จงเปี่ยมด้วยความยินดี
“เหล่าสาวกก็เต็มไปด้วยความปีติยินดีและด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.”—กิจการ 13:52, ล.ม.
1. (ก) ความยินดีเป็นผลชนิดใด? (ข) พระเจ้าควรได้รับคำสรรเสริญเนื่องด้วยการจัดเตรียมอะไรซึ่งยังความชื่นชมยินดี?
ความยินดี! คุณลักษณะนี้ของคริสเตียนถูกจัดไว้เป็นอันดับที่สองรองจากความรักตามการพรรณนาของเปาโลว่าด้วยผลแห่งพระวิญญาณ. (ฆะลาเตีย 5:22-25) และอะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดความยินดีเช่นนั้น? นั้นคือข่าวดีซึ่งทูตของพระเจ้าได้แจ้งแก่คนเลี้ยงแกะที่ถ่อมใจเมื่อ 1,900 กว่าปีมาแล้วที่ว่า “นี่แน่ะ! เรานำข่าวดีมาประกาศแก่ท่านทั้งหลายซึ่งจะให้เป็นที่ชื่นชมยินดีแก่คนทั้งปวง คือว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือพระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด.” ครั้นแล้วเหล่าทูตสวรรค์ได้ปรากฏตัวร่วมกับทูตองค์นั้นร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยความยินดี พร้อมกับกล่าวว่า “รัศมีภาพจงมีแก่พระเจ้าในที่สูงสุด และบนแผ่นดินโลกจงมีความสุขสงบท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงรักใคร่นั้น.”—ลูกา 2:10-14.
2, 3. (ก) ทำไมจึงเป็นสิ่งเหมาะที่พระเจ้าทรงส่งพระบุตรหัวปีลงมาเป็นผู้ไถ่บาปมนุษย์? (ข) พระเยซูได้ทรงปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าในทางอื่นใดบ้างขณะที่พระองค์อยู่ในโลกนี้?
2 ความรักใคร่ของพระยะโฮวาอันมีต่อมนุษย์นั้นได้สำแดงให้ประจักษ์เมื่อพระองค์เตรียมทางรอดโดยพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า. พระบุตรหัวปีองค์นี้ของพระเจ้าถูกเปรียบเป็นพระปัญญาและได้พรรณนาคำพูดของพระองค์ต่อพระบิดาในเวลาที่สร้างโลกว่า “เราอยู่ข้างพระองค์แล้วเหมือนอย่างนายช่าง เราเป็นปีติยินดีประจำวันของพระองค์ เปรมปรีดิ์อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ เปรมปรีดิ์ในพิภพที่มีคนอาศัยของพระองค์ และปีติยินดีในบุตรชายของมนุษย์.”—สุภาษิต 8:30, 31, ฉบับแปลใหม่.
3 เพราะเหตุนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่พระยะโฮวาได้ส่งพระบุตรองค์นี้ ซึ่งทรงปีติยินดีในบุตรชายของมนุษย์ลงมาเป็นผู้ไถ่มนุษยชาติ. และการนี้จะนำสง่าราศีมาสู่พระเจ้าโดยวิธีใด? นับว่าเป็นการเปิดทางไว้สำหรับพระองค์ที่จะกระทำให้สำเร็จตามพระประสงค์อันเยี่ยมยอดของพระเจ้าเกี่ยวกับการบรรจุมนุษย์ที่ชอบธรรมรักสันติจนเต็มแผ่นดินโลก. (เยเนซิศ 1:28) ยิ่งกว่านั้น พระเยซูพระบุตรองค์นี้ขณะอยู่ในโลกและอยู่ภายใต้การทดลองอย่างรุนแรงนั้นจะได้แสดงให้เห็นว่า มนุษย์สมบูรณ์สามารถเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะเป็นองค์บรมมหิศรอย่างซื่อสัตย์ภักดีได้ ดังนั้น จึงเป็นการชันสูตรเชิดชูอำนาจปกครองของพระบิดาอันเป็นสิทธิอันถูกต้องเหมือนมนุษย์และสรรพสิ่งที่พระองค์ได้สร้าง. (เฮ็บราย 4:15; 5:8, 9) อนึ่ง การที่พระเยซูทรงรักษาความซื่อสัตย์ภักดีจึงเป็นการวางตัวอย่างสำหรับคริสเตียนแท้ทั้งหลายที่จะเจริญรอยตามพระองค์อย่างใกล้ชิด.—1 เปโตร 2:21.
