จะพบการชูใจที่แท้จริงได้ที่ไหน?
“พระเจ้าและพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา . . . ทรงชูใจเราในความทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา.”—2 โกรินโธ 1:3, 4, ล.ม.
1. สภาพการณ์อะไรบ้างที่อาจทำให้ผู้คนต้องการได้รับการชูใจอย่างยิ่ง?
ความเจ็บป่วยที่ทำให้ทุพพลภาพอาจทำให้บางคนรู้สึกว่าชีวิตของตนพังทลาย. แผ่นดินไหว, พายุ, และทุพภิกขภัยทำให้ผู้คนสิ้นเนื้อประดาตัว. สงครามอาจพรากชีวิตสมาชิกครอบครัว, ทำลายบ้านเรือน, หรือทำให้เจ้าของบ้านต้องละทิ้งบ้านเรือนของตน. ความอยุติธรรมอาจทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่มีที่ใดที่พวกเขาจะหันไปพึ่งเพื่อได้รับการบรรเทา. คนที่ประสบความทุกข์ร้อนเช่นนั้นต้องการได้รับการชูใจอย่างยิ่ง. จะพบการชูใจได้ที่ไหน?
2. เพราะเหตุใดการชูใจที่มาจากพระยะโฮวาจึงไม่มีใดเทียบได้?
2 บางคนหรือบางองค์กรพยายามให้การชูใจ. คำพูดที่กรุณาเป็นที่หยั่งรู้ค่า. การแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ช่วยสนองความจำเป็นในระยะสั้น. แต่เฉพาะพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้เท่านั้นที่สามารถแก้ไขผลเสียหายทุกอย่างและจัดเตรียมความช่วยเหลือที่จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติอย่างนั้นขึ้นอีก. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพระองค์ดังนี้: “จงสรรเสริญพระเจ้าและพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา พระบิดาแห่งความเมตตาอันอ่อนละมุนและพระเจ้าแห่งการชูใจทุกอย่าง พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในความทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เผื่อว่าเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้นในความทุกข์ยากอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยการชูใจซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า.” (2 โกรินโธ 1:3, 4, ล.ม.) พระยะโฮวาทรงให้การชูใจเราอย่างไร?
จัดการที่ต้นตอของปัญหา
3. การชูใจจากพระเจ้าจัดการที่ต้นตอของปัญหามนุษยชาติอย่างไร?
3 ครอบครัวมนุษย์ทั้งสิ้นได้รับความไม่สมบูรณ์สืบทอดมาเนื่องจากบาปของอาดาม ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปัญหานับไม่ถ้วนตามมา และยังผลเป็นความตายในที่สุด. (โรม 5:12) สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกเนื่องจากว่าซาตานพญามารเป็น “ผู้ครองโลก.” (โยฮัน 12:31; 1 โยฮัน 5:19) พระยะโฮวาไม่เพียงแต่แสดงความเสียพระทัยต่อสภาพการณ์อันน่าเศร้าที่มนุษยชาติประสบ. พระองค์ได้ส่งพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวมาเป็นค่าไถ่เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด และพระองค์บอกแก่เราว่าเราสามารถได้รับการปลดเปลื้องจากผลสืบเนื่องจากบาปของอาดามถ้าเราแสดงความเชื่อในพระบุตรของพระองค์. (โยฮัน 3:16; 1 โยฮัน 4:10) พระเจ้ายังบอกล่วงหน้าด้วยว่าพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก จะทำลายซาตานและระบบชั่วทั้งสิ้นของมัน.—มัดธาย 28:18; 1 โยฮัน 3:8; วิวรณ์ 6:2; 20:10.
4. (ก) พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมอะไรเพื่อเสริมความมั่นใจของเราในคำสัญญาของพระองค์เรื่องการปลดเปลื้องจากปัญหา? (ข) พระยะโฮวาทรงช่วยเราให้รู้โดยวิธีใดว่าการปลดเปลื้องนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร?
