ยาเสพย์ติด
คำจำกัดความ: มีคำจำกัดความหลายอย่างสำหรับคำว่า “ยา.” ในความหมายที่พิจารณาในที่นี้ ยาเป็นสสารที่ไม่ใช่อาหารที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่อารมณ์ซึ่งทางการแพทย์ไม่ถือว่าจำเป็นแต่มีการใช้ในความพยายามเพื่อหนีจากปัญหาต่าง ๆ ของชีวิต เพื่อจะมีความรู้สึกแบบเพ้อฝัน ให้รู้สึกว่าสุขสบายดีหรือตื่นเต้นดีใจ.
ที่แท้แล้วคัมภีร์ไบเบิลห้ามการใช้ยาเพื่อความเพลิดเพลินไหม?
คัมภีร์ไบเบิลไม่บ่งชื่อสสารต่าง ๆ เช่นเฮโรอีน, โคเคน, แอลเอสดี, พีซีพี, กัญชา, และยาสูบ. แต่คัมภีร์ไบเบิลให้แนวแนะที่จำเป็นเพื่อเราจะทราบได้ว่า อะไรควรทำและอะไรที่ต้องหลีกเลี่ยงเพื่อจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า. ในทำนองเดียวกันคัมภีร์ไบเบิลมิได้บอกว่า เป็นการผิดที่จะใช้ปืนฆ่าคน แต่ก็ห้ามการฆ่าคน.
ลูกา 10:25-27: “‘ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์?’ . . . ‘“จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้า [พระยะโฮวา ล.ม.] ของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตต์ของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า” และ “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.”’” (คนเรารักพระเจ้าอย่างแท้จริงด้วยสิ้นสุดจิตวิญญาณและด้วยสิ้นสุดความคิดไหมหากเขาปฏิบัติกิจที่ทำให้ชีวิตของเขาสั้นลงโดยไม่จำเป็นและทำให้ความคิดของเขาเลอะเลือน? เขากำลังแสดงความรักต่อเพื่อนบ้านของเขาไหมหากเขาขโมยจากคนอื่น ๆ เพื่อจะหาเงินสำหรับนิสัยการใช้ยาเสพย์ติดของตน?)
2 โก. 7:1: “ดูก่อนท่านผู้เป็นที่รัก เมื่อเรามีคำสัญญาเช่นนั้นแล้ว [คือการมีพระยะโฮวาในฐานะพระเจ้าและพระบิดาของเรา] ให้เราชำระตัวของเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างแห่งเนื้อหนังและวิญญาณจิตต์ และให้เรากระทำความบริสุทธิ์ให้สำเร็จโดยความเกรงกลัวพระเจ้า.” (แต่เราจะคาดหมายความโปรดปรานจากพระเจ้าได้ไหมถ้าเราจงใจทำสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายของเราเป็นมลทิน?)
ติโต 2:11, 12 (ล.ม.): “พระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระเจ้าซึ่งนำความรอดมาสู่คนทุกชนิดได้ปรากฏแล้ว สั่งสอนเราให้ละทิ้งความอธรรมและความปรารถนาทางโลกและให้ดำเนินชีวิตโดยมีสุขภาพจิตดี [“มีการเหนี่ยวรั้งตน” เดอะ เจรูซาเลมไบเบิล; ‘ดำเนินชีวิตแบบที่มีการบังคับตนเอง’ ทูเดย์ อิงลิช เวอร์ชัน ] มีความชอบธรรมและความเลื่อมใสในพระเจ้าในระบบปัจจุบันนี้.” (การใช้ยาที่มีผลทำให้การใช้ดุลพินิจของคนเราลดต่ำลงหรือที่ทำให้เขาไม่อาจบังคับตนประสานกันกับคำแนะนำดังกล่าวไหม?)
