึงจะพอเลี้ยงคนทั้งหมดนี้ได้?—ยน. 6:5
ขนมปังเป็นอาหารหลักของผู้คนในสมัยคัมภีร์ไบเบิล (ปฐก. 18:6; ลก. 9:3) ที่จริง มันสำคัญมากถึงขนาดที่บางครั้งคัมภีร์ไบเบิลใช้คำว่า “ขนมปัง” เพื่อหมายถึงอาหาร (มธ. 6:11, ข้อมูลสำหรับศึกษา; กจ. 20:7, ข้อมูลสำหรับศึกษา) พระเยซูก็ใช้ขนมปังในการทำการอัศจรรย์ถึง 2 ครั้งซึ่งเป็นเรื่องราวที่เรารู้จักกันดี (มธ. 16:9, 10) เรื่องราวครั้งหนึ่งบันทึกไว้ในยอห์นบท 6 ตอนนั้นพระเยซูกับสาวกรู้สึกเหนื่อยมากหลังจากทำงานประกาศเสร็จ ท่านเลยพาพวกเขาขึ้นเรือลำหนึ่งเพื่อข้ามทะเลสาบกาลิลี แล้วก็ไปขึ้นฝั่งตรงที่ที่ไม่มีคนใกล้กับเมืองเบธไซดาเพื่อไปหาที่พักผ่อนเงียบ ๆ (มก. 6:7, 30-32; ลก. 9:10) ไม่นานก็มีหลายพันคนมาหาพระเยซูกับสาวกที่นั่น ถึงจะเหนื่อยแต่ท่านก็ไม่ได้ละเลยคนเหล่านี้ ท่านสอนพวกเขาเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าและรักษาคนป่วย พอตกเย็นพวกสาวกก็สงสัยว่าจะหาอาหารจากไหนมาเลี้ยงคนเหล่านี้ อาจเป็นไปได้ที่บางคนเอาอาหารติดตัวมาด้วยแต่ก็ไม่ได้เยอะมาก คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องไปหาซื้ออะไรกินในหมู่บ้านแถว ๆ นั้น—มธ. 14:15 ห24.12 น. 2 ว. 1-2
วันเสาร์ที่ 10 มกราคม
ของขวัญที่พระเจ้าให้คือชีวิตตลอดไปผ่านทางพระคริสต์เยซูผู้เป็นนายของเรา—รม. 6:23
พ่อแม่คู่แรกของเราคืออาดัมกับเอวาเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบและอยู่ในสวนอุทยานที่สวยงาม (ปฐก. 1:27; 2:7-9) พวกเขามีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป พวกเขาสูญเสียบ้านที่เป็นอุทยานและสูญเสียโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไป แล้วอาดัมกับเอวาส่งต่อมรดกอะไรให้ลูกหลานของพวกเขา? คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “บาปเข้ามาในโลกเพราะคนคนเดียว [อาดัม] และความตายเกิดขึ้นเพราะบาปนั้น ความตายจึงลามไปถึงทุกคนเพราะทุกคนเป็นคนบาป” (รม. 5:12) มรดกที่อาดัมส่งต่อให้เราทุกคนก็คือบาป และบาปก็ทำให้เกิดความตาย มรดกนี้เลยเป็นเหมือนกับหนี้ก้อนโตที่ไม่มีใครในพวกเราที่สามารถชดใช้ได้ (สด. 49:8) พระเยซูเปรียบเทียบบาปเหมือนกับ “หนี้” (มธ. 6:12, เชิงอรรถ; ลก. 11:4, เชิงอรรถ) เมื่อเราทำบาปก็เหมือนกับเราเป็นหนี้พระยะโฮวาและพระองค์มีสิทธิ์เรียกร้องให้เราใช้หนี้ ถ้าเราไม่สามารถชดใช้หนี้ได้ ทางเดียวที่หนี้นี้จะถูกลบล้างก็คือตอนที่เราตาย—รม. 6:7 ห25.02 น. 2-3 ว. 2-3
วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม
ผมทำให้พวกเขารู้จักชื่อของพระองค์แล้ว—ยน. 17:26
เรารู้สึกเป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้ประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้ากับผู้คน ที่จริง พระยะโฮวาไม่ได้ให้ใครก็ได้มีสิทธิพิเศษนี้ ตัวอย่างเช่น สมัยของพระเยซู ท่านห้ามไม่ให้ปีศาจพูดเกี่ยวกับท่าน (ลก. 4:41) ทุกวันนี้ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะสามารถออกประกาศกับพยานพระยะโฮวาได้ เขาต้องมีคุณสมบัติก่อน เราจะแสดงให้เห็นว่าเห็นค่าสิทธิพิเศษนี้ได้โดยพูดเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับทุกคน และเราจะทำเหมือนพระเยซูโดยตั้งใจที่จะปลูกและรดน้ำเมล็ดแห่งความจริงไว้ในหัวใจของผู้คน (มธ. 13:3, 23; 1 คร. 3:6) องค์การของเราก็เลียนแบบพระเยซูโดยทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ผู้คนรู้จักชื่อของพระยะโฮวา คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลโลกใหม่ มีบทบาทสำคัญมากในการทำให้ชื่อของพระยะโฮวาอยู่ในที่ที่ควรอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล จนถึงตอนนี้ฉบับแปลนี้มีทั้งแบบครบชุดหรือบางส่วนมากกว่า 270 ภาษา ห24.04 น. 9 ว. 8-9