4. ความอดทนของพระเยซูก่อผลเป็นความยินดีอย่างใหญ่หลวงเช่นไร และข้อนี้น่าจะเป็นกำลังใจแก่เราอย่างไร?
4 พระเยซูทรงประสบความยินดีมากมายเมื่อได้กระทำตามพระทัยประสงค์ของพระบิดา และด้วยความคาดหมายจะประสบความยินดีมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ ดังที่อัครสาวกเปาโลชี้แจงไว้ในเฮ็บราย 12:1, 2 ดังนี้ “และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้นให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม หมายเอาพระเยซูเป็นผู้นำและเป็นผู้ส่งเสริมความเชื่อของเราให้สำเร็จ. เพราะเห็นแก่ความยินดีที่มีอยู่ตรงหน้านั้น พระองค์ได้ทรงทนเอา [หลักทรมาน, ล.ม.] ทรงถือว่าความละอายไม่เป็นสิ่งสำคัญอะไร และได้เสด็จนั่งเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้าแล้ว.” ความยินดี ณ ที่นี้หมายถึงอะไร? คือความยินดีที่พระเยซูทรงมี ไม่เพียงแต่การทำให้พระนามของพระบิดาเป็นที่เคารพสักการะ และการไถ่มนุษย์จากความตายเท่านั้น แต่รวมทั้งทรงครอบครองฐานะกษัตริย์และมหาปุโรหิตขณะที่พระองค์ทรงช่วยฟื้นฟูมนุษย์ผู้เชื่อฟังรับชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่มีสภาพเป็นอุทยาน.—มัดธาย 6:9; 20:28; เฮ็บราย 7:23-26.
5. ใครคือ “พี่น้อง” ของพระเยซู และพวกเขามีส่วนร่วมรับความยินดีในสิ่งใดเป็นพิเศษ?
5 ถูกแล้ว พระบุตรของพระเจ้าประสบความยินดีเสมอเมื่อรับใช้มนุษยชาติ. และเป็นความยินดีของพระองค์เมื่อทรงรับใช้ร่วมกับพระบิดาเลือกสรรบุคคลกลุ่มหนึ่งที่รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง ซึ่งพระองค์เรียกว่าเป็น “พี่น้อง” ของพระองค์ และเป็นผู้ซึ่งจะถูกปลุกขึ้นจากตายไปอยู่สวรรค์. บุคคลเหล่านี้จะร่วมความยินดีเป็นพิเศษกับพระเยซู. พวกเขาได้ชื่อว่าเป็น “ผาสุกและบริสุทธิ์” และเขาเป็น “ปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองกับพระองค์ตลอดพันปี.”—เฮ็บราย 2:11; วิวรณ์ 14:1, 4; 20:6.
6. (ก) พระมหากษัตริย์ทรงส่งคำเชิญที่น่ายินดีเช่นไรไปยัง “แกะอื่น” ของพระองค์? (ข) หลายคนในจำพวกแกะเหล่านี้ได้รับสิทธิพิเศษอะไรเวลานี้?
6 ใช่แต่เท่านั้น ชนฝูงใหญ่จำพวก “แกะอื่น” ซึ่งมหากษัตริย์องค์ทรงราชย์ได้แยกไว้เบื้องขวาพระหัตถ์อันหมายถึงความโปรดปราน ได้รับคำเชิญของพระองค์ที่ว่า “ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาแผ่นดินซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก.” (โยฮัน 10:16; มัดธาย 25:34) ช่างเป็นสิทธิพิเศษที่น่ายินดีเสียนี่กระไร! จากจำนวนผู้คนซึ่งจะได้อยู่ในพิภพนี้อันเป็นดินแดนแห่งราชอาณาจักร แม้ในเวลานี้มีหลายคนรับรองเอาหน้าที่รับผิดชอบพร้อมกับพวกผู้ถูกเจิม ตรงกับที่พระยะโฮวาตรัสไว้ล่วงหน้าว่า “คนต่างถิ่นจะยืนเลี้ยงฝูงแพะแกะของเจ้าทั้งหลาย คนต่างด้าวจะเป็นคนไถนา และคนแต่งเถาองุ่นของเจ้า. แต่เขาจะเรียกเจ้าทั้งหลายว่าปุโรหิตของพระเจ้า [ยะโฮวา] คนจะพูดถึงเจ้าว่าเป็นผู้ปรนนิบัติพระเจ้าของเรา.” บุคคลเหล่านี้ทุกคนจะสมทบกับผู้พยากรณ์ของพระเจ้ากล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในพระเจ้า [ยะโฮวา]. จิตใจของเข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า. เพราะพระองค์ได้ทรงสวมข้าพเจ้าด้วยเสื้อแห่งความชอบธรรม.”—ยะซายา 61:5, 6, 10, ฉบับแปลใหม่.
