‘เราได้กระทำตามหน้าที่ซึ่งเราควรกระทำ’
เล่าโดยจอร์จ เคาช์
หลังจากเราใช้เวลาช่วงเช้าออกเผยแพร่ตามบ้านแล้ว เพื่อนที่ไปด้วยกันก็เอาแซนด์วิชออกมาสองคู่. เมื่อเรากินกันเสร็จแล้ว ผมดึงบุหรี่มวนหนึ่งออกมาสูบ. เพื่อนผมจึงถามว่า “คุณอยู่ในความจริงมานานเท่าไร?” ผมตอบว่า “ผมเพิ่งเข้าร่วมการประชุมเป็นครั้งแรกเมื่อคืนที่แล้วนี่เอง.”
ผมเกิดวันที่ 3 มีนาคม 1917 ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งทางตะวันออกของเมืองพิตส์เบิร์กห่างไปประมาณ 50 กิโลเมตร ใกล้กับเอวอนมอร์เมืองเล็ก ๆ ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา. ที่นั่นพ่อแม่ได้เลี้ยงดูพวกเราคือ พี่ชายสามคนของผม, น้องชายหนึ่ง, พี่สาวหนึ่ง, และตัวผม.
พวกเราไม่ได้รับการอบรมด้านศาสนามากเท่าไร. พ่อแม่เคยเข้าโบสถ์สมัยหนึ่ง แต่ก็เลิกไปขณะที่พวกเรายังอายุน้อย. กระนั้น พวกเราเชื่อว่ามีพระผู้สร้าง และวิถีชีวิตครอบครัวของเราเป็นตามหลักการพื้นฐานซึ่งพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล.
การฝึกอบรมที่ดีเยี่ยมที่ผมได้รับจากพ่อแม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรับผิดชอบ นั่นคือการรับเอาหน้าที่รับผิดชอบและทำหน้าที่นั้นให้สำเร็จ. ชีวิตในฟาร์มก็เป็นอย่างนั้นแหละ. ทว่า ชีวิตของพวกเราไม่ได้มีแต่งาน. เรามีการพักผ่อนหย่อนใจในทางที่เอื้อประโยชน์ เช่น การเล่นบาสเกตบอล, เบสบอล, ขี่ม้า, และว่ายน้ำ. สมัยนั้นเงินเป็นของหายาก กระนั้นชีวิตในฟาร์มก็สนุกเพลิดเพลิน. เราเข้าโรงเรียนที่มีเพียงหนึ่งห้องเรียนตอนอยู่ชั้นประถม และไปเรียนต่อชั้นมัธยมในเมือง.
เย็นวันหนึ่งผมเดินอยู่ในเมืองกับเพื่อนคนหนึ่ง. มีเด็กสาวหน้าตาน่ารักออกมาจากบ้านและกล่าวทักทายเพื่อนของผม. เพื่อนจึงแนะนำให้ผมรู้จักเฟิร์น พรู. นับว่าเหมาะทีเดียว บ้านของเธออยู่บนถนนเดียวกันกับโรงเรียนมัธยมนั้น. บ่อยครั้งเมื่อผมเดินผ่านบ้านของเธอ เฟิร์นจะทำงานอยู่นอกบ้าน. เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนขยัน ซึ่งทำให้ผมรู้สึกประทับใจ. เราได้พัฒนาความสนิทสนมและความรักต่อกัน แล้วเราแต่งงานกันในเดือนเมษายนปี 1936.
สัมผัสความจริงของคัมภีร์ไบเบิล
ก่อนผมเกิด มีสตรีสูงอายุคนหนึ่งซึ่งถูกผู้คนในเมืองปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นธรรมสืบเนื่องจากศาสนาที่เธอนับถือ. แม่แวะเยี่ยมเธอทุกวันเสาร์เมื่อเข้าไปซื้อของในเมือง. แม่ได้ช่วยทำความสะอาดบ้านและช่วยทำธุระบางอย่างให้เธอ แม่ทำอย่างนั้นจนกระทั่งสตรีคนนั้นเสียชีวิต. ผมเชื่อว่าพระยะโฮวาทรงอวยพรแม่ เพราะแม่แสดงความกรุณาต่อสตรีผู้นี้ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล อันเป็นชื่อที่เรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น.
