ธรรมเนียมคริสต์มาส—เป็นตามหลักคริสเตียนไหม?
เทศกาลคริสต์มาสมาถึงแล้ว. นั่นหมายความอย่างไรสำหรับคุณ, ครอบครัว, และมิตรสหายของคุณ? นั่นเป็นเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาไหม หรือว่าเป็นเพียงช่วงเวลาที่สนุกสนานและรื่นเริงเท่านั้น? นั่นเป็นเวลาที่พึงคิดคำนึงถึงการประสูติของพระเยซูคริสต์ไหม หรือว่าเป็นเวลาที่ไม่ต้องเป็นห่วงเกี่ยวกับบรรทัดฐานของคริสเตียน?
ในการพิจารณาคำถามดังกล่าว ขอจำไว้ว่าประเพณีคริสต์มาสอาจต่างกันไปตามท้องถิ่นที่คุณอยู่. ตัวอย่างเช่น ในเม็กซิโกและประเทศอื่น ๆ แถบลาตินอเมริกา แม้แต่ชื่อในภาษาสเปนสำหรับคำคริสต์มาสก็ยังต่างกัน. สารานุกรมเล่มหนึ่งชี้แจงว่า ชื่อคริสต์มาสในภาษาอังกฤษ “ได้มาจากชื่อภาษาอังกฤษในยุคกลางที่ว่าคริสเทส แมสเซ มิสซาของพระคริสต์.” อย่างไรก็ตาม ลา นาวีดัด หรือการประสูติของพระเยซู ดังที่เรียกกันในประเทศลาตินอเมริกาเหล่านี้ พาดพิงถึงการประสูติของพระคริสต์. ขอใช้เวลาสักครู่พิจารณารายละเอียดบางอย่างจากธรรมเนียมต่าง ๆ ในเม็กซิโก. การทำเช่นนี้อาจช่วยคุณปรับความคิดเห็นของคุณเองในเรื่องเทศกาลวันหยุดนี้.
โปซาดา, “ปราชญ์สามคน,” และนาซีเมียนโต
การเฉลิมฉลองเริ่มต้นในวันที่ 16 ธันวาคมด้วยโปซาดา. หนังสือเทศกาลฉลองต่าง ๆ ในชีวิตของเม็กซิโก (ภาษาอังกฤษ) อธิบายว่า “นั่นเป็นช่วงเวลาของโปซาดา เก้าวันที่ซาบซึ้งตรึงใจก่อนคืนวันสุกดิบของคริสต์มาส ซึ่งทำให้ระลึกถึงการที่โยเซฟกับมาเรียเตร็ดเตร่อย่างอ้างว้างอยู่ในเมืองเบธเลเฮ็มและชั่วขณะที่เขาทั้งสองได้พบความกรุณาและที่พักพิงในที่สุด. ครอบครัวและมิตรสหายมาชุมนุมกันตอนกลางคืนเพื่อแสดงซ้ำเหตุการณ์ในวันต่าง ๆ ก่อนการประสูติของพระคริสต์.”
ตามธรรมเนียมแล้ว ผู้คนกลุ่มหนึ่งจะแบกรูปปั้นของมาเรียและโยเซฟไปยังบ้านหลังหนึ่งแล้วร้องเพลงเพื่อขอที่พักพิงหรือโปซาดา. คนเหล่านั้นที่อยู่ในบ้านก็จะร้องเพลงตอบจนกระทั่งผู้มาเยือนได้รับอนุญาตให้เข้าบ้านในที่สุด. ครั้นแล้วงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น ซึ่งในงานจะมีบางคนถูกปิดตาและในมือมีไม้ ผลัดเปลี่ยนกันตีปีนาตาอันได้แก่หม้อดินใบใหญ่ที่ประดับตกแต่งแล้วแขวนไว้. เมื่อใดที่หม้อถูกตีแตก ของที่อยู่ในนั้น (ลูกกวาด, ผลไม้ และสิ่งอื่น ๆ ทำนองนั้น) ก็จะร่วงลงมา ผู้ที่เข้าร่วมงานก็จะรุมกันเก็บ. ต่อจากนั้นก็มีการกินดื่ม, ดนตรี, และก็เต้นรำ. มีการจัดงานเลี้ยงโปซาดา แปดครั้งตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคมถึง 23 ธันวาคม. ในวันที่ 24 มีการฉลองโนเชบวยนา (คืนก่อนวันคริสต์มาส) และครอบครัวต่าง ๆ พยายามจะมาอยู่ร่วมกันเพื่อรับประทานอาหารเย็นมื้อพิเศษ.
