การรวบรวม “สิ่งน่าปรารถนา” ในโปแลนด์
โปแลนด์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ถือศาสนาคาทอลิก. ตามสถิติของทางการ ประชากร 93 เปอร์เซ็นต์เป็นสมาชิกของคริสตจักรคาทอลิก. อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ส่งผลกระทบต่อผู้คนและแนวทางศาสนาของเขาอย่างเด่นชัด. จากการสำรวจแสดงว่า มีเพียงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาผู้ถูกสอบถามที่ยอมรับว่าตนยังปฏิบัติตามศาสนาคาทอลิกอยู่.
ในเดือนพฤษภาคมปี 1989 พยานพระยะโฮวาเป็นที่ยอมรับทางการฐานะองค์การศาสนาในโปแลนด์. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนใหม่ ๆ ราว 11,000 คนสมทบกับพวกเขาโดยเป็นผู้ประกาศข่าวดีแห่งราชอาณาจักร. ปัจจุบันผู้ประกาศมากกว่า 106,000 ร่วมสมทบกับประชาคมกว่า 1,300 แห่ง และมี 200,422 คนร่วมสังเกตการณ์ในการประชุมอนุสรณ์ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ในปี 1991. ดังนั้น การรวบรวม ‘สิ่งน่าปรารถนาแห่งทุกชาติ’ ที่บอกไว้ล่วงหน้ากำลังเกิดขึ้นในโปแลนด์. (ฮาฆี 2:7, ล.ม.) เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการพาดหัวข่าวการประชุมนานาชาติของพยานพระยะโฮวาซึ่งจัดขึ้นที่โปแลนด์. แต่การสำรวจดูเมืองต่าง ๆ ที่เล็กกว่าแสดงให้เห็นเป็นพิเศษว่างานรวบรวมดำเนินไปอย่างไรในดินแดนแห่งนี้.
ไพโอเนียร์เปิดทาง
ซทุมเป็นเมืองที่มีประชากรราว 10,000 คนตั้งอยู่ใกล้จุดที่แม่น้ำวิสตุลาไหลลงสู่ทะเลบอลติก. เป็นเวลานานที่ว่ากันว่าเมืองนี้เป็นเขตทำงานที่ยากในการประกาศ. ในปี 1987 มีผู้ประกาศเพียงแปดคนในเขตนี้. อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อพวกไพโอเนียร์หรือผู้ประกาศราชอาณาจักรเต็มเวลามาถึง. ณ การประชุมครั้งที่ห้าซึ่งจัดขึ้นที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง มีประชาชนที่สนใจเข้าร่วมถึง 100 คน! มีการตั้งประชาคมขึ้นหลังจากความพยายามอย่างขยันขันแข็งนานสองปี. ปัจจุบันนี้ผู้ประกาศ 90 คนมีหอประชุมของเขาเองแล้ว และมี 150 คนร่วมประชุมเป็นประจำ.
ดังที่คาดไว้ ในไม่ช้าก็มีการต่อต้านจากคริสตจักรคาทอลิก. แม่ชี “ผู้เจนจัด” กล่าวคำปราศรัยใส่ร้ายพวกพยานฯกล่าวหาว่าหลักคำสอนของพวกเขาเท็จ. แต่ดังที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง สิ่งนี้ก่อผลสะท้อนกลับ. คำปราศรัยของเธอมีแต่จะทำให้ผู้คนต้องการทราบข้อเท็จจริง. คนพวกนั้นหลายคนเรียนความจริงและปัจจุบันนี้เป็นไพโอเนียร์ประจำ! พวกเขาพูดว่า ‘ขณะที่เรียนความจริง เราคิดว่าทุกคนที่ต้องการเป็นพยานฯจะต้องเป็นเหมือนครูของเขา ซึ่งหมายถึงมาเป็นไพโอเนียร์.’ ดังนั้น น้ำใจไพโอเนียร์แผ่ซ่านไปทั้งประชาคม.