ฆลา. 5:19-21: “ฝ่ายการของเนื้อหนังก็ปรากฏแล้วคือ . . . การดูดวงชะตาราศี [การเล่นผี, ล.ม.] . . . การเล่นเป็นพาลเกเรต่าง ๆ . . . คนเหล่านั้นที่กระทำการเช่นนั้นจะรับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้.” (ความหมายตามตัวอักษรของคำกรีก ฟาร์มาเกีย ที่มีการแปล ณ ที่นี้ว่า “การดูดวงชะตาราศี [การเล่นผี, ล.ม.]” คือ “การใช้ยา.” พจนานุกรมอรรถาธิบายคำศัพท์ในพระคริสตธรรมคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ โดย ดับเบิลยู. อี. ไวน์ ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับคำกรีกคำนี้ว่า “ในวิทยากล โดยทั่วไปแล้วมีการใช้ยาเสพย์ติดไม่ว่าแบบธรรมดาหรือที่มีฤทธิ์แรงประกอบกับเวทมนต์และการอ้อนวอนต่ออำนาจลึกลับพร้อมกับการตระเตรียมเครื่องรางของขลังต่าง ๆ และอื่น ๆ ซึ่งอ้างกันว่าออกแบบขึ้นเพื่อรักษาผู้เข้าร่วม หรือผู้ป่วยจากความสนใจและอำนาจของผีปีศาจ แต่ที่แท้แล้วก็เพื่อทำให้ผู้เข้าร่วมเกิดความประทับใจในแหล่งลึกลับและอำนาจต่าง ๆ ของหมอผี.” [ลอนดอน 1940 เล่ม 4 หน้า 51, 52] ทำนองเดียวกันกับทุกวันนี้ หลายคนที่ใช้ยาเสพย์ติดมีความเกี่ยวข้องกับกิจปฏิบัติเกี่ยวกับภูตผีหรือไม่ก็คบหากับคนที่ปฏิบัติกิจดังกล่าว เนื่องจากคนที่จิตใจว่างหรือผู้ที่เกิดอาการเพ้อฝันย่อมตกเป็นเหยื่อของพวกผีปีศาจได้โดยง่าย. เทียบกับ ลูกา 11:24-26.)
ติโต 3:1: “ให้มีใจน้อมฟังเจ้าบ้านผ่านเมือง และผู้มีอำนาจ.” (ในหลายแห่งการมียาบางชนิดในครอบครองหรือการใช้ยานั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย.)
เนื่องจากยาบางชนิดอาจช่วยให้คนเรารู้สึกเบิกบาน มันจะมีโทษถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
2 ติโม. 3:1-5 (ล.ม.): “แต่จงรู้ข้อนี้ คือในสมัยสุดท้าย จะมีวิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้. เพราะว่าคนจะ . . . รักการสนุกสนานแทนที่จะรักพระเจ้า . . . และจงผินหลังให้คนเหล่านี้.” (คัมภีร์ไบเบิลเตือนอย่างชัดเจนให้ระวังความปรารถนาในเรื่องการสนุกสนานถึงขนาดที่ยอมให้มันขึ้นหน้าการกระทำตามหลักการอันชอบธรรมแห่งพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับความโปรดปรานจากพระองค์.)
ยามึนเมาบางชนิดบรรเทาความเจ็บปวดและทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจ แต่ยาจำพวกนี้เป็นยาเสพย์ติดด้วย และหากรับเอามากเกินไปก็อาจทำให้เสียชีวิตได้. การสูดดม ตัวทำละลาย บางชนิดอาจก่อความรู้สึกตื่นเต้น แต่อาจมีผลทำให้พูดเลื่อนเปื้อน การมองเห็นบิดเบือน ควบคุมกล้ามเนื้อไม่อยู่ นอกจากนี้ นั้นยังทำความเสียหายต่อสมอง ตับ และไตอย่างที่ไม่อาจรักษาให้ดีดังเดิมได้. ยาที่ทำให้เพ้อฝัน อาจก่อความรู้สึก “สะลืมสะลือ” และดูเหมือนว่าขจัดความอ่อนเพลีย แต่ยาจำพวกนี้ก็อาจทำให้สมรรถนะในการกะระยะถูกบิดเบือน บั่นทอนความสามารถในการคิดตามเหตุผล อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกลักษณะถึงขั้นไม่อาจดีดังเดิม และทำให้เกิดความโน้มเอียงที่จะฆ่าตัวตายหรือฆ่าผู้อื่น.
