เรื่องราวชีวิตจริง
พยายามเลียนแบบตัวอย่างที่ดี
ผมถามว่า “คุณรู้ไหมว่าผมอายุเท่าไหร่แล้ว?” ไอแซก เมอเรก็ตอบว่า“รู้สิครับ” เขาโทรศัพท์จากแพตเทอร์สัน นิวยอร์กมาหาผมที่รัฐโคโลราโด ผมจะเล่าให้ฟังว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
ผมเกิดวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1936 ที่เมืองวิชิตา รัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกา ผมมีพี่น้อง 4 คน ผมเป็นคนโต พ่อผมชื่อวิลเลียม แม่ชื่อจีน ทั้งคู่เป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวา พ่อผมเป็นผู้รับใช้หมู่คณะ ซึ่งตอนนี้เราเรียกว่าผู้ประสานงานคณะผู้ปกครอง แม่เรียนความจริงจากยายของผมชื่อเอมมา แวกเนอร์ ยายช่วยหลายคนให้รู้ความจริงรวมทั้งเกอร์ทรูด สตีลซึ่งเป็นมิชชันนารีที่เปอร์โตริโกa ผมมีตัวอย่างดี ๆ ของหลายคนให้เลียนแบบ
นึกถึงตัวอย่างดี ๆ
พ่อของผมยืนเสนอวารสารอยู่ที่มุมถนน
ตอนที่ผมอายุ 5 ขวบ วันนั้นเป็นวันเสาร์ตอนเย็น ๆ ผมกับพ่อยืนอยู่ที่ถนน เสนอวารสารหอสังเกตการณ์ กับวารสารคอนโซเลชั่น (ปัจจุบันคือวารสารตื่นเถิด!) ให้กับคนที่เดินผ่านไปมา ตอนนั้นประเทศอเมริกากำลังทำสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พ่อก็เป็นกลาง ตอนที่เรายืนประกาศกันอยู่ หมอคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเรา เขาเมาแล้วด่าพ่อว่าเป็นพวกขี้ขลาดและไม่ยอมเป็นทหาร เขายื่นหน้ามาจนติดหน้าพ่อแล้วพูดว่า “ชกฉันเลยสิ ไอ้ขี้ขลาดตาขาว” ตอนนั้นผมกลัวมาก แต่ผมชื่นชมในตัวพ่อ พ่อสงบนิ่งแถมยังเสนอวารสารให้กับคนที่มามุงดู แล้วก็มีทหารคนหนึ่งเดินผ่านมา พอหมอคนนั้นเห็นทหารก็ตะโกนว่า “จัดการไอ้ขี้ขลาดตาขาวหน่อยซิ” ทหารคนนั้นเห็นว่าหมอกำลังเมาเลยบอกว่า “กลับบ้านไป ไปสร่างเมาก่อน!” แล้วทั้งสองคนก็เดินจากไป ผมรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาเหลือเกินที่ให้พ่อมีความกล้าอย่างนั้น ตอนนั้นพ่อมีร้านตัดผม 2 ร้านที่วิชิตา และจริง ๆ แล้วหมอคนนั้นก็เป็นลูกค้าของพ่อเอง!