อีกไม่นานวันปีใหม่ก็มาถึง มีการฉลองพร้อมกับงานเลี้ยงที่อึกทึก. ในตอนเย็นวันที่ 5 มกราคม มีการคาดหวังกันว่าเทรส เรเยส มาโกส (“ปราชญ์สามคน”) จะนำของเล่นมาให้เด็ก ๆ. จุดสุดยอดคืองานเลี้ยงในวันที่ 6 มกราคม เมื่อมีการเสิร์ฟโรสกา เด เรเยส (เค้กรูปวงแหวน). ขณะที่มีการรับประทานขนมแป้งอบนี้ บางคนจะพบตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ซึ่งหมายถึงพระกุมารเยซูในขนมชิ้นที่เขารับประทาน. ผู้ที่พบตุ๊กตานั้นต้องเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายในวันที่ 2 กุมภาพันธ์. (ในบางแห่งมีตุ๊กตาเล็ก ๆ สามตัว หมายถึง “ปราชญ์สามคน.”) ดังที่คุณพอจะมองเห็น การจัดงานเลี้ยงที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาสดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง.
ระหว่างช่วงนี้ นาซีเมียนโต (ฉากเหตุการณ์การประสูติของพระเยซู) นับว่าโดดเด่นทีเดียว. มีอะไรเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องนี้? ในบริเวณที่สาธารณะ รวมทั้งในโบสถ์ต่าง ๆ และตามบ้านด้วย มีการจัดตั้งภาพฉากเหตุการณ์ด้วยรูปปั้น (ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก) ทำจากกระเบื้อง, ไม้, หรือดินเหนียว. รูปปั้นเหล่านั้นแสดงภาพโยเซฟและมาเรียคุกเข่าอยู่หน้ารางหญ้าซึ่งมีทารกเกิดใหม่นอนอยู่. บ่อยครั้งมีผู้เลี้ยงแกะกับลอส เรเยส มาโกส (“พวกปราชญ์”) อยู่ด้วย. ภาพฉากเหตุการณ์นั้นเป็นคอกสัตว์ และสัตว์บางชนิดอาจทำให้ฉากนั้นครบถ้วน. อย่างไรก็ตาม รูปปั้นที่สำคัญคือรูปปั้นของทารกที่เกิดใหม่ ซึ่งเรียกในภาษาสเปนว่าเอลนินโญ ดีออส (พระเจ้าในสภาพพระกุมาร). อาจมีการตั้งรูปปั้นที่สำคัญนี้ไว้ที่นั่นในคืนก่อนวันคริสต์มาส.
การมองดูประเพณีเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูอย่างใกล้ชิด
เกี่ยวกับการฉลองคริสต์มาสตามที่รู้จักกันทั่วไปตลอดทั่วโลกนั้น สารานุกรมอเมริกานา กล่าวว่า “ส่วนใหญ่ของธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาสในขณะนี้มิใช่ธรรมเนียมคริสต์มาสในตอนแรกเริ่ม แต่กลับเป็นธรรมเนียมก่อนยุคคริสเตียนและไม่ใช่ธรรมเนียมแบบคริสเตียนซึ่งคริสต์จักรได้รับมา. แซตเทอร์นาเลีย เทศกาลของชาวโรมันซึ่งมีการฉลองตอนกลางเดือนธันวาคม ได้เป็นต้นแบบสำหรับธรรมเนียมคริสต์มาสหลายอย่างที่ให้ความสนุกรื่นเริง. ตัวอย่างเช่น งานเลี้ยงที่มีการตกแต่งประดับประดา, การให้ของขวัญ, และการจุดเทียนล้วนมีสมุฏฐานมาจากการฉลองนี้.”
