แหล่งอ้างอิงสำหรับชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม
© 2025 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
วันที่ 7-13 กรกฎาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 21
หลักการที่จะช่วยให้ชีวิตคู่มีความสุข
คุณจะตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมได้อย่างไร?
การตัดสินใจอย่างเร่งรีบอาจกลายเป็นการตัดสินใจที่ไม่สุขุมได้อย่างง่ายดาย. สุภาษิต 21:5 (ล.ม.) เตือนว่า “แผนการของคนขยันก่อผลประโยชน์แน่นอน แต่ทุกคนที่ใจร้อนก็มุ่งสู่ความขัดสนแน่นอน.” ตัวอย่างเช่น พวกวัยรุ่นที่ชอบลุ่มหลงไม่ควรด่วนแต่งงาน. มิฉะนั้น พวกเขาอาจประสบความจริงของสิ่งที่วิลเลียม คอนกรีฟ นักเขียนบทละครชาวอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ได้กล่าวไว้ว่า “คนที่เร่งรีบสมรสอาจเสียใจไปอีกนานในความหุนหันพลันแล่นของตน.”
วิธีสร้างชีวิตสมรสให้ประสบความสำเร็จ
แสดงความถ่อมใจ. “ไม่ทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือด้วยความถือดี แต่ให้ถ่อมใจถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว.” (ฟิลิปปอย 2:3) เรื่องระหองระแหงหลายเรื่องเกิดขึ้นเพราะคู่สมรสที่ถือดีพยายามจะตำหนิคู่ของตนเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ แทนที่จะช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหาด้วยความถ่อมใจเพื่อทำให้อะไร ๆ ดีขึ้น. ความถ่อมใจอาจช่วยระงับความรู้สึกที่ต้องการยืนกรานว่าคุณเป็นฝ่ายถูกในเรื่องที่ถกเถียงกันนั้น.
“จงชื่นใจยินดีด้วยกันกับภรรยาซึ่งอยู่ด้วยกันมาแต่หนุ่มสาว”
13 จะว่าอย่างไรหากชีวิตสมรสตกอยู่ในความตึงเครียดเพราะวิธีที่คู่สมรสปฏิบัติต่อกัน? การหาทางแก้ไขต้องอาศัยความพยายาม. ตัวอย่างเช่น อาจเป็นได้ว่ารูปแบบของคำพูดที่ไม่กรุณาค่อย ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตสมรสของคุณและในเวลานี้ได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว. (สุภาษิต 12:18) ดังพิจารณาแล้วในบทความก่อน นี่อาจก่อผลเสียหายร้ายแรง. สุภาษิตข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ไปอาศัยอยู่ที่ป่าเปลี่ยวดีกว่าอาศัยอยู่กับหญิงที่มักทะเลาะและบ่นจู้จี้.” (สุภาษิต 21:19) หากคุณเป็นภรรยาในครอบครัวที่เป็นอย่างนั้น ก็ขอให้ถามตัวเองว่า ‘นิสัยของฉันทำให้เป็นเรื่องยากที่สามีจะอยู่ใกล้ ๆ ฉันไหม?’ คัมภีร์ไบเบิลบอกสามีดังนี้: “จงรักภรรยาของตนและอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง.” (โกโลซาย 3:19, ฉบับแปลใหม่) หากคุณเป็นสามี จงถามตัวเองว่า ‘ฉันมีท่าทีเย็นชา ซึ่งยั่วยุให้ภรรยาแสวงหาความอบอุ่นจากที่อื่นไหม?’ แน่ล่ะ ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับการประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศ. แต่กระนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องน่าเศร้าเช่นนั้นอาจเกิดขึ้นได้เป็นเหตุผลที่ดีที่จะพิจารณาปัญหากันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
นิมิตเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระเจ้ากลายเป็นจริง
9 ปัจจุบัน พระเยซูไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์ที่ขี่ลูกลาอีกต่อไป แต่ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ. มีการพรรณนาภาพพระองค์ว่ากำลังทรงม้า ซึ่งในคัมภีร์ไบเบิลใช้ม้าเป็นสัญลักษณ์ของสงคราม. (สุภาษิต 21:31) วิวรณ์ 6:2 (ล.ม.) กล่าวว่า “นี่แน่ะ! ม้าขาวตัวหนึ่ง; และผู้ที่นั่งบนม้านั้นมีธนู; และผู้นั้นได้รับมงกุฎ และได้ออกไปอย่างมีชัยและเพื่อทำให้ชัยชนะของตนครบถ้วน.” นอกจากนี้ ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนเกี่ยวกับพระเยซูว่า “พระยะโฮวาจะทรงส่งไม้ธารพระกรแห่งอำนาจของท่านออกจากเมืองซีโอน โดยตรัสว่า ‘จงออกไปปราบปรามท่ามกลางศัตรูของเจ้า.’”—บทเพลงสรรเสริญ 110:2, ล.ม
วันที่ 14-20 กรกฎาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 22
หลักการที่จะช่วยให้เลี้ยงลูกได้ดี
ลูกของคุณจะโตมารับใช้พระเจ้าไหม?