4 เพื่อเสริมความมั่นใจของเราในคำสัญญาของพระองค์ พระเจ้าทรงบันทึกหลักฐานไว้มากมายว่าอะไรก็ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้ล่วงหน้าล้วนเกิดขึ้นจริง. (ยะโฮซูอะ 23:14) พระองค์ทรงให้มีบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ทรงกระทำเพื่อช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ให้รอดจากสถานการณ์ที่ในทัศนะของมนุษย์แล้วไม่มีทางจะรอดได้. (เอ็กโซโด 14:4-31; 2 กษัตริย์ 18:13–19:37) และโดยทางพระเยซูคริสต์ พระยะโฮวาทรงแสดงให้เห็นว่าพระประสงค์ของพระองค์รวมไปถึงการรักษา “ความป่วยไข้ทุกอย่าง” ของผู้คนให้หาย แม้กระทั่งปลุกคนตายให้กลับเป็นขึ้นมาอีก. (มัดธาย 9:35, ฉบับแปลใหม่; 11:3-6) สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะเกิดขึ้นเมื่อไร? คัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบโดยพรรณนาถึงสมัยสุดท้ายของระบบเก่านี้ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ของพระเจ้า. คำพรรณนาของพระเยซูตรงกับสมัยที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี้ทีเดียว.—มัดธาย 24:3-14; 2 ติโมเธียว 3:1-5.
การชูใจแก่ผู้ประสบความทุกข์ยาก
5. เมื่อชูใจชาติอิสราเอลโบราณ พระยะโฮวาทรงให้พวกเขามุ่งความสนใจไปที่อะไร?
5 จากวิธีที่พระยะโฮวาทรงปฏิบัติกับชาติอิสราเอลโบราณ เราเรียนรู้ว่าพระองค์นำการชูใจมาสู่พวกเขาในยามทุกข์ยากโดยวิธีใด. พระองค์ทรงเตือนใจพวกเขาให้ระลึกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแบบไหน. สิ่งนี้เสริมความมั่นใจของพวกเขาในคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์. พระยะโฮวาทรงดลใจเหล่าผู้พยากรณ์ของพระองค์ให้ใช้ภาพเปรียบเทียบที่ชัดเจนระหว่างพระองค์ในฐานะพระเจ้าเที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่ กับรูปเคารพซึ่งช่วยตัวเองและผู้ที่นมัสการรูปนั้นไม่ได้. (ยะซายา 41:10; 46:1; ยิระมะยา 10:2-15) เมื่อพระยะโฮวาบอกยะซายาว่า “จงเล้าโลม, โอ, จงเล้าโลมไพร่พลของเรา” พระองค์ทรงกระตุ้นผู้พยากรณ์ของพระองค์ให้ใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบและคำพรรณนาถึงราชกิจต่าง ๆ แห่งการทรงสร้างเพื่อเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ฐานะพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว.—ยะซายา 40:1-31.
6. บางครั้ง พระยะโฮวาทรงบอกให้ทราบล่วงหน้าเช่นไรบ้างเกี่ยวกับเวลากำหนดที่จะมีการช่วยให้รอด?
6 บางครั้ง พระยะโฮวาทรงชูใจประชาชนของพระองค์โดยบอกเวลากำหนดที่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด ไม่ว่าเวลานั้นจะอยู่ใกล้หรือไกล. ขณะที่การช่วยให้รอดจากอียิปต์กำลังใกล้เข้ามา พระองค์ทรงบอกพวกอิสราเอลที่ถูกกดขี่ว่า “เราจะนำภัยพิบัติมาสู่ฟาโรห์ และอียิปต์อีกอย่างเดียว หลังจากนั้นเขาจะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่.” (เอ็กโซโด 11:1, ฉบับแปลใหม่) เมื่อกองกำลังของสามชาติร่วมมือกันรุกรานอาณาจักรยูดาห์ในสมัยของกษัตริย์ยะโฮซาฟาด พระยะโฮวาทรงบอกประชาชนของพระองค์ว่าพระองค์จะเข้าแทรกแซงเพื่อช่วยพวกเขาในวัน “พรุ่งนี้.” (2 โครนิกา 20:1-4, 14-17) ในอีกด้านหนึ่ง การปลดปล่อยพวกเขาออกจากบาบิโลนได้รับการเขียนไว้ล่วงหน้าเกือบ 200 ปีโดยยะซายา และมีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมโดยทางยิระมะยาเกือบหนึ่งร้อยปีล่วงหน้าก่อนการช่วยให้รอดนั้นจะเกิดขึ้น. คำพยากรณ์ดังกล่าวช่างให้กำลังใจผู้รับใช้ของพระเจ้าสักเพียงไรขณะที่เวลาแห่งการช่วยให้รอดกำลังใกล้เข้ามา!—ยะซายา 44:26–45:3; ยิระมะยา 25:11-14.