7. ทำไม “ยุค” นี้ตั้งแต่ปี 1914 เป็นยุคพิเศษจริง ๆ?
7 ขณะนี้เรากำลังอยู่ในยุคพิเศษสุด. ตั้งแต่ปี 1914 เป็นต้นมาเป็นวันแห่งการปกครองของพระคริสต์พระมหากษัตริย์ทางภาคสวรรค์ ดังคำพรรณนาที่บทเพลงสรรเสริญ 118:24, 25, (ล.ม.) ว่า “นี้เป็นวันซึ่งพระยะโฮวาทรงตั้งไว้; เราจะชื่นชมเปรมปรีดิ์ในวันนี้. ข้าแต่พระยะโฮวา บัดนี้ขอทรงช่วยให้รอด! ข้าแต่พระยะโฮวา ขอโปรดพวกข้าพเจ้าได้ประสบความสำเร็จเถิด!” วันนี้แหละซึ่งจะบรรลุตอนที่น่าทึ่งที่สุดเมื่อพระยะโฮวาทรงสำเร็จโทษศาสนาฝ่ายบาบูโลน แล้วจะทรงนำเจ้าสาวของพระคริสต์อันประกอบกันเป็นพี่น้องจำนวน 144,000 คนเข้าร่วมผูกพันกับมหากษัตริย์ของเขาในภาคสวรรค์. บรรดาไพร่พลของพระเจ้าจะ ‘ยินดีปรีดา’ ณ โอกาสนี้. นอกจากนี้ พวกเขาจะชื่นชมยินดีเมื่อมหากษัตริย์มาซีฮาทำสงครามอาร์มาเก็ดดอนเพื่อช่วยชีวิตชนชาติของพระองค์ที่ซื่อสัตย์ภักดีเข้าสู่โลกใหม่ที่ชอบธรรม. (วิวรณ์ 19:1-7, 11–16) พระยะโฮวาทรงโปรดให้พลไพร่ของพระองค์ประสบความสำเร็จไหมขณะที่เขาประกาศความหวังที่น่ายินดีเช่นนี้? รายงานต่อจากนี้จะชี้แจง.
การแผ่ขยายตัวทั่วโลก
8. (ก) ความปีติยินดีพร้อมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์สะท้อนให้เห็นอย่างไรในรายงานที่หน้า 18 ถึง 21 ของวารสารฉบับนี้? (ข) จุดเด่นในรายงานมีอะไรบ้าง?
8 พยานพระยะโฮวาสมัยปัจจุบัน “ประกอบด้วยความหวังโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (โรม 15:13) สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นในแผนภูมิซึ่งนำมาลงไว้ในวารสารฉบับนี้ที่หน้า 18 ถึง 21 ซึ่งเป็นการเสนอรายงานทั่วโลกเกี่ยวกับงานรับใช้ราชอาณาจักรในช่วงปี 1990 อย่างละเอียด. พวกเราชื่นชมยินดีเพียงไรที่เห็นจำนวนยอดใหม่ของผู้ประกาศเผยแพร่ที่เอาการเอางานถึง 4,017,213 คน! นี้เป็นการทวีขึ้น 77 เปอร์เซ็นต์ระหว่างสิบปีที่ผ่านมาขณะที่งานรวบรวมแกะดำเนินอยู่ใน 212 ประเทศทั่วโลก. หลังจาก 15 ปีจำนวนผู้รับบัพติสมาบรรลุยอดใหม่—รวมทั้งสิ้น 301,518 คน! มีจำนวนคนรับบัพติสมามากเป็นพิเศษ ณ การประชุมใหญ่หลายแห่ง โดยเฉพาะการประชุมซึ่งเหล่าพยานฯที่มาจากยุโรปตะวันออกเข้าร่วมด้วย. จากจำนวนคนเหล่านี้ มีหนุ่มสาวมากมาย แสดงให้เห็นว่า คำกล่าวอ้างแบบสังคมนิยมที่ว่า ศาสนาจะเสื่อมสูญไปพร้อมกับคนรุ่นเก่านั้นไม่เป็นความจริง.