ผลก็คือมีการนำการศึกษาพระคัมภีร์ 180 รายในเขตนั้น. โดยอาศัยหนังสือ ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก บางคนได้รับการสอนให้อ่านได้เสียด้วยซ้ำ. ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เรียนความจริงไปด้วย. มีการศึกษาพระคัมภีร์สิบนาทีเป็นประจำกับกลุ่มนักโทษท้องถิ่นตอนที่พวกเขาออกมาทำความสะอาดถนน. นักโทษคนหนึ่งกลายเป็นผู้ปกป้องพยานฯขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งผ่านมาและด่าว่าพี่น้องหญิง. เขาวิ่งไปหาพี่น้องหญิงคนนี้ แล้วคว้าหนังสือชีวิตตลอดไป จากมือของเธอ ชูหนังสือขึ้นและถามหญิงคนที่ด่านั้นว่า “คุณอ่านไม่ออกหรือ? นี่เขียนว่าอะไร? ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก! คุณเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนไหม? แล้วทำไมคุณถึงพูดสบประมาทพระเจ้าและผู้รับใช้ของพระองค์?”
เป็นหัวข้อที่คุยกันในเมือง
เล่ากันว่าครั้งหนึ่งครูซวิกาเคยเป็นเมืองหลวงของโปแลนด์เป็นที่มั่นของพวกคาทอลิก. แม้ว่าตอนกลางปี 1990 มีพยานฯเพียงไม่กี่คนท่ามกลางพลเมือง 9,300 คน. ทว่าพระพรของพระยะโฮวามากมายหลั่งลงเหนือความพยายามของผู้ประกาศราชอาณาจักร.
เมื่อเห็นความน่าซื่อใจคดของผู้นำศาสนาของตน ประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ—โดยเฉพาะพวกหนุ่มสาว—หันมาหาพยานฯเพื่อได้คำตอบ. ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ มีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามบ้าน 20 ราย. นักเทศน์ประจำเมืองให้คำเทศน์ที่มุ่งร้ายเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวา แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้สุจริตชนท้อใจในการเข้าร่วมประชุม. เรื่องพยานฯกลายเป็นหัวข้อหลักของการสนทนาตามร้านรวงและสวนสาธารณะและแม้กระทั่งในโบสถ์. ครึ่งปีต่อมา กลุ่มศึกษาหนังสือสองกลุ่มใหญ่ ๆ ได้รับการจัดตั้งขึ้น. ตอนนี้ ครูซวิกามีประชาคมที่แข็งขันประกอบด้วยผู้นมัสการพระยะโฮวาประมาณ 35 คน. พวกเขานำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามบ้าน 75 รายและกำลังง่วนอยู่กับการนำ “สิ่งน่าปรารถนา” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทาสของศาสนาเท็จเข้ามา.
ท่ามกลางคนเหล่านี้มีบ๊อกดานอายุ 23 ปีซึ่งเป็นสมาชิกครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด. เขาเล่าว่า “ผมเคยดื่มเหล้า, สูบบุหรี่, และใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม. ผมเป็นที่รู้จักว่าเป็นพวกพังก์ ถือลัทธิอนาธิปไตย และดูเหมือนว่าไม่มีใครสนใจใยดี. อย่างไรก็ดี พอผมเริ่มศึกษาพระคัมภีร์ คุณแม่ของผมขู่ว่าเธอจะกินยาฆ่าตัวตาย. เนื่องจากไม่สามารถทนความกดดันได้ ผมเลิกติดต่อกับพยานฯ. ต่อมา ด้วยความช่วยเหลือด้วยความรักของพวกไพโอเนียร์พิเศษ ผมสามารถหลุดพ้นจากกิจปฏิบัติไม่ดีต่าง ๆ ได้. เมื่อรับบัพติสมา ณ การประชุมภาค ‘ชนผู้รักเสรีภาพ’ ปี 1991 ผมเลือกงานรับใช้เต็มเวลาเป็นเป้าหมายในชีวิตและผมเป็นไพโอเนียร์สมทบนับแต่นั้นมา.”
