การรับมือกับข้อบกพร่องของผม
เล่าเรื่องโดย โธมัส แอดดิสัน
เมื่อผมยังเป็นเด็ก นกที่เชื่องซึ่งอยู่บนบาทวิถีจะทำให้ผมวิ่งอ้าวอ้อมไปห่าง ๆ. เมื่อญาติพี่น้องหรือมิตรสหายมาเยี่ยม พวกเขาก็จะพบเด็กที่สงบปากสงบคำแอบอยู่ข้างหลังกระโปรงคุณแม่. ปฏิกิริยาปกติของผมต่อแขกก็คือ ถอยกลับไปที่ห้องนอนโดยเร็วเท่าที่เป็นไปได้. ผมกลายเป็นคนพูดตะกุกตะกักเมื่ออยู่ต่อหน้าคนใดคนหนึ่งที่มีอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูในโรงเรียน.
อะไรทำให้ผมสามารถเปลี่ยนได้? เด็กที่ประหม่าอายขนาดหนักเช่นนั้นกลับสามารถพูดต่อผู้ฟังหลายพันคน ณ การประชุมใหญ่ไม่กี่ปีมานี้ได้อย่างไร?
‘การดัดไม้อ่อน’ โดยบิดามารดา
คุณพ่อคุณแม่ของผม—โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อ ผู้ชายสก็อตที่ผอม กระฉับกระเฉง—พบว่าผมเป็นเด็กเข้าใจยาก. เนื่องจากเป็นเด็กกำพร้าตอนอายุ 13 ขวบ ท่านจึงเป็นคนหยาบกร้านแต่ทว่าจิตใจงาม. ท่านเรียนรู้ที่จะเลี้ยงดูตัวเองมาตั้งแต่วัยเยาว์. อีกด้านหนึ่ง คุณแม่เป็นลูกสาวของชาวนา และมีบุคลิกลักษณะที่อ่อนโยน. การฝึกอบรมผมตั้งแต่วัยเด็กเป็นแบบกรุณาและหนักแน่น กระนั้นก็ไม่ปกป้องจนเกินไป.
เมื่ออายุหกขวบ ในปี 1945 ผมได้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า. คำบรรยายครั้งแรกของผมอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟที่ใช้น้ำมันก๊าดในประชาคมเล็ก ๆ ของออสเตรเลียที่มีเพียงสามครอบครัว. คุณพ่อได้ช่วยผมเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างดี โดยชี้แจงถึงข้อดีของการพูดแบบไม่ได้เรียงคำไว้ก่อน. ท่านได้เน้นว่าอย่ากลัวว่าคนอื่นจะพูดหรือคิดอย่างไร. ดังที่ท่านได้อธิบายเรื่องนั้นว่า “เรามนุษย์ล้วนเป็นแต่กองผงธุลี. บางกองก็ใหญ่กว่ากองอื่นเล็กน้อย มันก็แค่นั้นเอง.” หัวเข่าผมกระทบกัน ฝ่ามือผมเหงื่อชุ่ม และระหว่างกึ่งกลางคำบรรยาย ผมกลายเป็นคนพูดตะกุกตะกัก และไม่สามารถจบลงได้.
ผมคงอายุราว ๆ สิบขวบเมื่อคุณพ่อพาผมกับโรเบิร์ตน้องชายไปถึงถนนใหญ่ในเมือง หน้าโรงภาพยนตร์ประจำท้องถิ่นทีเดียว. ที่นั่น เราหยิบวารสารหอสังเกตการณ์ กับตื่นเถิด ชูขึ้นให้เพื่อนนักเรียนในโรงเรียนของเราได้เห็นเต็มที่. ผมรู้สึกว่าวารสารมันหนักเหมือนตะกั่ว และบางครั้งผลสุดท้ายวารสารจะมาอยู่ข้างหลังผม! ผมจะพยายามเหลือเกินที่จะถอยเข้าไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดึงดูดความสนใจ.