ผมกำลังไปการประชุมใหญ่ที่วิชิตากับพ่อแม่ประมาณปี 1940
พอผมอายุ 8 ขวบ พ่อแม่ก็ขายบ้านกับร้านและทำรถบ้านเคลื่อนที่คันเล็ก ๆ แล้วเราก็ย้ายไปใกล้ ๆ กับเมืองแกรนด์จังก์ชัน รัฐโคโลราโด เพื่อรับใช้ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่า พ่อกับแม่เป็นไพโอเนียร์และทำงานพาร์ทไทม์ในไร่และเลี้ยงปศุสัตว์ ในที่สุดก็มีประชาคมใหม่ตั้งขึ้นเพราะความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและความขยันขันแข็งในการรับใช้ของพ่อแม่ ผมรับบัพติศมาวันที่ 20 มิถุนายน 1948 พ่อจุ่มตัวให้ผมที่ลำธารบนภูเขาพร้อมกับคนอื่น ๆ ซึ่งมีบิลลี นิโคลส์กับภรรยาของเขาด้วย ต่อมาเขาก็ได้เป็นผู้ดูแลหมวด และตอนหลังลูกของเขาก็มีภรรยาและได้เป็นผู้ดูแลหมวดด้วยเหมือนกัน
ครอบครัวของเราสนิทกับคนที่ขยันรับใช้พระยะโฮวา เราสนิทกับครอบครัวสตีลมาก ทั้งดอนกับเอียลิน เดฟกับจูเลีย และไซกับมาร์ธา เราชอบคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน พวกเขามีอิทธิพลกับชีวิตของผมมากเลย พวกเขาทำให้ผมรู้ว่าถ้าเราให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เราจะมีชีวิตที่มีความหมายและมีความสุขจริง ๆ
ย้ายบ้านอีกรอบ
ตอนที่ผมอายุ 19 เพื่อนที่รู้จักกับครอบครัวเราชื่อบัด เฮสตีชวนผมไปเป็นไพโอเนียร์คู่กับเขาที่ตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ผู้ดูแลหมวดขอให้เราย้ายไปรับใช้ที่เมืองรัสตัน รัฐลุยเซียนา เพราะที่นั่นมีพยานฯหลายคนที่เลิกประกาศ เขาบอกให้เราจัดการประชุมทุกรายการเป็นประจำถึงจะไม่มีใครมาร่วมเลยก็ตาม เราเจอที่ที่จะใช้เป็นหอประชุมได้และเราก็ช่วยกันเตรียมสถานที่ให้พร้อม เรามีการประชุมทุกรายการ แต่นานเลยที่เราประชุมกันอยู่แค่สองคน เราสลับกันทำส่วน พอคนหนึ่งขึ้นเวที อีกคนหนึ่งก็นั่งข้างล่างและเป็นคนตอบ และถ้าเป็นส่วนที่มีการสาธิต ทั้งสองคนก็ขึ้นไปบนเวที แล้วก็ไม่มีใครเป็นผู้ฟังเลยสักคน! ในที่สุดก็มีพี่น้องหญิงแก่ ๆ คนหนึ่งเริ่มมาประชุม แล้วต่อมาพวกนักศึกษาของเรากับคนที่เลิกประกาศบางคนก็เริ่มมาประชุมด้วย ไม่นานหลังจากนั้นก็มีการตั้งประชาคม
วันหนึ่งผมกับบัดเจอกับนักเทศน์คนหนึ่งของนิกายเชิร์ช ออฟ ไครสต์ เขาพูดถึงข้อคัมภีร์ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน มันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจและทำให้ผมคิดอย่างจริงจังมากขึ้นเกี่ยวกับความเชื่อของผม ผมใช้เวลาทั้งอาทิตย์ศึกษาจนดึกเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เขาถาม นั่นช่วยให้ผมสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น ตอนนี้ผมรอไม่ไหวแล้วที่จะเจอนักเทศน์คนต่อไป