สลาโวมีร์วัยยี่สิบเอ็ดปีเข้าไปพัวพันกับการเล่นผีและบูชาซาตาน และพอทราบว่าคัมภีร์ไบเบิลตำหนิกิจปฏิบัติดังกล่าว เขาจึงเลิกยุ่งเกี่ยว. เขาเล่าว่า “แต่ซาตานยังมารังควานอยู่. คืนหนึ่งเครื่องเล่นบันทึกเสียงเล่นเองโดยไม่มีใครเปิดสวิตซ์ และผมได้ยินเพลงที่บูชาซาตาน แม้ว่าผมขจัดทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการผีปีศาจแล้วก็ตาม. ผมอธิษฐานถึงพระยะโฮวา และพระองค์ทรงช่วยผมฟื้นสภาพฝ่ายวิญญาณให้สมดุลอีกครั้งหนึ่ง. จิตแพทย์ที่ผมไปปรึกษาเนื่องจากแรงผลักดันของคุณพ่อกับคุณแม่สังเกตเห็นสภาพของผมเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงและสรุปว่าผมแข็งแรงดี. เขาเขียนที่ใบบันทึกสุขภาพของผมว่า ‘ได้รับการรักษาโดยพยานพระยะโฮวา’”
ต่อต้านน้ำใจแบบโลก
ชรอดา ชลอนสกาเป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของครูซวิกา. “สิ่งน่าปรารถนา” ยังปรากฏให้เห็นเช่นกันในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ที่มีประชากร 9,000 คน. สี่ปีที่แล้ว มีเพียงพี่น้องหญิงคนเดียวซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น. อย่างไรก็ดี ปัจจุบันจำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักรขึ้นถึง 47 คน. แต่ก่อนพยานฯหลายคนเคยตกหลุมพรางในการเล่นผี, ติดยาเสพย์ติด, และการผิดศีลธรรม. พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ส่วนมากเนื่องด้วยความว่างเปล่าด้านวิญญาณที่มีอยู่ตามโบสถ์ซึ่งมีแต่ตำหนิผู้คนด้านวิญญาณเท่านั้นไม่ได้ช่วยอะไรพวกเขา. เหล่าพยานฯเสนอการปลดเปลื้องอย่างแท้จริงแก่ประชาชน.
พวกหนุ่มสาวในประชาคมได้ทำให้โรงเรียนเป็นเขตทำงานส่วนตัวของเขาสำหรับงานประกาศ. คาเซียวัย 18 ปีเล่าว่า “เพื่อนนักเรียนของดิฉันมักจะพูดเสมอว่า ‘เธอกำลังทำให้วัยสาวของเธอสูญเปล่า.’ แต่ดิฉันพ้นจากปัญหาหลายอย่าง และชีวิตของฉันก็เริ่มมีความหมาย. ดิฉันนำการศึกษาพระคัมภีร์หลายรายที่โรงเรียนและไม่ได้ละเลยการทำการบ้านหรือการศึกษาส่วนตัว. พวกผู้หญิงที่พูดว่าฉัน ‘กำลังทำให้วัยสาวของฉันสูญเปล่า’ เป็นแม่คนไปแล้ว และต้องรับมือกับปัญหาหนักมากมาย.”
สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ของว็อชเทาเวอร์เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายตามโรงเรียนท้องถิ่น. อย่างเช่น ครูสอนภาษาโปแลนด์คนหนึ่งบอกนักเรียนของเธอให้เลียนแบบภาษาที่เรียบง่ายในวารสารตื่นเถิด โดยดูเป็นแบบอย่างในการเขียนความเรียง. อีวา ไพโอเนียร์สมทบพบว่าจุลสารโรงเรียนและพยานพระยะโฮวา เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง. “ดิฉันหยั่งรู้ค่าจุลสารฉบับนี้จริง ๆ. ครูของดิฉันคุ้นเคยกับจุลสารนี้เป็นอย่างดี. ดิฉันไม่เคยมีปัญหาใด ๆ ในการขออนุญาตหยุดเรียนเพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่.” ทัศนะอันดีงามเช่นนี้ในส่วนของผู้คนหนุ่มสาวทำให้พระทัยของพระยะโฮวายินดี.—สุภาษิต 27:11.