9. (ก) การที่บิดามารดาอบรมสั่งสอนบุตรตั้งแต่วัยเยาว์ก่อผลที่น่ายินดีประการใด? (ข) ประสบการณ์อะไรในท้องถิ่นหรือจากที่อื่นยืนยันเรื่องนี้?
9 คนหนุ่มสาวจำนวนมากมหาศาลตอบรับคำเชิญที่กล่าวไว้ในบทเพลงสรรเสริญ 32:11, (ล.ม.) ว่า “ผู้ชอบธรรมทั้งหลาย จงชื่นชมในพระยะโฮวาและยินดีปรีดา และบรรดาท่านผู้มีใจเที่ยงตรง จงโห่ร้องด้วยความยินดี.” ดูเหมือนว่าบิดามารดาจำนวนมากต่างก็ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ว่าจงฝึกสอนบุตรของตน “ตั้งแต่เป็นทารก.” (2 ติโมเธียว 3:15, ล.ม.) มีการใช้หนังสือและเทปตลับอย่างได้ผลดีสอนเด็กที่ยังอยู่ในวัยเยาว์. เมื่อเด็ก ๆ เหล่านั้นเข้าโรงเรียน ไม่ช้าไม่นานเขาก็ให้คำพยานที่ดี ดังตัวอย่างเด็กหญิงญี่ปุ่นอายุแปดขวบซึ่งได้รายงานว่า “หลังจากช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนแล้ว หนูได้เข้าไปพบครูแล้วถามว่า ‘คุณครูได้ไปแวะเยี่ยมหลุมศพคุณพ่อของคุณครูไหมคะ?’ ครูตอบว่า ‘ไปซิจ๊ะ คุณพ่อของครูเป็นคนอ่อนโยน และครูแวะไปทุกปี.’ หนูจึงบอกครูว่า ‘ถ้าคุณครูศึกษาพระคัมภีร์และปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า คุณครูจะมีโอกาสพบพ่อของคุณครูซึ่งเปี่ยมด้วยความรักในอุทยานบนแผ่นดินโลก.’ แล้วหนูได้ให้หนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระพระคัมภีร์ไบเบิล แก่ครู. ตอนนี้ทุกสัปดาห์ครูอ่านบทหนึ่งจากหนังสือนี้ให้นักเรียนทั้งชั้นฟังตอนพักเที่ยง.”
10. หนังสือหนุ่มสาวถาม ให้ประโยชน์อย่างไร และมีตัวอย่างอะไรบ้าง?
10 หนุ่มสาววัยรุ่นได้ประโยชน์มากจากหนังสือ ปัญหาที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ใช้ได้ผล ไม่ว่าโดยการศึกษาส่วนตัวและเมื่อให้คำพยานแก่หนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน. หลายคนที่เป็นบิดามารดาก็เช่นกันหยั่งรู้ค่าหนังสือนี้. พี่น้องหญิงคนหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์เมื่อสมัครเป็นไพโอเนียร์สมทบแล้วก็ตกลงใจจะเยี่ยมบิดามารดาของเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกับลูกของเธอ. วิธีนี้ทำให้เธอมีการสนทนาหารือกับบิดามารดาหลายคน และได้จำหน่ายหนังสือไว้กับคนเหล่านั้น (ส่วนใหญ่เป็นหนังสือ ปัญหาที่หนุ่มสาวถาม) ถึง 20 เล่มและวารสาร 27 ฉบับ. เมื่อนักเรียนหญิงคนหนึ่งในประเทศตรินิแดดจำหน่ายหนังสือนี้กับครูที่โรงเรียน มารดาของเธอได้กลับมาเยี่ยม ทั้งยังได้จำหน่ายอีก 25 เล่มแก่พวกครูซึ่งทั้งหมดมี 36 คน. ในเดือนถัดไป เธอจดจ่อเพ่งเล็งเป็นพิเศษเพื่อจะพบกับบิดามารดาของเด็กในโรงเรียนนั้นซึ่งเธอรู้จักเป็นรายตัว เธอจำหน่ายได้อีก 92 เล่มและได้เริ่มการศึกษาพระคัมภีร์รายใหม่หลายราย. ในประเทศเกาหลีครูสอนระดับมัธยมได้ใช้หนังสือ ปัญหาที่หนุ่มสาวถาม เมื่อให้คำบรรยายสั้น ๆ เรื่อง “ฉันจะปรับปรุงการทำคะแนนให้ดีโดยวิธีใด?” และ “ฉันจะเข้ากันได้กับครูโดยวิธีใด?” ครั้นแล้วก็เสนอหนังสือ. หลังจากพวกนักเรียนรับหนังสือไป 39 เล่ม บิดามารดาบางคนก็เริ่มบ่นไม่พอใจ. แต่ครูใหญ่ตรวจสอบดูเล่มหนึ่งแล้วก็ประกาศว่า หนังสือนี้ “วิเศษ” และสั่งเล่มหนึ่งสำหรับลูกสาวตัวเอง.
