การยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความยินดี
“ท่านมีใจเชื่อฟังคำสอนนั้น.”—โรม 6:17.
1, 2. (ก) วิญญาณชนิดไหนปรากฏชัดในโลกปัจจุบัน และแหล่งกำเนิดวิญญาณดังกล่าวและผลกระทบของมันคืออะไร? (ข) ผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาแล้วแสดงให้เห็นอย่างไรว่าพวกเขาแตกต่างออกไป?
“วิญญาณที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง” เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างน่าตกตะลึงในปัจจุบัน. มันเป็นวิญญาณที่แสดงการไม่ขึ้นกับผู้ใดโดยไม่มีการเหนี่ยวรั้ง ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากซาตาน “ผู้มีอำนาจครอบครองในอากาศ.” วิญญาณนี้ หรือ “อากาศ” หรือทัศนะที่ครอบงำแห่งความเห็นแก่ตัวและการไม่เชื่อฟัง สำแดง “อำนาจ” หรือพลานุภาพ เหนือมนุษยชาติส่วนใหญ่. นี้คือเหตุผลประการหนึ่งที่โลกตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าเป็นวิกฤตการณ์ของอำนาจ.—เอเฟโซ 2:2, ล.ม.
2 น่ายินดี เวลานี้ผู้รับใช้ซึ่งอุทิศตัวแล้วของพระยะโฮวาไม่หายใจเอา “อากาศ” ที่เจือมลพิษ หรือวิญญาณแห่งการต่อต้านเข้าในปอดฝ่ายวิญญาณของตน. พวกเขาทราบดีว่า “พระเจ้าจึงทรงลงอาชญาแก่บุตรทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง.” อัครสาวกเปาโลกล่าวเสริมว่า “ท่านทั้งหลายอย่าเข้าส่วนด้วยกันกับคนเหล่านั้นเลย,” (เอเฟโซ 5:6, 7) แทนที่จะทำเช่นนั้น คริสเตียนแท้บากบั่นเพื่อจะ “ประกอบด้วยพระวิญญาณ [ของพระยะโฮวา]” และพวกเขารับเอา “สติปัญญาที่มาจากเบื้องบน” ซึ่ง “บริสุทธิ์เป็นที่หนึ่ง, แล้วเป็นที่เกิดสันติสุข, และอ่อนสุภาพ, และว่าง่าย.”—เอเฟโซ 5:17, 18; ยาโกโบ 3:17, ล.ม.
เต็มใจอยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา
3. อะไรเป็นหลักสำคัญเพื่อจะเต็มใจยอมอยู่ใต้อำนาจ และประวัติศาสตร์ให้บทเรียนอะไรที่สำคัญยิ่งแก่เรา?
3 หลักสำคัญเพื่อจะเต็มใจอยู่ใต้อำนาจคือการยอมรับอำนาจอันถูกทำนองคลองธรรม. ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแสดงให้เห็นแล้วว่า การปฏิเสธพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาไม่นำมาซึ่งความสุขเลย. การปฏิเสธดังกล่าวไม่ได้ทำให้อาดามกับฮาวามีความสุข หรือแม้แต่ซาตานพญามารตัวการยุยงให้กบฏก็ไม่มีความสุข. (เยเนซิศ 3:16-19) ในภาวะตกต่ำอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้ ซาตานมี “ความโกรธยิ่งนัก” เพราะรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย. (วิวรณ์ 12:12) สันติภาพและความผาสุกของมนุษยชาติ ใช่แล้ว ของเอกภพทั้งสิ้นย่อมขึ้นอยู่กับการยอมรับพระบรมเดชานุภาพอันเที่ยงธรรมของพระยะโฮวา.—บทเพลงสรรเสริญ 103:19-22.
4. (ก) พระยะโฮวาประสงค์จะให้ผู้รับใช้ของพระองค์แสดงการยอมอยู่ใต้อำนาจและการเชื่อฟังในลักษณะใด? (ข) พวกเราควรเชื่อมั่นในเรื่องอะไร และผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญได้พูดไว้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?