อย่างไรก็ดี ขณะที่ผมสังเกตเห็นตัวอย่างที่กล้าหาญของคุณพ่อ ผมมีกำลังใจขึ้นมาก. ท่านพูดเสมอว่าการถอยกลับก็เป็นการยอมจำนนต่อซาตานและความกลัวหน้ามนุษย์. การทดลองอีกแบบหนึ่งเกิดขึ้นที่โรงเรียน. สงครามโลกที่ 2 สิ้นสุดลงไม่นาน และลัทธิชาตินิยมในออสเตรเลียยังมีพลังเข้มแข็งอยู่. ผมกับเอลเลอรีน้องสาวจะคงนั่งอยู่ระหว่างการประชุมของโรงเรียนเมื่อมีการบรรเลงเพลงชาติ. ผมรู้สึกว่าการยืนหยัดฐานะที่แตกต่างจากคนอื่นนั้นเป็นการทดลองจริง ๆ แต่อีกครั้งหนึ่งที่การสนับสนุนและการให้กำลังใจอยู่เสมอของคุณพ่อคุณแม่ได้ช่วยผมไม่ให้อะลุ้มอล่วย.
ตัวอย่างที่ดีของคุณพ่อ
เมื่อนึกถึงภูมิหลังและนิสัยของคุณพ่อแล้ว ท่านเป็นคนที่อดทนกับผมมากจริง ๆ. ท่านได้เริ่มทำงานในเหมืองแร่ถ่านหินในอังกฤษเมื่อท่านเป็นเด็กหนุ่มอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น. ในวัย 20 ปีเศษ ท่านได้อพยพไปยังประเทศออสเตรเลียเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า. แต่ความซบเซาทางด้านการเงินแห่งทศวรรษปี 1930 ได้เริ่มต้นขึ้น และท่านได้รับเอางานภายใต้สภาพการณ์ที่น่ากลัวเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว.
คุณพ่อผิดหวังกับสภาพการณ์โดยทั่วไป และกับการเมืองโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อท่านอ่านหนังสือของสมาคมวอชเทาเวอร์ และการที่หนังสือเหล่านั้นเปิดโปงความหน้าซื่อใจคดทางด้านการเมือง การค้า และศาสนาโดยไม่หวั่นกลัว นั่นกระทบความรู้สึกตอบรับในตัวท่าน. เป็นเวลาไม่นานต่อมา ท่านได้อุทิศตัวเพื่อรับใช้พระยะโฮวา หลังจากคุณแม่ได้ทำเช่นนั้นไม่นาน. แม้จะทุกข์ทรมานเพราะปอดข้างหนึ่งเสียในการทำงานในเหมืองแร่ใต้ดินและไม่มีความชำนาญงานพิเศษก็ตาม คุณพ่อพาครอบครัวของเราไปรับใช้ในที่ซึ่งมีความต้องการทางฝ่ายวิญญาณ. การที่ท่านไว้วางใจในพระยะโฮวาได้ฝากความประทับใจอันสุดซึ้งไว้ให้ผม.
ยกตัวอย่างเช่น ผมจำได้ถึงการย้ายไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่มีเหมืองแร่ถ่านหินซึ่งมีเพียงแต่พยานฯที่เป็นพี่น้องหญิงสูงอายุสองคนเท่านั้น ทั้งคู่มีสามีที่ไม่เชื่อ. บ้านพักอาศัยก็หายาก แต่ในที่สุดเราก็สามารถเช่าบ้านเก่าหลังหนึ่งได้อยู่นอกเมืองหลายไมล์. การเดินทางของเราก็คือด้วยเท้าหรือโดยรถจักรยานเท่านั้น. ครั้นแล้ว เช้าตรู่วันหนึ่ง ขณะที่พวกเราเด็กสามคนอยู่กับเพื่อน ๆ นอกบ้านนั้น บ้านได้ถูกไฟไหม้จนเรียบราบ. คุณพ่อคุณแม่ของเราหนีเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ไม่มีอะไรอื่นเหลือ. เราไม่มีประกันภัยและไม่มีเงิน.