กัญชาล่ะจะว่าอย่างไร—ไม่อันตรายจริงไหม? แพทย์บางคนบอกว่ามันไม่อันตราย
นายแพทย์เดวิด เพาเวลสัน อดีตหัวหน้าแผนกโรคจิตโรงพยาบาลคาวเวลล์ มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เมืองเบิร์กลีย์ ครั้งหนึ่งได้สนับสนุนให้การใช้กัญชาถูกต้องตามกฎหมาย. ต่อมาภายหลังเมื่อมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้น เขาเขียนว่า “บัดนี้ผมเชื่อว่ากัญชาเป็นยาที่อันตรายที่สุดที่เราต้องต่อสู้: 1. การใช้ในระยะแรกเริ่มทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน. ผู้ใช้ได้รับความเพ้อฝันที่ว่ารู้สึกสบาย; เขาไม่อาจรู้ได้ถึงความชำรุดทรุดโทรมของกระบวนการต่าง ๆ ทางด้านจิตใจและสรีระของตน. 2. หากใช้ต่อไปมีผลให้ความคิดฟุ้งซ่าน. หลังจากที่ใช้เป็นเวลาหนึ่งถึงสามปีติดต่อกัน รูปแบบการคิดที่บกพร่องจะเข้าครอบงำกระบวนการคิด.”—เอกเซกคิวทิฟ เฮลท์ รีพอร์ต, ตุลาคม 1977, หน้า 8.
นายแพทย์โรเบิร์ต แอล. ดูพอนต์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยการใช้ยาอย่างผิด ๆ แห่งชาติในสหรัฐ ผู้ซึ่งเคยอ้างว่ากัญชาเป็นอันตรายไม่มากนักได้กล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ประเด็นที่แท้จริงคืออันตรายต่อสุขภาพอย่างน้อยสองอย่างที่โรคติดต่อนี้ [การใช้กัญชาของคนรุ่นหนุ่มสาว] ทำให้มีขึ้น. อย่างหนึ่งก็คือผลกระทบจากการมึนเมา นับตั้งแต่การขับรถแบบเสี่ยงอันตรายจนถึงขั้นที่ไม่สนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น. อีกขอบข่ายหนึ่งคือต่อร่างกายโดยตรง. อาการท่ามกลางผู้ใช้กัญชามีตั้งแต่หลอดลมอักเสบเรื้อรังที่เกิดอยู่เนือง ๆ ไปจนถึงความเป็นไปได้ที่ฮอร์โมนจะส่งผลกระทบที่เป็นอันตราย ผลกระทบที่มีต่อระบบภูมิคุ้มกันโรค และแม้แต่โรคมะเร็งก็อาจเป็นไปได้.”—มอนทรีออล กาเซตต์, 22 มีนาคม 1979, หน้า 9.
ไซเยนซ์ ไดเจสต์ ให้รายละเอียดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้: “การสูบกัญชาเป็นประจำในระยะยาวแล้วจะขยายช่องว่างต่าง ๆ ระหว่างปลายประสาทในสมองซึ่งจำเป็นต่อปฏิบัติการสำคัญมาก ๆ เช่น ความจำ, อารมณ์, และการประพฤติ. เพื่อจะปฏิบัติหน้าที่ได้ เส้นประสาทต่าง ๆ ต้องมีการสื่อสารถึงกัน.” ต่อจากนั้นเมื่อให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลจากการทดลองกับสัตว์ บทความนี้บอกต่อไปว่า “ส่วนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่บริเวณเยื่อกั้นกลางซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์ต่าง ๆ; ส่วนนูนในสมอง [ฮิปโปแคมปัส] ที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการจำ; และส่วนอะมิกดาลา ซึ่งรับผิดชอบต่อการปฏิบัติการต่าง ๆ ด้านพฤติกรรม.”—มีนาคม 1981, หน้า 104.