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ดูแลหมวดก็ขอให้ผมย้ายไปช่วยประชาคมที่เอลโดราโด้ รัฐอาร์คันซอ ช่วงที่ผมอยู่ที่นั่น ผมต้องกลับไปรายงานตัวกับเจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารที่โคโลราโดบ่อย ๆ ครั้งหนึ่งที่ผมเดินทางกลับไปกับไพโอเนียร์บางคน พอมาถึงรัฐเทกซัส รถเราก็เจออุบัติเหตุ รถผมเสียหายยับเยิน เราโทรศัพท์หาพี่น้องคนหนึ่ง แล้วเขาก็พาพวกเราไปที่บ้านเขาแล้วก็ไปประชุม ที่การประชุมมีคำประกาศเกี่ยวกับเรื่องที่เราเจออุบัติเหตุ พี่น้องที่นั่นใจดีมาก พวกเขาให้เงินช่วยพวกเรา แล้วพี่น้องคนนั้นยังช่วยขายรถผมให้ด้วย ผมได้เงินมา 25 ดอลลาร์
แล้วพวกเราก็มีรถนั่งไปจนถึงวิชิตา ผมได้เจอกับอี. เอฟ. แม็คคาร์ตนีซึ่งเป็นไพโอเนียร์อยู่ที่นั่น เขาเป็นเพื่อนที่รู้จักกับครอบครัวเราเป็นอย่างดี เขามีชื่อเล่นว่า “ด็อก” ลูกชายฝาแฝดของเขาที่ชื่อแฟรงก์กับฟรานซิสเป็นเพื่อนรักของผมจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาขายรถเก่าของเขาให้ผมในราคา 25 ดอลลาร์ เท่ากับเงินที่ผมได้จากรถที่พังของผมพอดีเป๊ะเลย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เห็นกับตาว่า ถ้าผมให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต พระยะโฮวาจะให้ทุกอย่างที่จำเป็นกับผมจริง ๆ แล้วครอบครัวแม็คคาร์ตนีก็แนะนำให้ผมรู้จักกับพี่น้องหญิงที่น่ารักชื่อว่าเบเธล เครน แม่ของเธอชื่อรูธเป็นไพโอเนียร์ที่ขยันมากในเมืองเวลลิงตัน รัฐแคนซัส รูธเป็นไพโอเนียร์จนถึงอายุ 90 กว่า หลังจากที่ผมกับเบเธลเจอกันไม่ถึงปี เราก็แต่งงานกันในปี 1958 แล้วเบเธลก็เริ่มเป็นไพโอเนียร์ด้วยกันกับผมที่เมืองเอลโดราโด้
คำเชิญที่น่าตื่นเต้น
เราสองคนอยากจะเลียนแบบตัวอย่างที่ดีที่เราเห็นตั้งแต่เด็กจนโต เราเลยตัดสินใจว่าจะรับคำเชิญทุกอย่างที่มาจากองค์การของพระยะโฮวา เราถูกมอบหมายให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษที่เมืองวอลนัทริดจ์ รัฐอาร์คันซอ แล้วพอปี 1962 เราก็ตื่นเต้นมากที่ได้รับเชิญให้ไปโรงเรียนกิเลียดชั้นเรียนที่ 37 เราดีใจมากที่ได้อยู่ชั้นเดียวกับดอน สตีล พอเรียนจบเราก็ถูกมอบหมายให้ไปที่ไนโรบี ประเทศเคนยา เราเศร้ามากที่ต้องจากนิวยอร์กไป แต่เราก็มีความสุขมากที่ได้เจอกับพี่น้องที่มารับเราที่สนามบินไนโรบี
ตอนที่รับใช้ในไนโรบีกับคริสและแมรี่ คาไนยา
เราอยู่ที่นั่นได้แป๊บเดียวเราก็รักชีวิตที่เคนยาและงานประกาศที่นั่น นักศึกษาคู่แรกของเราที่เข้ามาเป็นพยานฯคือคริสกับแมรี่ คาไนยา ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ยังรับใช้เต็มเวลาที่เคนยาอยู่ ปีถัดมาเราถูกขอให้ย้ายไปที่กรุงกัมปาลา ประเทศยูกันดา เราเป็นมิชชันนารีคู่แรกในประเทศนั้น ช่วงเวลาที่เราอยู่ที่นั่นเป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นมากเพราะมีคนเยอะมากที่อยากเรียนคัมภีร์ไบเบิลแล้วก็ได้มาเป็นพี่น้อง แต่หลังจากที่เราอยู่ที่แอฟริกาได้สามปีครึ่ง เราก็ต้องกลับอเมริกา วันที่เราต้องจากแอฟริกาไปเราเศร้ากว่าตอนที่เราต้องจากนิวยอร์กเสียอีก เรารักคนแอฟริกามากและหวังว่าจะได้กลับมาสักวัน