หลังจากนั้นไม่นาน ลูกสาวของป้าเสียชีวิตกะทันหัน. คริสตจักรแทบจะไม่ได้ให้การปลอบประโลมป้าเลย แต่ผู้ให้การชูใจกลับเป็นเพื่อนบ้านซึ่งเป็นคนในกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนนั้นได้ชี้แจงให้เธอเข้าใจเรื่องที่ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเราตาย. (โยบ 14:13-15; ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10) จุดนี้เองเป็นแหล่งชูใจอย่างมาก. จากนั้น ป้าก็เล่าให้แม่ฟังอีกต่อหนึ่งเกี่ยวกับความหวังเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย. เรื่องนี้ได้จุดประกายความสนใจของแม่ เนื่องจากพ่อแม่ของแม่ได้เสียชีวิตเมื่อแม่ยังเป็นเด็ก และแม่ก็ใคร่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนเราตาย. ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ผมเห็นถึงความสำคัญของการฉวยโอกาสให้คำพยานเสมอเมื่อสบโอกาส.
ช่วงทศวรรษ 1930 แม่เริ่มฟังรายการวิทยุกระจายเสียงภาคเช้าวันอาทิตย์ของโจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์สมัยนั้น. ในระหว่างปีเหล่านั้น เหล่าพยานฯ ได้เริ่มงานประกาศตามบ้านเรือนในละแวกบ้านพวกเราด้วยเช่นกัน. พยานฯ ตั้งหีบเสียงแบบกระเป๋าหิ้วใต้ร่มไม้ที่ลานบ้านของเราและเปิดเสียงคำเทศน์ของบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดที่บันทึกไว้. แผ่นเสียงเหล่านั้นรวมทั้งวารสารหอสังเกตการณ์ และวารสารเดอะ โกลเดน เอจ (เวลานี้คือตื่นเถิด!) ได้ช่วยแม่ให้รักษาความสนใจอยู่เสมอ.
สองสามปีต่อมา ในปี 1938 มีการส่งไปรษณียบัตรเชิญผู้บอกรับวารสารหอสังเกตการณ์ ไปยังการประชุมที่จัดเป็นพิเศษ ณ บ้านส่วนตัวหลังหนึ่ง ซึ่งห่างออกไปประมาณ 25 กิโลเมตร. แม่อยากเข้าร่วมประชุม ดังนั้น จึงมีเฟิร์น มีผมพร้อมกับพี่ชายสองคนของผมไปด้วย. จอห์น บูท และชาลส์ เฮสส์เลอร์ ผู้ดูแลเดินทางแห่งพยานพระยะโฮวา ได้บรรยายให้พวกเราประมาณสิบกว่าคนฟัง. หลังจากนั้น เขาก็เริ่มจัดกลุ่มที่จะออกประกาศเช้าวันต่อไป. ไม่มีสักคนอาสาไปกับพวกเขา ดังนั้น บราเดอร์เฮสส์เลอร์จึงเลือกผมและถามว่า “ทำไมคุณไม่ไปกับเราล่ะ?” ผมไม่รู้แน่ชัดว่าเขาจะออกไปทำอะไร แต่ผมก็คิดหาเหตุผลไม่ได้หากผมจะไม่ช่วยพวกเขา.
เราออกเผยแพร่ตามบ้านกระทั่งเที่ยงวัน และก็ถึงตอนที่บราเดอร์เฮสส์เลอร์หยิบแซนด์วิชออกมาสองคู่. เรานั่งลงบนขั้นบันไดโบสถ์แล้วเริ่มกิน. หลังจากผมดึงบุหรี่ออกมาสูบนั่นแหละที่บราเดอร์เฮสส์เลอร์รู้ว่าผมได้เข้าร่วมการประชุมหนเดียวเท่านั้น. เย็นวันนั้นเองเขาได้มารับประทานอาหารเย็นที่บ้านของเรา และขอให้เราชวนเพื่อนบ้านมาร่วมสนทนาเกี่ยวกับเรื่องคัมภีร์ไบเบิล. ภายหลังการรับประทานอาหารมื้อเย็นแล้ว เขาได้นำการศึกษาพระคัมภีร์กับพวกเราและบรรยายให้เพื่อนบ้านที่มาร่วมประมาณสิบคนฟัง. เขาได้บอกเราว่าเราควรจะมีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลทุกสัปดาห์. ถึงแม้เพื่อนบ้านจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ผมกับเฟิร์นได้จัดให้มีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์ขึ้นที่บ้าน.