ในลาตินอเมริกาอาจมีการปฏิบัติตามธรรมเนียมหลักเหล่านั้นเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซู พร้อมกับธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามา. คุณอาจสงสัยว่า ธรรมเนียมเหล่านั้น ‘มาจากแหล่งไหน.’ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา หลายคนซึ่งต้องการยึดมั่นกับคัมภีร์ไบเบิลยอมรับว่า ธรรมเนียมบางอย่างเป็นพิธีของพวกอินเดียนแดงเผ่าแอซเทกอย่างแท้จริง. หนังสือพิมพ์เอล อูนิเวอร์ซัล ในเม็กซิโกซิตีอธิบายไว้ว่า “พวกบาทหลวงจากเขตปกครองทางศาสนาต่าง ๆ ได้ฉวยโอกาสจากข้อเท็จจริงที่ว่า การฉลองพิธีกรรมตามปฏิทินของพวกอินเดียนแดงนั้นตรงกันกับพิธีสวดมนต์ตามปฏิทินของคาทอลิก ดังนั้น พวกเขาจึงใช้เรื่องนี้เพื่อสนับสนุนงานเผยแพร่กิตติคุณและงานมิชชันนารีของพวกเขา. พวกเขาเอาการฉลองเพื่อระลึกถึงพระเจ้าของคริสเตียนเข้ามาแทนการฉลองเพื่อระลึกถึงเทพเจ้าต่าง ๆ ในยุคก่อนพวกสเปนเข้ายึดครอง; นำเอาการฉลองและกิจกรรมต่าง ๆ ของชาวยุโรปเข้ามาและยังรวมเอาการฉลองของพวกอินเดียนแดงเข้าไว้ด้วย ที่ยังผลด้วยการเชื่อมผนึกทางวัฒนธรรมของความเชื่อที่ต่างกันซึ่งทำให้มีวิธีฉลองแบบเม็กซิกันแท้ ๆ ขึ้น.”
สารานุกรมอเมริกานา อธิบายว่า “การแสดงภาพการประสูติของพระเยซูได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองคริสต์มาสตั้งแต่แรกเริ่ม . . . มีการกล่าวกันว่าการแสดงภาพพระเยซูประสูติ [ฉากเหตุการณ์ที่มีรางหญ้า] ในโบสถ์นั้นเริ่มต้นโดยนักบุญฟรานซิส.” มีการจัดการแสดงเหล่านี้ซึ่งเน้นการประสูติของพระคริสต์ในโบสถ์ช่วงเริ่มต้นของการตั้งอาณานิคมในเม็กซิโก. มีการจัดการแสดงดังกล่าวโดยบาทหลวงคณะฟรานซิสกันเพื่อจะสอนชาวอินเดียนแดงเกี่ยวกับการประสูติของพระเยซู. ต่อมาโปซาดา ได้กลายเป็นที่นิยมกันมากขึ้น. ไม่ว่าความมุ่งหมายเดิมที่อยู่เบื้องหลังการฉลองนี้เป็นเช่นไรก็ตาม วิธีที่มีการจัดโปซาดา ในทุกวันนี้ก็เผยให้เห็นลักษณะอันแท้จริงในตัวมันเอง. หากคุณอยู่ในเม็กซิโกระหว่างเทศกาลนี้ คุณจะเห็นหรือรู้สึกได้ถึงสิ่งที่นักเขียนคนหนึ่งประจำหนังสือพิมพ์เอล อูนิเวอร์ซัลได้ทำให้เด่นในคำอธิบายของเขาที่ว่า “โปซาดา ซึ่งเป็นวิธีเตือนให้เราระลึกถึงการเดินทางของบิดามารดาของพระเยซูซึ่งเสาะหาที่พักพิงเพื่อพระเจ้าในสภาพพระกุมารจะประสูติมาได้นั้น ปัจจุบันเป็นเพียงช่วงเวลาของการเมาเหล้า, ความเลยเถิด, การกินอย่างตะกละ, ความเปล่าประโยชน์, และอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ.”