4 กระนั้น เนื่องจากคุณลักษณะประการต่าง ๆ ของพระองค์ซึ่งเป็นดุลยภาพต่อกันอย่างน่าพิศวงนี้เอง การเชื่อฟังอย่างแกน ๆ จึงไม่เป็นที่พอพระทัยพระยะโฮวา. แน่นอน พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจยิ่ง แต่พระองค์ไม่ใช่ทรราช. พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก และทรงประสงค์ให้สิ่งมีชีวิตที่มีเชาวน์ปัญญาเต็มใจเชื่อฟังพระองค์เพราะเขารักพระองค์. พระองค์ต้องการให้เขายอมอยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์เพราะเขาเลือกด้วยความเต็มใจจะอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ซึ่งชอบธรรมและถูกทำนองคลองธรรม พร้อมกับความเชื่อมั่นว่า สำหรับเขาแล้วจะไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเชื่อฟังพระองค์ตลอดไป. คนประเภทที่พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้อยู่ในเอกภพของพระองค์นั้นมีความรู้สึกเหมือนผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่เขียนว่า “กฎหมายของพระยะโฮวาดีรอบคอบ เป็นที่ให้จิตวิญญาณฟื้นตื่นขึ้น. คำเตือนสติของพระยะโฮวาวางใจได้ ทำให้ผู้ที่ขาดประสบการณ์มีปัญญา. คำสั่งของพระยะโฮวานั้นเที่ยงตรง ทำให้หัวใจชื่นบาน; พระบัญญัติของพระยะโฮวาสะอาด กระทำให้ดวงตาสุกใส. ความเกรงกลัวพระยะโฮวาบริสุทธิ์ ยั่งยืนเป็นนิตย์. คำพิพากษาของพระยะโฮวาสัตย์จริง และปรากฏแล้วว่าชอบธรรมทั้งนั้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:7-9, ล.ม.) ความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในความถูกต้องและความชอบธรรมแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา—นี้แหละต้องเป็นทัศนะของเรา หากเราปรารถนาจะอยู่ในโลกใหม่ของพระยะโฮวา.
การยอมอยู่ใต้อำนาจพระมหากษัตริย์ของเราด้วยความปีติยินดี
5. พระเยซูได้รับบำเหน็จอย่างไรเพราะการเชื่อฟังของพระองค์ และพวกเรายอมรับสิ่งใดด้วยความเต็มใจ?
5 พระเยซูคริสต์เองทรงเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการยอมอยู่ใต้อำนาจพระบิดาของพระองค์ทางภาคสวรรค์. เราอ่านว่า “พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ และยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา คือความมรณาบนหลักทรมาน.” เปาโลเสริมอีกว่า “เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นให้ดำรงตำแหน่งสูง และทรงโปรดประทานพระนามซึ่งเหนือนามอื่นทั้งหมดให้แก่พระองค์ เพื่อทุกหัวเข่าในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดีและใต้พื้นแผ่นดินก็ดีจะได้กราบลงในพระนามของพระเยซู และลิ้นทุกลิ้นจะรับอย่างเปิดเผยว่าพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อถวายเกียรติยศแด่พระเจ้าพระบิดา.” (ฟิลิปปอย 2:8-11, ล.ม.) ใช่แล้ว ด้วยความปีติยินดี พวกเราคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์ ผู้นำและพระมหากษัตริย์ของเรา.—มัดธาย 23:10.
6. พระเยซูทรงพิสูจน์พระองค์เป็นพยานและผู้นำชนนานาชาติอย่างไร และ “การปกครอง” ของพระองค์จะต่อเนื่องหลังจากความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่อย่างไร?