ก้าวหน้าในความจริง
หลังจากนั้นไม่นาน ผมกับเฟิร์นได้ออกทำงานเผยแพร่. เรานั่งที่เบาะหลังของรถ และเพิ่งจุดบุหรี่สูบเมื่อพี่ชายหันมาทางเราและพูดว่า “พี่เพิ่งรู้มาว่าพยานฯ ไม่สูบบุหรี่.” เฟิร์นโยนบุหรี่ออกนอกหน้าต่างรถทันที—ส่วนผมสูบจนหมดมวน. ถึงแม้เราเคยชอบสูบบุหรี่ นับแต่นั้นเราก็ไม่ได้หยิบบุหรี่อีกเลย.
หลังจากเราได้รับบัพติสมาในปี 1940 แล้ว ผมกับเฟิร์นเข้าร่วมการประชุมคราวหนึ่ง ที่นั่นเราได้ศึกษาบทความหนึ่งที่สนับสนุนงานไพโอเนียร์ ซึ่งหมายถึงงานเผยแพร่เต็มเวลา. ระหว่างเดินทางกลับบ้าน บราเดอร์คนหนึ่งถามว่า “ทำไมคุณกับเฟิร์นไม่เป็นไพโอเนียร์ล่ะ? คุณไม่มีอะไรคอยถ่วงคุณไว้นี่.” เราไม่สามารถโต้แย้งเขาได้ ดังนั้น เราจึงจัดแจงเตรียมตัวให้พร้อม. ผมได้ยื่นใบลาออกจากงานล่วงหน้า 30 วัน และเราเตรียมตัวเข้าสู่งานไพโอเนียร์.
เราได้ปรึกษาสมาคมว็อชเทาเวอร์เกี่ยวกับเรื่องการรับใช้ว่าเราควรจะไปที่ไหน ครั้นแล้วเราย้ายไปเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์. ที่นั่น มีบ้านพักสำหรับไพโอเนียร์ และค่าห้องพักและอาหารตกเดือนละ 10 ดอลลาร์. เรามีเงินออมอยู่บ้างซึ่งเราคิดว่าพอจะอยู่ได้สบายจนถึงวันอาร์มาเก็ดดอน. (วิวรณ์ 16:14, 16) ว่าไปแล้ว เราเคยคิดเสมอว่าอาร์มาเก็ดดอนอยู่ไม่ไกล. ดังนั้น เมื่อเราเริ่มงานไพโอเนียร์ เราสละบ้านและเลิกโครงการอื่น ๆ ของเราทุกอย่าง.
เราเป็นไพโอเนียร์ที่เมืองบัลติมอร์ระหว่างปี 1942 ถึง 1947. การต่อต้านกิจการของพยานพระยะโฮวาเป็นไปอย่างรุนแรงในช่วงหลายปีเหล่านั้น. แทนที่จะขับรถไปเอง หลายครั้งเราต้องขอบางคนขับรถพาเราไปส่งที่บ้านคนสนใจศึกษาพระคัมภีร์. ที่ทำอย่างนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เขาแทงยางรถของเรา. ไม่มีใครชอบการขัดขวางเช่นนั้น แต่ผมพูดได้ว่าเราเพลิดเพลินกับการประกาศในเขตงานรับใช้เสมอ. ที่จริง เราตั้งตาคอยท่าความตื่นเต้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ในขณะเราทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
ไม่ช้า เราใช้เงินออมของเราหมดเกลี้ยง. ยางรถยนต์ของเราสึกหรอ และเสื้อผ้ารองเท้าก็เก่าเช่นกัน. เราป่วยระยะยาวอยู่สองสามครั้ง. ไม่ง่ายที่จะทนทำต่อไป กระนั้นเราไม่เคยคิดจะเลิก. เราไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนั้นเลย. เราตัดทอนหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตออกไป เพื่อจะคงอยู่ในงานไพโอเนียร์ได้.