7 ถ้าคุณแต่งงานแล้วและอยากจะมีลูก ให้ถามตัวเองว่า ‘เราสองคนรักพระยะโฮวาและรักคัมภีร์ไบเบิลจริง ๆ ไหม?’ ‘เราเป็นคนถ่อมที่พระยะโฮวาจะเลือกให้ดูแลชีวิตที่มีค่าอีกชีวิตหนึ่งไหม?’ (สด. 127:3, 4) ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันสอนลูกให้เห็นค่าการทำงานหนักไหม?’ (ปญจ. 3:12, 13) ‘ฉันพยายามปกป้องลูกจากสิ่งไม่ดีและอันตรายต่าง ๆ ที่มีในโลกของซาตาน ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือศีลธรรมไหม?’ (สภษ. 22:3) มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะปกป้องลูกไม่ให้ต้องเจอกับปัญหาเลย แต่คุณต้องค่อย ๆ สอนเขาด้วยความรัก เตรียมเขาให้พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาโดยช่วยให้เขารู้วิธีเอาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ (อ่านสุภาษิต 2:1-6) ตัวอย่างเช่น ถ้าญาติเลิกรับใช้พระยะโฮวา คุณต้องใช้คัมภีร์ไบเบิลเพื่อช่วยให้ลูกเห็นว่าทำไมถึงสำคัญที่จะภักดีต่อพระองค์ (สด. 31:23) และถ้ามีคนที่รักตาย ก็ให้คุณเปิดคัมภีร์ไบเบิลให้ลูกดูว่ามีข้อคัมภีร์ข้อไหนที่จะช่วยเขาให้หายเศร้าและรู้สึกสบายใจขึ้นได้—2 คร. 1:3, 4; 2 ทธ. 3:16
พ่อแม่ สอนลูกของคุณให้รักพระยะโฮวา
17 เริ่มสอนลูกให้เร็วที่สุด ยิ่งพ่อแม่สอนลูกเร็วเท่าไร ก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น (สภษ. 22:6) ขอให้คิดถึงทิโมธีที่ตอนโตได้เดินทางกับอัครสาวกเปาโล ยูนิสแม่ของเขาและโลอิสที่เป็นยายสอนเขา “ตั้งแต่ยังเป็นทารก”—2 ทธ. 1:5; 3:15
18 ช็องโคลดกับพีซสามีภรรยาอีกคู่ในโกตดิวัวร์สอนลูกทั้งหกคนให้รักและรับใช้พระยะโฮวา อะไรช่วยให้พวกเขาทำสำเร็จ? ก็โดยการทำตามตัวอย่างของยูนิสกับโลอิส พวกเขาบอกว่า “เราพร่ำสอนคำสอนของพระเจ้าตั้งแต่ลูกยังเป็นทารก พอลูกลืมตาดูโลกได้ไม่นานก็สอนเลย”—ฉธบ. 6:6, 7
19 การ “พร่ำสอน” คำสอนของพระเจ้าหมายความอย่างไร? “พร่ำสอน” หมายถึง “สอนและเตือนโดยย้ำบ่อย ๆ” เพื่อจะทำอย่างนี้ พ่อแม่ต้องมีเวลาให้ลูกเป็นประจำ บางครั้งอาจจะน่าเหนื่อยและน่าท้อใจเพราะต้องสอนเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่พ่อแม่ควรพยายามมองว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะช่วยลูกให้เข้าใจคำสอนของพระเจ้าและเอาไปใช้
บิดามารดาจงเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตรของคุณ
แน่นอน เด็กก็คือเด็ก และบางคนมีแนวโน้มที่จะดื้อรั้น ถึงกับออกนอกลู่นอกทางด้วยซ้ำ. (เยเนซิศ 8:21) บิดามารดาสามารถทำประการใด? คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ความโฉดเขลาผูกพันอยู่ในจิตต์ใจ [“หัวใจ,” ล.ม.] ของเด็ก; แต่ไม้เรียวอาจขับไล่ความโฉดเขลานั้นไปเสียได้.” (สุภาษิต 22:15) บางคนมองว่าการทำเช่นนี้เป็นการปฏิบัติที่รุนแรงซึ่งล้าสมัยแล้ว. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลคัดค้านความรุนแรงทั้งทางวาจาและทางกาย. แต่บางครั้ง “ไม้เรียว” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงโทษจริง ๆ แสดงถึงอำนาจของบิดามารดาที่มีการใช้อย่างหนักแน่นแต่เปี่ยมด้วยความรักและอย่างเหมาะสมเนื่องจากความห่วงใยต่อสวัสดิภาพถาวรของบุตร.—เฮ็บราย 12:7-11.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
มีความสุขกับสิ่งที่คุณทำได้เพื่อพระยะโฮวา