วันจันทร์ที่ 12 มกราคม
สามีก็ลุกขึ้นและชมเชยเธอ—สภษ. 31:28
พี่น้องชายบางคนจะทำอะไรบางอย่างทุกวันเพื่อทำให้ภรรยาเห็นว่าเขารักเธอมากแค่ไหน (1 ยน. 3:18) เขาอาจทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น จับมือหรือกอดเธอ หรือเขาอาจส่งข้อความสั้น ๆ ไปหาเธอแล้วบอกว่า “คิดถึงนะ” หรือถามว่า “วันนี้เป็นยังไงบ้าง?” นอกจากนั้น เขาอาจแสดงความรักโดยตั้งใจเขียนคำพูดดี ๆ ลงบนการ์ดให้ภรรยา ถ้าสามีทำสิ่งเหล่านี้ เขาก็ให้เกียรติภรรยาของเขาและทำให้ทั้งสองคนรักและสนิทกันมากขึ้น สามีที่ให้เกียรติภรรยาจะทำให้เธอมีกำลังใจและรู้สึกดี วิธีหนึ่งที่สามีจะทำได้ก็คือโดยการแสดงความขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ภรรยาทำเพื่อสนับสนุนเขา (คส. 3:15) เมื่อสามีชมเชยภรรยา เขาก็ทำให้เธอมีความสุข เธอจะรู้สึกมั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รัก และรู้สึกว่าสามีให้เกียรติ ห25.01 น. 11 ว. 15; น. 13 ว. 16
วันอังคารที่ 13 มกราคม
เรายะโฮวาเป็นพระเจ้าของเจ้า . . . เรานำทางเจ้าให้เดินในทางที่ถูกต้อง—อสย. 48:17
สดุดีบท 15 ลงท้ายด้วยคำสัญญาที่บอกว่า “คนที่ทำอย่างนี้จะไม่หวั่นไหวเลย” ในข้อนี้ผู้เขียนหนังสือสดุดีช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมพระยะโฮวาถึงอยากให้เราทำทุกอย่างที่บอกไว้ในสดุดีบทนี้ นั่นเป็นเพราะว่าพระยะโฮวาอยากให้เรามีความสุข พระองค์เลยให้คำแนะนำต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้เราได้พรและได้รับการปกป้องจากพระองค์ แขกของพระยะโฮวามั่นใจได้ว่าพวกเขาจะมีอนาคตที่สดใส ผู้ถูกเจิมที่ซื่อสัตย์จะได้อยู่ใน “ที่มากมาย” ที่พระเยซูเตรียมไว้ให้พวกเขาในสวรรค์ (ยน. 14:2) ส่วนคนที่มีความหวังบนโลกก็มั่นใจได้ว่าคำสัญญาที่วิวรณ์ 21:3 จะเกิดขึ้นจริงแน่นอน พวกเราทุกคนรู้สึกเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้รับคำเชิญจากพระยะโฮวาให้มาเป็นเพื่อนกับพระองค์และเป็นแขกในเต็นท์ของพระองค์ตลอดไป—สด. 15:1-5 ห24.06 น. 13 ว. 19-20
วันพุธที่ 14 มกราคม
ขอให้ยกย่องชื่อที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวา—สด. 96:8
คัมภีร์ไบเบิลทำให้เราเห็นว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีฤทธิ์อำนาจและสง่าราศี เช่น ตอนที่พระยะโฮวาเพิ่งปลดปล่อยชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ พระองค์ก็ได้แสดงฤทธิ์อำนาจและสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ให้ชาวอิสราเอลได้เห็น ตอนนั้นชาวอิสราเอลหลายล้านคนมารวมตัวกันบริเวณที่ราบหน้าภูเขาซีนาย มีเมฆหนาทึบปกคลุมภูเขา แล้วจู่ ๆ ก็มีแผ่นดินไหวใหญ่ มีควันพุ่งออกมาจากภูเขาเหมือนกับภูเขาไฟระเบิด พื้นดินก็สั่นสะเทือน มีฟ้าแลบฟ้าร้อง และมีเสียงแตรดังสนั่นอีกด้วย (อพย. 19:16-18; 24:17; สด. 