การสูบกัญชาร้ายยิ่งกว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไหม?
แอลกอฮอล์เป็นอาหารอย่างหนึ่งที่ถูกร่างกายสันดาปให้เป็นพลังงาน; สารที่เหลือนั้นร่างกายจะขับออก. อย่างไรก็ตาม นักเภสัชวิทยาทางจิตคนหนึ่งกล่าวว่า “กัญชาเป็นยาที่มีฤทธิ์แรงมาก และความผิดพลาดใหญ่ที่สุดก็คือเมื่อเราเปรียบกัญชาเหมือนแอลกอฮอล์.” “โมเลกุลต่อโมเลกุล, THC [ในกัญชา] มีความ เข้มข้นกว่า 10,000 เท่า ของแอลกอฮอล์ในด้านความสามารถจะก่ออาการมึนเมาเพียงเล็กน้อย . . . . การขจัด THC ออกจากร่างกายเป็นไปอย่างเชื่องช้า และจำต้องใช้เวลาหลายเดือนเพื่อฟื้นตัวจากผลกระทบของมัน.” (เอกเซกคิวทิฟ เฮลท์ รีพอร์ต, ตุลาคม 1977, หน้า 3) พระผู้สร้างทรงทราบว่าเราถูกสร้างอย่างไร และพระวจนะของพระองค์ก็อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในระดับพอประมาณ. (เพลง. 104:15; 1 ติโม. 5:23) แต่พระองค์ก็ทรงตำหนิอย่างรุนแรงต่อการดื่มแอลกอฮอล์อย่างไม่ประมาณตน เช่นเดียวกับที่ทรงตำหนิความตะกละ.—สุภา. 23:20, 21; 1 โก. 6:9, 10.
เหตุใดพยานพระยะโฮวามองดูการสูบยาเส้นว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรง?
การสูบยาเส้นแสดงการขาดความเคารพต่อชีวิตซึ่งเป็นของประทาน
กิจ. 17:24, 25 (ล.ม.): “พระเจ้าซึ่งทรงสร้างโลกและสิ่งสารพัดในโลก . . . . พระองค์เองทรงประทานชีวิตและลมหายใจและสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวง.”
“หลักฐานที่ว่าบุหรี่ทำให้ชีวิตสั้นมีท่วมท้น; การเชื่อมโยงของมูลเหตุดังกล่าวได้รับการรับรองอย่างแน่นหนาไม่แพ้ยาอื่น ๆ ด้านเภสัชกรรม.”—ไซเยนซ์ 80, กันยายน/ตุลาคม, หน้า 42.
รายงานต่าง ๆ แสดงว่าในสหรัฐอเมริกา จำนวนผู้เสียชีวิตในแต่ละปีเนื่องจากการสูบบุหรี่มีถึง 300,000 คน; ในอังกฤษ 50,000 คน; ในแคนนาดา 50,000 คน. “กว่าหนึ่งล้านคนเสียชีวิตทุกปีเนื่องจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ และในแถบโลกที่สามซึ่งมีปริมาณบริโภคยาสูบถึง 52 เปอร์เซ็นต์ของโลกนั้น สัดส่วนของผู้เสียชีวิตเช่นนั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.”—เดอะ เจอร์นัล (โทรอนโต), 1 กันยายน 1983, หน้า 16.
โยเซฟ คาลิฟาโน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข การศึกษา และสวัสดิการของสหรัฐกล่าวว่า “ทุกวันนี้ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า การสูบบุหรี่ก็คือการฆ่าตัวตายแบบช้า ๆ.”—สโกลาสติก ไซเยนซ์ เวิลด์, 20 มีนาคม 1980, หน้า 13.
ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องให้ชนคริสเตียนถวายแด่พระองค์
โรม 12:1 (ล.ม.): “เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย อาศัยความเมตตาสงสารของพระเจ้า ข้าพเจ้าวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายร่างกายของท่านเป็นเครื่องบูชาอันมีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าทรงยอมรับได้ เป็นการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์พร้อมด้วยความสามารถของท่านในการหาเหตุผล.”
หัวหน้าแพทย์ในกองอนามัยของสหรัฐ ซี. เอเวอเรตต์ คูปกล่าวว่า “มีการระบุอย่างชัดแจ้งว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ก่อให้เกิดความตายซึ่งอาจป้องกันได้ในสังคมของเรา.” (เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์, 23 กุมภาพันธ์ 1982, หน้า A1) “การศึกษาทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่า . . . . ช่วงชีวิตโดยเฉลี่ยของคนสูบบุหรี่จะสั้นกว่าคนที่ไม่สูบสามถึงสี่ปี. ช่วงชีวิตของคนที่สูบบุหรี่จัดคือคนที่สูบถึงวันละสองซองหรือมากกว่านั้น—อาจสั้นกว่าคนที่ไม่สูบถึงแปดปี.” (สารานุกรม เวิลด์บุ๊ก 1984, เล่ม 17, หน้า 430) เป็นการถูกต้องไหมที่คนเราจะถวายชีวิตของตนเพื่อรับใช้พระเจ้าแต่แล้วค่อย ๆ ทำลายชีวิตนั้น?
“การสูบบุหรี่เป็นการทำลายอย่างหนัก โดยเฉพาะต่อหัวใจและปอด ถึงขนาดที่ยาอื่น ๆ ที่ใช้เพื่อเป็นการป้องกันนั้นไร้ความหมายหากคน ๆ นั้นสูบบุหรี่.” (ศูนย์บริการข่าวแห่งมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย, 18 กุมภาพันธ์ 1982) “เป็นไปได้ว่า การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดในโลกของการมีสุขภาพอ่อนแอซึ่งอาจป้องกันได้.” (นายแพทย์ เอช. มาห์เลอร์ ผู้อำนวยการใหญ่แห่งองค์การอนามัยโลกในวารสาร เวิลด์ เฮลท์, กุมภาพันธ์/มีนาคม 1980, หน้า 3) เป็นสิ่งที่สอดคล้องกันไหมที่บุคคลหนึ่งจะถวายตัวแด่พระเจ้าเพื่องานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แต่แล้วจงใจทำลายสุขภาพของตนเอง?
การสูบบุหรี่เป็นการละเมิดข้อเรียกร้องของพระผู้เป็นเจ้าที่ว่าเราต้องรักเพื่อนบ้าน
ยโก. 2:8 (ล.ม.): “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.”—เทียบกับมัดธาย 7:12.
“การศึกษาหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ . . . เผยว่า โดยเฉลี่ยแล้วภรรยาที่ไม่สูบบุหรี่ซึ่งมีสามีที่สูบจะตายเร็วกว่าพวกผู้หญิงที่มีสามีที่ไม่สูบบุหรี่เช่นกันสี่ปี.” (เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์, 22 พฤศจิกายน 1978, หน้า C5) “การสูบบุหรี่ระหว่างการตั้งครรภ์อาจเป็นเหตุให้เกิดรูปร่างบกพร่องอย่างรุนแรงถึงขั้นที่ทารกในท้องเสียชีวิต หรือไม่ก็เสียชีวิตหลังคลอดไม่นาน.” (แฟมิลี เฮลท์ พฤษภาคม, 1979 หน้า 8) การปฏิบัติอย่างที่ปราศจากความรักต่อสมาชิกของครอบครัวดังกล่าวเป็นหลักฐานที่ชัดแจ้งว่า บุคคลนั้นไม่ได้ประพฤติตนเยี่ยงคริสเตียนแท้.—เทียบกับ 1 ติโมเธียว 5:8.