คุณพ่อหวนรำลึกถึงเรื่องนี้ไม่นานก่อนความตายของท่านในปี 1982. ท่านบอกว่า “ลูกเอ๋ย จำได้ไหม สภาพการณ์ดูเหมือนร้ายกาจเพียงไร แต่พระยะโฮวาทรงอยู่เคียงข้างเรา? ดูสิ หลังจากไฟไหม้ พวกพี่น้องในเพิร์ธส่งเครื่องเรือน เครื่องนุ่มห่ม และเงิน. เนื่องจากความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของพวกเขา เราจึงอยู่ในสภาพที่ดีกว่าตอนก่อนไฟไหม้!” ทีแรกผมคิดว่าคุณพ่อทึกทักไปสักหน่อยเมื่อท่านพูดมากถึงความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาในชีวิตของเรา. อย่างไรก็ดี ประสบการณ์บ่อย ๆ ของสิ่งที่ท่านเรียกว่าการสงเคราะห์จากพระเจ้านั้นมีมากมายเกินกว่าที่จะอธิบายได้ในวิธีอื่นใด.
การคิดในแง่บวกของคุณแม่
ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งของผมก็คือมีความคิดในแง่ลบอยู่เสมอ. คุณแม่ถามบ่อย ๆ ว่า “ทำไมลูกมองด้านที่มืดมนของชีวิตเสมอ?” ตัวอย่างของท่านเองในการมองดูด้านที่สดใสนั้นเป็นเครื่องกระตุ้นสำหรับผมที่จะพยายามคิดในแง่บวกมากขึ้นต่อไป.
ไม่นานมานี้ คุณแม่พูดถึงเหตุการณ์หนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ที่มีการทำฟาร์มหลังจากเราย้ายไปที่นั่นไม่นาน. คำพูดของแพทย์ในท้องถิ่นทำให้ท่านรู้สึกขบขัน. เขานึกว่าพ่อแม่ของเราเป็นคนมีอันจะกิน โดยสังเกตการที่ท่านแต่งกายเรียบร้อย มีการปรากฏตัวที่สะอาดสอ้าน. ความจริงคือว่าบ้านของเราประกอบด้วยยุ้งฉางขนาดใหญ่ พร้อมกับฝากั้นที่สร้างจากถุงกระสอบ. ไม่มีไฟฟ้า แก๊ส หรือน้ำประปา. วันหนึ่งวัวผู้ตัวหนึ่งพยายามเจาะทะลวงประตูด้านหน้า. คุณทายได้เลยว่าผมอยู่ที่ไหน: ก็ใต้เตียงน่ะซิ!
คุณแม่หาบน้ำมาจากบ่อที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 200 เมตร โดยใช้ถังกลมคู่หนึ่งที่จุน้ำ 20 ลิตร ผูกติดไม้คานที่พาดไว้บนบ่าของท่าน. ท่านมีนิสัยในการมองดูด้านที่ตลกขบขันของความไม่สะดวก และพร้อมกับการสนับสนุนบ้างเล็กน้อยจากคุณพ่อ ถือว่าสภาพการณ์ที่ยากลำบากใด ๆ เป็นการท้าทายที่พึงเอาชนะแทนที่จะถือว่าเป็นอุปสรรค. ท่านจะชี้แจงว่าถึงแม้เรามีไม่มากนักในทางวัตถุก็ตาม เรายังได้รับพระพรในแง่บวกหลายประการ.
ตัวอย่างเช่น เราใช้เวลาหลายวันที่เป็นสุขเบิกบานเดินทางไปยังเขตทำงานอันห่างไกลเพื่อประกาศ พักแรมอยู่ใต้แสงดาว ทำหมูเค็มทอดกับไข่ดาวบนกองไฟกลางแจ้ง และร้องเพลงราชอาณาจักรขณะที่เราเดินทาง. คุณพ่อจะเล่นดนตรีโดยหีบเพลงของท่าน. ถูกแล้ว ในสภาพเหล่านี้เราร่ำรวยอย่างแท้จริง. ในบางเมืองตามชนบท เราเช่าห้องโถงเล็ก ๆ และโฆษณาคำบรรยายสาธารณะซึ่งเราเสนอในตอนบ่ายวันอาทิตย์.