การศึกษาที่ดีที่สุด
11, 12. มีพยานหลักฐานอะไรบ้างเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าหนังสือซึ่งสมาคมวอชเทาเวอร์จัดพิมพ์ขึ้นมานั้นเป็นแนวการศึกษาที่ดียิ่ง?
11 หลายคนหยั่งรู้คุณค่าวารสารของเราในด้านให้ความรู้ ดังตัวอย่างจากโรงเรียนแห่งหนึ่งในสหรัฐซึ่งสั่งวารสารตื่นเถิด ฉบับวันที่ 22 กรกฎาคม 1990 จำนวน 1,200 ฉบับ (การเปิดโปงเรื่องติดยาเสพย์ติด) เพื่อใช้เรียนในชั้น. ยิ่งกว่านั้น ตัวอย่างความประพฤติของเด็กพยานพระยะโฮวาในโรงเรียนยังคงเป็นที่ประทับใจอยู่เสมอ. ที่เมืองไทยในห้องเรียนแห่งหนึ่งขณะที่มีเสียงจ้อกแจ้กไม่ขาด ครูประจำชั้นได้เรียกเด็กชายราชาวัย 11 ขวบไปยืนหน้าชั้นและพูดชมความประพฤติของเขาว่า “ทำไมพวกนักเรียนไม่เอาอย่างราชาล่ะ? เขาขยันเรียนและมีความประพฤติดี.” แล้วครูพูดต่อไปว่า “สงสัยพวกเธอจะต้องเป็นพยานพระยะโฮวาอย่างราชา จึงจะได้ปรับปรุงตัวดีขึ้น.”—เทียบสุภาษิต 1:8; 23:22, 23.
12 พี่น้องวัยสาวคนหนึ่งในประเทศสาธารณรัฐโดมินิกันเขียนดังนี้ “ตอนที่ดิฉันเพิ่งมีอายุสี่ขวบ จวนจะจบโรงเรียนเตรียมประถมของฝ่ายศาสนา ซึ่งสอนอ่านและเขียน. ดิฉันได้มอบหนังสือ ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก เป็นของขวัญแก่ชีซึ่งเป็นครูสอนดิฉัน พร้อมกับข้อความว่า ‘ดิฉันรู้สึกขอบคุณที่คุณครูสอนดิฉันให้อ่านเขียนได้. ดิฉันหวังว่าคุณครูคงจะเข้าใจศาสนาที่ดิฉันนับถือด้วย และจะมีความหวังเหมือนดิฉันคือจะอยู่ชั่วนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่เปลี่ยนสภาพเป็นอุทยาน.’ เพราะเรื่องนี้เองดิฉันจึงถูกไล่ออกจากโรงเรียน. แปดปีต่อมา ดิฉันได้พบครูคนนี้อีก. เธอเล่าว่าถึงแม้ถูกบาทหลวงขัดขวางต่อต้าน เธอก็พยายามอ่านหนังสือเล่มนั้น. แล้วเธอได้ย้ายไปอยู่ในเมืองหลวง ที่นั่นเธอสามารถจะศึกษาพระคัมภีร์กับพยานฯ. เธอได้รับบัพติสมาพร้อมกับดิฉัน ณ การประชุมภาค ‘ภาษาบริสุทธิ์.’ สมจริงดังคำพยากรณ์ที่ว่าสติปัญญาย่อมออกมาจาก “ปากของเด็กอ่อน”!—มัดธาย 21:16; บทเพลงสรรเสริญ 8:1, 2.
13. วัยรุ่นหลายคนตอบรับอย่างไรต่อคำแนะนำของซะโลโม และเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอย่างไรจากรายงานทั่วโลก?