แนวคิดเกี่ยวกับนาซีเมียนโตได้ปรากฏให้เห็นจากการแสดงสดครั้งแรก ๆ ในโบสถ์ต่าง ๆ ระหว่างช่วงการตั้งอาณานิคม. ขณะที่บางคนรู้สึกว่าการแสดงนั้นเป็นเรื่องที่ดึงดูดใจ แต่การแสดงนั้นมีเนื้อหาถูกต้องตามที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไหม? นั่นเป็นคำถามที่สมเหตุผล. เมื่อปราชญ์สามคนตามที่เรียกกัน—ซึ่งที่จริงแล้วเป็นพวกโหราจารย์—มาเยี่ยมนั้น พระเยซูกับครอบครัวของพระองค์ไม่ได้อยู่ในคอกสัตว์อีกต่อไป. เวลาได้ผ่านไป และครอบครัวพระองค์ก็อาศัยอยู่ในบ้าน. คุณจะพบว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะสังเกตรายละเอียดนี้ในบันทึกซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจที่มัดธาย 2:1, 11. คุณอาจสังเกตด้วยว่า คัมภีร์ไบเบิลมิได้กล่าวว่ามีโหราจารย์กี่คน.a
ในลาตินอเมริกา ปราชญ์สามคนเข้ามาแทนแนวคิดเรื่องซานตาคลอส. กระนั้น เช่นเดียวกับที่ทำกันในประเทศอื่น พ่อแม่หลายคนซ่อนของเล่นไว้ในบ้าน. ครั้นแล้ว ในตอนเช้าของวันที่ 6 มกราคม เด็ก ๆ ก็ค้นหาของเล่นกัน ประหนึ่งว่าปราชญ์สามคนได้นำของเล่นเหล่านั้นมาให้. นี่เป็นช่วงเวลาที่ทำกำไรให้คนขายของเล่น และบางคนหาเงินได้มากมายจากสิ่งที่สุจริตชนหลายคนยอมรับว่าเป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น. ตำนานเรื่องปราชญ์สามคนกำลังสูญเสียความน่าเชื่อถือไปในท่ามกลางผู้คนจำนวนไม่น้อย กระทั่งในหมู่เด็กเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ. ถึงแม้บางคนไม่พอใจที่ผู้คนเลิกเชื่อถือตำนานนี้ แต่ใคร ๆ จะคาดหมายอะไรได้จากความเพ้อฝันที่ได้รับการรักษาไว้เพียงเพราะเห็นแก่ประเพณีและผลประโยชน์ทางการค้าเท่านั้น?
คริสเตียนยุคแรกมิได้ฉลองคริสต์มาส หรือการประสูติของพระเยซู. สารานุกรมเล่มหนึ่งกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ไม่มีการฉลองนี้ในศตวรรษแรกของคริสตจักรคริสเตียน เนื่องจากธรรมเนียมปฏิบัติของคริสเตียนโดยทั่วไปนั้น คือฉลองความตายของบุคคลที่โดดเด่นแทนที่จะฉลองการเกิดของเขา.” คัมภีร์ไบเบิลเชื่อมโยงการฉลองวันเกิดเข้ากับคนนอกรีต ไม่ใช่กับผู้นมัสการแท้ของพระเจ้า.—มัดธาย 14:6-10.