6 พระยะโฮวาทรงพยากรณ์ถึงพระคริสต์ผู้นำของพวกเราดังนี้: “ดูเถิด เรากระทำให้ท่านเป็นพยานต่อชนชาติทั้งหลาย เป็นหัวหน้าและผู้บัญชาการเพื่อชนชาติทั้งปวง.” (ยะซายา 55:4, ฉบับแปลใหม่) โดยงานรับใช้ที่พระองค์ทรงกระทำบนแผ่นดินโลกและโดยการชี้นำงานประกาศข่าวดีจากสวรรค์ภายหลังการวายพระชนม์แล้วถูกปลุกขึ้นมา พระเยซูทรงสำแดงต่อประชาชนทุกชาติว่าพระองค์เป็น “พยานที่ซื่อสัตย์และสัตย์จริง” ของพระบิดา. (วิวรณ์ 3:14, ล.ม.; มัดธาย 28:18-20) กลุ่มชนนานาชาติดังกล่าวเวลานี้มี “ชนฝูงใหญ่” เป็นตัวแทนที่มีจำนวนเพิ่มทวีขึ้นซึ่งจะรอดชีวิตผ่าน “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่” ภายใต้การนำของพระคริสต์. (วิวรณ์ 7:9, 14) แต่ความเป็นผู้นำของพระคริสต์ไม่ได้สิ้นสุดแค่นั้น. “การปกครอง” ของพระองค์จะยืนนานถึงหนึ่งพันปี. สำหรับมนุษย์ที่เชื่อฟัง พระองค์จะทรงดำเนินงานสมดังบทบาทของพระองค์ในฐานะ “ที่ปรึกษามหัศจรรย์, พระเจ้าทรงอานุภาพ, พระบิดาองค์ถาวร, และองค์สันติราช.”—ยะซายา 9:6, 7; วิวรณ์ 20:6.
7. ถ้าเราปรารถนาจะให้พระเยซูคริสต์นำเราไปถึง “น้ำพุทั้งหลายแห่งชีวิต” เราต้องทำอะไรโดยไม่ชักช้า และอะไรจะทำให้เราเป็นที่รักของพระเยซูและของพระยะโฮวา?
7 ถ้าเราปรารถนาจะได้ประโยชน์จาก “น้ำพุทั้งหลายแห่งชีวิต” ซึ่งพระเยซูคริสต์พระเมษโปดกจะทรงนำคนทั้งหลายที่สภาพหัวใจของเขาถูกต้องไปถึง พวกเราก็ต้องไม่รีรอที่จะพิสูจน์โดยแนวทางการกระทำของเราว่า เราเต็มใจยินดียอมอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์. (วิวรณ์ 7:17; 22:1, 2; เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 2:12.) พระเยซูตรัสดังนี้: “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักเรา เจ้าก็จะปฏิบัติตามบัญญัติของเรา. ผู้ที่มีบัญญัติของเรา และปฏิบัติตามบัญญัตินั้น ผู้นั้นแหละเป็นผู้ที่รักเรา. ส่วนผู้ที่รักเรา พระบิดาของเราก็จะทรงรักเขา และเราจะรักเขา.” (โยฮัน 14:15, 21, ล.ม.) คุณต้องการเป็นที่รักของพระเยซูและของพระบิดาของพระองค์ไหม? ถ้าเช่นนั้น ก็จงยอมอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ทั้งสองเถิด.
ผู้ดูแลทั้งหลายเชื่อฟังด้วยความปีติยินดี
8, 9. (ก) พระคริสต์ทรงจัดเตรียมสิ่งใดเพื่อการก่อร่างสร้างประชาคมขึ้น และบุคคลเหล่านี้ควรเป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะในด้านใด? (ข) การที่คริสเตียนผู้ดูแลทั้งหลายยอมตัวอยู่ใต้อำนาจเช่นนั้นบอกเป็นนัยไว้อย่างไรในพระธรรมวิวรณ์ และโดยวิธีใดพวกเขาควรพยายามให้ได้มาซึ่ง ‘หัวใจที่เชื่อฟัง’ เมื่อดำเนินการพิจารณาตัดสินความ?
8 “ประชาคมอยู่ใต้อำนาจพระคริสต์.” ในฐานะเป็นผู้ดูแลประชาคม พระองค์ทรงให้ “ของประทานในลักษณะมนุษย์” เพื่อ “ก่อร่างสร้าง” ประชาคม. (เอเฟโซ 4:8, 11, 12; 5:24, ล.ม.) ผู้เฒ่าผู้แก่ฝ่ายวิญญาณเหล่านี้รับคำสั่งให้ “บำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าในความอารักขาของท่านทั้งหลาย” และ “ไม่ใช่เหมือนเจ้านายกดขี่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นมรดกของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น.” (1 เปโตร 5:1-3, ล.ม.) ฝูงแกะเป็นของพระยะโฮวา และพระคริสต์ทรงเป็น “ผู้เลี้ยงที่ดี.” (โยฮัน 10:14) เนื่องจากพวกผู้ดูแลคาดหมายอย่างสมควรจะได้รับความร่วมมือจากบรรดาแกะที่พระยะโฮวาและพระคริสต์ทรงมอบให้อยู่ในความอารักขาของตน ผู้ดูแลเหล่านี้แหละควรเป็นแบบอย่างที่ดีเกี่ยวด้วยการอ่อนน้อมเชื่อฟัง.—กิจการ 20:28.