13 ซะโลโมให้คำแนะนำที่หนุนกำลังใจดังนี้: “โอ เยาวชน จงเปรมปรีดิ์ในปฐมวัยของเจ้า และให้จิตใจของเจ้ากระทำตัวเจ้าให้ร่าเริงในปฐมวัยของเจ้า เจ้าจงดำเนินในทางแห่งใจของเจ้า.” (ท่านผู้ประกาศ 11:9, ฉบับแปลใหม่) เป็นความเบิกบานใจในทุกวันนี้ที่แลเห็นบุตรจำนวนไม่น้อยของพยานพระยะโฮวาปฏิบัติตามคำสอนดังกล่าว โดยการใช้ชีวิตวัยรุ่นของตนเตรียมตัวเพื่อทำงานรับใช้พระยะโฮวาเต็มเวลา และเมื่อจบโรงเรียนแล้วก้าวเข้าสู่งานประจำชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด. จำนวนคนทำงานประเภทไพโอเนียร์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมี 821,108 คน รายงานฐานะเป็นไพโอเนียร์ระหว่างปีการรับใช้ 1990 ร่วมกับพี่น้องชายหญิง 11,092 คน ที่รับใช้ ณ เบเธล นั่นหมายถึง 21 เปอร์เซ็นต์ของผู้ประกาศทั้งหมด.
14. พวกพี่น้องหญิงของเรามีส่วนสนับสนุนการประกาศถึงขนาดไหน และเขาสมควรได้รับคำชมเชยในด้านใด?
14 เป็นเรื่องน่าสนใจที่ว่าในหลายประเทศ เช่นสหรัฐเป็นต้นประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ประกาศประเภทไพโอเนียร์เป็นสตรี เป็นการยืนยันหนักแน่นถึงคำกล่าวในบทเพลงสรรเสริญ 68:11, (ล.ม.) ที่ว่า “พระยะโฮวาเองทรงประทานคำพูด; พวกสตรีที่ประกาศข่าวดีเป็นกองกำลังใหญ่โต.” พี่น้องหญิงของเราสมควรได้รับคำชมเชยที่พวกเขามีส่วนทำงานประกาศได้มาก. การที่พี่น้องหญิงสั่งสอนพระคัมภีร์ตามบ้านด้วยความชำนิชำนาญนั้นได้นำคนเป็นอันมากมาสู่ความจริง และผู้หญิงที่แต่งงานแล้วซึ่งด้วยความภักดีสนับสนุนสามีที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ หลายด้านในประชาคมนั้นก็สมควรได้รับการยกย่องอย่างอบอุ่นเช่นกัน.—สุภาษิต 31:10-12; เอเฟโซ 5:21-25, 33.
การให้ความรู้ด้านพระคัมภีร์กำลังเฟื่องฟู
15. (ก) บางประเทศที่มีชื่อปรากฏในรายงานจากทั่วโลกได้ทำดีเยี่ยมขนาดไหนในการนำการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้าน? (ข) คุณจะเล่าประสบการณ์อะไรได้บ้างซึ่งชี้ถึงวิธีที่การศึกษาพระคัมภีร์สามารถบังเกิดผลที่ดีได้?
15 กิจการด้านการให้ความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์กำลังเฟื่องฟู ทั่วโลกมีการนำการศึกษาเฉลี่ยแต่ละเดือน 3,624,091 ราย. สัจธรรมของคัมภีร์ไบเบิลสามารถเปลี่ยนบุคลิกได้ ดังมีรายงานจากประเทศทางซีกโลกใต้. ราว ๆ ต้นเดือนมกราคม 1987 ชายคนหนึ่งถูกเนรเทศจากออสเตรเลียไปยังนิวซีแลนด์หลังจากติดคุก 25 เดือนด้วยข้อหาปล้นสะดมและปลอมลายมือ. เขาเคยติดยาเสพย์ติด ทั้งเป็นคนขายยาเสพย์ติดเป็นเวลากว่า 17 ปี. แต่ในปีถัดมา ภรรยาของเขาเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับพยานพระยะโฮวา และเมื่อเธอมีความรู้มากขึ้น สามีสังเกตเห็นเธอเปลี่ยนความประพฤติ. เธอกลายเป็นภรรยาและเป็นมารดาที่ดีกว่าแต่ก่อน ๆ. โดยการเร่งเร้าของภรรยา เขาจึงเข้าร่วมการประชุมหมวดเดือนมิถุนายน 1989. ถึงตอนนั้นเขาตกลงศึกษาพระคัมภีร์ และการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่งปรากฏให้เห็นจากลักษณะท่าทางและวิถีชีวิตของเขา. สมาชิกทั้งเจ็ดคนในครอบครัวเริ่มเข้าร่วมการประชุม. สามีได้รับบัพติสมาเดือนมกราคม 1990 เนื่องจากเขาเป็นผู้ปฏิบัติตามคำแนะนำอันดีเยี่ยมของเปาโลที่เอเฟโซ 4:17-24.