แน่นอน นี่มิได้หมายความว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเรียนรู้และระลึกถึงเหตุการณ์จริง ๆ ที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยในการประสูติของพระบุตรของพระเจ้า. เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่เป็นจริงเสนอความหยั่งเห็นเข้าใจและบทเรียนที่สำคัญสำหรับบรรดาคนเหล่านั้นซึ่งต้องการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.
การประสูติของพระเยซูตามที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าว
คุณจะพบข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูในกิตติคุณของมัดธายและลูกา. ท่านทั้งสองแสดงให้เห็นว่าทูตสวรรค์ฆับรีเอลได้ไปเยี่ยมหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานชื่อมาเรียในเมืองนาซาเร็ธ มณฑลฆาลิลาย. ทูตสวรรค์ได้แจ้งข่าวอะไร? “นี่แน่ะ. เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู. บุตรนั้นจะเป็นใหญ่, และจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของผู้สูงสุด. พระเจ้าจะประทานพระที่นั่งของดาวิดบิดาของท่านให้แก่ท่าน. และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบ ๆ ไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้สิ้นสุดเลย.”—ลูกา 1:31-33.
ข่าวสารนี้ทำให้มาเรียประหลาดใจอย่างยิ่ง. เนื่องจากยังไม่ได้แต่งงาน เธอจึงกล่าวว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นไปอย่างไรได้, เพราะข้าพเจ้ายังหาได้ร่วมกับชายไม่?” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ, และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะสวมทับเธอ เหตุฉะนั้นองค์บริสุทธิ์ที่จะบังเกิดนั้นจะได้นามว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า.” โดยตระหนักว่านี่เป็นพระทัยประสงค์ของพระเจ้า มาเรียจึงพูดว่า “ดูเถิด, ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเจ้า ขอให้บังเกิดแก่ข้าพเจ้าตามคำของท่านเถิด.”—ลูกา 1:34-38.
ทูตสวรรค์ได้แจ้งแก่โยเซฟเรื่องการประสูติอย่างอัศจรรย์นี้เพื่อเขาจะไม่หย่ากับมาเรียซึ่งเขาคิดว่าจะหย่าหลังจากทราบเรื่องการตั้งครรภ์ของเธอ. แล้วเขาก็เต็มใจจะรับเอาหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลพระบุตรของพระเจ้า.—มัดธาย 1:18-25.
ครั้นแล้วก็มีพระราชกฤษฎีกาจากกายะซาออฆูซะโต (ซีซาร์เอากุสตุส) ซึ่งบังคับให้โยเซฟและมาเรียต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธในมณฑลฆาลิลายไปยังเบธเลเฮ็มในมณฑลยูเดีย เมืองแห่งบรรพบุรุษของทั้งสองคน เพื่อจดทะเบียนสำมะโนครัว. “เมื่อเขาทั้งสองยังกำลังอยู่ที่นั่น, ก็ถึงเวลาที่มาเรียจะประสูติบุตร, นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี, เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า, เพราะว่าไม่มีที่ว่างในโรงแรม.”—ลูกา 2:1-7.