9 ในศตวรรษแรก ผู้ดูแลที่ถูกเจิมโดยนัยแล้วเสมือนอยู่ “ใน” หรือ “บน” พระหัตถ์ขวาของพระคริสต์ อันแสดงถึงการยอมอยู่ใต้อำนาจพระองค์ฐานะที่ทรงเป็นประมุขของประชาคม. (วิวรณ์ 1:16, 20; 2:1, ล.ม.) ทุกวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้ดูแลที่อยู่ในประชาคมพยานพระยะโฮวาจึงควรยอมอยู่ภายใต้การชี้นำของพระคริสต์และ ‘ถ่อมตัวลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า.’ (1 เปโตร 5:6, ล.ม.) เมื่อมีการขอร้องให้ดำเนินการพิจารณาตัดสินความ พวกเขาควรปฏิบัติเยี่ยงกษัตริย์ซะโลโมในระหว่างช่วงเวลาที่ซื่อสัตย์ ซึ่งท่านได้อธิษฐานขอพระยะโฮวาดังนี้: “ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแก่ทาสของพระองค์ให้มีใจที่จะเข้าใจ [หัวใจที่เชื่อฟัง, ล.ม.] ในการพิพากษาไพร่พลของพระองค์, เพื่อข้าพเจ้าจะสังเกตได้ซึ่งการดีและการชั่ว.” (1 กษัตริย์ 3:9) หัวใจที่เชื่อฟังจะกระตุ้นผู้ปกครองให้พยายามมองสิ่งต่าง ๆ เหมือนพระยะโฮวาและพระเยซูคริสต์ทรงมอง เพื่อว่าการตัดสินที่กระทำกันบนแผ่นดินโลกจะใกล้เคียงกันกับการตัดสินที่กระทำในสวรรค์.—มัดธาย 18:18-20.
10. โดยวิธีใดผู้ดูแลทุกคนควรพยายามเลียนแบบพระเยซูในวิธีที่เขาปฏิบัติต่อฝูงแกะ?
10 ในทำนองเดียวกัน ผู้ดูแลเดินทางและผู้ปกครองในประชาคมจะบากบั่นเลียนแบบพระคริสต์ในแนวที่พระองค์ปฏิบัติต่อฝูงแกะ. ต่างกันกับพวกฟาริซาย พระเยซูไม่ตั้งกฎเกณฑ์มากมายซึ่งปฏิบัติตามได้ยาก. (มัดธาย 23:2-11) พระองค์ตรัสแก่คนนิสัยเยี่ยงแกะดังนี้: “บรรดาผู้ที่ทำงานหนักและมีภาระมาก จงมาหาเรา และเราจะทำให้เจ้าทั้งหลายสดชื่น. จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลายและเรียนจากเรา เพราะเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า. เพราะแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา.” (มัดธาย 11:28-30, ล.ม.) ถึงแม้ว่าคริสเตียนแต่ละคนต้อง “แบกภาระของตัวเอง” ก็จริง แต่ผู้ดูแลทั้งหลายควรรำลึกถึงตัวอย่างของพระเยซูและช่วยพี่น้องของตนให้สำนึกว่าภาระความรับผิดชอบที่คริสเตียนต้องแบกนั้น “พอเหมาะ,” “เบา,” และชื่นชมยินดีที่ได้แบกภาระนั้น.—ฆะลาเตีย 6:5.
การยอมอยู่ใต้อำนาจตามระบอบของพระเจ้า
11. (ก) โดยวิธีใดบางคนอาจแสดงความนับถือต่อตำแหน่งประมุข ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ประพฤติตนตามระบอบของพระเจ้า? จงยกตัวอย่าง. (ข) ที่จะเป็นผู้ประพฤติตามระบอบของพระเจ้าจริง ๆ นั้นหมายถึงอะไร?