นักโทษที่แข็งกร้าวเปลี่ยนไป
ด้านตะวันออกของชรอดา ชลอนสกา เป็นเมืองสเชลต์เซ โอโปลสกี เป็นที่ตั้งของทัณฑสถานสองแห่ง. แห่งหนึ่งมีมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันการหลบหนีสำหรับนักโทษประเภทที่ยากจะกลับตัว. เหล่าพยานฯไปเยี่ยมทัณฑสถานทั้งสองแห่งนี้เป็นประจำเพื่อให้ความจริงกับนักโทษ ซึ่งส่วนมากแล้วยังเป็นเชลยของบาบูโลนใหญ่ จักรภพโลกแห่งศาสนาเท็จ.—วิวรณ์ 18:1-5.
พยานฯศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวกับนักโทษบางคนและศึกษาเป็นกลุ่มเล็กด้วย บางคนในจำนวนนั้นรับบัพติสมา. แม้พวกเขายังถูกคุมขังอยู่เนื่องจากยังไม่พ้นโทษ พวกเขาประกาศข่าวดีอย่างกระตือรือร้นแก่บรรดาเพื่อนนักโทษ. นักโทษคนหนึ่งซึ่งเตรียมตัวจะรับบัพติสมาได้ทำการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดกระทั่งผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาตให้เขากลับบ้านได้สัปดาห์ละครั้ง. คนอื่นบางคนก็เขียนจดหมายเล่าให้ครอบครัวของตนฟังเกี่ยวกับสิ่งที่ตั้งใจจะทำเมื่อออกจากเรือนจำ ไม่ใช่เป็นอาชญากร แต่จะเป็นพยานพระยะโฮวา.
ผู้อำนวยการทัณฑสถานแห่งหนึ่งบ่นว่าบาทหลวงคาทอลิกเคยมาแต่ก็ไม่บรรลุผลสำเร็จอะไร. เขาถามพยานฯว่า “อะไรช่วยพวกคุณปรับเปลี่ยนและฟื้นฟูคนเหล่านี้ให้ดีขึ้น?” คำตอบอยู่ที่จดหมายฉบับหนึ่งของนักโทษซึ่งเขียนถึงครอบครัวของเขาความว่า “ในเรือนจำนี้ พยานพระยะโฮวาได้เล่าให้ผมฟังเรื่องพระประสงค์อันน่ามหัศจรรย์ของพระเจ้าเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ ราชอาณาจักรของพระยะโฮวาซึ่งจะปกครองเหนือแผ่นดินโลกในไม่ช้า. ที่นี่ผมมีเวลาวิเคราะห์แนวทางชีวิตแต่ก่อน ๆ โดยอาศัยแสงแห่งคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อต้องลงเอยด้วยสภาพอันน่าขมขื่นเช่นนี้ ผมเกิดความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อจะเป็นคนที่ได้อิสรภาพและยอมตัวอยู่ใต้ราชอาณาจักรของพระเจ้า. ปัจจุบันผมเป็นพยานพระยะโฮวาที่รับบัพติสมาแล้ว.”
ในทัณฑสถานอีกแห่งหนึ่ง หลายคนต้องรับโทษนานถึง 25 ปีเพราะเป็นฆาตกร. มีการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผู้ชาย 12 คน. คนหนึ่งในจำนวนนั้นอุทิศชีวิตของเขาแด่พระยะโฮวาและรับบัพติสมา และคนอื่น ๆ กำลังวางแผนไปสู่ขั้นตอนนี้. ด้วยความหยั่งรู้ค่าผลดีของวิธีการศึกษาซึ่งพยานพระยะโฮวาใช้ ผู้อำนวนการเรือนจำกล่าวว่า “ผมไม่ได้มีนักโทษ 12 คน. ผมมี 600 คน. โปรดช่วยผมที่จะแก้ไขพวกเขาให้เป็นคนดี. ผมจะจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ แต่กรุณาช่วยจัดเตรียมรายการสอน. ช่วยดูแลพวกเขา!”