ลูกา 2:8-14 พรรณนาถึงเหตุการณ์ที่ติดตามมาว่า “ในเมืองนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนาเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน. มีทูตองค์หนึ่งของพระเจ้ามาปรากฏแก่เขา, และรัศมีของพระเจ้าส่องล้อมรอบเขา, และเขาตกใจกลัวยิ่งนัก. ฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า, ‘อย่ากลัวเลย, เพราะนี่แน่ะ, เรานำข่าวดีมาประกาศแก่ท่านทั้งหลายซึ่งจะให้เป็นที่ชื่นชมยินดีเป็นอันมากแก่คนทั้งปวง คือว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลายคือพระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด. นี่จะเป็นสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย, คือจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า.’ บัดเดี๋ยวนั้นมีหมู่ชาวสวรรค์พร้อมกับทูตองค์นั้นสรรเสริญพระเจ้าว่า, ‘รัศมีภาพจงมีแก่พระเจ้าในที่สูงสุด, และบนแผ่นดินโลกจงมีความสุขสงบสำราญท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงรักใคร่นั้น [“มนุษย์ซึ่งเป็นที่โปรดปราน,” ล.ม.].’ ”
พวกโหราจารย์
เรื่องราวของมัดธายกล่าวว่าพวกโหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังกรุงยะรูซาเลมเพื่อเสาะหาสถานที่ซึ่งกษัตริย์ของชาวยิวประสูติ. กษัตริย์เฮโรดสนใจมากในเรื่องนี้—แต่มิใช่ด้วยจุดมุ่งหมายที่ดี. “ท่านได้ให้พวกโหราจารย์ไปยังบ้านเบธเลเฮมสั่งว่า ‘จงไปค้นหากุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเราจะได้ไปนมัสการท่านด้วย.’ ” พวกโหราจารย์ได้พบพระกุมารนั้นแล้ว “เปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขาออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการคือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ.” แต่พวกเขามิได้กลับไปหาเฮโรด. “[พวกเขา] ได้ยินคำเตือนในความฝันมิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด.” พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งไปเตือนโยเซฟให้รู้ความมุ่งหมายของเฮโรด. ครั้นแล้ว โยเซฟกับมาเรียก็หนีไปอียิปต์พร้อมกับบุตรชายของตน. ต่อจากนั้น ด้วยความพยายามจะกำจัดกษัตริย์องค์ใหม่ กษัตริย์เฮโรดผู้โหดร้ายมีรับสั่งให้สังหารเด็กผู้ชายในบริเวณเมืองเบธเลเฮ็ม. เด็กขนาดไหน? เด็กเหล่านั้นที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา.—มัดธาย 2:1-16, ฉบับแปลใหม่.
เราสามารถเรียนรู้อะไร จากเรื่องราวนี้?
โหราจารย์ที่มาเยี่ยม—จะมีกี่คนก็ตาม—ไม่ได้นมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้. คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลลา นวยวา บิเบลีย ลาติโนอเมริกา (ฉบับปี 1989) กล่าวไว้ในเชิงอรรถว่า “พวกโหราจารย์ไม่ใช่กษัตริย์, แต่เป็นหมอดูและนักบวชของศาสนานอกรีต.” พวกเขามาตามที่เขามีความรู้เกี่ยวกับดวงดาวซึ่งพวกเขาได้ทุ่มเทความสนใจให้. หากพระเจ้าทรงประสงค์จะชี้นำพวกเขาไปยังพระกุมารนั้นแล้ว พวกเขาก็คงได้รับการนำไปถึงสถานที่ที่ถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องไปที่กรุงยะรูซาเลมและราชวังของเฮโรดก่อน. ภายหลัง พระเจ้าทรงเข้าแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนเส้นทางของพวกเขาเพื่อปกป้องพระกุมารนั้นไว้.
ในช่วงคริสต์มาส เรื่องราวนี้มักถูกห้อมล้อมด้วยบรรยากาศแบบเทพนิยายและชวนให้เพ้อฝันซึ่งบดบังสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือพระกุมารที่ประสูติมานี้จะเป็นพระมหากษัตริย์องค์เลิศล้ำ ดังที่มีการประกาศแก่มาเรียและคนเลี้ยงแกะนั้น. เปล่าเลย พระเยซูคริสต์มิได้เป็นทารกอีกต่อไป หรือมิใช่เด็กด้วยซ้ำ. พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่กำลังปกครองอยู่ในราชอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งในไม่ช้านี้ทีเดียวจะกำจัดการปกครองทั้งสิ้นที่ต่อต้านพระทัยประสงค์ของพระเจ้า และพระองค์จะแก้ปัญหาทั้งสิ้นของมนุษยชาติ. นั่นคือราชอาณาจักรที่เราทูลขอในคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า.—ดานิเอล 2:44; มัดธาย 6:9, 10.