11 ระบอบของพระเจ้าหมายถึงการปกครองโดยพระเจ้า. ระบอบนี้รวมเอาหลักการแห่งความเป็นประมุขซึ่งระบุไว้ที่ 1 โกรินโธ 11:3. แต่ไม่ใช่เพียงแค่นี้. คนเราอาจดูเหมือนว่าแสดงความนับถือต่อตำแหน่งประมุข และกระนั้นยังไม่เป็นไปตามระบอบของพระเจ้าในความหมายที่ครบถ้วนก็ได้. เป็นไปได้อย่างไร? ยกตัวอย่าง เช่น ระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองโดยประชาชน และคำนิยามสำหรับนักลัทธิประชาธิปไตยคือ “บุคคลที่ศรัทธาในอุดมการณ์แห่งระบอบประชาธิปไตย.” คนหนึ่งคนใดอาจอ้างตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตย, เข้าส่วนในการเลือกตั้ง, และเป็นนักการเมืองที่แข็งขันด้วยซ้ำ. แต่หากว่า ในพฤติกรรมของเขาโดยทั่วไป เขาแสดงอาการดูถูกวิญญาณแห่งประชาธิปไตยและหลักการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วย จะพูดได้ไหมว่าเขาเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจริง? ทำนองเดียวกัน ที่จะอยู่ในระบอบของพระเจ้าอย่างแท้จริง คนเราต้องกระทำมากกว่าแสดงการเชื่อฟังต่อตำแหน่งประมุขพอเป็นพิธี. เขาต้องเลียนแบบแนวทางและคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระยะโฮวา. จริง ๆ แล้ว เขาต้องยอมให้พระยะโฮวาปกครองทุกวิถีทาง. และเนื่องจากพระยะโฮวาทรงมอบอำนาจแก่พระบุตรโดยครบถ้วน การอยู่ภายใต้ระบอบของพระเจ้าย่อมหมายถึงการเลียนแบบพระเยซูด้วย.
12, 13. (ก) การประพฤติตนตามระบอบของพระเจ้าหมายถึงอะไรโดยเฉพาะ? (ข) การอยู่ใต้ระบอบของพระเจ้าหมายความว่า จะต้องเชื่อฟังกฎต่าง ๆ มากมายไหม? ยกตัวอย่าง.
12 พึงจดจำด้วยว่า พระยะโฮวาทรงประสงค์การเต็มใจอยู่ใต้อำนาจโดยมีความรักเป็นพลังกระตุ้น. นี้แหละเป็นวิธีการของพระองค์ในการปกครองเอกภพ. พระองค์ทรงเป็นแบบฉบับของความรักอย่างแท้จริง. (1 โยฮัน 4:8) พระเยซูคริสต์ทรงเป็น “ภาพสะท้อนแห่งสง่าราศีของพระเจ้าและเป็นการถอดแบบอย่างแม่นยำของพระองค์.” (เฮ็บราย 1:3, ล.ม.) พระองค์ทรงเรียกร้องสาวกแท้ของพระองค์ให้รักซึ่งกันและกัน. (โยฮัน 15:17) ฉะนั้น การประพฤติตนตามระบอบของพระเจ้าไม่หมายเพียงแต่การอ่อนน้อมเชื่อฟัง แต่หมายถึงการเป็นผู้แสดงความรักด้วย. เรื่องนี้อาจสรุปได้ดังนี้: ระบอบของพระเจ้าเป็นการปกครองโดยพระเจ้า; พระเจ้าเป็นความรัก; ดังนั้น ระบอบของพระเจ้าจึงเป็นการปกครองโดยความรัก.
13 ผู้ปกครองอาจคิดว่า ที่จะปฏิบัติตนอยู่ในระบอบของพระเจ้า พี่น้องควรเชื่อฟังกฎมากมาย. ผู้ปกครองบางคนเคยเอาข้อเสนอแนะซึ่ง “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ให้เป็นครั้งคราวมาตั้งเป็นกฎ. (มัดธาย 24:45) อย่างเช่น เคยมีข้อเสนอแนะว่า ที่จะอยู่พร้อมทำความรู้จักกับพี่น้องในประชาคมได้มากขึ้น อาจเป็นสิ่งดีหากไม่นั่งที่เดิมเสมอไปในหอประชุม. ทั้งนี้ถือว่าเป็นข้อเสนอแนะที่มีประโยชน์ ไม่ใช่กฎตายตัว. แต่ผู้ปกครองบางคนอาจอยากจะเปลี่ยนให้เป็นกฎ และรู้สึกว่า ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎนั้นก็คงจะไม่ประพฤติตามระบอบของพระเจ้า. กระนั้น อาจมีเหตุผลดีหลายประการที่เป็นสาเหตุที่พี่น้องชายหญิงบางคนพอใจจะนั่งที่ใดที่หนึ่ง. ถ้าผู้ปกครองไม่คำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวด้วยความรักเช่นนั้น ตัวเขาเองกำลังประพฤติตนตามระบอบของพระเจ้าอย่างแท้จริงไหม? ที่จะประพฤติตนตามระบอบของพระเจ้านั้น “ทุกสิ่งซึ่งจะกระทำนั้น, จงกระทำด้วยความรัก.”—1 โกรินโธ 16:14.