68:8) ลองคิดดูสิว่าชาวอิสราเอลที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจะต้องตกตะลึงและประทับใจมากแค่ไหนตอนที่พระยะโฮวาได้แสดงฤทธิ์อำนาจและสง่าราศีของพระองค์ให้พวกเขาเห็น ทุกวันนี้ เรายกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาได้โดยบอกคนอื่นให้รู้ถึงพลังอำนาจและคุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระองค์ และเรายังสามารถยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาที่ช่วยเราให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้สำเร็จ—อสย. 26:12 ห25.01 น. 2 ว. 2-3
วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม
พระยะโฮวาใช้ให้ผมทำ—กดว. 16:28
ตอนที่ชาวอิสราเอลกำลังเดินทางไปแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญา มีกลุ่มคนที่เป็นหัวหน้าตระกูลชาวอิสราเอลที่มีชื่อเสียงมาท้าทายอำนาจของโมเสสและไม่ให้ความนับถือกับตำแหน่งที่พระเจ้าให้กับโมเสส พวกเขาบอกว่า “ชาวอิสราเอลทุกคน [ไม่ใช่แค่โมเสสคนเดียว] เป็นคนบริสุทธิ์ และพระยะโฮวาก็อยู่กับพวกเขา” (กดว. 16:1-3) ก็จริงสำหรับพระยะโฮวาแล้ว “ชาวอิสราเอลทุกคน” เป็นคนบริสุทธิ์ แต่พระองค์ก็เลือกโมเสสให้เป็นผู้นำประชาชนของพระองค์ การที่พวกเขาตำหนิโมเสสก็เท่ากับว่ากำลังตำหนิพระยะโฮวา พวกเขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่พระยะโฮวาต้องการ แต่สนใจแค่สิ่งที่ตัวเองต้องการ นั่นก็คืออยากได้อำนาจและชื่อเสียงมากขึ้น พระยะโฮวาก็เลยประหารพวกหัวหน้าที่กบฏเหล่านี้รวมถึงคนนับหมื่นที่เข้าข้างพวกเขา (กดว. 16:30-35, 41, 49) ทุกวันนี้ เรารู้ว่าพระยะโฮวาไม่พอใจคนที่ไม่ยอมรับการชี้นำที่มาจากองค์การของพระองค์ ห24.07 น. 11 ว. 11
วันศุกร์ที่ 16 มกราคม
นิมิตนี้ยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้—ฮบก. 2:3
เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจและถึงกับเยาะเย้ยคำเตือนในคัมภีร์ไบเบิลที่พูดเกี่ยวกับจุดจบของโลกชั่วนี้ (2 ปต. 3:3, 4) แม้ยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ แต่เราต้องมีความเชื่อมากว่าจุดจบของโลกชั่วนี้จะมาตรงกับเวลาที่กำหนดไว้ และเชื่อว่าพระยะโฮวาจะดูแลเราแน่นอน เราต้องมั่นใจด้วยว่าพระยะโฮวากำลังใช้ “ทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุม” เพื่อชี้นำเราในทุกวันนี้ (มธ. 24:45) ตอนที่ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น เราอาจได้รับคำแนะนำบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง ดังนั้น เราต้องสร้างความไว้วางใจและมั่นใจในคำแนะนำและคนที่นำหน้าในองค์การของพระยะโฮวา ถ้าเรายังไม่ไว้ใจและไม่เต็มใจเชื่อฟังคำแนะนำตั้งแต่ตอนนี้ มันก็คงเป็นไปได้ยากที่เราจะเชื่อฟังคำแนะนำที่ได้รับในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ ห24.09 น. 11 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 17 มกราคม
ตรวจดูจนแน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราทำซึ่งเป็นสิ่งที่ดี สมบูรณ์ และทำให้พระองค์พอใจ—รม. 12:2
