กุมภาพันธ์
วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์
คนที่ไม่ยุ่งกับความขัดแย้งเป็นคนน่านับถือ แต่คนโง่ทุกคนจะร่วมวงทะเลาะกับคนอื่น—สภษ. 20:3
พี่น้องชายที่มีคุณลักษณะแบบคริสเตียนที่ดีเป็นพรสำหรับประชาคมมาก พี่น้องชายที่มีเหตุผลจะส่งเสริมสันติสุข ถ้าคุณอยากมีชื่อเสียงว่าเป็นคนที่มีเหตุผล ขอให้คุณตั้งใจฟังความคิดเห็นของคนอื่นและพยายามเข้าใจว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้น เมื่ออยู่ในการประชุมผู้ดูแล คุณพร้อมจะสนับสนุนการตัดสินใจของผู้ดูแลส่วนใหญ่ไหมถ้าการตัดสินใจนั้นไม่ได้ขัดกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิล? คุณจะไม่ยืนกรานที่จะทำตามความคิดของตัวเอง แต่จะเห็นค่าการมีที่ปรึกษาหลายคนและเห็นค่าความคิดเห็นของพวกเขา (ปฐก. 13:8, 9; สภษ. 15:22) แทนที่จะพูดจาก้าวร้าวหรือไม่ยอมใคร คุณจะอ่อนโยนและรู้จักพูดอย่างมีเหตุผล ถ้าคุณเป็นคนที่มีสันติสุข คุณจะริเริ่มสร้างสันติสุขกับคนอื่นแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด (ยก. 3:17, 18) คำพูดที่อ่อนโยนของคุณสามารถทำให้คนอื่นใจเย็นลง แม้แต่กับคนที่ต่อต้านเราด้วย—วนฉ. 8:1-3; สภษ. 25:15; มธ. 5:23, 24 ห24.11 น. 23 ว. 13
วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์
ท่านจะส่งพวกทูตสวรรค์ออกไปรวบรวมคนที่พระเจ้าเลือกไว้จากทั้งสี่ทิศ จากสุดขอบโลกจนถึงสุดขอบฟ้า—มก. 13:27
พระเยซูตาย “ครั้งเดียว” เพื่อเรา แต่ท่านก็ยังคงเสียสละเพื่อเราจนถึงทุกวันนี้ (รม. 6:10) เป็นแบบนั้นได้ยังไง? ท่านยังคงใช้เวลาและความพยายามเพื่อจะช่วยเราให้ได้รับประโยชน์จากค่าไถ่ เช่น ตอนนี้ท่านรับใช้ในฐานะกษัตริย์ มหาปุโรหิต และผู้นำประชาคม (1 คร. 15:25; อฟ. 5:23; ฮบ. 2:17) ท่านยังเป็นผู้นำในการรวบรวมผู้ถูกเจิมและชนฝูงใหญ่ซึ่งงานนี้จะต้องทำให้เสร็จก่อนที่ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่จะจบลง (มธ. 25:32) นอกจากนั้น ท่านยังคอยดูแลผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ให้มีความรู้ที่เสริมความเชื่ออยู่เสมอในสมัยสุดท้ายนี้ (มธ. 24:45) และในช่วงสมัยพันปีที่ท่านปกครอง ท่านก็ยังจะคอยดูแลพวกเราเสมอ พระยะโฮวาสละลูกชายของพระองค์เพื่อเราจริง ๆ ห25.01 น. 24 ว. 12
วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์
พระเจ้าถือว่าพวกเขาเป็นที่ยอมรับของพระองค์เพราะมีค่าไถ่ที่พระคริสต์เยซูได้จ่ายให้ สิ่งนี้เป็นของขวัญจากพระเจ้าผู้แสดงความกรุณาที่ยิ่งใหญ่—รม. 3:24
เมื่อพระยะโฮวาให้อภัยบาปของเรา มันเหมือนกับว่าเราไม่เคยทำบาปเลยและเรามั่นใจได้ว่าพระองค์จะไม่ลงโทษสำหรับบาปที่พระองค์ให้อภัยเราไปแล้ว นี่ทำให้เราสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาพ่อในสวรรค์ของเรา แต่เราต้องไม่ลืมว่าการให้อภัยของพระยะโฮวาเป็นของขวัญ พระองค์ทำอย่างนี้เพราะพระองค์รักเราและพระองค์มีความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ต่อเราที่เป็นมนุษย์ที่ผิดบาปทั้งที่เราไม่สมควรได้รับมันเลย เราทุกคนรู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ ที่พระยะโฮวา “ให้อภัยอย่างแท้จริง” (สด. 130:4; รม. 4:8) แต่เพื่อเราจะได้รับการอภัยจากพระยะโฮวามันก็ขึ้นอยู่กับอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ พระเยซูบอกว่า “ถ้าคุณไม่ให้อภัยคนอื่น พระองค์ก็จะไม่ให้อภัยคุณเหมือนกัน” (มธ. 6:14, 15) ดังนั้น เราเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ที่เราจะเลียนแบบพระยะโฮวาในเรื่องการให้อภัย ห25.02 น. 13 ว. 18-19
วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์
ทั้งคนดีและคนชั่วจะฟื้นขึ้นจากตาย—กจ. 24:15
ลองคิดถึงคนในเมืองโสโดมและโกโมราห์ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าโลทซึ่งเป็นคนดีอาศัยอยู่กับคนชั่วเหล่านี้ แต่เรารู้ไหมว่าโลทประกาศกับทุกคนในเมืองแล้ว? เราไม่รู้ คนในเมืองนี้เป็นคนชั่ว แต่ทุกคนในเมืองเลยไหมที่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว? ขอให้นึกถึงตอนที่ผู้ชายในเมืองนั้นมาที่บ้านโลทเพื่อจะข่มขืนแขกของโลท คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคนที่มามี “ตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่” (ปฐก. 19:4; 2 ปต. 2:7) เรารู้จริง ๆ ไหมว่าพระยะโฮวาพระเจ้าผู้เมตตาจะไม่ปลุกใครเลยในเมืองนั้นให้ฟื้นขึ้นจากตายในอนาคต? พระยะโฮวาบอกกับอับราฮัมว่ามีคนดีไม่ถึง 10 คนในเมืองโสโดมและโกโมราห์ (ปฐก. 18:32) พระองค์ก็เลยตัดสินลงโทษคนในเมืองนี้เพราะพวกเขาเป็นคนชั่ว แต่เราจะบอกได้จริง ๆ ไหมว่าไม่มีใครสักคนในเมืองนั้นเลยที่จะอยู่ในกลุ่ม ‘คนชั่วที่จะฟื้นขึ้นจากตาย’? เราบอกแบบนั้นไม่ได้ ห24.05 น. 2 ว. 3; น. 3 ว. 8
วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์
คุณต้องทำให้การปกครองของพระเจ้าและความถูกต้องชอบธรรมของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แล้วพระองค์จะให้คุณมีสิ่งจำเป็นทั้งหมดนี้—มธ. 6:33
เนื่องจากสภาพทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป พี่น้องบางคนตัดสินใจไปทำงานในที่ที่ห่างไกลจากครอบครัว แล้วตอนหลังก็มาคิดได้ว่าไม่น่าตัดสินใจแบบนั้นเลย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจว่าจะทำงานอะไร แทนที่จะคิดถึงแต่ว่าได้เงินเดือนเท่าไหร่ คุณควรคิดว่างานนั้นจะส่งผลยังไงกับความสัมพันธ์ที่ครอบครัวของคุณมีต่อพระยะโฮวา (ลก. 14:28) ให้ถามตัวเองว่า ‘ถ้าฉันต้องอยู่ห่างไกลจากครอบครัว สามีหรือภรรยาของฉันจะเป็นยังไง? งานนี้จะทำให้ฉันสามารถเข้าร่วมการประชุมได้ทุกรายการ เข้าร่วมในงานประกาศ หรือสามารถใช้เวลากับพี่น้องได้ไหม?’ และถ้าคุณมีลูกคุณก็ต้องถามตัวเองด้วยว่า ‘ฉันจะเลี้ยงลูก “ด้วยคำสั่งสอนและคำตักเตือนจากพระยะโฮวา” ได้ยังไงถ้าฉันไม่ได้อยู่กับลูก?’ (อฟ. 6:4) ขอให้คุณตัดสินใจในแบบที่สอดคล้องกับความคิดของพระยะโฮวา ไม่ใช่ตัดสินใจตามคำแนะนำของคนในครอบครัว ญาติ หรือเพื่อนที่ไม่ได้เอาหลักการในคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ ห25.03 น. 29 ว. 12
วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์
เราจึงไม่ควรเป็นเด็กอีกต่อไป—อฟ. 4:14
คริสเตียนที่ยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่จะหลงไปกับ “อุบายล่อลวง” และเชื่อข่าวปลอม เรื่องโกหก ข่าวลือในสื่อต่าง ๆ หรือเขาอาจถูกคนที่ทรยศพระเจ้าหลอก เขาอาจเป็นคนที่ขี้อิจฉา ชอบทะเลาะ โกรธง่าย และยอมแพ้การล่อใจได้ง่าย (1 คร. 3:3) คัมภีร์ไบเบิลเปรียบเทียบการก้าวหน้าจนเป็นคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่เหมือนกับเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ (อฟ. 4:15) ปกติแล้วเด็กจะไม่มีประสบการณ์ เขาเลยต้องให้ผู้ใหญ่คอยปกป้องดูแล ให้เรามาดูตัวอย่างเปรียบเทียบหนึ่งด้วยกัน ลองนึกภาพแม่กับลูกสาวที่กำลังจะเดินข้ามถนน ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่จะบอกให้ลูกจับมือแม่ไว้ตอนข้ามถนน แต่พอลูกโตขึ้น แม่อาจจะปล่อยให้ลูกข้ามถนนเองแต่จะกำชับลูกว่าก่อนข้ามถนนให้มองซ้ายมองขวาก่อน แล้วเมื่อลูกสาวของเธอโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกก็จะรู้ว่าจะข้ามถนนยังไงให้ปลอดภัยทุกครั้ง คริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่จะสามารถตัดสินใจเองได้โดยหาเหตุผลจากหลักการในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อจะรู้ว่าพระยะโฮวาคิดยังไงในเรื่องต่าง ๆ และทำตามนั้น ห24.04 น. 3 ว. 5-6
วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวา ใครจะได้เป็นแขกในเต็นท์ของพระองค์?—สด. 15:1
ตอนแรกแขกของพระยะโฮวามีอยู่เฉพาะในสวรรค์ แต่ต่อมาพระยะโฮวาสร้างมนุษย์บนโลกและให้พวกเขามีโอกาสได้เป็นแขกของพระองค์ด้วย เช่น เอโนค โนอาห์ อับราฮัม และโยบ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าคนเหล่านี้เป็นเพื่อนของพระเจ้า ซึ่งเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างที่ “พระเจ้าเที่ยงแท้” พอใจ (ปฐก. 5:24; 6:9; โยบ 29:4; อสย. 41:8) แม้จะผ่านมาหลายพันปีแล้ว พระยะโฮวาก็ยังคงเชิญเพื่อนของพระองค์ให้มาเป็นแขกของพระองค์ (อสค. 37:26, 27) ตัวอย่างเช่น ในคำพยากรณ์ของเอเสเคียล เราได้เห็นว่าพระยะโฮวาต้องการจริง ๆ ที่จะให้ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ได้มาสนิทกับพระองค์ พระองค์ “ทำสัญญากับพวกเขาว่าจะให้มีสันติสุข” คำพยากรณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่คนที่มีความหวังจะไปสวรรค์กับคนที่มีความหวังบนโลกจะรวมกันเป็น “ฝูงเดียว” ในเต็นท์ของพระองค์ (ยน. 10:16) ช่วงเวลาที่ว่าก็คือทุกวันนี้ ห24.06 น. 2 ว. 2, 4; น. 3 ว. 5