การรับใช้ด้วยความปีติยินดี
14, 15. (ก) โดยวิธีใด ผู้ดูแลอาจทำให้พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงสูญเสียความปีติยินดีในงานรับใช้พระยะโฮวา และเหตุใดเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่การประพฤติตามระบอบของพระเจ้า? (ข) พระเยซูทรงแสดงอย่างไรว่า พระองค์ทรงเห็นคุณค่าความรักที่ปรากฏออกมาในงานรับใช้ของเราแทนที่จะคำนึงถึงปริมาณ? (ค) ผู้ปกครองควรพิจารณาเรื่องใดอย่างจริงจัง?
14 อนึ่ง การประพฤติตนตามระบอบของพระเจ้าหมายถึงการรับใช้พระยะโฮวาด้วยความยินดี. พระยะโฮวาทรงเป็น “พระเจ้าผู้ประกอบด้วยความสุข.” (1 ติโมเธียว 1:11) พระองค์ทรงประสงค์จะให้ผู้นมัสการพระองค์รับใช้พระองค์ด้วยความยินดี. ส่วนพวกที่ยึดติดกับกฎต่าง ๆ ควรจดจำว่า ท่ามกลางข้อกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งชาวยิศราเอลจะ “ต้องระวังที่จะกระทำตาม” มีข้อกฎหมายดังนี้: “ท่านจงปีติร่าเริงต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของท่านในบรรดากิจการซึ่งท่านได้กระทำนั้น.” (พระบัญญัติ 12:1, 18, ฉบับแปลใหม่) กิจการอะไรก็ตามซึ่งเราทำในงานรับใช้พระยะโฮวาควรเป็นความปีติยินดี ไม่ใช่ภาระหนัก. ผู้ดูแลทั้งหลายสามารถทำได้มากเพื่อพี่น้องจะรู้สึกยินดีที่จะกระทำเท่าที่ทำได้ในการรับใช้พระยะโฮวา. ในทางกลับกัน ถ้าผู้ปกครองไม่ระวัง พวกเขาอาจทำให้พี่น้องบางคนสูญเสียความยินดีไป. อย่างเช่น ถ้าผู้ปกครองนำผลงานขึ้นมาเปรียบเทียบกัน โดยกล่าวชมคนที่ใช้เวลาประกาศหลายชั่วโมงตามเฉลี่ยของประชาคมหรือทำได้เกินด้วยซ้ำ และโดยปริยายเป็นการวิพากษ์คนที่ไม่บรรลุเฉลี่ย คนเหล่านั้นจะรู้สึกอย่างไรในเมื่อเขามีเหตุผลอันควรสำหรับการรายงานเวลาน้อยกว่ากันมาก? ทั้งนี้จะไม่ทำให้เขารู้สึกน้อยใจดอกหรือ และทำให้เขาพลอยขาดความชื่นชมยินดีไป?