พ่อแม่รู้ว่าความเชื่อไม่ใช่สิ่งที่เป็นมรดกตกทอดมาถึงลูกได้ พอลูกเริ่มโตเขาอาจสงสัยว่า ‘ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพระเจ้ามีจริง? ผมเชื่อสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกได้จริง ๆ เหรอ?’ ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนให้เราทุกคนใช้ “ความสามารถในการคิดหาเหตุผล” และ “ตรวจดูทุกสิ่งให้แน่ใจ” (รม. 12:1; 1 ธส. 5:21) แล้วคุณจะช่วยลูกให้สร้างความมั่นใจในความเชื่อของเขาได้ยังไง? สนับสนุนลูกให้หาหลักฐานด้วยตัวเอง ตอนที่ลูกของคุณตั้งคำถาม ให้ใช้โอกาสนี้เพื่อสอนเขาให้หาคำตอบโดยใช้เครื่องมือค้นคว้าขององค์การ เช่น คู่มือค้นคว้าสำหรับพยานพระยะโฮวา คุณอาจให้เขาดูในหัวข้อ “คัมภีร์ไบเบิล” แล้วไปที่ “ได้รับการดลใจจากพระเจ้า” เขาจะได้เห็นหลักฐานว่าคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือธรรมดา ๆ ที่มนุษย์เขียนขึ้นมา แต่เป็น “คำสอนของพระเจ้า”—1 ธส. 2:13 ห24.12 น. 14-15 ว. 4-5
วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม
ให้มอบไว้กับคนที่ซื่อสัตย์ซึ่งมีความสามารถพอที่จะสอนคนอื่นได้—2 ทธ. 2:2
ผู้ดูแลจะเลียนแบบพระเยซูได้ยังไง? ผู้ดูแลต้องฝึกพี่น้องชายซึ่งรวมถึงพี่น้องชายที่อายุยังน้อยให้มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น ผู้ดูแลไม่ควรคาดหมายว่าคนที่เขาฝึกจะสมบูรณ์แบบ เขาต้องให้คำแนะนำในแบบที่แสดงความรักเพื่อพี่น้องชายที่อายุยังน้อยเหล่านี้จะมีประสบการณ์ และได้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องรับใช้คนอื่นอย่างถ่อมตัว ซื่อสัตย์ และเต็มใจ (1 ทธ. 3:1; 2 ทธ. 2:2; 1 ปต. 5:5) พระเยซูมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้พวกสาวกไม่ใช่แค่เรื่องการประกาศเท่านั้นแต่เป็นเรื่องการสอนด้วย พวกสาวกอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่มอบหมายนี้ แต่พระเยซูเชื่อมั่นว่าพวกเขาทำได้ ท่านมั่นใจถึงขนาดบอกพวกเขาว่า “ผมจะใช้พวกคุณไปเหมือนที่พ่อของผมใช้ผมมา”—ยน. 20:21 ห24.10 น. 16 ว. 15; น. 17 ว. 17
วันจันทร์ที่ 19 มกราคม
ดาวิด . . . เป็นคนที่เราพอใจ—กจ. 13:22
ดาวิดเป็นกษัตริย์ที่ดีมาก เขายังเป็นนักดนตรี นักกวี นักรบ และเป็นผู้พยากรณ์ด้วย แต่ดาวิดก็เจอกับปัญหาหลายอย่างในชีวิต เช่น เขาต้องหนีการตามล่าของกษัตริย์ซาอูลนานหลายปี และหลังจากที่ดาวิดได้เป็นกษัตริย์แล้ว เขาต้องหนีอีกครั้งตอนที่อับซาโลมลูกชายของเขาต้องการที่จะแย่งบัลลังก์ แม้ดาวิดต้องรับมือกับปัญหาหลายอย่างและเคยทำผิดพลาดร้ายแรง แต่เขาก็ยังซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาจนวันตาย พระองค์มองดาวิดว่าเป็น “คนที่ [พระองค์] พอใจ” ดังนั้น เราควรฟังคำแนะนำที่ฉลาดของดาวิด (1 พก. 15:5) ให้เรามาดูคำแนะนำบางอย่างที่ดาวิดให้กับโซโลมอนลูกชายของเขาซึ่งจะเป็นกษัตริย์คนต่อไปของชาติอิสราเอล พระยะโฮวาเลือกโซโลมอนให้สร้างวิหารเพื่อประชาชนจะมานมัสการพระองค์ได้ (1 พศ. 22:5) โซโลมอนมีงานหลายอย่างที่ต้องทำ และเขายังต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเพื่อจะนำหน้าชาวอิสราเอลได้ แล้วดาวิดพูดอะไรกับโซโลมอน? เขาบอกโซโลมอนว่าถ้าเขาเชื่อฟังพระยะโฮวา เขาจะประสบความสำเร็จ—1 พก. 2:2, 3 ห24.11 น. 10 ว. 9-11
วันอังคารที่ 20 มกราคม
ให้พระยะโฮวาชี้ทางให้คุณ ขอให้พึ่งพระองค์ แล้วพระองค์จะช่วยคุณ—สด. 37:5