7. คำสัญญาเรื่องการช่วยให้รอดบ่อยครั้งมีอะไรรวมอยู่ด้วย และสิ่งนี้ส่งผลอย่างไรต่อบรรดาผู้ซื่อสัตย์ในอิสราเอล?
7 เป็นที่น่าสังเกตว่าบ่อยครั้งคำสัญญาต่าง ๆ ที่ชูใจประชาชนของพระเจ้านั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับพระมาซีฮาด้วย. (ยะซายา 53:1-12) ข้อมูลนั้นให้ความหวังแก่ผู้ซื่อสัตย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าเมื่อพวกเขาเผชิญความยากลำบากมากมาย. ที่ลูกา 2:25 เราอ่านว่า “นี่แน่ะ, มีคนหนึ่งในกรุงยะรูซาเลมชื่อซิมโอน, เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า, และคอยท่าเวลาซึ่งพวกยิศราเอลจะได้รับความบรรเทาทุกข์นั้น [หรือการชูใจ ซึ่งจริง ๆ ก็คือการมาปรากฏของพระมาซีฮา], และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่กับท่านนั้น.” ซิมโอนรู้เรื่องความหวังเกี่ยวกับพระมาซีฮาที่มีบอกไว้ในพระคัมภีร์ และความคาดหวังที่จะเห็นความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์นี้มีผลต่อชีวิตของเขา. เขาไม่เข้าใจว่าคำพยากรณ์ทั้งสิ้นเกี่ยวกับพระมาซีฮาจะสำเร็จเป็นจริงอย่างไร และเขาเองก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนเห็นความรอดดังที่บอกไว้ล่วงหน้าสำเร็จเป็นจริง แต่เขาก็ชื่นชมยินดีเมื่อได้ระบุตัวพระองค์ผู้นั้นที่จะเป็น “ความรอด” จากพระเจ้า.—ลูกา 2:30.
การชูใจที่จัดเตรียมผ่านทางพระคริสต์
8. ความช่วยเหลือที่พระเยซูให้เมื่อเทียบกับสิ่งที่หลายคนคิดว่าจำเป็นต้องได้รับนั้นเป็นอย่างไร?
8 ขณะที่พระเยซูคริสต์ทำงานรับใช้ของพระองค์ทางแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คนในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าจำเป็นต้องได้รับเสมอไป. บางคนคอยท่ามาซีฮาที่จะมาปลดแอกจากการปกครองของโรมที่พวกเขาเกลียดชัง. แต่พระเยซูไม่สนับสนุนให้ก่อการกบฏ พระองค์บอกพวกเขาว่า “จงคืนของของซีซาร์แก่ซีซาร์.” (มัดธาย 22:21, ล.ม.) พระประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวข้องไม่ใช่เพียงแค่การปลดปล่อยผู้คนให้เป็นอิสระจากการปกครองบางอย่างทางการเมือง. ประชาชนต้องการตั้งพระเยซูเป็นกษัตริย์ แต่พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะ ‘ประทานชีวิตของพระองค์ให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก.’ (มัดธาย 20:28; โยฮัน 6:15) ยังไม่ถึงเวลาที่พระองค์จะรับเอาตำแหน่งกษัตริย์ และผู้ที่จะมอบอำนาจการปกครองแก่พระองค์คือพระยะโฮวา ไม่ใช่ฝูงชนที่ก่อความไม่สงบ.
9. (ก) พระเยซูประกาศข่าวสารอะไรที่ให้การชูใจ? (ข) พระเยซูทรงแสดงให้เห็นโดยวิธีใดว่าข่าวสารนั้นเกี่ยวข้องกับสภาพการณ์ที่ผู้คนประสบเป็นรายบุคคล? (ค) งานรับใช้ของพระเยซูวางรากฐานไว้สำหรับอะไร?