บางครั้ง เนื่องจากปัญหาทางด้านสุขภาพของคุณพ่อกำเริบขึ้นอีก คุณแม่จำเป็นต้องทำงานนอกบ้านเพื่อเสริมรายได้ของท่าน. เป็นเวลาหลายปีที่ท่านได้ปรนนิบัติคุณแม่ของท่านเองกับคุณปู่ แล้วในที่สุดก็คุณพ่อของเราก่อนที่ท่านเหล่านั้นเสียชีวิต. คุณแม่ทำเช่นนี้โดยมิได้บ่น. แม้ผมยังมีความซึมเศร้าอยู่เป็นระยะ ๆ และมีเจตคติในแง่ลบอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม ตัวอย่างของคุณแม่และการกระตุ้นแบบนุ่มนวลทำให้ผมมีความปรารถนาที่จะพยายามต่อ ๆ ไป.
การรับมือกับความซึมเศร้า
ในช่วงปลายวัยรุ่น ความอ่อนแอในวัยเด็กทั้งหมดซึ่งเคยคิดว่าลดน้อยลงนั้นได้กลับคืนมาอีกอย่างรุนแรง. ปัญหาในเรื่องชีวิตทำให้ผมฉงนสนเท่ห์. ผมเริ่มสงสัยว่า ปัจเจกบุคคลทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันไหมที่จะรู้จักและรับใช้พระยะโฮวา? ตัวอย่างเช่น จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับเด็กที่เกิดในอินเดียหรือประเทศจีน? แน่นอน โอกาสของเขาที่จะรู้จักพระยะโฮวาคงจะมีจำกัดยิ่งกว่าเด็กที่โอกาสเอื้ออำนวยเนื่องจากได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดาที่เป็นพยานฯมากนัก. นี้ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรม. นอกจากนี้ สารพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมซึ่งเด็กไม่มีอำนาจควบคุมคงต้องมีบทบาทสำคัญ. ชีวิตดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมในหลายทางจริง ๆ. ผมถกเถียงกับพ่อแม่เป็นเวลาหลายชั่วโมงเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว. อนึ่ง ผมเป็นห่วงกังวลในเรื่องการปรากฏตัวของผม. มีหลายสิ่งที่ผมไม่ชอบเกี่ยวกับตัวผมเอง.
ขณะที่ผมขบคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นั่นทำให้ผมซึมเศร้า บางครั้งเป็นเวลาหลายสัปดาห์กว่าจะหาย. การปรากฏตัวของผมบอบช้ำ. ผมครุ่นคิดอยู่ในใจถึงการฆ่าตัวตายหลายครั้ง. มีหลายครั้งที่ผมเกิดความรู้สึกพึงพอใจจากการล่องลอยไปกับความสงสารตัวเอง. ผมแลเห็นตัวเองเป็นเหมือนผู้ยอมเสียสละที่ผู้คนไม่เข้าใจ. ผมกลายเป็นคนชอบเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ และครั้งหนึ่งได้ประสบกับความรู้สึกตกใจกลัวอย่างฉับพลันโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า. ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ ตัวผมดูเหมือนเป็นสิ่งลวงตา ประหนึ่งว่าผมมองออกไปผ่านทางหน้าต่างที่เป็นฝ้ามัว.
เหตุการณ์นี้เขย่าผมให้เข้าสู่ความสำนึกที่ว่าความสงสารตัวเองนั้นเป็นภัยที่แฝงเร้นอยู่. ในคำอธิษฐานต่อพระยะโฮวานั้น ผมตั้งใจจะพยายามอย่างแน่วแน่ที่จะไม่ยอมจำนนต่อความสงสารตัวเองอีก. ผมเริ่มเอาใจจดจ่ออยู่กับความคิดในแง่บวก ความคิดตามหลักพระคัมภีร์. ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ผมอ่านบทความทุกเรื่องในวารสารหอสังเกตการณ์ กับตื่นเถิด ที่เน้นหนักเรื่องลักษณะของบุคลิกภาพนั้นด้วยความเอาใจใส่มากกว่าปกติ และต่อจากนั้นก็เก็บบทความเหล่านั้นเข้าในแฟ้ม. และผมเอาใจใส่อย่างระมัดระวังเกี่ยวกับจุดสำคัญ ๆ ที่มีชี้แจงในพระราชกิจของเรา ในเรื่องวิธีสนทนากับคนอื่น ๆ.