“การศึกษาในหลายแห่งได้แสดงให้เห็นว่า เนื่องจากผู้ที่สูบบุหรี่มักจะสูบบุหรี่ที่ตนได้จุดไว้แล้วครั้งละช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ผู้ที่ไม่สูบอาจถึงกับถูกบังคับให้สูดเอาคาร์บอนมอนอกไซด์, น้ำมันดิน, และนิโคตินมากพอ ๆ กับคนที่สูบบุหรี่ซึ่งนั่งอยู่ข้างตน.” (ทูเดส์ เฮลท์, เมษายน 1972, หน้า 39) บุคคลผู้ซึ่งไม่มีความรักต่อเพื่อนมนุษย์ถึงขนาดนั้นก็ไม่ได้ให้หลักฐานว่าตนมีความรักต่อพระเจ้าเช่นเดียวกัน.—ดู 1 โยฮัน 4:20.
เหตุใดพระเจ้าจึงสร้างพืชต่าง ๆ ที่มีการนำมาสกัดเป็นยาเสพย์ติดหากว่าเป็นการผิดที่จะใช้ยาเหล่านั้น?
สิ่งต่าง ๆ ที่มีการนำไปใช้ผิดทางมักจะใช้ในทางที่ถูกได้เช่นกัน. นี่เป็นความจริงในเรื่องความสามารถในการสืบพันธุ์ของมนุษย์. เป็นความจริงเช่นกันในเรื่องของเหล้าองุ่น. กัญชาทำมาจากใบและดอกที่แห้งที่อยู่ปลายช่อของต้นป่านซึ่งให้ใยป่านที่เป็นประโยชน์ในการทำเชือกและผ้า. ใบยาสูบ ซึ่งนักสูบนำไปใช้ผิดทาง อาจนำไปใช้ทำยาฆ่าเชื้อและยาฆ่าแมลง. ยังมีทรัพยากรของโลกอีกจำนวนมากซึ่งยังต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับวิธีนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์. แม้แต่วัชพืชก็เป็นประโยชน์ในการป้องกันการเซาะกร่อนของดินและทำให้มีสิ่งปกคลุมดินในยามที่ไม่มีการเพาะปลูก.
คนเราจะทำอย่างไรได้บ้างหากเขาได้พยายามเลิกสูบบุหรี่หรือเลิกการใช้ยาเสพติดชนิดอื่น ๆ แล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ?
ก่อนอื่น โดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและการคิดไตร่ตรอง คุณจำต้องพัฒนาความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยและที่จะอยู่ในระบบใหม่อันชอบธรรมของพระองค์. หากคุณเข้าใกล้พระองค์ พระองค์จะทรงอยู่ใกล้และให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นแก่คุณ.—ยโก. 4:8.
เป็นสิ่งสำคัญที่จะเชื่อมั่นว่ากิจปฏิบัติเหล่านี้เป็นสิ่งไม่ดี และพัฒนาความเกลียดชังอย่างแท้จริงต่อสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว. (เพลง. 97:10) จะทำเช่นนี้ได้โดยการทบทวนข้อเท็จจริงต่าง ๆ ดังมีแสดงไว้ในส่วนนี้ของหนังสือและโดยการคิดไตร่ตรองในสิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยและคิดถึงผลของการปฏิบัติที่ไม่ดีนี้ว่าน่ารังเกียจแค่ไหน ไม่ใช่คิดถึงความเพลิดเพลินชั่วครู่ชั่วยามที่เกิดจากกิจปฏิบัติเหล่านี้.
หากคุณเกิดความอยากจะสูบหรือใช้ยาเสพย์ติดอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างรุนแรง จงอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยน้ำใสใจจริง. (ลูกา 11:9, 13: เทียบกับ ฟิลิปปอย 4:13.) จงทำทันที. และจงเอาคัมภีร์ไบเบิลของคุณออกมาและอ่านออกเสียงดัง หรือติดต่อกับคริสเตียนที่อาวุโสคนใดคนหนึ่ง. จงแจ้งให้เขาทราบว่า อะไรกำลังเกิดขึ้นและขอให้เขาช่วยคุณ.