9 การชูใจที่พระเยซูนำมาให้นั้นรวมอยู่ใน “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า.” นี่เป็นข่าวสารที่พระเยซูประกาศในทุกหนแห่งที่พระองค์เสด็จไป. (ลูกา 4:43, ล.ม.) พระองค์ทรงเน้นความเกี่ยวข้องของข่าวสารนั้นกับปัญหาที่ผู้คนประสบในชีวิตประจำวันโดยสำแดงให้พวกเขาเห็นสิ่งที่พระองค์จะทำเพื่อมนุษยชาติในฐานะกษัตริย์มาซีฮา. พระเยซูทำให้ชีวิตของผู้มีความทุกข์มีความหมายขึ้นมาใหม่เมื่อทรงรักษาคนตาบอดและคนใบ้ (มัดธาย 12:22; มาระโก 10:51, 52), รักษาคนง่อย (มาระโก 2:3-12), รักษาโรคอันเป็นที่น่ารังเกียจแก่เพื่อนร่วมชาติชาวอิสราเอล (ลูกา 5:12, 13), และบำบัดพวกเขาจากโรคอื่น ๆ ที่ก่อความทุกข์ทรมาน. (มาระโก 5:25-29) พระองค์ทำให้ครอบครัวที่ทุกข์โศกได้รับการบรรเทาอย่างมากโดยการปลุกลูก ๆ ของพวกเขาให้เป็นขึ้นจากตาย. (ลูกา 7:11-15; 8:49-56) พระองค์สำแดงให้เห็นถึงความสามารถของพระองค์ในการควบคุมพายุที่เป็นอันตรายและในการสนองความต้องการของฝูงชนขนาดใหญ่ในเรื่องอาหาร. (มาระโก 4:37-41; 8:2-9) นอกจากนั้น พระเยซูสอนผู้คนถึงหลักการดำเนินชีวิตที่จะช่วยพวกเขาให้รับมือกับปัญหาที่มีอยู่อย่างได้ผลและที่จะช่วยให้หัวใจพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความหวังเรื่องการปกครองอันชอบธรรมของพระมาซีฮา. ดังนั้น เมื่อพระเยซูทำงานรับใช้ พระองค์ไม่เพียงแต่ชูใจผู้ที่ฟังพระองค์ด้วยความเชื่อเท่านั้น แต่ยังได้วางรากฐานไว้สำหรับให้กำลังใจผู้คนในเวลาต่อมาอีกเกือบสองพันปีด้วย.
10. เครื่องบูชาของพระเยซูทำให้อะไรเป็นไปได้?
10 ผ่านไปกว่า 60 ปีหลังจากพระเยซูได้สละชีวิตมนุษย์ของพระองค์เป็นเครื่องบูชาและได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์สู่ชีวิตในสวรรค์ อัครสาวกโยฮันได้รับการดลใจให้เขียนดังนี้: “ลูกเล็ก ๆ ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนเรื่องเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายเพื่อท่านจะไม่ทำบาป. และถึงกระนั้น หากผู้ใดทำบาป เราก็มีผู้ช่วยเหลืออยู่กับพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้ชอบธรรม. และพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาระงับพระพิโรธสำหรับบาปของเรา แต่ไม่ใช่สำหรับบาปของเราเท่านั้น แต่สำหรับบาปของทั้งโลกด้วย.” (1 โยฮัน 2:1, 2, ล.ม.) เราได้รับการชูใจอย่างมากเนื่องจากผลประโยชน์จากเครื่องบูชามนุษย์สมบูรณ์ของพระเยซู. เรารู้ว่าเราได้รับการอภัยบาป, มีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด, มีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้า, และมีความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์.—โยฮัน 14:6; โรม 6:23; เฮ็บราย 9:24-28; 1 เปโตร 3:21.
พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ชูใจ
11. ก่อนการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระเยซูทรงสัญญาถึงการจัดเตรียมอะไรอีกเพื่อให้การชูใจ?