งานมอบหมายใหม่
เราย้ายไปที่โคโลราโดตะวันตกที่พ่อแม่ผมอยู่ พอเราย้ายไปไม่นานเบเธลก็คลอดลูกสาวคนแรกชื่อว่าคิมเบอร์ลี หลังจากนั้น 17 เดือนเราก็ได้ลูกสาวคนที่สองชื่อสเตฟานี เรารู้สึกว่าการเป็นพ่อแม่เป็นงานมอบหมายใหม่ที่สำคัญมาก หลายคนวางตัวอย่างที่ดีไว้ให้เราและเราก็อยากจะเลียนแบบพวกเขา เราพยายามสอนความจริงให้กับลูกสาวที่น่ารักของเรา เรารู้ว่าการวางตัวอย่างที่ดีมีผลอย่างมากกับเด็ก ๆ แต่นี่ก็ไม่ได้รับประกันว่าเมื่อโตขึ้น พวกเขาจะรับใช้พระยะโฮวา ผมเสียใจมากที่น้องชายและน้องสาวของผมทิ้งความจริง ผมหวังว่าเขาสองคนจะกลับมาเอาความจริงและเลียนแบบตัวอย่างที่ดีอีกครั้งหนึ่ง
เรามีความสุขมากกับการดูแลลูกสาวสองคนและเราพยายามที่จะทำอะไร ๆ ด้วยกันเป็นครอบครัว เราอยู่ใกล้กับเมืองแอสเพน รัฐโคโลราโด เราเลยหัดเล่นสกีจะได้ไปเล่นสกีด้วยกัน ตอนที่เราขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปเล่นสกีเป็นช่วงที่เราจะมีเวลาคุยกัน เรายังชอบไปตั้งแคมป์ด้วยและคุยกันตอนนั่งรอบกองไฟ ถึงลูก ๆ จะยังเด็ก พวกเขาก็ถามคำถามหลายอย่าง เช่น “โตขึ้นหนูจะเป็นอะไรดี?” หรือ “หนูจะแต่งงานกับผู้ชายแบบไหนดีคะ?” เราพยายามทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะสอนให้พวกเขารักพระยะโฮวา เราสอนเขาให้ตั้งเป้าหมายที่จะรับใช้เต็มเวลาและแต่งงานกับคนที่มีเป้าหมายเดียวกันเท่านั้น เราพยายามช่วยให้เขาเห็นประโยชน์ของการไม่รีบแต่งงานตอนที่อายุยังน้อย เราชอบพูดกับพวกเขาบ่อย ๆ ว่า “อยู่เป็นโสดจนถึงอายุอย่างน้อย 23 นะลูก”
เราพยายามเลียนแบบตัวอย่างของพ่อแม่ของพวกเรา เราพยายามไปประชุมไปประกาศทั้งครอบครัวกันเป็นประจำ และชวนพี่น้องที่รับใช้เต็มเวลามาพักที่บ้าน เรายังเล่าเรื่องงานมิชชันนารีให้ลูก ๆ ฟังบ่อย ๆ ด้วยแล้วบอกเขาว่าเรารักงานนั้นมากแค่ไหน เราหวังว่าวันหนึ่งเราสี่คนพ่อแม่ลูกจะได้ไปแอฟริกาด้วยกัน ลูก ๆ ก็บอกว่าพวกเขาอยากไปมากเหมือนกัน
เรามีการศึกษาครอบครัวกันเป็นประจำ เราจะแสดงเหตุการณ์สมมุติที่อาจจะเกิดขึ้นที่โรงเรียน แล้วให้ลูก ๆ แสดงเป็นพยานฯตอบคำถามต่าง ๆ การศึกษาแบบนี้ทำให้พวกเขารู้สึกสนุกและมั่นใจมากขึ้น แต่พอพวกเขาโตขึ้น บางครั้งเขาก็เริ่มบ่นเรื่องการศึกษาครอบครัว มีครั้งหนึ่งที่ผมรู้สึกแย่มาก ผมเลยบอกพวกเขาให้กลับห้องไปไม่ต้องศึกษากันแล้ว พวกเขาตกใจมาก ร้องไห้และบอกว่าพวกเขาอยากจะศึกษา