เปลี่ยนเขตงานมอบหมาย
ปี 1947 เราได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ในนครลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย. ระหว่างอยู่ที่นั่น ผมกับวิลเลียมพี่ชายได้รับจดหมายมอบงานให้เราเดินทางเยี่ยมและช่วยประชาคมต่าง ๆ. สมัยนั้น เราไม่เคยรับการฝึกอบรมพิเศษสำหรับงานด้านนี้. แต่เราก็ยอมรับเอาหน้าที่มอบหมาย. เจ็ดปีตั้งแต่นั้น ผมกับเฟิร์นได้ทำงานรับใช้ในรัฐต่าง ๆ เช่นโอไฮโอ, มิชิแกน, อินเดียนา, อิลลินอยส์, และนิวยอร์ก. ปี 1954 เราได้รับเชิญให้เข้าเรียนในรุ่นที่ 24 ของโรงเรียนกิเลียด โรงเรียนฝึกอบรมมิชชันนารี. ระหว่างอยู่ที่นั่น เฟิร์นติดเชื้อโปลิโอ. น่าดีใจ เธอหายเป็นปกติ และเราถูกมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลเดินทางในรัฐนิวยอร์กและคอนเนกติกัต.
ช่วงที่เราทำงานในสแตมฟอร์ด รัฐคอนเนกติกัต นาทาน เอช. นอรร์ นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์สมัยนั้นได้ขอให้เราไปพบท่านและออดรีย์ภรรยาของท่านในวันสุดสัปดาห์. ท่านเลี้ยงอาหารเย็นเราด้วยสเต็กเนื้ออันโอชะพร้อมด้วยผักที่จัดเรียงอย่างงาม. เรารู้จักคุ้นเคยบุคคลทั้งสองก่อนหน้านี้แล้ว และผมรู้จักบราเดอร์นอรร์ดีพอจะรู้ทันว่าท่านมีอะไรอยู่ในใจนอกจากการพบปะและอาหารเย็นมื้อนั้น. ต่อมา ในตอนค่ำท่านถามผมว่า “คุณอยากเข้ามาอยู่ที่เบเธลไหม?”
ผมตอบว่า “ผมไม่ค่อยแน่ใจ ผมไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับชีวิตในเบเธล!”
หลังจากตรึกตรองเรื่องนี้อยู่หลายสัปดาห์ เราได้บอกบราเดอร์นอรร์ว่าเราจะเข้าไปอยู่ในเบเธลหากท่านต้องการเช่นนั้น. สัปดาห์ถัดไป เราได้รับจดหมายให้รายงานตัวที่เบเธลในวันที่ 27 เมษายน 1957 ตรงกับวันครบรอบการแต่งงาน 21 ปีของเรา.
วันแรกที่เบเธล บราเดอร์นอรร์ได้ชี้แจงชัดเจนว่ามีการคาดหมายอะไรจากผม. ท่านบอกว่า “คุณไม่ได้เป็นผู้ดูแลหมวดแล้วนะ คุณมาที่นี่เพื่อทำงานในเบเธล. นี่เป็นงานสำคัญยิ่งยวดที่คุณต้องทำ และเราต้องการให้คุณทุ่มเทเวลาและกำลังวังชาของคุณเพื่อปฏิบัติงานตามการอบรมที่คุณได้รับการฝึก ณ เบเธลแห่งนี้. เราต้องการคุณอยู่ที่นี่.
ชีวิตที่เบเธลมีความหมาย
งานชิ้นแรกที่มอบหมายให้ผมคืองานแผนกบอกรับวารสารและการจัดส่งทางไปรษณีย์. ต่อจากนั้นราว ๆ สามปี บราเดอร์นอรร์สั่งผมไปรายงานตัวที่ห้องทำงานของท่าน. ท่านแจ้งให้ผมทราบเหตุผลแท้จริงที่ผมถูกเรียกมาอยู่ในเบเธลก็เพื่อทำงานในบ้าน. คำสั่งของท่านตรงเป้ามากที่ว่า “คุณมาที่นี่เพื่อบริหารสำนักเบเธล.”
การบริหารสำนักเบเธลทำให้ผมนึกถึงบทเรียนที่พ่อแม่สอนผมระหว่างเติบโตขึ้นมาในฟาร์ม. สำนักเบเธลคล้ายกันมากกับครัวเรือนทั่ว ๆ ไป. มีงานซักเสื้อผ้า, งานทำอาหาร, งานล้างถ้วยชาม, งานจัดเก็บที่นอน, และอื่น ๆ. หน่วยงานจัดระเบียบของบ้านพยายามทำให้เบเธลเป็นที่อยู่อาศัยอันสะดวกสบาย เป็นที่พักพิงซึ่งคนเราจะบอกได้ว่าเป็นบ้านของเขา.