11 ขณะอยู่กับพวกอัครสาวกในคืนสุดท้ายก่อนการสิ้นพระชนม์เป็นเครื่องบูชา พระเยซูตรัสถึงอีกสิ่งหนึ่งที่พระบิดาฝ่ายสวรรค์ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อชูใจพวกเขา. พระเยซูตรัสว่า “เราจะขอพระบิดา, และพระองค์จะทรงประทานผู้ช่วย [ผู้ชูใจ; ภาษากรีกคือพาราคลีโทส] อีกผู้หนึ่งแก่ท่าน, เพื่อจะอยู่กับท่านเป็นนิตย์ คือพระวิญญาณแห่งความจริง.” พระเยซูให้คำรับรองแก่พวกเขาว่า “ผู้ช่วยนั้น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ . . . จะสอนท่านทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวแก่ท่านแล้ว.” (โยฮัน 14:16, 17, 26) พระวิญญาณบริสุทธิ์ชูใจพวกเขาอย่างแท้จริงโดยวิธีใด?
12. พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งมีบทบาทในการช่วยความจำเหล่าสาวกของพระเยซูได้ช่วยนำการชูใจไปสู่ผู้คนมากมายโดยวิธีใด?
12 เหล่าอัครสาวกได้รับการสอนมากมายหลายสิ่งจากพระเยซู. พวกเขาคงไม่ลืมแน่ว่าได้รับการสอนจากพระเยซู แต่พวกเขาจะจำสิ่งที่พระองค์ตรัสจริง ๆ ได้ไหม? เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความจำ พวกเขาจะลืมคำสั่งที่สำคัญ ๆ ไปไหม? พระเยซูทรงรับรองกับพวกเขาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะ ‘ให้พวกเขาระลึกถึงทุกสิ่งที่พระองค์ได้กล่าวแก่พวกเขาแล้ว.’ ด้วยเหตุนี้ หลังจากพระเยซูวายพระชนม์ไปแล้วประมาณแปดปี มัดธายจึงสามารถเขียนพระธรรมกิตติคุณเล่มแรก ซึ่งบันทึกคำเทศน์บนภูเขาของพระเยซูที่ให้กำลังใจ, อุทาหรณ์มากมายของพระองค์เกี่ยวข้องกับเรื่องราชอาณาจักร, และการพิจารณาอย่างละเอียดเกี่ยวกับหมายสำคัญแห่งการประทับของพระองค์. มากกว่า 50 ปีหลังจากนั้น อัครสาวกโยฮันสามารถเขียนเรื่องราวซึ่งให้รายละเอียดมากมายที่วางใจได้เกี่ยวกับช่วงสองสามวันสุดท้ายของชีวิตพระเยซูทางแผ่นดินโลก. บันทึกที่มีขึ้นโดยการดลใจเหล่านี้ให้กำลังใจอย่างมากจวบจนทุกวันนี้!
13. พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำหน้าที่เป็นผู้สอนแก่เหล่าคริสเตียนยุคแรกอย่างไร?
13 นอกจากช่วยพวกเขาให้ระลึกถึงคำตรัสของพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังสอนและช่วยพวกสาวกให้เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น. ขณะที่พระเยซูยังอยู่กับเหล่าสาวก พระองค์บอกพวกเขาหลายสิ่งที่พวกเขายังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งในเวลานั้น. อย่างไรก็ตาม ต่อมา โยฮัน, เปโตร, ยาโกโบ, ยูดา, และเปาโลได้รับการกระตุ้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เขียนคำอธิบายถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้า. ด้วยเหตุนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงทำหน้าที่เป็นผู้สอน และให้ความมั่นใจที่มีค่ายิ่งแก่เหล่าสาวกว่าพระเจ้ากำลังชี้นำพวกเขาอยู่.
14. พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเหลือประชาชนของพระเจ้าในทางใดบ้าง?
14 นอกจากนั้น ของประทานอันมหัศจรรย์เกี่ยวกับพระวิญญาณยังเป็นพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่าพระเจ้าได้โยกย้ายความโปรดปรานของพระองค์จากอิสราเอลฝ่ายเนื้อหนังมายังประชาคมคริสเตียน. (เฮ็บราย 2:4) ผลของพระวิญญาณดังกล่าวในชีวิตของผู้คนก็เป็นปัจจัยสำคัญในการระบุตัวผู้เป็นสาวกแท้ของพระเยซูด้วย. (โยฮัน 13:35; ฆะลาเตีย 5:22-24) นอกจากนี้ พระวิญญาณยังเสริมกำลังสมาชิกประชาคมคริสเตียนให้กล่าวคำพยานด้วยใจกล้าและปราศจากความกลัว.—กิจการ 4:31.