ตอนนั้นเราเลยรู้ว่าเรื่องของพระยะโฮวาที่เราสอนได้เข้าไปในหัวใจพวกเขา จริง ๆ แล้วเขาชอบเรียนเรื่องของพระยะโฮวา แต่ก็มีบางครั้งที่ลูก ๆ บอกเราว่าเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอน เรารู้สึกแย่เหมือนกันที่ได้ยินแบบนั้น แต่เราก็ดีใจที่ได้รู้ว่าลูกคิดอะไรอยู่จริง ๆ เราพยายามช่วยพวกเขาคิดหาเหตุผล และในที่สุดพวกเขาก็เห็นด้วยกับสิ่งที่พระยะโฮวาสอน
ปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง
ช่วงเวลาที่เราเลี้ยงลูกจนโตผ่านไปเร็วมาก แต่ด้วยคำแนะนำและการช่วยเหลือจากองค์การของพระเจ้า เราก็ได้เลี้ยงพวกเขาอย่างดีที่สุดให้รักพระยะโฮวา เราดีใจมากที่ลูกสาวทั้งสองคนเริ่มเป็นไพโอเนียร์ตั้งแต่เรียนจบมัธยมและทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้ พวกเขากับเพื่อนอีกสองคนย้ายไปรับใช้ในที่ที่ต้องการผู้ประกาศมากกว่า พวกเขาไปที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐเทนเนสซี เราคิดถึงลูกมากแต่ก็มีความสุขที่พวกเขารับใช้เต็มเวลา ผมกับเบเธลกลับมาเป็นไพโอเนียร์อีกครั้ง หลังจากนั้น เราก็ได้มีโอกาสเป็นผู้ดูแลหมวดสมทบและช่วยงานเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
ก่อนที่ลูก ๆ จะย้ายไปเทนเนสซี พวกเขาไปเที่ยวอังกฤษกันและไปเยี่ยมชมสำนักงานสาขาที่ลอนดอน สเตฟานีตอนนั้นอายุ 19 ได้เจอกับหนุ่มเบเธไลต์ที่ชื่อว่าพอล นอร์ตัน และลูก ๆ ก็ไปเที่ยวลอนดอนอีกครั้ง แล้วคิมเบอร์ลีก็ได้รู้จักกับไบรอัน เลอเวลลินซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของพอล และพอสเตฟานีอายุ 23 เขาก็แต่งงานกับพอล ในปีถัดมาคิมเบอร์ลีก็แต่งงานกับไบรอันตอนอายุ 25 ลูก ๆ ทั้งสองคนเป็นโสดจนถึงอายุอย่างน้อย 23 จริง ๆ พวกเรามีความสุขมากที่ลูกได้สามีที่ดี
ถ่ายรูปกับพอล สเตฟานี คิมเบอร์ลี และไบรอันที่สำนักงานสาขาประเทศมาลาวีในปี 2002
ลูก ๆ บอกเราว่าตัวอย่างของพวกเราและของปู่ย่าตายายช่วยให้พวกเขา ‘ทำให้การปกครองของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต’ แม้แต่ตอนที่พวกเขามีปัญหาเรื่องเงิน (มธ. 6:33) ในเดือนเมษายน 1998 พอลกับสเตฟานีได้รับเชิญให้เข้าโรงเรียนกิเลียดชั้นเรียนที่ 105 และพวกเขาถูกมอบหมายให้ไปรับใช้ที่ประเทศมาลาวี ในแอฟริกา ในเวลาเดียวกันไบรอันกับคิมเบอร์ลีก็ถูกเชิญให้ไปทำงานที่เบเธลในลอนดอนและหลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกย้ายไปที่เบเธลในมาลาวี พวกเรามีความสุขมากที่เห็นลูก ๆ ใช้ชีวิตที่ดีที่สุด
คำเชิญอีกอย่างหนึ่งที่น่าตื่นเต้น