ผมเชื่อว่ามีบทเรียนมากมายซึ่งครอบครัวต่าง ๆ สามารถจะเรียนได้จากวิธีดำเนินงานที่เบเธล. พวกเราตื่นนอนแต่เช้าและเริ่มวันใหม่ด้วยแนวการคิดฝ่ายวิญญาณโดยการพิจารณาข้อพระคัมภีร์ประจำวัน. เราถูกคาดหมายให้ทำงานอย่างขันแข็งและมีวิถีชีวิตที่สมดุลแต่หมกมุ่นอยู่กับงาน. เบเธลไม่ใช่วัดหรืออาราม ดังที่บางคนอาจคิดเช่นนั้น. เราทำงานลุล่วงไปได้มากเพราะเรามีกำหนดการในชีวิต. หลายคนพูดว่าการอบรมที่เขาได้รับจากเบเธลช่วยเขาในภายหลังเมื่อเขาต้องรับภาระรับผิดชอบในครอบครัวและในประชาคมคริสเตียน.
ชายหญิงวัยหนุ่มสาวซึ่งเข้ามาอยู่ในบ้านเบเธลอาจถูกมอบหมายให้ทำความสะอาด, ซักรีด, หรือทำงานในโรงงาน. โลกอาจต้องการให้เราคิดว่างานใช้แรงกายเป็นงานไม่มีเกียรติ ไม่สมฐานะ. แต่หนุ่มสาวเหล่านั้นที่เบเธลได้มาหยั่งรู้ค่างานมอบหมายต่าง ๆ ว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวของเราที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องและบังเกิดความสุข.
อนึ่ง โลกอาจส่งเสริมความคิดที่ว่าคุณต้องมีตำแหน่งและเกียรติภูมิถึงจะบรรลุความสุขอย่างแท้จริง. ความคิดดังกล่าวผิดถนัด. เมื่อเราทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย เราก็ ‘กระทำตามหน้าที่ซึ่งเราควรกระทำ’ และเราได้รับพระพรจากพระยะโฮวา. (ลูกา 17:10) เราเกิดความอิ่มใจและมีความสุขจริงก็ต่อเมื่อเราจดจำเป้าประสงค์ในการทำงานของเรา นั่นคือทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาและส่งเสริมผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักร. ถ้าเราจดจำข้อนี้ไว้ หน้าที่มอบหมายใด ๆ ก็สามารถทำให้เรามีความยินดีและเป็นที่น่าพอใจได้.
ถือเป็นสิทธิพิเศษที่ได้ร่วมการขยายตัว
ณ การประชุมใหญ่ปี 1942 ที่คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นเวลาสิบกว่าปีก่อนเราเข้ามาอยู่ที่เบเธล บราเดอร์นอรร์ได้บรรยายเรื่อง “สันติภาพ—จะยั่งยืนไหม?” ท่านได้ทำให้กระจ่างว่าสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งกำลังดำเนินรุดหน้าในตอนนั้น จะยุติและจะมีสันติภาพอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง อันเป็นโอกาสที่จะมีการรณรงค์ประกาศเผยแพร่อย่างกว้างขวาง. ปี 1943 มีการจัดตั้งโรงเรียนกิเลียดฝึกอบรมมิชชันนารี และโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าเพื่อปรับปรุงความสามารถของพี่น้องในการบรรยาย. ทั้งได้จัดการประชุมใหญ่ขึ้นหลายครั้งเช่นกัน. การประชุมใหญ่ครั้งสำคัญเป็นพิเศษในช่วงทศวรรษ 1950 ได้แก่การประชุมต่าง ๆ ณ สนามกีฬาแยงกี นิวยอร์ก. เกี่ยวเนื่องกับการประชุมที่นั่นเมื่อปี 1950 และ 1953 ผมมีโอกาสได้ช่วยจัดการเมืองรถพ่วงซึ่งมีบริเวณกว้างสำหรับหลายหมื่นคนใช้เป็นที่พักตลอดช่วงแปดวันในการประชุมแต่ละครั้ง.