15 เวลาสองสามชั่วโมงที่บางคนสามารถใช้ไปเพื่อให้คำพยานแก่ประชาชนอาจหมายถึงการบากบั่นพยายามยิ่งกว่าเวลาหลายชั่วโมงซึ่งคนอื่นใช้ในการประกาศ เมื่อคำนึงถึงวัยที่หนุ่มแน่นกว่า, สุขภาพที่ดีกว่า, และสภาพแวดล้อมอื่น ๆ. ในเรื่องนี้ ผู้ปกครองไม่ควรตัดสินพวกเขา. ที่จริง พระเยซูต่างหากเป็นผู้ที่พระบิดา “ทรงประทานให้มีอำนาจที่จะพิพากษา.” (โยฮัน 5:27, ล.ม.) พระเยซูได้ตำหนิหญิงม่ายที่ขัดสนไหม เนื่องจากนางได้ถวายของที่มีค่าน้อยกว่าค่าเฉลี่ย? หามิได้ พระองค์ทรงหยั่งรู้ได้ทันทีว่าเงินสองเหรียญค่าเล็กน้อยนั้น จริง ๆ แล้วมีค่ามากสำหรับนาง. ทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่นาง “มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด.” เงินสองเหรียญนั้นสำแดงถึงความรักพระยะโฮวาอันลึกซึ้งเพียงไร! (มาระโก 12:41-44) ผู้ปกครองควรจะหยั่งรู้น้อยกว่าพระเยซูไหม ต่อการกระทำด้วยความบากบั่นและทำด้วยความรักในส่วนของคนเหล่านั้นซึ่งในทางตัวเลขแล้วก็ต่ำกว่า “ค่าเฉลี่ย”? ในแง่ของความรักที่แสดงต่อพระยะโฮวา ความบากบั่นดังกล่าวอาจจะสูงกว่าเฉลี่ยด้วยซ้ำ.
16. (ก) ถ้าผู้ดูแลพูดถึงตัวเลขในคำบรรยาย ทำไมเขาจำต้องใช้การหยั่งเห็นเข้าใจและดุลพินิจที่ดี? (ข) พี่น้องจะได้รับการช่วยเหลืออย่างดีที่สุดโดยวิธีใดเพื่อเขาจะทวีการรับใช้ให้มากยิ่งขึ้น?
16 ข้อสังเกตต่าง ๆ ดังกล่าวตอนนี้ควรจะเปลี่ยนให้เป็น “กฎ” ใหม่ที่ว่าตัวเลข หรือแม้แต่ค่าเฉลี่ย ก็ไม่ควรกล่าวถึงเช่นนั้นไหม? เปล่าเลย! จุดสำคัญคือผู้ดูแลควรรักษาความสมดุลระหว่างการพูดหนุนใจพี่น้องให้แผ่ขยายงานรับใช้ และช่วยเหลือพี่น้องทำสิ่งที่เขาสามารถทำได้ด้วยความยินดี. (ฆะลาเตีย 6:4) ในอุทาหรณ์เรื่องตะลันต์ นายได้ฝากทรัพย์สิ่งของของนายไว้กับบ่าว “ตามความสามารถของบ่าวนั้น.” (มัดธาย 25:14, 15) ผู้ปกครองก็เช่นกัน ควรคำนึงถึงความเป็นไปได้ของผู้ประกาศราชอาณาจักรแต่ละคน. ทั้งนี้ย่อมอาศัยการหยั่งรู้เข้าใจ. อาจเป็นไปได้ที่บางคนโดยแท้แล้วควรได้รับการกระตุ้นใจให้ทำมากขึ้น. พวกเขาอาจเห็นคุณค่าการช่วยปรับปรุงจัดระเบียบการทำงานของเขาให้ดีขึ้น. ไม่ว่าในกรณีใด ถ้าผู้ประกาศได้รับการสนับสนุนให้ทำสิ่งที่เขาสามารถทำได้ด้วยความยินดี ความยินดีเช่นนั้นย่อมชูกำลังเขาที่จะขยายงานคริสเตียนให้กว้างขวางเมื่อมีทางทำได้.—นะเฮมยา 8:10; บทเพลงสรรเสริญ 59:16; ยิระมะยา 20:9.
สันติสุขอันเนื่องมาจากการอยู่ใต้อำนาจด้วยความปีติยินดี
17, 18. (ก) การยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความปีติยินดีจะนำสันติสุขและความชอบธรรมมาให้เราได้อย่างไร? (ข) เราจะได้อะไรถ้าเราเอาใจจดจ่ออยู่กับพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างแท้จริง?