ในเดือนมกราคม 2001 ผมได้รับโทรศัพท์จากพี่น้องเมอเรอย่างที่ผมเล่าให้ฟังตอนต้น พี่น้องเมอเรเป็นผู้ดูแลแผนกบริการการแปล เขาอธิบายให้ผมฟังว่า พี่น้องที่นั่นกำลังเตรียมหลักสูตรเพื่อช่วยผู้แปลทั่วโลกให้เข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น ถึงตอนนั้นผมจะอายุ 64 แล้วแต่พวกเขาก็ยังอยากให้ผมฝึกที่จะเป็นผู้สอนคนหนึ่งในหลักสูตรนั้น ผมกับเบเธลอธิษฐานถึงพระยะโฮวาเกี่ยวกับเรื่องนั้นและเราก็ได้ปรึกษากับแม่ของพวกเราด้วย ถึงพวกเขาจะแก่มากแล้วและรู้ว่าพวกเราจะอยู่ดูแลพวกเขาไม่ได้ แต่แม่ของพวกเราทั้งสองคนก็อยากให้พวกเราไป ผมเลยโทรศัพท์กลับไปหาพี่น้องเมอเรแล้วบอกว่าเราดีใจและพร้อมที่จะรับงานมอบหมายที่ดีอย่างนั้น
แล้วแม่ของผมก็รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ผมบอกแม่ว่าเราจะไม่ไปไหนแล้ว เราอยากจะอยู่ช่วยลินดาน้องสาวของผมดูแลแม่ แต่แม่ไม่ยอม แม่บอกว่า “แม่จะรู้สึกแย่กว่าเดิมถ้าลูกไม่ยอมไป” ลินดาก็รู้สึกอย่างเดียวกัน เรารู้สึกขอบคุณพวกเขาเหลือเกินที่พวกเขาเต็มใจเสียสละขนาดนั้น และเราก็รู้สึกขอบคุณพี่น้องในประชาคมแถว ๆ นั้นที่ช่วยดูแลแม่ด้วย พอเรามาถึงศูนย์การศึกษาว็อชเทาเวอร์ที่แพตเทอร์สันได้แค่วันเดียว ลินดาก็โทรศัพท์หาเราและบอกว่าแม่เสียแล้ว เราพยายามทำงานมอบหมายใหม่อย่างขยันขันแข็งอย่างที่แม่อยากให้เราทำ
เราตื่นเต้นมากที่งานมอบหมายแรกของเราคือที่เบเธลในมาลาวี ซึ่งลูกสาวทั้งสองของเรากับสามีกำลังรับใช้อยู่ที่นั่น ดีเหลือเกินที่เราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง ประเทศถัดไปที่เราได้รับมอบหมายให้ไปสอนก็คือซิมบับเวและต่อจากนั้นก็เป็นแซมเบีย หลังจากที่เราทำงานเป็นผู้สอนได้สามปีครึ่ง เราก็ถูกมอบหมายให้กลับไปที่มาลาวีเพื่อเขียนประสบการณ์ของพวกพี่น้องที่ถูกข่มเหงเพราะเป็นกลางทางการเมืองb
ไปประกาศกับหลานสาว
ในปี 2005 เราก็ต้องเศร้าอีกครั้งที่ต้องจากแอฟริกา เรากลับไปบ้านที่บาซอลต์ รัฐโคโลราโด ผมกับเบเธลยังเป็นไพโอเนียร์ต่อ ปีถัดมา ไบรอันกับคิมเบอร์ลีก็ย้ายมาอยู่บ้านติดกันกับเราและเลี้ยงลูกสาวสองคนชื่อแม็คเคนซีกับเอลิซาเบ็ธ ส่วนพอลกับสเตฟานียังรับใช้อยู่ที่มาลาวี พอลเป็นสมาชิกของคณะกรรมการสาขาที่นั่น ตอนนี้ผมอายุเกือบ 80 แล้ว ผมมีความสุขมากที่ได้เห็นคนหนุ่ม ๆ ที่ผมเคยรับใช้ด้วยได้มาทำหน้าที่ที่ผมเคยทำ ผมดีใจและมีความสุขมากที่ได้เห็นว่า การที่เราพยายามเลียนแบบตัวอย่างที่ดีของคนรุ่นก่อน ๆ ทำให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราได้รับผลประโยชน์จริง ๆ
a อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับงานมิชชันนารีของครอบครัวสตีลได้ในวารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) 1 พฤษภาคม 1956 น. 269-272 และ 15 มีนาคม 1971 น. 186-190
b ตัวอย่างเช่น ลองอ่านเรื่องราวชีวิตจริงของโทรฟิม ซอมบา ในวารสารหอสังเกตการณ์ 15 เมษายน 2015 น. 14-18