สามีที่ทำร้ายร่างกายภรรยาหรือใช้คำพูดที่ไม่ดีกับเธอต้องทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวาและกับภรรยา อย่างแรก เขาต้องยอมรับว่าตัวเองกำลังมีปัญหาหนัก ไม่มีอะไรที่พระยะโฮวามองไม่เห็น (สด. 44:21; ปญจ. 12:14; ฮบ. 4:13) อย่างที่สอง เขาต้องหยุดทำร้ายภรรยาและปรับเปลี่ยนการกระทำของตัวเอง (สภษ. 28:13) อย่างที่สาม เขาต้องขอโทษภรรยาและขอโทษพระยะโฮวา และขอให้พวกเขาให้อภัย (กจ. 3:19) นอกจากนั้น เขาควรอ้อนวอนขอพระยะโฮวาช่วยให้เขามีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและควบคุมความคิด คำพูด และการกระทำได้ (สด. 51:10-12; 2 คร. 10:5; ฟป. 2:13) อย่างที่สี่ เขาต้องทำสิ่งที่สอดคล้องกับคำอธิษฐานของเขาโดยฝึกตัวเองให้เกลียดความรุนแรงทุกรูปแบบและการใช้คำพูดที่ไม่ดี (สด. 97:10) อย่างที่ห้า เขาต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลในประชาคมทันที (ยก. 5:14-16) อย่างที่หก เขาต้องกำหนดมาตรการที่จะช่วยให้เขาไม่กลับไปทำผิดซ้ำอีก ห25.01 น. 11 ว.14
วันพุธที่ 21 มกราคม
ตอนนี้คุณยังรออะไรอีก? ให้คุณรีบรับบัพติศมา—กจ. 22:16
คุณรักพระยะโฮวาพระเจ้าที่ให้สิ่งดี ๆ มากมายกับคุณแม้แต่ให้ชีวิตกับคุณไหม? คุณอยากทำให้พระองค์เห็นไหมว่าคุณรักพระองค์? วิธีที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้ก็คือโดยการอุทิศตัวให้กับพระองค์และรับบัพติศมา สองขั้นตอนนี้จะทำให้คุณได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพระยะโฮวา ผลก็คือพระยะโฮวาซึ่งเป็นพ่อและเพื่อนของคุณจะแนะนำและคอยดูแลคุณเพราะคุณจะเป็นคนของพระองค์ (สด. 73:24; อสย. 43: 1, 2) การอุทิศตัวและรับบัพติศมายังช่วยให้คุณมีโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไปด้วย (1 ปต. 3:21) มีอะไรที่ทำให้คุณยังรับบัพติศมาไม่ได้ไหม? ถ้ามี คุณก็ไม่ใช่คนเดียวที่เป็นแบบนั้น มีหลายล้านคนที่ต้องเจออุปสรรคก่อนจะรับบัพติศมาเหมือนกัน แต่พวกเขาก็ปรับเปลี่ยนตัวเองทั้งความคิดและการกระทำเพื่อจะทำอย่างนั้นได้ แล้วตอนนี้พวกเขาก็กำลังรับใช้พระยะโฮวาด้วยความกระตือรือร้นและมีความสุข ห25.03 น. 2 ว. 1-2
วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม
พระองค์ให้อภัยอย่างแท้จริง—สด. 130:4
คัมภีร์ไบเบิลมักเปรียบบาปเป็นเหมือนกับของหนัก กษัตริย์ดาวิดพูดถึงบาปของเขาว่า “ความผิดท่วมหัวผมแล้ว มันเป็นเหมือนของหนักที่ผมแบกไม่ไหว” (สด. 38:4) แต่พระยะโฮวาให้อภัยคนทำผิดที่กลับใจ (สด. 25:18; 32:5) คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “อภัย” โดยทั่วไปแล้วหมายถึง “ยกออก” หรือ “แบก” เราอาจนึกภาพพระยะโฮวาเป็นเหมือนผู้ชายที่แข็งแรงมากคนหนึ่ง ที่ยกบาปซึ่งเป็นเหมือนกับของหนักออกจากบ่าของเราและแบกมันออกไป อีกข้อคัมภีร์หนึ่งที่ทำให้เห็นภาพเปรียบเทียบว่าพระยะโฮวาเอาบาปของเราทิ้งไปไกลขนาดไหนก็คือสดุดี 103:12 ข้อนั้นบอกว่า “ทิศตะวันออกไกลจากทิศตะวันตกมากเท่าไร พระองค์ก็ทิ้งความผิดของพวกเราไปไกลมากเท่านั้น” ทิศตะวันออกอยู่คนละฟากกับทิศตะวันตกและไม่มีทางมาบรรจบกันได้ พูดง่าย ๆ ก็คือพระยะโฮวาทิ้งบาปของเราไปไกลเกินกว่าที่เราจะนึกออกได้ นี่ทำให้เรามั่นใจเลยว่าพระยะโฮวาให้อภัยเราอย่างแท้จริง ห25.02 น. 9 ว. 5-6
วันศุกร์ที่ 23 มกราคม
เวลาที่คุณช่วยเหลือคนจน อย่าเป็นเหมือนคนทำดีเอาหน้า—มธ. 6:2