ความช่วยเหลือเมื่อประสบความกดดันอย่างหนัก
15. (ก) คริสเตียนทั้งในอดีตและปัจจุบันเผชิญความกดดันอะไรบ้าง? (ข) ทำไมบางครั้งผู้ให้การชูใจผู้อื่นก็อาจจำเป็นต้องได้รับการชูใจเช่นกัน?
15 ทุกคนที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาและภักดีต่อพระองค์ล้วนประสบการข่มเหงไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง. (2 ติโมเธียว 3:12) อย่างไรก็ตาม คริสเตียนหลายคนได้ทนรับความกดดันที่แสนสาหัส. ในปัจจุบัน บางคนถูกฝูงชนตามรังควานและถูกจับขังคุก, ส่งไปยังค่ายกักกัน, และค่ายแรงงานที่มีสภาพทารุณโหดร้าย. บางรัฐบาลดำเนินการกดขี่ข่มเหงเสียเอง หรือไม่ก็ปล่อยให้พวกที่ไม่นับถือกฎหมายก่อการจลาจลโดยไม่เอาผิดพวกเขา. นอกจากนั้น คริสเตียนบางคนประสบปัญหาสุขภาพร้ายแรงหรือมีปัญหาหนักในครอบครัว. ความเครียดยังอาจตกอยู่กับคริสเตียนอาวุโสที่พยายามช่วยเพื่อนร่วมความเชื่อคนแล้วคนเล่าให้รับมือสภาพการณ์ที่ยุ่งยาก. ในกรณีเช่นนี้ ผู้ให้การชูใจผู้อื่นก็อาจจำเป็นต้องได้รับการชูใจเช่นเดียวกัน.
16. เมื่อดาวิดตกอยู่ในสถานการณ์ที่บีบคั้นอย่างหนัก ท่านได้รับความช่วยเหลืออย่างไร?
16 เมื่อกษัตริย์ซาอูลตามล่าสังหารดาวิด ดาวิดหมายพึ่งพระเจ้าเป็นผู้ช่วยของท่าน. ท่านวิงวอนขอต่อพระองค์ดังนี้: “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ . . . ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 54:2, 4; 57:1, ฉบับแปลใหม่) ดาวิดได้รับความช่วยเหลือไหม? ใช่แล้ว. ในช่วงนั้น พระยะโฮวาทรงใช้ผู้พยากรณ์ฆาตและปุโรหิตอะบีอาธารเพื่อถ่ายทอดคำชี้นำแก่ดาวิด และพระองค์ทรงใช้โยนาธานพระราชบุตรของซาอูลเพื่อเสริมกำลังชายหนุ่มผู้นี้. (1 ซามูเอล 22:1, 5; 23:9-13, 16-18) นอกจากนั้น พระยะโฮวาปล่อยให้ชาวฟะลิศตีมเข้าโจมตีแผ่นดิน จึงทำให้ซาอูลเลิกไล่ติดตามดาวิด.—1 ซามูเอล 23:27, 28.
17. พระเยซูหันไปขอความช่วยเหลือจากแหล่งไหนเมื่ออยู่ในภาวะที่กดดันอย่างหนัก?
17 พระเยซูคริสต์เองก็อยู่ในภาวะที่กดดันอย่างหนักขณะจุดจบของชีวิตพระองค์ทางแผ่นดินโลกกำลังใกล้เข้ามา. พระองค์ตระหนักดีว่าสิ่งที่พระองค์กระทำอาจกระทบต่อชื่อเสียงพระบิดาของพระองค์ทางภาคสวรรค์ และมีผลต่ออนาคตของมนุษยชาติทั้งสิ้น. พระองค์อธิษฐานด้วยใจเร่าร้อน จนถึงกับ “เป็นทุกข์สาหัสในพระทัย.” พระเจ้าทรงดูแลให้พระเยซูได้รับการค้ำจุนที่จำเป็นระหว่างช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น.—ลูกา 22:41-44, ล.ม.