16. (ก) รายงานการประชุมอนุสรณ์ปี 1990 เป็นสาเหตุนำมาซึ่งความยินดีอย่างไร? (ข) เราสังเกตดูความเร่งด่วนอะไร และเราควรพยายามทำประการใดเพื่อช่วยเหลือ?
16 ส่วนหนึ่งที่เด่นชัดในรายงานประจำปีได้แก่จำนวนผู้เข้าร่วมฉลองอนุสรณ์ 9,950,058 คน ซึ่งการฉลองนั้นตรงกับวันอังคารที่ 10 เมษายน 1990. รายงานจาก 70 กว่าประเทศใน 212 ประเทศที่ส่งรายงานแจ้งจำนวนผู้เข้าร่วมมากเป็นสามเท่าของจำนวนยอดผู้ประกาศในประเทศนั้น ๆ. อาทิ ทั้ง ๆ ไม่มีเสรีภาพ เจ็ดประเทศในทวีปแอฟริกาซึ่งรวมกันมียอดผู้ประกาศ 62,712 คน ได้รายงานจำนวนผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ 204,356 คน. ผู้ประกาศ 1,914 ในประเทศไลบีเรีย ซึ่งประสบสงครามกลางเมืองชื่นชมยินดีที่เขามี 7,811 คน ณ การประชุมอนุสรณ์. เฮติซึ่งมียอดผู้ประกาศ 6,427 คนรายงาน 36,551 คน ณ การประชุมอนุสรณ์. ผู้ประกาศ 886 คนในหมู่เกาะไมโครนีเซียซึ่งอยู่กระจัดกระจายได้รายงานผู้ร่วมฉลองอนุสรณ์ 3,958 คน. ประเทศศรีลังกา ผู้ประกาศ 1,298 คนรายงานผู้เข้าร่วม 4,521 คน และประเทศแซมเบียมีผู้ประกาศ 73,729 คนมีผู้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์ 326,991 คน ซึ่งเป็นอัตรา 1 คนในทุก ๆ 25 คนแห่งพลเมืองของแซมเบีย. รายงานจากทั่วโลกเผยให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่ามีผู้คนที่จริงใจอีกนับล้าน ๆ คนกำลังรอการรวบรวมเข้ามาอยู่ในฝูง. แต่เฉพาะความจริงใจอย่างเดียวไม่พอ. เราจะเพิ่มจำนวนและปรับปรุงคุณภาพของการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้านที่เรานำได้ไหม เพื่อเสริมสร้างความเชื่อของคนเหล่านั้นที่เข้าร่วมในการประชุมอนุสรณ์ให้มั่นคงแข็งแรง? เราต้องการให้เขาเป็นเพื่อนร่วมงานกล่าวสรรเสริญพระยะโฮวาอย่างขันแข็งเอาจริงเอาจัง. การทำเช่นนั้นหมายถึงชีวิตของเขาทีเดียว!—บทเพลงสรรเสริญ 148:12, 13; โยฮัน 17:3; 1 โยฮัน 2:15-17.
เปี่ยมล้นด้วยความยินดี
17. ตัวอย่างอะไรบ้างในศตวรรษแรกน่าจะช่วยเสริมความตั้งใจของเราที่จะรักษาความชื่นชมยินดีไว้ไม่คลาย?
17 ไม่ว่าเราเผชิญความทุกข์ลำบากในรูปแบบใด ขอให้เราตั้งใจแน่วแน่ยึดเอาความยินดีไว้ให้มั่น. เราอาจจะไม่ถึงกับประสบความทุกข์สาหัสดังกรณีของสะเตฟาโน ถึงกระนั้น ตัวอย่างของท่านก็ชูกำลังเราได้. เมื่อถูกกล่าวหา ท่านสามารถสงบใจได้และคงไว้ซึ่งความยินดี. พวกที่ต่อต้าน “เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์.” พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างท่านระหว่างที่ท่านประสบการทดลองอย่างหนัก. ท่านให้การเป็นพยานด้วยความกล้า และ “ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” กระทั่งสิ้นชีวิต. เมื่อเปาโลกับบาระนาบาหันไปประกาศแก่คนต่างประเทศ คนเหล่านั้นก็เช่นกัน “มีความยินดีและได้สรรเสริญพระคำของพระเจ้า [ยะโฮวา].” ครั้นเกิดการข่มเหงขึ้นอีก แต่หาได้ทำให้คนเหล่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าครั่นคร้ามไม่. “เหล่าสาวกก็เต็มไปด้วยความปีติยินดีและด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์.” (กิจการ 6:15; 7:55; 13:48-52) ไม่ว่าศัตรูจะปฏิบัติกับเราด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่ว่าเราจะมีความทุกข์ยากเพียงไรในชีวิต เราจะต้องไม่ยอมให้ความยินดีของเราในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นลดน้อยไป. เปาโลแนะนำดังนี้ “จงยินดีในความหวัง. จงอดทนในการยากลำบาก. จงหมั่นอธิษฐานอยู่เสมอ.”—โรม 12:12.