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์
เราก็รวบรวมความกล้าด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าของเรา—1 ธส. 2:2
เราเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา เราเลยสนับสนุนรัฐบาลของพระองค์สุดหัวใจ แต่เราก็ต้องมีความกล้าหาญเพื่อจะทำแบบนั้นได้ (มธ. 6:33) เช่น ในโลกของซาตาน เราต้องมีความกล้าเพื่อจะใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระยะโฮวาและประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระองค์ และเราต้องกล้าหาญด้วยเพื่อจะเป็นกลางทางการเมืองเพราะโลกทุกวันนี้มีแต่ความแตกแยกกันมากขึ้นเรื่อย ๆ (ยน. 18:36) มีผู้รับใช้พระเจ้าหลายคนที่มีปัญหาเศรษฐกิจ ถูกทำร้ายร่างกาย และถูกขังคุก เพราะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือเป็นทหาร เมื่อเราเห็นพี่น้องกล้าหาญเพื่อจะภักดีต่อพระยะโฮวาและสนับสนุนการปกครองของพระองค์ มันก็ทำให้เราเข้มแข็งและกล้าหาญได้เหมือนกัน พระเยซูคริสต์กษัตริย์ของเราไม่ยอมมีส่วนร่วมทางการเมืองเลย (มธ. 4:8-11; ยน. 6:14, 15) ท่านพึ่งพระยะโฮวาเสมอเพื่อจะเข้มแข็งและกล้าหาญ ห24.07 น. 3 ว. 4; น. 4 ว. 7
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์
เธอจึงเก็บมากิน ต่อมาเมื่ออยู่กับสามี เธอก็เอาผลจากต้นนั้นให้สามีกินด้วย เขาก็กิน—ปฐก. 3:6
พระยะโฮวาให้มีการบันทึกเรื่องนี้ไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเพื่อช่วยเราให้เข้าใจว่าทำไมพระองค์ถึงเกลียดบาปมาก บาปทำให้เราห่างจากพระยะโฮวาและทำให้เราต้องตาย (อสย. 59:2) ซาตานก็เลยชอบบาปมากและพยายามล่อใจมนุษย์ทุกคนให้ทำบาปจนถึงทุกวันนี้ นี่เลยเป็นเหตุผลที่มันพยายามล่อใจให้อาดัมกับเอวาทำบาป และคงคิดว่าชนะพระยะโฮวาได้แล้วหลังจากเหตุการณ์ในสวนเอเดน แต่มันไม่รู้เลยว่าพระองค์รักมนุษย์ขนาดไหน พระยะโฮวาไม่เคยเปลี่ยนความต้องการของพระองค์ที่มีต่อลูกหลานของอาดัมและเอวา พระองค์รักมนุษย์มากก็เลยให้ความหวังที่ยอดเยี่ยมกับมนุษย์ทันที (โรม 8:20, 21) พระยะโฮวารู้ว่าลูกหลานบางคนของอาดัมกับเอวาจะรักและเชื่อฟังพระองค์ และในฐานะที่เป็นพ่อและเป็นผู้สร้าง พระองค์เลยหาวิธีช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาปและสามารถใกล้ชิดกับพระองค์ได้ ห24.08 น. 3 ว. 3-4
วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์
มองให้ออกว่าอะไรสำคัญกว่า—ฟป. 1:10
คนของพระยะโฮวาส่วนใหญ่มีชีวิตที่ยุ่งจริง ๆ เราต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองและหาเลี้ยงครอบครัว (1 ทธ. 5:8) ส่วนพี่น้องอีกหลายคนก็ต้องดูแลคนในครอบครัวที่ป่วยหนักหรือสูงอายุแล้ว และเราทุกคนต้องดูแลสุขภาพของตัวเองซึ่งนี่ก็ใช้เวลาเหมือนกัน นอกเหนือจากความรับผิดชอบเหล่านี้ เรายังมีงานมอบหมายในประชาคม และอีกงานหนึ่งที่สำคัญมากก็คือเราต้องออกไปประกาศ สำหรับพวกเราที่เป็นคริสเตียน การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนึ่งในสิ่งที่ “สำคัญกว่า” ดังนั้น เราต้องจัดเวลาที่แน่นอนให้กับการอ่านคัมภีร์ไบเบิล หนังสือสดุดีบทแรกบอกว่าคนที่มีความสุขคือคนที่ “ชื่นชอบกฎหมายของพระยะโฮวา เขาอ่านกฎหมายของพระองค์ด้วยเสียงเบา ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน” (สด. 1:1, 2) จากข้อนี้เห็นได้ชัดเลยว่าเราต้องจัดเวลาเพื่อจะอ่านคัมภีร์ไบเบิล แต่เวลาไหนเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิล? เราแต่ละคนอาจจะตอบไม่เหมือนกัน แต่สิ่งสำคัญก็คือเราต้องจัดเวลาที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้เป็นประจำ ห24.09 น. 3 ว. 5-6
วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์
แบกความรับผิดชอบของตัวเอง—กท. 6:5