หลังจากที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากตายและกลับไปบนสวรรค์ อัครสาวกเปโตรก็ทำการอัศจรรย์โดยการรักษาผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นง่อยตั้งแต่เกิด (กจ. 1:8, 9; 3:2, 6-8) การอัศจรรย์นี้คงต้องดึงดูดความสนใจของผู้คนให้มารุมล้อมเขาแน่ ๆ (กจ. 3:11) แต่เปโตรไม่ได้อยากให้คนอื่นมาชื่นชอบเขาทั้ง ๆ ที่เขาโตมาในวัฒนธรรมที่ผู้คนให้ความสำคัญกับตำแหน่งและชื่อเสียง เปโตรถ่อมตัว ไม่ยกย่องตัวเอง แต่เขายกย่องพระยะโฮวาและพระเยซูที่เป็นผู้ทำการอัศจรรย์นี้ เขาบอกว่า “คนง่อยคนนี้ที่พวกคุณรู้จักมีกำลังขึ้นเพราะชื่อของ [พระเยซู]” (กจ. 3:12-16) เราสามารถเลียนแบบตัวอย่างของเปโตรได้โดยการเป็นคนถ่อมตัว เราทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพราะอยากได้รับคำชม แต่ทำเพราะเรารักพระยะโฮวาและรักผู้คน ถ้าเราเต็มใจรับใช้พระยะโฮวาและพี่น้องอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ก็ตาม เราก็กำลังพิสูจน์ว่าเราเป็นคนถ่อมตัวจริง ๆ—มธ. 6:1-4 ห25.03 น. 10-11 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 24 มกราคม
เอาใจใส่ตัวคุณและการสอนของคุณให้ดี—1 ทธ. 4:16
เราจะกระตือรือร้นในงานประกาศมากขึ้นได้โดยคิดถึงความรักที่เรามีต่อพระยะโฮวาและคนอื่น (มธ. 22:37-39) ลองนึกภาพดูสิว่า พระยะโฮวาจะมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้เห็นเราทำงานที่พระองค์มอบหมาย และคนอื่นจะมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล จำไว้ว่าคนที่ฟังสิ่งที่เราประกาศและตัดสินใจรับใช้เพื่อพระยะโฮวา พวกเขาจะมีโอกาสมีชีวิตตลอดไป (ยน. 6:40) คุณต้องอยู่แต่ในบ้านเพราะเหตุผลบางอย่างไหม? ถ้าใช่ ให้คิดถึงสิ่งที่คุณทำได้เพื่อจะแสดงว่าคุณรักพระยะโฮวาและรักคนอื่น ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซามูเอลกับดาเนียต้องอยู่แต่ในบ้าน ตอนนั้นเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังประกาศเป็นประจำทางโทรศัพท์ เขียนจดหมาย และนำการศึกษากับหลายคนทางซูม ถึงสภาพการณ์ของซามูเอลกับดาเนียทำให้พวกเขามีขีดจำกัด แต่พวกเขาก็ยังทำทุกอย่างที่ทำได้และยังมีความสุขด้วย ห24.04 น. 18 ว. 15-16
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม
ใครจะพบภรรยาที่มีความสามารถ? เธอมีค่ามากกว่าปะการัง—สภษ. 31:10
แม้การแต่งงานจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข แต่พี่น้องโสดหลายคนไม่ว่าจะอายุน้อยหรืออายุมากก็อยากมองหาใครสักคนมาเป็นคู่ชีวิต แน่นอนว่าก่อนจะมีแฟน คุณต้องหาเลี้ยงตัวเองได้ มีความเชื่อเข้มแข็ง และเป็นผู้ใหญ่ทางอารมณ์ (1 คร. 7:36) ก่อนจะคบใครเป็นแฟนคุณต้องรู้ก่อนว่าคุณกำลังมองหาคนแบบไหน ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะมองข้ามคนที่เหมาะจะมาเป็นคู่ของคุณ หรือไม่คุณก็อาจจะคบกับคนที่จริง ๆ แล้วไม่เหมาะกับคุณเลย แน่นอนว่าคนที่คุณมองควรจะเป็นพี่น้องที่รับบัพติศมาแล้ว (1 คร. 7:39) แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่รับบัพติศมาแล้วจะเหมาะกับคุณ ดังนั้นให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันมีเป้าหมายอะไรในชีวิต? ฉันมองหาอะไรในตัวคนที่จะมาเป็นแฟน? และฉันคาดหมายอย่างสมเหตุสมผลไหม?’ ห24.05 น.20 ว. 1; น. 21 ว. 3
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม
ให้กรุณาต่อกัน เห็นอกเห็นใจกัน—อฟ. 4:32