เป้าหมายแรกของผมคือพยายามจะสนทนากับบุคคลหนึ่งนานเท่าที่เป็นไปได้ ณ การประชุมคริสเตียนแต่ละครั้ง. ตอนแรกเริ่ม การสนทนาดังกล่าวแต่ละครั้งนานเพียงราว ๆ หนึ่งนาทีเท่านั้น. ผลก็คือ หลายครั้งผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกท้อแท้ใจ. อย่างไรก็ดี ด้วยความบากบั่นพากเพียร ความสามารถในการสนทนาของผมก็ค่อย ๆ ปรับปรุงดีขึ้น.
ผมเริ่มต้นทำการค้นคว้าส่วนตัวมากมายเกี่ยวกับปัญหาที่น่าฉงนสนเท่ห์ซึ่งผมเคยมี. นอกจากนี้ ผมให้ความเอาใจใส่ต่อการรับประทานอาหาร และพบว่าโดยการรับอาหารเสริมที่บำรุงร่างกาย อารมณ์และกำลังวังชาของผมได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น. ต่อมาผมได้เรียนรู้ว่าปัจจัยอื่น ๆ อาจก่อให้เกิดความซึมเศร้าได้. อาทิ บางครั้งผมกลายเป็นคนจริงจังในเรื่องความสนใจเฉพาะอย่างจนกระทั่งอารมณ์ของผมเพริดไป. ทั้งนี้มักจะนำไปสู่ความอ่อนอกอ่อนใจ ลงเอยด้วยการหมดกำลังและครั้นแล้วก็ความซึมเศร้า. วิธีแก้ก็คือหัดที่จะสนใจในเรื่องหนึ่งอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นรุนแรง. จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมยังต้องระวังระไวอยู่.
ขั้นต่อไปก็คือยึดเป้าหมายที่พ่อแม่ของผมได้ตั้งไว้ตรงหน้าพวกเราเด็ก ๆ เสมอ กล่าวคืองานประกาศสั่งสอนเต็มเวลา. ความตั้งใจของน้องสาวผมที่จะยึดอยู่กับสิทธิพิเศษแห่งการเป็นไพโอเนียร์นี้เป็นเวลามากกว่า 35 ปียังคงเป็นแรงกระตุ้นในด้านบวกสำหรับผมอยู่.
การรับมือกับปัญหาของลูกชายผม
หลังจากอยู่ในฐานะไพโอเนียร์ที่เป็นโสดมาหลายปี ผมก็ได้แต่งงานกับโจเซฟา เพื่อนไพโอเนียร์ด้วยกัน. เธอเป็นคู่เคียงที่ดีเยี่ยมสำหรับผมในทุกประการ. ในที่สุดเราได้ให้กำเนิดลูกสามคน. เครกลูกคนโตสุดของเราเกิดในปี 1972 พร้อมกับเป็นอัมพาตที่สมองอย่างรุนแรง. สภาพของเขาเป็นการท้าทายจริง ๆ เนื่องจากเขาไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้นอกจากใช้ช้อนตักอาหารอย่างเก้ ๆ กัง ๆ. แน่นอน เรารักเขามาก ดังนั้น ผมแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้พึ่งตัวเองได้มากขึ้น. ผมทำเครื่องช่วยในการเดินแบบต่าง ๆ ให้เขา. เราได้ปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญหลายคน แต่ผลสำเร็จมีจำกัด. นั่นทำให้ผมได้มาเข้าใจว่า สภาพการณ์บางอย่างในชีวิตเราจำต้องยอมรับ.