นี่หมายความว่าคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นไหม? ไม่ บางครั้งคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องขอให้คนอื่นช่วยเหมือนกัน คนที่ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่อาจจะอยากให้คนอื่นบอกว่าเขาต้องทำอะไรหรือให้คนอื่นตัดสินใจแทนเขา แต่ตรงกันข้ามกับคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ แม้เขาจะขอความช่วยเหลือหรือถามคนที่มีสติปัญญาหรือประสบการณ์มากกว่า แต่เขารู้ว่าเขาต้องตัดสินใจเองและรู้ว่าพระยะโฮวาคาดหมายให้เขา “แบกความรับผิดชอบของตัวเอง” ปกติแล้วผู้ใหญ่แต่ละคนมีรูปร่างหน้าตาที่ต่างกัน คริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ก็มีคุณลักษณะแต่ละอย่างมากน้อยไม่เท่ากัน เช่น สติปัญญา ความกล้าหาญ ความมีน้ำใจ หรือความเห็นอกเห็นใจ นอกจากนั้น เมื่อคริสเตียนที่มีความเป็นผู้ใหญ่ 2 คนเจอสถานการณ์คล้าย ๆ กัน พวกเขาจะใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลตัดสินใจ แต่อาจจะตัดสินใจไม่เหมือนกันก็ได้โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเขาจะไม่ตำหนิอีกฝ่ายที่ตัดสินใจไม่เหมือนกับเขา แต่จะให้ความสำคัญกับการรักษาความเป็นหนึ่งเดียว—รม. 14:10; 1 คร. 1:10 ห24.04 น. 4 ว. 7-8
วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์
เมื่อผมวิตกกังวล พระองค์ก็ปลอบผมและทำให้ผมสบายใจขึ้น—สด. 94:19
คุณควรทำยังไงถ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า? ให้อ่านข้อคัมภีร์ที่ช่วยให้คุณมั่นใจว่าคุณมีค่าในสายตาพระยะโฮวาและคิดใคร่ครวญข้อคัมภีร์เหล่านั้น ถ้าคุณทำตามเป้าหมายที่ตัวเองวางไว้ไม่ได้ หรือท้อใจเพราะรู้สึกว่าทำไม่ได้มากเหมือนกับคนอื่น ก็อย่าตำหนิตัวเอง เพราะพระยะโฮวาไม่เคยคาดหมายจากคุณมากกว่าที่คุณทำได้ (สด. 103:13, 14) ถ้ามีคนเคยทำสิ่งที่เลวร้ายกับคุณ อย่าเอาแต่โทษตัวเองและคิดว่าที่คุณเจอแบบนั้นเป็นเพราะความผิดของคุณ ที่จริงไม่ควรมีใครถูกปฏิบัติแบบนั้น จำไว้ว่าพระยะโฮวาจะพิพากษาคนที่ทำผิด ไม่ใช่พิพากษาคนที่ตกเป็นเหยื่อ (1 ปต. 3:12) อย่าคิดว่าตัวคุณเองไม่มีค่า พระยะโฮวาสามารถใช้คุณให้ช่วยคนอื่นได้ พระองค์ให้เกียรติคุณโดยให้คุณได้เป็นเพื่อนร่วมงานของพระองค์ในงานประกาศ (1 คร. 3:9) การที่คุณเจอปัญหาและความทุกข์ในชีวิตอาจทำให้คุณเห็นอกเห็นใจ เข้าใจคนอื่น และช่วยคนอื่นได้มากขึ้น ห24.10 น. 7-8 ว. 6-7
วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์
พระเจ้าจะไม่ให้ความยุติธรรมกับคนที่พระองค์เลือกไว้หรือเมื่อพวกเขาขอความช่วยเหลือจากพระองค์ทั้งวันทั้งคืน? และพระองค์จะอดทนกับพวกเขาด้วย ผมจะบอกให้รู้ว่า พระองค์จะให้ความยุติธรรมกับเขาโดยเร็วอย่างแน่นอน—ลก. 18:7, 8
พระยะโฮวาเป็นห่วงเรามากเมื่อเราเจอกับความไม่ยุติธรรม เพราะอะไร? เพราะ “พระยะโฮวารักความยุติธรรม” (สด. 37:28) พระเยซูรับรองกับเราว่าพระยะโฮวา “จะให้ความยุติธรรม . . . โดยเร็วอย่างแน่นอน” เมื่อถึงเวลา และอีกไม่นานพระองค์จะกำจัดความทุกข์ทุกอย่างให้หมดไปและจะไม่ให้เราต้องเจอกับความไม่ยุติธรรมอีกเลย (สด. 72:1, 2) แม้เรายังต้องรอเวลาที่พระยะโฮวาจะทำให้ทั้งโลกมีแต่ความยุติธรรม แต่พระองค์ก็ช่วยเราให้รับมือกับความไม่ยุติธรรมที่เราเจอในตอนนี้ได้ (2 ปต. 3:13) พระองค์สอนเราให้หลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่ไม่ฉลาดเมื่อเราถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม พระองค์ทำแบบนั้นโดยให้มีการบันทึกตัวอย่างของพระเยซูในคัมภีร์ไบเบิลว่าท่านรับมือยังไงตอนที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม และพระยะโฮวายังให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงกับเราด้วยเพื่อรับมือกับเรื่องนี้ ห24.11 น. 2-3 ว. 3-4
วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์
พวกคุณหาอะไรให้เขากินก็แล้วกัน—มธ. 14:16
ตอนที่พระเยซูบอกพวกอัครสาวกให้เลี้ยงอาหารคนที่มาฟังท่าน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะแค่ผู้ชายก็นับได้ประมาณ 5,000 คนแล้ว และถ้ารวมผู้หญิงกับเด็กเข้าไปด้วยก็อาจมีจำนวนมากถึง 15,000 คน (มธ. 14:21) อันดรูว์บอกพระเยซูว่า “เด็กคนนี้มีขนมปังบาร์เลย์ 5 อันกับปลาเล็ก ๆ 2 ตัว แต่แค่นี้คงไม่พอเลี้ยงคนมากขนาดนี้หรอก” (ยน. 6:9) ขนมปังบาร์เลย์เป็นอาหารของคนจนและคนทั่วไป ส่วนปลาก็เป็นปลาที่หมักเกลือและตากแห้ง แต่ขนมปังกับปลาแค่นี้จะพอสำหรับเลี้ยงคนเป็นหมื่นได้ยังไง? พระเยซูอยากแสดงน้ำใจกับประชาชนเหล่านี้ ก็เลยบอกให้สาวกแบ่งคนออกเป็นกลุ่ม ๆ และให้นั่งบนพื้นหญ้า (มก. 6:39, 40; ยน. 6:11-13) คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าพระเยซูอธิษฐานขอบคุณพระยะโฮวาสำหรับขนมปังและปลา ที่ท่านทำแบบนี้ก็เพราะอยากให้เห็นว่าพระยะโฮวาคือผู้จัดเตรียมอาหาร และท่านอยากขอบคุณพระองค์สำหรับเรื่องนี้ เราควรเลียนแบบพระเยซูโดยการอธิษฐานก่อนกินข้าว หลังจากที่พระเยซูอธิษฐานเสร็จแล้ว ท่านก็ให้สาวกแจกจ่ายอาหาร และทุกคนได้กินจนอิ่ม ห24.12 น. 2-3 ว. 3-4
วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์
ให้พวกคุณสรรเสริญพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกคุณ—1 พศ. 29:20
ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลก ท่านยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาโดยบอกคนอื่น ๆ ว่าที่ท่านทำการอัศจรรย์ได้ก็เป็นเพราะพระยะโฮวา (มก. 5:18-20) นอกจากนั้น พระเยซูยังยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวาโดยวิธีที่ท่านพูดเกี่ยวกับพ่อของท่านและวิธีที่ท่านปฏิบัติกับคนอื่น ตัวอย่างเช่น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกปีศาจสิงมานาน 18 ปีกำลังนั่งฟังพระเยซูสอนอยู่ในที่ประชุมของชาวยิว ปีศาจนั้นทำให้ผู้หญิงคนนี้หลังค่อมและยืดตัวตรงไม่ได้เลย น่าสงสารจริง ๆ แต่พระเยซูรู้สึกเห็นอกเห็นใจเธอ ท่านก็เลยเข้าไปหาเธอและพูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “คุณหายป่วยแล้ว” จากนั้นท่านก็วางมือบนผู้หญิงคนนั้น แล้วเธอก็ยืดตัวตรงได้ทันทีและ “สรรเสริญพระเจ้า” เธอรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาที่พระองค์ช่วยให้เธอกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง (ลก. 13:10-13) ผู้หญิงคนนั้นมีเหตุผลที่จะยกย่องสรรเสริญพระยะโฮวา เราเองก็มีเหตุผลที่จะยกย่องสรรเสริญพระองค์ด้วย เหตุผลเหล่านั้นมีอะไรบ้าง? ห25.01 น. 2-3 ว. 3-4
วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์
ขอพระองค์ยกโทษให้พวกเราที่ทำบาป—ลก. 11:4
เราจะเอาสิ่งที่อาดัมและเอวาทำให้สูญเสียไปกลับคืนมาด้วยตัวเราเองได้ไหม? ไม่ได้ (สด. 49:7-9) ถ้าเราไม่ได้รับความช่วยเหลือ ชีวิตเราก็ไม่มีหวังอะไร เราจะต้องตายและไม่มีโอกาสกลับมามีชีวิตอีกซึ่งไม่ต่างอะไรกับสัตว์ (ปญจ. 3:19; 2 ปต. 2:12) พระยะโฮวาพ่อที่รักเราก็ให้ของขวัญกับเราโดยใช้หนี้ซึ่งก็คือบาปที่เราได้รับมาจากอาดัม พระเยซูบอกว่า “พระเจ้ารักโลกมาก จนถึงกับยอมสละลูกคนเดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในท่านจะไม่ถูกทำลาย แต่จะมีชีวิตตลอดไป” (ยน. 3:16) นอกจากนั้น ของขวัญนี้ยังทำให้เรามีโอกาสที่จะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพระยะโฮวาด้วย เราสามารถได้ประโยชน์จากของขวัญที่ช่วยให้เราได้รับการยก “หนี้” หรือได้รับการอภัยบาป ห25.02 น. 3 ว. 3-6
วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์
[เปาโล] ก็มองเห็นได้อีก แล้วรับบัพติศมา—กจ. 9:18
อะไรช่วยให้เซาโลรับบัพติศมา? ตอนที่พระเยซูพูดกับเซาโลจากสวรรค์ ก็มีแสงสว่างจ้าที่ทำให้เซาโลตาบอด (กจ. 9:3-9) เขาไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย 3 วัน และคงได้ใช้เวลานั้นคิดใคร่ครวญสิ่งที่เกิดขึ้น นี่ทำให้เซาโลมั่นใจว่าพระเยซูเป็นเมสสิยาห์และสาวกของท่านก็กำลังทำตามคำสอนของศาสนาแท้ เราได้บทเรียนหลายอย่างจากเซาโล เซาโลอาจปล่อยให้อคติหรือการกลัวคนมาทำให้เขาไม่กล้ารับบัพติศมาก็ได้ แต่เขาไม่ได้ปล่อยให้เป็นแบบนั้น เขาเต็มใจเข้ามาเป็นคริสเตียนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะถูกข่มเหง (กจ. 9:15, 16; 20:22, 23) หลังจากที่เซาโลรับบัพติศมาแล้ว เขาก็ยังคงพึ่งพระยะโฮวาต่อไปเพื่อช่วยให้เขาอดทนกับความยากลำบากหลายอย่างที่เขาเจอ (2 คร. 4:7-10) เมื่อคุณรับบัพติศมาเป็นพยานพระยะโฮวา คุณก็อาจเจอความยากลำบากหรืออาจถูกทดสอบความเชื่อก็ได้ แต่คุณมั่นใจได้เลยว่าพระยะโฮวากับพระเยซูจะช่วยให้คุณอดทนและยังคงซื่อสัตย์ต่อพระองค์ได้เสมอ—ฟป. 4:13 ห25.03 น. 4 ว. 8-9
วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์
ที่ผมกำลังวิ่งอยู่นี้ ผมไม่ได้วิ่งแบบไร้จุดหมาย—1 คร. 9:26