ช่วงที่คบกัน ควรทำยังไงถ้าคุณสองคนมีปัญหากันและทะเลาะกันเป็นระยะ ๆ นี่แปลว่าคุณจะไปกันไม่รอดไหม? ไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะไม่มีคู่ไหนที่เห็นตรงกันไปซะทุกเรื่อง คู่สามีภรรยาที่รักกันอย่างมั่นคงจะให้เกียรติกันเสมอและเต็มใจปรับเปลี่ยนเพื่อจะทำสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งชอบ ดังนั้น วิธีที่คุณพยายามแก้ปัญหาในตอนนี้จะทำให้รู้ว่าชีวิตแต่งงานของคุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ให้คุณสองคนถามตัวเองว่า ‘เราคุยกันแบบใจเย็น ๆ และให้เกียรติกันไหม? เรายอมรับผิดและพยายามปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นไหม? เรารีบขอโทษกัน ยอมกัน และให้อภัยกันไหม?’ (อฟ. 4:31) แต่ถ้าคุณทะเลาะกันหรือมีปัญหากันตลอดตั้งแต่ตอนที่เป็นแฟน ก็อย่าคิดว่าสภาพการณ์จะดีขึ้นหลังแต่งงาน ถ้าคุณเห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่เหมาะสำหรับคุณ การเลิกเป็นแฟนกันก็อาจเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย ห24.05 น. 29 ว. 12
วันอังคารที่ 27 มกราคม
ขอพระยะโฮวาผู้เป็นหินที่แข็งแกร่งของผมได้รับการสรรเสริญ พระองค์ฝึกมือของผมให้พร้อมรบ—สด. 144:1
ถ้าเราเชื่อฟังพระยะโฮวาทุกเรื่องและตัดสินใจโดยอาศัยหลักการในคัมภีร์ไบเบิล เราจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนอื่น เมื่อเราอ่านและค้นคว้าคัมภีร์ไบเบิลและเสริมสร้างความเชื่อให้เข้มแข็ง เราจะซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาและมาตรฐานของพระองค์ เราจะไม่เป็นคนโลเล เอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือคล้อยตามคำสอนผิด ๆ และความคิดของคนทั่วไปในโลก (อฟ. 4:14; ยก. 1:6-8) และเรายังสามารถช่วยคนอื่นที่อาจเจอปัญหาได้ด้วย (1 ธส. 3:2, 3) ผู้ดูแลต้องเป็นคนที่รู้จักประมาณตน มีวิจารณญาณที่ดี มีระเบียบ และมีเหตุผล การที่ผู้ดูแลเป็นคนมั่นคงแบบนี้จะช่วยให้พี่น้องสงบใจและเข้มแข็งเพราะผู้ดูแล “ยึดมั่นกับถ้อยคำที่เป็นความจริง” (ทต. 1:9; 1 ทธ. 3:1-3) ผู้ดูแลจะช่วยพี่น้องให้เข้าร่วมการประชุม ทำงานรับใช้ และศึกษาส่วนตัวเป็นประจำได้ถ้าพวกเขาบำรุงเลี้ยงพี่น้องและวางตัวอย่างที่ดีในเรื่องเหล่านี้ เมื่อพี่น้องมีปัญหาที่ทำให้ไม่สบายใจ ผู้ดูแลจะให้กำลังใจพี่น้องให้ไว้วางใจพระยะโฮวาและมองที่คำสัญญาของพระองค์เสมอ ห24.06 น. 31 ว. 16-18
วันพุธที่ 28 มกราคม
กลับใจเถอะ เพราะรัฐบาลสวรรค์มาใกล้แล้ว—มธ. 4:17
ช่วงที่พระเยซูรับใช้บนโลก ท่านสอนผู้คนให้รู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ให้อภัยโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบที่มีพลังมากเรื่องลูกที่หลงหาย ลูกคนนี้เลือกที่จะออกจากบ้านแล้วไปใช้ชีวิตเสเพล แต่หลังจากนั้นเขา “เริ่มสำนึกตัว” และกลับมาบ้าน พ่อของเขารู้สึกยังไง? พระเยซูบอกว่าตอนที่ลูก “ยังอยู่แต่ไกล พ่อก็เห็นเขา . . . พ่อเลยวิ่งเข้าไปหา ทั้งกอดและจูบเขา” ตอนแรกลูกชายคนนี้ขอจะเป็นคนรับใช้ในบ้านของพ่อ แต่พ่อก็ให้อภัยเขา รับเขากลับเข้ามาในครอบครัว และเรียกเขาว่า “ลูกของผมคนนี้” พ่อบอกว่า เขา “เคยหลงหายไปแต่ตอนนี้เจอแล้ว” (ลก. 15:11-32) ตอนที่พระเยซูมีชีวิตอยู่บนสวรรค์ก่อนจะลงมาบนโลก ท่านคงต้องได้เห็นแน่ ๆ ว่าพ่อของท่านแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนบาปที่กลับใจนับไม่ถ้วน ตัวอย่างเปรียบเทียบนี้ของพระเยซูทำให้เราอบอุ่นใจและมั่นใจว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่เมตตาจริง ๆ ห24.08 น. 11 ว. 11-12
วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม
ขอให้มีสติ—1 ปต. 4:7
คริสเตียนที่มีสติจะพึ่งพระยะโฮวาโดยคิดก่อนว่าพระองค์มองเรื่องนั้นยังไงแล้วก็ตัดสินใจตามนั้น เขารู้ว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสัมพันธ์ที่เขามีกับพระยะโฮวา เขาจะไม่คิดถึงตัวเองมากเกินไปและไม่คิดว่าตัวเองรู้ไปหมดซะทุกเรื่อง และเขาจะพึ่งพระยะโฮวาโดยอธิษฐานถึงพระองค์บ่อย ๆ เรารู้ว่าขนาดเรื่องที่เราเก่งหรือทำได้ไม่ยาก เรายังต้องพึ่งพระยะโฮวาโดยการอธิษฐาน ดังนั้น เมื่อเราต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญที่ไม่ง่าย เราก็ยิ่งต้องอธิษฐานขอการชี้นำจากพระยะโฮวาและไว้วางใจว่าพระองค์รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา เรารู้สึกขอบคุณที่พระยะโฮวาสร้างเราให้สามารถแสดงคุณลักษณะเหมือนพระองค์ได้ (ปฐก. 1:26) แน่นอนว่าเราไม่สามารถเลียนแบบพระยะโฮวาได้อย่างสมบูรณ์แบบ—อสย. 55:9 ห25.03 น. 11 ว. 13; น. 13 ว. 17-18
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม
[ความรัก] หวังอยู่เสมอ อดทนได้ทุกอย่าง—1 คร. 13:7
พยายามไม่คิดว่าคนอื่นมีเจตนาที่ไม่ดี ถ้าคนอื่นไม่ได้แสดงความขอบคุณสำหรับสิ่งที่เราทำ เราอาจจะถามตัวเองว่า ‘เขาไม่เห็นค่าสิ่งที่เราทำจริง ๆ ไหม หรือเขาแค่ลืมขอบคุณ?’ บางทีเขาอาจแสดงความขอบคุณแต่ไม่ได้เป็นในแบบที่เราคิดไว้ก็ได้ บางคนอาจรู้สึกขอบคุณแต่แสดงออกไม่เก่ง เขาอาจจะรู้สึกอายที่ได้รับการช่วยเหลือโดยเฉพาะถ้าเมื่อก่อนเขาเคยเป็นคนให้ความช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นยังไง ความรักแบบคริสเตียนจะช่วยเราไม่ให้สงสัยเจตนาของพี่น้องและมีความสุขกับการให้เสมอ (อฟ. 4:2) อย่าคาดหมายว่าคนอื่นจะแสดงความขอบคุณทันที กษัตริย์โซโลมอนพูดถึงเรื่องนี้ว่า “โยนขนมปังของคุณลงไปในน้ำสิ แล้วหลายวันต่อมาคุณจะเจอมันอีก” (ปญจ. 11:1) จากข้อนี้ทำให้เราเห็นว่า กว่าบางคนจะแสดงความขอบคุณก็อาจผ่านไป “หลายวันแล้ว” ห24.09 น. 30 ว. 18-19
วันเสาร์ที่ 31 มกราคม
ถ้าคนไหนทำบาปเป็นนิสัย ก็ให้ว่ากล่าวตักเตือนเขาต่อหน้าทุกคน เพื่อเป็นการเตือนคนอื่น ๆ ด้วย—1 ทธ. 5:20
บางครั้งอาจมีคำประกาศที่ประชาคมว่าพี่น้องคนหนึ่งถูกว่ากล่าวตักเตือน ในกรณีแบบนั้น เรายังสามารถคบหากับเขาต่อไปได้เพราะรู้ว่าเขากลับใจและเลิกทำชั่วแล้วเขายังเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมและต้องการกำลังใจจากการคบหากับพี่น้อง (ฮบ. 10:24, 25) แต่ในกรณีของคนที่ถูกตัดออกจากประชาคม เราจะ “เลิกคบ” กับเขา และไม่ “แม้แต่จะกินอะไรกับคนแบบนั้น” (1 คร. 5:11) นี่หมายความว่าเราจะทำเหมือนกับว่าคนที่ถูกตัดออกจากประชาคมไม่มีตัวตนอย่างนั้นไหม? ไม่ใช่ ก็จริงที่เราจะไม่คบหากับคนเหล่านั้น แต่เราจะใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ได้รับการฝึกจากคัมภีร์ไบเบิลเพื่อตัดสินใจว่าจะเชิญคนที่ถูกตัดออกจากประชาคมให้มาประชุมหรือไม่ ซึ่งคนนั้นอาจเป็นญาติหรือเป็นคนที่เราเคยสนิทด้วย ห24.08 น. 30 ว. 13-14