18. (ก) ยะรูซาเลมใหม่คืออะไร และทำไมไพร่พลของพระเจ้าควรปีติยินดีกับกรุงนั้น? (ข) “ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” จะนำพระพรมาสู่มนุษยชาติโดยวิธีใด?
18 ความหวังอย่างนั้นน่าอัศจรรย์เพียงไร! พระยะโฮวาทรงแถลงต่อพลไพร่ทั้งปวงของพระองค์ว่า “เพราะดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะสิ่งเก่าก่อนนั้นจะไม่จำกันหรือนึกได้อีก. แต่จงชื่นบานและเปรมปรีดิ์เป็นนิตย์ในสิ่งซึ่งเราสร้างขึ้น.” พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับ “ยะรูซาเลมใหม่” (บัดนี้คือนครหลวงแห่งองค์การของพระเจ้าในภาคสวรรค์ หรือ “ยะรูซาเลมเบื้องบน”) และสมาคมโลกใหม่บนแผ่นดินโลกจะนำมาซึ่งความยินดีมากมายสำหรับมนุษยชาติ. (ฆะลาเตีย 4:26) การปลุกคนตายให้ฟื้น การยกฐานะมนุษย์ที่เชื่อฟังเข้าสู่ชีวิตชั่วนิรันดร์ในสภาพมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อม การมีชีวิตอย่างเป็นคุณประโยชน์และเต็มไปด้วยพลังปราดเปรียวตลอดกาลบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน—นี้แหละคือความหวังอันเลิศลอยและเป็นเหตุให้มีความปีติยินดีสักเพียงไร! พระยะโฮวาเองทรง ‘มีความยินดีในยะรูซาเลมและเปรมปรีดิ์กับพลเมืองของกรุงนั้น’ ฉันใด ผู้พยากรณ์ของพระองค์ก็ประกาศต่อไปแก่ไพร่พลของพระเจ้าฉันนั้นว่า “จงเปรมปรีดิ์กับเยรูซาเลมและยินดีกับเธอ นะบรรดาเจ้าที่รักเธอ. จงเปรมปรีดิ์กับเธอด้วยความชื่นบาน.” (ยะซายา 65:17-19; 66:10, ฉบับแปลใหม่; วิวรณ์ 14:1; 20:12, 13; 21:2-4) ขอให้พวกเราจงเปี่ยมล้นด้วยความยินดี และประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ ขณะที่เราเชื่อฟังคำเตือนของอัครสาวกเปาโลที่ว่า “จงโสมนัสยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกทีว่า จงโสมนัสยินดีเถิด!”—ฟิลิปปอย 4:4.
การพูดโดยย่อถึงความยินดีของเรา:
▫ พระเยซูทรงวางแบบอย่างอะไรในเรื่องการอดทนด้วยความยินดี?
▫ ทั้งสองกลุ่มที่ได้อุทิศตัวแล้วมีเหตุผลอะไรที่จะมีความปีติยินดี?
▫ ทั้งคนหนุ่มคนแก่สมัยนี้ชื่นชมยินดีในความจริงอย่างไร?
▫ เมื่อพิจารณารายงานปี 1990 คำทูลอธิษฐานที่ว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา ขอโปรดพวกข้าพเจ้าได้ประสบความสำเร็จเถิด!” บัดนี้ได้รับคำตอบแล้วอย่างไร?
▫ จะบรรลุความชื่นชมยินดีเต็มเปี่ยมเมื่อไรและอย่างไร?
[แผนภูมิหน้า 18-21]
รายงานเกี่ยวกับปีรับใช้ 1990 ของพยานพระยะโฮวาตลอดทั่วโลก
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
[รูปภาพหน้า 16]
ทูตของพระยะโฮวา ประกาศการบังเกิดของพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเป็น “ข่าวดีซึ่งเป็นที่ชื่นชมยินดีเป็นอันมาก”