นั่นเป็นสิ่งที่พวกพี่น้องชายได้ทำทีเดียว. พวกเขาเสนอรายการทางพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับจุดมุ่งหมายในชีวิต, ความหวังในเรื่องอนาคต, และความสำคัญของการเลิกกิจปฏิบัติไม่ดีต่าง ๆ. นอกจากนั้น เขายังเล่าถึงประสบการณ์ของอดีตนักโทษซึ่งเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งและในที่สุดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองในประชาคม. พวกพยานฯยังเล่าประสบการณ์ชีวิตของนักขโมยเพชรและคนใช้ยาเสพย์ติดซึ่งเรียนความจริง.a นักโทษ 20 คนที่ได้ฟังรู้สึกว่ารายการนี้น่าสนใจมากและถามคำถามหลายข้อ บางคนถึงกับขอศึกษาพระคัมภีร์.
a ดูอเว้ก! ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 1983 หน้า 16-19, และตื่นเถิด ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม 1987 หน้า 24-27.
การทดลองความเชื่อและความอดทน
ลูเบชุฟเป็นเมืองเล็ก ๆ มีประชากร 12,000 คนอยู่ใกล้กับชายแดนติดกับรัฐยูเครน. งานเผยแพร่ที่นั่นได้รับพลังคืบหน้าในปี 1988 เมื่อพวกไพโอเนียร์ย้ายมาอยู่เพื่อช่วยผู้ประกาศในท้องถิ่น 12 คน. ขณะนี้มีผู้ประกาศราชอาณาจักรที่เอาการเอางาน 72 คน และมี 150 คนเข้าร่วมสังเกตการณ์คราวการประชุมอนุสรณ์ ณ หอประชุมราชอาณาจักรที่สร้างขึ้นใหม่.
ในเดือนมิถุนายนปี 1991 สันตะปาปาจอห์น ปอลที่สอง มาเยือนลูเบชุฟ. แต่การมาครั้งนี้ก็ไม่ได้เสริมความเชื่อแท้ท่ามกลางประชาชน. พวกเขาหลายคนเป็นทุกข์เนื่องจากไม่แน่ใจและสงสัยเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของชีวิตและความหวังสำหรับอนาคต. เมื่อพวกเขาไม่ได้รับคำตอบอย่างน่าพอใจจากบาทหลวง พวกเขาหันมาหาพยานพระยะโฮวา. แม้ในตอนแรกประชาชนอาจรู้สึกทุกข์ใจที่ละจากศาสนาเดิมของตน แต่ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่พวกเขาเรียนช่วยให้เห็นว่าเขาได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องแล้ว.
ประสบการณ์ของออนอราตา ซึ่งตอนนี้เป็นไพโอเนียร์ประจำ เป็นตัวอย่างหนึ่ง. ประมาณหนึ่งปีมาแล้ว เธอถามว่าพระเจ้าชื่ออะไรขณะที่สารภาพบาปกับบาทหลวง. บาทหลวงตอบว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก—นั่นเป็นนามอันไพเราะที่สุดของพระองค์.” ครู่ต่อมาเขาเพิ่มเติมว่า “เธอเป็นเหมือนถังที่มีน้ำใสบริสุทธิ์ซึ่งมีคนหยดน้ำหมึกลงไป. ผลกระทบจากสิ่งนี้ไม่สามารถแปรเปลี่ยนได้.” ดังนั้นเธอได้รับคำตอบของเธอแล้ว. ออนอราตาบอกว่า “แล้วดิฉันจึงตัดสินใจว่าดิฉันจะเป็นพยานพระยะโฮวา. เรื่องนี้ก็เช่นกันแปรเปลี่ยนไม่ได้.”
เกือบทุกคนที่เรียนความจริงในลูเบชุฟต้องอดทนการต่อต้านอย่างรุนแรง กระทั่งบ้าคลั่ง. แต่สิ่งนี้ไม่ได้กีดขวางพวกเขาไว้จากการติดสนิทอยู่กับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลและยืนหยัดมั่นคงอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา.