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นเป้าหมายที่น่าชมเชย แต่เราไม่ควรแค่อ่านคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น เราอยากได้ประโยชน์เต็มที่จากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วย ลองนึกถึงตัวอย่างนี้ พืชต้องพึ่งน้ำฝนเป็นหลักมันถึงจะอยู่รอดได้ แต่ถ้าฝนตกลงมาหนัก ๆ ในเวลาสั้น ๆ พื้นดินก็อาจชุ่มน้ำจนรับน้ำไม่ได้อีก เมื่อเป็นอย่างนั้นถึงจะมีฝนตกลงมาเพิ่มก็จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่จะดีกว่าถ้าฝนตกลงมาช้า ๆ เพราะน้ำจะซึมลงดินได้ดีและช่วยให้พืชเติบโต ในทำนองเดียวกันเราไม่ควรอ่านคัมภีร์ไบเบิลแบบรีบเร่งหรืออ่านเร็วมากจนเราไม่ได้คิดใคร่ครวญ จดจำสิ่งที่ได้เรียน และเอาไปใช้ (ยก. 1:24) คุณอ่านคัมภีร์ไบเบิลเร็วเกินไปไหม? ถ้าเป็นแบบนั้นคุณควรทำยังไง? ให้อ่านช้า ๆ พยายามคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังอ่านหรือเพิ่งอ่านไป คุณอาจลองศึกษาส่วนตัวนานขึ้นเพื่อจะมีเวลามากขึ้นในการคิดใคร่ครวญ ห24.09 น. 4 ว. 7-9
วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์
ให้เชื่อฟังและยอมรับอำนาจคนที่นำหน้าในหมู่พวกคุณ—ฮบ. 13:17
เมื่อได้รับคำแนะนำ พวกเขาจะอ่านอย่างละเอียดและพยายามสุดความสามารถที่จะทำตามคำแนะนำนั้น ผู้ดูแลได้รับคำแนะนำเรื่องการทำส่วนในประชาคม การเป็นตัวแทนอธิษฐานในการประชุม และได้รับคำแนะนำเรื่องการดูแลฝูงแกะของพระคริสต์ด้วย เมื่อผู้ดูแลทำตามคำแนะนำขององค์การ พวกเขาก็จะช่วยพี่น้องให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัยและพี่น้องก็จะรู้สึกเลยว่าพระเจ้ารักเขา เมื่อเราได้รับคำแนะนำจากผู้ดูแล เราควรเต็มใจทำตามที่พวกเขาแนะนำ ถ้าเราทำแบบนี้ เราก็จะช่วยให้พวกเขาทำงานได้ง่ายขึ้น คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนให้เราเชื่อฟังและยอมรับอำนาจพี่น้องที่นำหน้า (ฮบ. 13:7, 17) แต่บางครั้งมันก็ไม่ง่าย เพราะอะไร? เพราะพวกเขาก็เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าเราเอาแต่มองข้อเสียของพวกเขาแทนที่จะสนใจส่วนดี ๆ ของพวกเขา เราก็จะทำสิ่งที่เข้าทางศัตรูของเรา เพราะเมื่อเราคิดในแง่ลบกับผู้ดูแล เราก็จะคิดลบกับองค์การไปด้วยและเลิกไว้วางใจองค์การของพระยะโฮวาไปเลย ห24.04 น. 10 ว. 11-12
วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์
ท่านจะแยกผู้คนออกจากกัน—มธ. 25:32
ทุกคนที่ตายในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่จะถูกทำลายตลอดไปและไม่มีความหวังที่จะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายไหม? คัมภีร์ไบเบิลบอกชัดเจนว่าคนที่จงใจต่อต้านพระยะโฮวาหรือคนที่ถูกพระยะโฮวากับกองทัพของพระองค์ทำลายในวันอาร์มาเกดโดนจะไม่ถูกปลูกให้ฟื้นขึ้นจากตาย (2 ธส. 1:6-10) แต่สำหรับคนอื่น ๆ ที่ตายในช่วงความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ล่ะจะเป็นยังไง เช่น คนที่ป่วยหรือแก่ตาย คนที่ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือคนที่ถูกฆ่าตาย? (ปญจ. 9:11; ศคย. 14:13) คนเหล่านี้อยู่ในกลุ่ม “คนชั่ว” ที่จะถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายในโลกใหม่ไหม? (กจ. 24:15) เราไม่รู้ แต่เรารู้บางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น เรารู้ว่าในวันอาร์มาเกดโดน ผู้คนจะถูกพิพากษาโดยดูจากสิ่งที่พวกเขาทำกับพี่น้องของพระคริสต์ (มธ. 25:40) และคนที่สนับสนุนผู้ถูกเจิมและพระคริสต์จะถูกตัดสินว่าเป็นแกะ—วว. 12:17 ห24.05 น. 10-11 ว. 9-11
วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวามีชีวิตอยู่ ขอสรรเสริญพระองค์ผู้เป็นหินที่แข็งแกร่ง—สด. 18:46
คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “ช่วงเวลาวิกฤติที่มีแต่ความยุ่งยากลำบาก” (2 ทธ. 3:1) นอกจากปัญหาที่ทุกคนในโลกต้องเจอแล้ว คนของพระยะโฮวายังต้องเจอกับการต่อต้านและการข่มเหงด้วย แม้เราจะเจอกับปัญหามากมาย แต่อะไรจะช่วยให้เรานมัสการพระยะโฮวาต่อ ๆ ไป? อย่างหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือการรู้ว่าพระยะโฮวาเป็น “พระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่” (ยรม. 10:10; 2 ทธ. 1:12) พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่มีตัวตนอยู่จริง ๆ พระองค์เห็นปัญหาทุกอย่างที่เราเจอและพระองค์อยากช่วยเราเสมอ (2 พศ. 16:9; สด. 23:4) การจำเรื่องนี้ไว้จะช่วยให้เราอดทนและมีกำลังที่จะสู้กับปัญหาต่าง ๆ ได้ ห24.06 น. 20 ว. 1-2
วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์
ทางของคนดีเป็นเหมือนแสงสว่างยามเช้า ซึ่งสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเที่ยงวัน—สภษ. 4:18
เราต้องมั่นใจในองค์การของพระยะโฮวาเสมอ เมื่อทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุมเห็นว่าจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงบางอย่างในคัมภีร์ไบเบิลหรือวิธีที่เรารับใช้พระยะโฮวา พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะปรับเปลี่ยน พวกเขาทำแบบนั้นก็เพราะการทำให้พระยะโฮวาพอใจคือสิ่งสำคัญที่สุด นอกจากนั้น พวกเขาพยายามเต็มที่ที่จะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดยอาศัยคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นมาตรฐานที่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาทุกคนต้องทำตาม อัครสาวกเปาโลแนะนำว่า “ยึดมั่นกับมาตรฐานของคำสอนที่เป็นประโยชน์” (2 ทธ. 1:13) “มาตรฐานของคำสอนที่เป็นประโยชน์” หมายถึงคำสอนของคริสเตียนที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล (ยน. 17:17) คำสอนเหล่านั้นคือพื้นฐานความเชื่อของพวกเรา องค์การของพระยะโฮวาสอนเราให้ยึดมั่นกับมาตรฐานเหล่านี้ ตราบใดที่เราทำแบบนั้น พระองค์ก็จะอวยพรเรา ห24.07 น. 11-12 ว. 12-13
วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์
พระยะโฮวา … อดกลั้นกับพวกคุณเพราะไม่อยากให้ใครต้องถูกทำลาย แต่อยากให้ทุกคนกลับตัวกลับใจ—2 ปต. 3:9
อัครสาวกเปโตรรู้และเข้าใจว่าการกลับใจและการได้รับการอภัยหมายถึงอะไร เขาเคยได้ประสบการณ์กับตัวเองมาแล้ว ก็เลยสามารถสอนเรื่องนี้ให้กับคนอื่นได้ เปโตรได้บรรยายให้กับชาวยิวกลุ่มหนึ่งไม่นานหลังจากเทศกาลเพ็นเทคอสต์ เขาบอกว่าพวกเขาได้ฆ่าเมสสิยาห์ไปแล้ว แต่เปโตรก็กระตุ้นพวกเขาด้วยความรักว่า “ดังนั้น ให้กลับใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ เพื่อบาปของพวกคุณจะถูกลบล้าง แล้วจากนี้ไปพวกคุณจะได้รับความสดชื่นจากพระยะโฮวา” (กจ. 3:14, 15, 17, 19) เปโตรทำให้เห็นเลยว่าคนบาปที่กลับใจจริง ๆ จะหันกลับโดยเปลี่ยนแปลงความคิดกับการกระทำและหันมาทำสิ่งที่พระเจ้าพอใจ นอกจากนั้น เปโตรยังบอกด้วยว่าพระยะโฮวาจะลบล้างบาปทิ้งไปและทำเหมือนกับว่ามันไม่เคยมีอยู่เลย นี่เป็นความหวังที่ยอดเยี่ยมสำหรับคริสเตียนทุกคน แม้ว่าเขาจะทำบาปร้ายแรงก็ตาม ห24.08 น. 12 ว. 14
วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์
อย่าใช้ชีวิตแบบคนรักเงิน—ฮบ. 13:5
เราจะไม่เป็นคนรักเงินถ้าเรามีความเชื่อและมั่นใจว่าอีกไม่นานพระยะโฮวาจะทำลายโลกชั่วนี้ ในตอนนั้นผู้คนจะ “โยนเงินทิ้งตามถนน” เพราะรู้ว่า “ในวันที่พระยะโฮวาโกรธ ไม่ว่าเงินหรือทองก็ช่วยชีวิตพวกเขาไม่ได้” (อสค. 7:19) ดังนั้น แทนที่เราจะพยายามหาเงินให้ได้เยอะ ๆ ในตอนนี้ เราควรตัดสินใจที่จะทำให้ชีวิตของเราเรียบง่ายเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวาได้มากขึ้น นี่รวมถึงการไม่ใช้เงินมากเกินไปจนเป็นหนี้หรือใช้เวลามากเกินไปกับการดูแลสิ่งของที่เรามี นอกจากนั้น เราต้องระวังที่จะไม่ให้ทรัพย์สมบัติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต (มธ. 6:19, 24) ยิ่งเราเข้าใกล้จุดจบของโลกชั่วนี้ เราก็ต้องเลือกว่าเราจะไว้ใจพระยะโฮวาหรือไว้ใจทรัพย์สมบัติที่เรามี ห24.09 น. 11 ว. 13-14
วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์
คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงอยู่แล้ว ระวังตัวให้ดี จะได้ไม่ล้มลง—1 คร. 10:12
เราอาจเอาชนะจุดอ่อนบางอย่างได้แล้ว แต่ก็อาจมีจุดอ่อนบางอย่างที่เรายังต้องสู้กับมันต่อ ๆ ไป นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอัครสาวกเปโตร เขากลัวคนเลยทำให้เขาปฏิเสธพระเยซูถึง 3 ครั้ง (มธ. 26:69-75) แต่ต่อมาดูเหมือนว่าเปโตรสามารถเอาชนะการกลัวคนได้แล้ว เพราะเขาสามารถพูดต่อหน้าศาลแซนเฮดรินได้อย่างกล้าหาญ (กจ. 5:27-29) ถึงอย่างนั้น ไม่กี่ปีต่อมาเขากลับไม่ยอมกินข้าวกับคริสเตียนที่เป็นคนต่างชาติเพราะ “กลัวคนพวกนั้นที่ส่งเสริมการเข้าสุหนัต” ซึ่งก็คือคริสเตียนชาวยิว (กท. 2:11, 12) เห็นได้เลยว่าเปโตรกลับมากลัวคนอีก อาจเป็นได้ที่เขายังไม่สามารถเอาชนะจุดอ่อนนี้ได้จริง ๆ เราเองก็อาจเป็นเหมือนเปโตร แต่สิ่งที่ช่วยเราได้ก็คือการทำตามคำแนะนำของพระเยซูที่บอกว่า “ให้เฝ้าระวังอยู่เสมอ” (มธ. 26:41) แม้แต่ในช่วงที่คุณคิดว่าตัวเองเข้มแข็งก็ให้พยายามเต็มที่ที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่นำไปสู่การล่อใจ อย่าหยุดทำสิ่งที่ช่วยให้คุณเอาชนะจุดอ่อนของตัวเองได้—2 ปต. 3:14 ห24.07 น. 18-19 ว. 17-19
วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์
เมื่อท่านขึ้นไปบนที่สูง . . . ท่านให้ของขวัญที่เป็นมนุษย์—อฟ. 4:8
ไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกที่จะใจกว้างและช่วยเหลือคนอื่นได้มากเท่ากับพระเยซู ตอนที่ท่านอยู่บนโลกท่านทำการอัศจรรย์เพื่อช่วยเหลือผู้คนมากมาย (ลก. 9:12-17) ท่านให้ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกับมนุษย์ด้วยการสละชีวิตเพื่อเรา (ยน. 15:13) และหลังจากที่ท่านฟื้นขึ้นจากตาย ท่านก็ยังคงช่วยเราต่อไป พระเยซูสัญญาว่าจะขอพระยะโฮวาให้พลังบริสุทธิ์เพื่อสอนและปลอบใจเรา (ยน. 14:16, 17, เชิงอรรถ; 16:13) นอกจากนั้น โดยทางการประชุมประชาคมพระเยซูยังคงฝึกเราต่อไปให้สอนคนให้เป็นสาวก (มธ. 28:18-20) อัครสาวกเปาโลเขียนว่าหลังจากที่พระเยซูขึ้นไปสวรรค์แล้ว “ท่านให้ของขวัญที่เป็นมนุษย์” (อฟ. 4:7, 8) เปาโลอธิบายว่าพระเยซูให้ของขวัญนี้เพื่อช่วยประชาคมในหลายวิธี (อฟ. 1:22, 23; 4:11-13) แน่นอนว่าพี่น้องชายเหล่านี้ไม่สมบูรณ์แบบ พวกเขาก็เลยอาจทำผิดพลาดได้ (ยก. 3:2) แต่พระเยซูนายของเราใช้พวกเขาเพื่อช่วยเรา พวกเขาเป็นของขวัญที่พระเยซูให้กับเรา ห24.10 น. 18 ว. 1-2
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์
ความเข้าใจจะคุ้มครองลูก—สภษ. 2:11
ดาวิดบอกโซโลมอนว่าเขาจะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อเขาเชื่อฟังพระยะโฮวา น่าเศร้าที่ช่วงท้ายชีวิตของโซโลมอน เขานมัสการพระเท็จ พระยะโฮวาเลยไม่พอใจเขาอีกต่อไป และพระองค์ไม่ได้ให้เขามีสติปัญญาที่จะปกครองอย่างยุติธรรมและถูกต้องชอบธรรม (1 พก. 11:9, 10; 12:4) เราได้เรียนอะไร? การเชื่อฟังทำให้ประสบความสำเร็จ (สด. 1:1-3) แน่นอนว่าพระยะโฮวาไม่ได้สัญญาที่จะให้เราร่ำรวยและมีชื่อเสียงเหมือนกับโซโลมอน แต่ถ้าเราเชื่อฟังพระองค์ พระองค์จะให้สติปัญญาเพื่อเราจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง (สภษ. 2:6, 7; ยก. 1:5) คำแนะนำของพระยะโฮวาช่วยเราได้ตอนที่เราต้องตัดสินใจเรื่องงานอาชีพ การเรียนต่อ การเลือกความบันเทิง และเรื่องเงิน ถ้าเราเอาคำแนะนำของพระองค์มาใช้ก็จะช่วยปกป้องสายสัมพันธ์ที่เรามีกับพระยะโฮวาและเราจะได้ชีวิตตลอดไป (สภษ. 2:10, 11) นอกจากนี้ เราจะสนิทกับเพื่อนร่วมความเชื่อ และเราจะได้รับคำแนะนำที่ช่วยให้ครอบครัวมีความสุข ห24.11 น. 10-11 ว. 11-12
วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์
ตรวจดูทุกสิ่งให้แน่ใจ แล้วยึดมั่นสิ่งที่ดีไว้—1 ธส. 5:21
พ่อแม่มีหลายโอกาสที่จะคุยกับลูกเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลหรือความเชื่อในพระเจ้า ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะได้คุยกันตอนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ คุณอาจชวนลูกให้ดูเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรือชิ้นส่วนวัตถุโบราณที่จะช่วยให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าคัมภีร์ไบเบิลมีรายละเอียดที่ถูกต้องแม่นยำ คุณรู้ไหมว่ามีชื่อของพระยะโฮวาเขียนไว้บนศิลาจารึกของชาวโมอับซึ่งมีอายุประมาณ 3,000 ปี? ศิลาจารึกของชาวโมอับที่เป็นแบบจำลองซึ่งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ “คัมภีร์ไบเบิลและชื่อของพระเจ้า” ที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาที่วอร์วิก นิวยอร์ก ศิลาจารึกของชาวโมอับเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ากษัตริย์เมชาของโมอับกบฏต่อชาติอิสราเอลซึ่งเป็นอย่างที่คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ (2 พก. 3:4, 5) พอลูกของคุณได้เห็นกับตาของตัวเองว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดความจริงและถูกต้องแม่นยำ ความเชื่อของเขาก็จะเข้มแข็งขึ้น ห24.12 น. 14 ว. 4; น. 15 ว. 6