18. พระเจ้าให้การชูใจอะไรแก่คริสเตียนยุคแรกที่ถูกข่มเหงอย่างรุนแรง?
18 การข่มเหงประชาคมคริสเตียนที่ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษแรกนั้นรุนแรงมากถึงขนาดที่คริสเตียนทุกคนต้องกระจัดกระจายไปจากกรุงเยรูซาเลม เว้นแต่พวกอัครสาวก. ทั้งชายและหญิงถูกฉุดลากออกจากบ้านเรือน. พระเจ้าทรงจัดเตรียมการชูใจอะไรให้แก่คนเหล่านั้น? พระคำของพระองค์รับรองว่าพวกเขามี “ทรัพย์ที่ดีกว่าและคงทน” ซึ่งเป็นมรดกที่ไม่มีวันสูญสลายในสวรรค์ด้วยกันกับพระคริสต์. (เฮ็บราย 10:34, ล.ม.; เอเฟโซ 1:18-20) ขณะที่พวกเขาประกาศต่อไป พวกเขาเห็นหลักฐานว่าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่กับพวกเขาและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้รับทำให้พวกเขามีเหตุผลมากขึ้นที่จะปีติยินดี.—มัดธาย 5:11, 12; กิจการ 8:1-40.
19. ถึงแม้เปาโลประสบการข่มเหงอย่างรุนแรง ท่านรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการชูใจที่ได้รับจากพระเจ้า?
19 ต่อมา เซาโล (เปาโล) ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นผู้ข่มเหงที่ใช้ความรุนแรงได้กลายมาเป็นเป้าของการข่มเหงเนื่องจากท่านเข้ามาเป็นคริสเตียน. บนเกาะไซปรัสมีนักคาถาอาคมที่พยายามขัดขวางงานรับใช้ของเปาโลโดยใช้อุบายและการบิดเบือน. ในแคว้นกาลาเทีย เปาโลถูกหินขว้างและนำไปทิ้งเพราะคิดว่าตายแล้ว. (กิจการ 13:8-10; 14:19) ในแคว้นมาซิโดเนีย ท่านถูกโบยตีด้วยไม้เรียว. (กิจการ 16:22, 23) หลังจากเผชิญกับฝูงชนที่ใช้ความรุนแรงในเมืองเอเฟโซส์ ท่านเขียนว่า “เรา . . . หนักใจเหลือกำลัง, จนถึงกับทำให้เราหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดได้. ที่จริงเราคาดว่าถึงที่ตายแล้ว.” (2 โกรินโธ 1:8, 9) แต่ในจดหมายฉบับเดียวกันนั้น เปาโลเขียนถ้อยคำที่ชูใจดังที่ยกมากล่าวไว้แล้วในวรรค 2 ของบทความนี้.—2 โกรินโธ 1:3, 4, ล.ม.
20. เราจะพิจารณาอะไรในบทความถัดไป?
20 คุณจะมีส่วนในการชูใจได้อย่างไร? ในสมัยของเรามีหลายคนที่ต้องการได้รับการชูใจเมื่อโศกเศร้า ไม่ว่าเนื่องจากภัยพิบัติที่ก่อผลกระทบผู้คนจำนวนมาก หรือเนื่องจากความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเอง. ในบทความถัดไป เราจะพิจารณาวิธีที่จะชูใจผู้คนในทั้งสองกรณีนี้.
คุณจำได้ไหม?
• เหตุใดการชูใจจากพระเจ้าจึงมีคุณค่ามากกว่าการชูใจจากแหล่งอื่น?
• การชูใจอะไรที่จัดเตรียมผ่านทางพระคริสต์?
• พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ชูใจในทางใดบ้าง?
• จงให้ตัวอย่างการชูใจที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เมื่อผู้รับใช้ของพระองค์ประสบความกดดันอย่างหนัก.
[ภาพหน้า 15]
คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าพระยะโฮวานำการชูใจมาสู่ประชาชนของพระองค์โดยช่วยพวกเขาให้รอด
[ภาพหน้า 16]
พระเยซูชูใจโดยการสอน, การรักษาโรค, และการปลุกคนตายให้กลับมามีชีวิต
[ภาพหน้า 18]
พระเยซูทรงรับการช่วยเหลือจากเบื้องบน