17 การยินดีอยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาอันถูกทำนองคลองธรรมนั้นทำให้เราประสบสันติสุขมากมาย. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญได้ทูลขอพระยะโฮวาดังนี้: “คนทั้งปวงที่รักกฎหมายของพระองค์มีความสุขมาก; และเหตุที่จะสะดุดกระดากแก่เขาไม่มีเลย.” (บทเพลงสรรเสริญ 119:165) โดยการเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้า เราเองเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์. พระยะโฮวาตรัสแก่ชาติยิศราเอลดังนี้: “พระยะโฮวาผู้ไถ่ของเจ้า, องค์บริสุทธิ์ของชนชาติยิศราเอล, ตรัสดังต่อไปนี้: ‘เราคือพระยะโฮวา, พระเจ้าของเจ้าผู้สั่งสอนเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง, และผู้นำเจ้าให้ดำเนินในทางที่เจ้าควรดำเนิน. โอ้ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของเราแล้ว, ความเจริญของเจ้าก็จะเป็นดังแม่น้ำไหล, และความชอบธรรมของเจ้าก็จะมีบริบูรณ์ดังคลื่นในมหาสมุทร.’”—ยะซายา 48:17, 18.
18 เครื่องบูชาไถ่ของพระคริสต์ทำให้เรามีสันติสุขกับพระเจ้า. (2 โกรินโธ 5:18, 19) ถ้าเรามีความเชื่อในพระโลหิตอันเป็นค่าไถ่ของพระคริสต์และพยายามต่อสู้ความอ่อนแอของเราอย่างจริงจัง และทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า เราจะได้รับความบรรเทาจากความรู้สึกว่ามีบาป. (1 โยฮัน 3:19-23) ความเชื่อดังกล่าว พร้อมกับการหนุนเนื่องจากการประพฤติ ทำให้เรามีฐานะชอบธรรมเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา และมีความหวังอันวิเศษจะได้ผ่านพ้น “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่” และมีชีวิตตลอดไปในโลกใหม่ของพระยะโฮวา. (วิวรณ์ 7:14-17; โยฮัน 3:36; ยาโกโบ 2:22, 23) ทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนที่เราได้รับ ‘ถ้าเราจะเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า’.
19. ความสุขของเราในปัจจุบันและความหวังของเราที่จะมีชีวิตนิรันดร์ขึ้นอยู่กับสิ่งใด และโดยวิธีใดดาวิดกล่าวถึงความเชื่อมั่นจากส่วนลึกแห่งหัวใจของเรา?
19 ใช่แล้ว ความสุขของเราขณะนี้และความหวังของเราเกี่ยวกับชีวิตนิรันดรบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานนั้นพัวพันอยู่กับการที่เรายินดีอยู่ใต้อำนาจของพระยะโฮวาฐานะองค์บรมมหิศรแห่งเอกภพ. ขอให้พวกเราร่วมความรู้สึกกับดาวิด ผู้ได้บอกว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา, ยศศักดิ์, อำนาจ, รัศมี, ความชัยชนะ, และเดชานุภาพคงมีแก่พระองค์, เพราะสรรพสิ่งในสวรรค์ก็ดี, ที่พิภพโลกก็ดี, เป็นของพระองค์; ข้าแต่พระยะโฮวา, ราชสมบัติสิทธิ์ขาดแก่พระองค์; พระองค์ทรงสถิตอยู่เหนือสิ่งสารพัด. เหตุฉะนั้น ข้าแต่พระยะโฮวา, บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขอขอบพระเดชพระคุณพระองค์, และสรรเสริญพระนามอันล้ำเลิศของพระองค์.”—1 โครนิกา 29:11, 13.
จุดสำคัญที่พึงจดจำ
▫ พระยะโฮวาทรงประสงค์จะให้ผู้รับใช้ของพระองค์แสดงการยอมอยู่ใต้อำนาจและการเชื่อฟังในลักษณะใด?
▫ พระเยซูได้รับบำเหน็จอย่างไรเพราะการเชื่อฟังของพระองค์ และเราต้องพิสูจน์อะไรด้วยการกระทำของเรา?
▫ ผู้ดูแลทุกคนควรเลียนแบบพระเยซูอย่างไรในวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อฝูงแกะ?
▫ การประพฤติตนตามระบอบของพระเจ้าหมายรวมถึงอะไร?
▫ การยอมอยู่ใต้อำนาจด้วยความปีติยินดีทำให้เราได้รับพระพรอะไร?
[รูปภาพหน้า 24]
ผู้ปกครองสนับสนุนฝูงแกะทำด้วยความปีติยินดีเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้
[รูปภาพหน้า 26]
พระยะโฮวาทรงมีพระทัยยินดีในคนเหล่านั้นที่เชื่อฟังพระองค์จากหัวใจจริง