โดยทางคำประกาศของทูตสวรรค์แก่คนเลี้ยงแกะ เราเรียนรู้ว่าโอกาสสำหรับความรอดเปิดออกสำหรับทุกคนซึ่งเต็มใจจะฟังข่าวสารเกี่ยวกับข่าวดี. คนเหล่านั้นซึ่งได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้ากลายเป็น “มนุษย์ซึ่งเป็นที่โปรดปราน.” มีความคาดหวังอันน่าพิศวงในเรื่องสันติสุขตลอดทั่วโลกภายใต้ราชอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ แต่ผู้คนต้องเต็มใจจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. เทศกาลคริสต์มาสส่งเสริมในเรื่องนี้ และในการฉลองคริสต์มาสผู้คนสะท้อนให้เห็นความปรารถนาที่จะทำดังกล่าวไหม? ผู้คนที่จริงใจหลายคนซึ่งต้องการปฏิบัติตามคัมภีร์ไบเบิลรู้สึกว่าคำตอบนั้นกระจ่างชัด.—ลูกา 2:10, 11, 14, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a รายละเอียดอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ในนาซีเมียนโต ของเม็กซิโก มีการกล่าวพาดพิงถึงทารกนั้นว่าเป็น “พระเจ้าในสภาพพระกุมาร” โดยมีแนวคิดที่ว่าพระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกด้วยพระองค์เองฐานะเป็นทารก. อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นพระเยซูในฐานะเป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่งมาประสูติบนแผ่นดินโลก; พระองค์มิใช่เป็นองค์เดียวกันหรือเท่าเทียมกับพระยะโฮวา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. ขอพิจารณาความจริงในเรื่องนี้ ดังที่แสดงไว้ในลูกา 1:35; โยฮัน 3:16; 5:37; 14:1, 6, 9, 28; 17:1, 3; 20:17.
[กรอบหน้า 4]
บางคนจะรู้สึกประหลาดใจ
ในหนังสือความยุ่งยากเกี่ยวกับคริสต์มาส (ภาษาอังกฤษ) นักประพันธ์ชื่อทอม ฟลินน์สาธยายข้อสรุปที่ได้หลังจากใช้เวลาหลายปีในการค้นคว้าเรื่องคริสต์มาสว่า:
“ประเพณีมากมายที่ปัจจุบันเราเชื่อมโยงกับคริสต์มาสนั้นมีต้นตอมาจากประเพณีทางศาสนานอกรีตก่อนยุคคริสเตียน. ประเพณีเหล่านี้บางอย่างมีความหมายแฝงไปในทางสังคม, ทางเพศ, หรือทางทฤษฎีเกี่ยวกับจักรวาลซึ่งอาจทำให้คนสมัยปัจจุบันที่มีการศึกษา ที่มีความรู้สึกไวในเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมสลัดทิ้งประเพณีต่าง ๆ เมื่อเขาได้เข้าใจต้นตอของประเพณีเหล่านี้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น.”—หน้า 19.
หลังจากเสนอข้อมูลที่สนับสนุนจำนวนมากมายแล้ว ฟลินน์กลับไปหาประเด็นหลักที่ว่า “หนึ่งในบรรดาเรื่องที่น่าหัวเราะเยาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับคริสต์มาสคือเนื้อหาของเทศกาลนี้แทบจะไม่เป็นตามหลักคริสเตียนแท้ ๆ เอาเสียเลย. เมื่อเราทิ้งส่วนประกอบก่อนยุคคริสเตียนไป ส่วนใหญ่ที่คงเหลืออยู่ก็คือส่วนประกอบหลังยุคคริสเตียน ไม่ใช่ต้นตอที่มาจากคริสเตียนแท้ ๆ.”—หน้า 155.
[ภาพหน้า 7]
คำประกาศ เกี่ยวกับการประสูติของพระเยซูบ่งบอกถึงบทบาทของพระองค์ในอนาคตในฐานะพระมหากษัตริย์ที่ถูกเลือกสรรของพระเจ้า