ภายหลังการประชุมใหญ่เหล่านั้น รวมทั้งครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปี 1958 ปรากฏว่าผู้ประกาศราชอาณาจักรได้ทวีจำนวนมากมาย. ทั้งนี้มีผลโดยตรงต่องานของเราในเบเธล. พอมาปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 ก็ปรากฏว่าเรามีความต้องการอย่างยิ่งที่จะมีห้องต่าง ๆ สำหรับคนทำงาน. เราต้องมีห้องนอน, ห้องครัว, และห้องรับประทานอาหารมากขึ้น เพื่อสนองความต้องการของครอบครัวของเราที่ขยายใหญ่ขึ้น.
บราเดอร์นอรร์ได้ปรึกษาบราเดอร์แมกซ์ ลาร์สันผู้ดูแลโรงงาน และผมด้วยเพื่อจะหาที่ดินเหมาะ ๆ สำหรับการขยายตัว. ปี 1957 เมื่อผมมาที่เบเธลเวลานั้น สมาชิกครอบครัวประมาณ 500 คนพักอาศัยในอาคารใหญ่หลังเดียว. แต่ในช่วงหลายปี สมาคมฯ ได้ซื้อและบูรณะโรงแรมใหญ่สามแห่งที่อยู่ใกล้เคียง ได้แก่โรงแรมเทาเวอร์, โรงแรมสแตนดิช, และบอสเสิร์ต อีกทั้งตึกอพาร์ตเมนต์ขนาดย่อมกว่าอีกหลายหลัง. ปี 1986 สมาคมฯ ได้ซื้อบริเวณซึ่งเคยเป็นที่ตั้งโรงแรมมาร์กาเรต และได้สร้างอาคารใหม่สวยหรูขึ้นที่นั่นเป็นบ้านสำหรับประมาณ 250 คน. ครั้นแล้ว ต้นทศวรรษ 1990 มีการสร้างอาคารสูง 30 ชั้นเพื่อรองรับคนทำงานที่เพิ่มเข้ามาอีกประมาณ 1,000 คน. เวลานี้บ้านเบเธลบรุกลินสามารถให้ที่พักและอาหารแก่สมาชิกครอบครัวของเรามากกว่า 3,300 คน.
นอกจากนี้ก็ยังได้ซื้อที่ดินในเมืองวอลล์คิลล์ นิวยอร์ก ห่างจากบรุกลินเบเธลราว ๆ 160 กิโลเมตร. ตลอดหลายปี เริ่มต้นเมื่อปลายทศวรรษ 1960 บ้านพักและโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ได้ถูกสร้างบนเนื้อที่แห่งนี้. ปัจจุบัน สมาชิกครอบครัวเบเธลของเราราว ๆ 1,200 คนอยู่อาศัยและทำงานที่นั่น. ปี 1980 มีการมองหาที่ดินประมาณ 1,500 ไร่ที่ใกล้นครนิวยอร์กมากกว่านี้ซึ่งมีทางหลวงตัดผ่านเข้าถึงได้สะดวก. นายหน้าค้าที่ดินหัวเราะแถมพูดว่า “คุณจะไปหาที่ดินอย่างที่คุณต้องการได้ที่ไหน? ไม่มีทางเป็นไปได้.” แต่เช้าวันถัดไป เขาได้โทรศัพท์แจ้งว่า “ผมหาที่ดินให้คุณได้แล้ว.” ที่ตรงนี้ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันว่าศูนย์การศึกษาว็อชเทาเวอร์ที่แพตเทอร์สัน นิวยอร์ก. มีโรงเรียนต่าง ๆ ดำเนินการสอนอยู่ที่นั่น และมีครอบครัวที่ประกอบด้วยผู้รับใช้พระเจ้า 1,300 กว่าคน.
บทเรียนต่าง ๆ ที่ผมได้เรียนรู้
ผมได้เรียนรู้ว่าผู้ดูแลที่ดีคือผู้ที่สามารถนำเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากคนอื่นมาใช้. แนวความคิดส่วนใหญ่ซึ่งผมในฐานะผู้ดูแลเบเธลมีสิทธิพิเศษนำมาใช้ดำเนินงานนั้นผมได้มาจากคนอื่น.
เมื่อผมมาที่เบเธล หลายคนมีอายุมากเหมือนกับผมขณะนี้. ส่วนใหญ่ล่วงลับไปแล้ว. ใครจะมาแทนที่คนแก่ชราเหล่านั้นและคนที่ตายไป? ไม่ใช่ว่าต้องเป็นคนมีความสามารถมากที่สุดเสมอไป. คนที่ขึ้นมาแทนก็คือคนที่อยู่ที่นี่ คนที่ทำงานตามหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ คนที่ทำตัวให้พร้อมที่จะทำงาน.
สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งอันพึงจดจำคือคุณค่าของภรรยาที่ดี. การสนับสนุนจากเฟิร์น ภรรยาที่รัก มีส่วนช่วยผมได้มากมายในการทำงานมอบหมายตามระบอบของพระเจ้าให้บรรลุความสำเร็จ. สามีทั้งหลายมีความรับผิดชอบที่จะคอยดูแลให้ภรรยาของตนชื่นชมกับงานที่ได้รับมอบหมาย. ผมพยายามวางแผนจะทำสิ่งซึ่งเฟิร์นกับผมชอบทำด้วยกัน. สิ่งนั้น ๆ ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายราคาแพง แค่ให้เป็นอะไรสักอย่างที่ต่างไปจากกิจวัตรปกติ. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสามีที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ภรรยามีความสุข. เวลาที่เขาอยู่ใกล้ชิดกับภรรยามีค่ามากและผ่านไปเร็ว ฉะนั้นเขาจำต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุด.
ผมดีใจที่มีชีวิตอยู่ในสมัยสุดท้ายดังที่พระเยซูตรัสไว้. นี่คือยุคอันน่าพิศวงอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์. เราสามารถเฝ้าสังเกตและเห็นด้วยตาแห่งความเชื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงพัฒนาองค์การของพระองค์อย่างไรซึ่งเป็นการเตรียมการสำหรับโลกใหม่ตามคำสัญญาที่จวนจะถึง. เมื่อผมมองย้อนหลังดูตลอดชีวิตของผมในงานรับใช้พระยะโฮวา ผมเห็นว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ทรงชี้นำองค์การนี้ให้ดำเนินงานมาโดยตลอด—ไม่ใช่มนุษย์. พวกเราเป็นแต่เพียงผู้รับใช้ของพระองค์. เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงต้องพึ่งพาพระองค์เพื่อการชี้นำ. คราใดที่พระองค์ทรงชี้นำชัดเจนว่าเราพึงทำประการใด เราควรปฏิบัติทันทีและร่วมมือทำ.
จงร่วมมือเต็มที่กับองค์การ และรับรองได้ว่าคุณจะมีชีวิตเพียบพร้อมด้วยความสุข. ไม่ว่าคุณจะทำอะไร—งานไพโอเนียร์, งานหมวด, รับใช้ในประชาคมฐานะเป็นผู้ประกาศ, รับใช้ที่เบเธล, หรืองานมิชชันนารี—จงทำตามการชี้นำที่กำหนดให้ และประเมินค่างานมอบหมายของคุณให้สูง. จงพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อจะชื่นชมกับงานมอบหมายทุกอย่าง และงานแต่ละวันเกี่ยวกับงานรับใช้พระยะโฮวา. คุณอาจจะเหนื่อยล้า และทำงานหนักเกินควร หรืออาจท้อแท้เป็นครั้งคราว. นั่นแหละเป็นเวลาที่คุณต้องระลึกถึงจุดประสงค์ของคุณในการอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา. นั่นคือการทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่ทำตามใจตัวเอง.
ไม่เคยมีวันไหนที่ผมมาทำงานและไม่เพลิดเพลินกับงานที่ผมได้ทำ. ทำไม? เพราะเมื่อเราสละตัวเองสิ้นสุดจิตวิญญาณแด่พระยะโฮวา เราเกิดความอิ่มใจพอใจเพราะเรารู้อยู่ว่า ‘เราได้กระทำตามหน้าที่ซึ่งเราควรกระทำ.’
[รูปภาพหน้า 19]
แผนกวารสาร
[รูปภาพหน้า 19]
เมืองรถพ่วง ปี 1950
[รูปภาพหน้า 19]
ทำงานไพโอเนียร์ในบัลติมอร์ปี 1946
[รูปภาพหน้า 19]
ที่เมืองรถพ่วงกับเฟิร์นในปี 1950
[รูปภาพหน้า 22]
กับออดรีย์และนาทาน นอรร์
[รูปภาพหน้า 23]
ศูนย์การศึกษาว็อชเทาเวอร์ที่แพตเทอร์สัน นิวยอร์ก
[รูปภาพหน้า 24]
กับเฟิร์นขณะนี้