เอลซ์บีตาเล่าว่า “ทีแรกคุณพ่อคุณแม่ทุบตีดิฉันที่บ้าน. ต่อมาครอบครัวของดิฉันบุกมาที่หอประชุม. . . . พวกเขาพาดิฉันกลับบ้านและเริ่ม ‘ปฏิบัติอย่างเป็นธรรม’ กับดิฉันด้วยไม้เรียวที่มีปุ่ม. ดิฉันถูกตีและเตะตั้งแต่หัวจรดเท้าเพียงเพราะว่าดิฉันสมทบกับพวกพยานฯ. ดิฉันถูกทุบตีหนักมากกระทั่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์โดยด่วนและถูกส่งโรงพยาบาล. พระยะโฮวาทรงช่วยเหลือดิฉัน ดิฉันจึงฟื้นตัวดีขึ้น. ครอบครัวพากันปฏิเสธดิฉัน. พอดิฉันเล่าเรื่องนี้ให้บาทหลวงฟัง เขาทับถมดิฉันโดยพูดว่า ‘เธอมาร้องเรียนเพราะโดนตีไม่กี่ทีเท่านั้นหรือ?’”
พี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งระลึกว่า “ทุก ๆ ปีดิฉันมักจะไปที่เชนสโตโควาเพื่อคลานรอบภาพสิบสี่ภาพที่แสดงถึงความทรมารของพระเยซู ซึ่งดิฉันถือว่าเป็นหน้าที่ของคาทอลิกที่ซื่อสัตย์. ดิฉันยังมีรอยแผลเป็นอยู่ที่หัวเข่า.” เมื่ออายุ 18 ปีเธอเรียนความจริงและบอกกับบาทหลวงและครอบครัวของเธอว่าเธอจะไม่กลับไปที่โบสถ์อีก. เธอเล่าว่า เธอถูกทุบตีอย่างหนัก—“หนักมากจนสมองของดิฉันได้รับการกระทบกระเทือน. แต่เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาลดิฉันแข็งแรงขึ้นพอที่จะเข้าร่วมประชุมภาค ‘ชนผู้รักเสรีภาพ.’ ดิฉันร้องไห้ด้วยความสุขใจยินดีเมื่อเห็นเอกภาพแท้และความรักท่ามกลางประชาชนซึ่งหาได้เป็นผู้ที่คลั่งไคล้ในศาสนา—สิ่งที่ดิฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในเชนสโตโควา. ดิฉันมีความสุขสักเพียงไรที่ได้สัมผัสความดีประเสริฐของพระยะโฮวาและได้เรียนรู้ที่จะวางใจในพระองค์.” พระยะโฮวาทรงเสริมกำลังให้เข้มแข็งและทรงค้ำจุนคนเหล่านั้นที่ทอดภาระไว้กับพระองค์.—บทเพลงสรรเสริญ 55:22.
ปัจจุบันนี้ คนจำนวนมากที่เคยถูกกักขังอยู่ในบาบูโลนใหญ่ในประเทศคาทอลิกแห่งนี้ กำลังเอาใจใส่เสียงเรียกที่ให้ “ออกมาจากเมืองนั้น” เหมือนในที่อื่น ๆ. หากเป็นพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา พลไพร่ที่ไม่หวั่นกลัวของพระองค์จะเก็บรวบรวม “สิ่งน่าปรารถนา” ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วโปแลนด์เข้ามามากขึ้นอีกต่อ ๆ ไป. แน่นอน อีกหลายคนจะตอบรับเสียงเรียกที่ว่า “‘เชิญมาเถิด’ และผู้ที่กระหายให้เขามาเถิด และใครผู้ใดมีน้ำใจประสงค์ ก็ให้ผู้นั้นมารับประทานน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียค่าอะไรเลย.”—วิวรณ์ 18:4; 22:17.
[แผนที่หน้า 24]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
โปแลนด์
ซทุม
ครูซวิกา
โปซนัน
วอร์ซอ
ชรอดา ชลอนสกา
เชนสโตโควา
สเชลต์เซ โอโปลสกี
ลูเบชุฟ
[รูปภาพหน้า 26]
การประกาศข่าวราชอาณาจักรในครูซวิกาประเทศโปแลนด์