ระหว่าง 12 ปีแรกในชีวิตของเขา เครกจะหยุดรับประทานอาหารและหยุดดื่มน้ำโดยฉับพลันพร้อมกันกับการคลื่นเหียนอาเจียนโดยไม่ตั้งใจ. เข้าใจว่าความเสียหายทางประสาทเป็นสาเหตุ. เขาจะอ่อนเปลี้ยไปจริง ๆ ต่อหน้าต่อตาเรา. คำอธิษฐานได้ช่วยเราให้รับมือ และยาตามที่แพทย์สั่งได้ช่วยควบคุมปัญหานั้น. น่ายินดี เครกดูเหมือนว่าหายเป็นปกติทันเวลาพอดี และอีกครั้งหนึ่งเขาจะทำให้เราเบิกบานใจด้วยรอยยิ้มที่ตรึงใจและบทเพลงหลายบทที่ไม่รู้จักจบ.
ทีแรก โยเซฟารู้สึกว่าการปรับตัวให้เข้าสภาพการณ์ที่ร้าวรานใจนี้ยากทีเดียว. แต่ความรักและความอดทนของเธอในการดูแลเอาใจใส่ต่อความจำเป็นทุกด้านของเครกนั้นประสบผลสำเร็จในที่สุด. ทั้งนี้หมายความว่าเราสามารถย้ายไปยังที่ใดก็ตามซึ่งมีความต้องการความช่วยเหลือแบบคริสเตียนมาก. พร้อมด้วยการสนับสนุนและความช่วยเหลือที่ใช้การได้จริงของโจเซฟา ผมจึงสามารถทำงานแบบไม่ใช่ตลอดวันเป็นเวลาหลายปี เปิดโอกาสให้ผมเป็นไพโอเนียร์สมทบอีกทั้งเลี้ยงดูครอบครัวของเราด้วย.
จำเป็นต้องคิดในแง่บวก
เมื่อเครกซึมเศร้าเนื่องจากความเจ็บป่วยหลายครั้งหลายหนหรือความคับข้องใจเพราะขีดจำกัดของเขา เราชูกำลังใจเขาด้วยข้อคัมภีร์ที่ผมชอบมากที่สุดข้อหนึ่งคือ “เราทั้งหลายไม่อยู่ฝ่ายคนเหล่านั้นที่กลับถอยหลังถึงความพินาศ.” (เฮ็บราย 10:39) เขารู้ข้อนั้นโดยการท่องจำ และข้อนั้นมีผลในการหนุนใจเขาเสมอ.
ตั้งแต่เครกยังเด็กมาก เขาชอบงานรับใช้ตามบ้านเป็นพิเศษ. เขาสามารถร่วมสมทบกับเราได้อยู่บ่อย ๆ โดยใช้เก้าอี้ล้อพิเศษ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาชอบการร่วมกับเราเป็นครั้งคราวเมื่อผมรับใช้ประชาคมต่าง ๆ ในการทำหน้าที่แทนผู้ดูแลหมวด. ความเห็นแบบจำกัดของเขา ณ กลุ่มการศึกษา และการที่เขาพูดคุยถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์เสมอ ณ โรงเรียนพิเศษที่เขาเข้าร่วมนั้น ก่อผลอย่างที่เราซึ่งไม่พิการนั้นทำไม่ได้. โดยวิธีนี้เครกได้เตือนให้ผมระลึกว่า พระยะโฮวาทรงสามารถใช้คนเราเพื่อส่งเสริมพระทัยพระประสงค์ของพระองค์ได้ โดยไม่คำนึงถึงขีดจำกัดของเรา.
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมมีสิทธิพิเศษในการเป็นครู ณ โรงเรียนพระราชกิจ. ภายหลังตลอดหลายปีในงานสั่งสอน ผมก็ยังตื่นกลัวทีเดียวในตอนเริ่มต้น. แต่ไม่ช้าไม่นาน โดยการที่พึ่งอาศัยพระยะโฮวา ประสาทของผมก็เงียบสงบ และอีกครั้งหนึ่งผมรู้สึกถึงพลังค้ำจุนจากพระยะโฮวา.
เมื่อมองย้อนหลังไปราว ๆ 50 ปีของชีวิตขณะนี้ ผมเชื่อมั่นว่าเฉพาะแต่พระยะโฮวาผู้เดียวทรงสามารถฝึกอบรมบุคคลอย่างผมด้วยความรัก ทำให้ผมเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณของพระองค์ได้.