11 เราจะมีความสุขมากขึ้นถ้าเราทุ่มเทกับงานมอบหมายทุกอย่างที่เราได้รับ ให้คุณ “ทุ่มเทเวลา” ไปกับงานประกาศและขยันทำงานต่าง ๆ ในประชาคม (กจ. 18:5; ฮบ. 10:24, 25) ให้คุณเตรียมการประชุมดี ๆ เพื่อจะออกความคิดเห็นที่ให้กำลังใจคนอื่นได้ และไม่ว่าคุณจะได้รับส่วนนักเรียนอะไรในการประชุมกลางสัปดาห์ก็ให้ตั้งใจทำ ถ้ามีใครมาขอคุณให้ช่วยงานในประชาคมก็ให้เป็นคนตรงต่อเวลาและมีความรับผิดชอบ อย่าคิดว่างานบางอย่างไม่สำคัญและรู้สึกว่าไม่น่าจะต้องมาเสียเวลากับงานนี้ แต่คุณน่าจะพยายามฝึกทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เก่งขึ้น (สภษ. 22:29) ยิ่งคุณทุ่มเทในงานมอบหมายและงานรับใช้ คุณก็จะยิ่งพัฒนาตัวเอง สนิทกับพระยะโฮวามากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น (กท. 6:4) นอกจากนั้น การทำอย่างนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกง่ายขึ้นที่จะดีใจกับคนที่ได้สิทธิพิเศษที่คุณอยากได้—รม. 12:15; กท. 5:26
วันที่ 21-27 กรกฎาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 23
หลักการที่ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างฉลาดเมื่อเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์
จงรักษาทัศนะที่สมดุลในเรื่องเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
5 จะเสียหายอะไรไหมหากคนเราดื่มแอลกอฮอล์ แต่ระวังที่จะไม่ดื่มจนเห็นได้ว่าเมา? บางคนแทบไม่มีอาการเมาให้เห็น แม้หลังจากดื่มไปมากแล้ว. อย่างไรก็ตาม การคิดว่าการดื่มแบบนั้นไม่ก่อผลเสียหายที่แท้แล้วก็หลอกตัวเอง. (ยิระมะยา 17:9) ทีละเล็กทีละน้อย อย่างค่อยเป็นค่อยไป คนเราอาจติดแอลกอฮอล์ และตกเป็น “ทาสของเหล้าองุ่น.” (ติโต 2:3, ล.ม.) นักเขียนชื่อแคโรไลน์ แน็ป กล่าวเกี่ยวกับกระบวนการที่นำไปสู่การเป็นคนติดสุราว่า “เป็นการเปลี่ยนแปลง อย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ยากจะสังเกตเห็นผลร้ายที่ตามมา.” การดื่มแอลกอฮอล์เกินควรเป็นกับดักร้ายกาจเสียจริง ๆ!
6 ขอให้พิจารณาคำเตือนของพระเยซูด้วยที่ว่า “จงระวังตัวให้ดี, เกลือกว่าใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการดื่มเหล้าองุ่นมากและด้วยการเมา, และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้, แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านดุจบ่วงแร้วเมื่อท่านไม่ทันคิด เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วแผ่นดินโลก.” (ลูกา 21:34, 35) การดื่มไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเมาเสียก่อนจึงจะทำให้คนเราเซื่องซึมและเกียจคร้าน—ทั้งทางกายและฝ่ายวิญญาณ. จะเกิดอะไรขึ้นหากวันของพระยะโฮวามาถึงขณะคนเราอยู่ในสภาพนั้น?
ทัศนะของพระเจ้าในเรื่องแอลกอฮอล์เป็นเช่นไร?
แม้แอลกอฮอล์จะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ก็มีส่วนผสมที่มีฤทธิ์ทำให้จิตใจหรือร่างกายทำงานผิดเพี้ยนไป. การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้:
การดื่มจัดทำให้วิจารณญาณบกพร่อง ทำให้ ‘ตามองเห็นวิปริตไป.’ (สุภาษิต 23:33) แอลเลนที่กล่าวถึงในบทความก่อนอธิบายว่า “โรคพิษสุราเรื้อรังไม่ได้ทำลายร่างกายเท่านั้น แต่ทำลายความคิดจิตใจด้วย. คุณไม่สนใจว่าคนอื่นจะเจ็บปวดอย่างไร.”
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้มีความยับยั้งชั่งใจน้อยลง. พระคัมภีร์เตือนว่า “เหล้าองุ่น, และเหล้าองุ่นใหม่ย่อมปลิดเอาสติไปเสีย.” (โฮเซอา 4:11) เป็นเช่นนั้นอย่างไร? เมื่ออยู่ภายใต้ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ความคิดและความปรารถนาที่ปกติแล้วเราถือว่าผิดอาจกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้หรือถึงกับน่าดึงดูดใจด้วยซ้ำ. ความตั้งใจแน่วแน่ของเราที่จะทำสิ่งถูกต้องเสมออาจลดน้อยลง. แอลกอฮอล์อาจบั่นทอนเกราะกำบังทางศีลธรรมของเรา ผลก็คือทำให้สัมพันธภาพของเรากับพระเจ้าเสียไป.
ยกตัวอย่าง จอห์นทะเลาะกับภรรยาแล้วผลุนผลันออกไปดื่มเหล้าที่บาร์. เขาดื่มไปสองสามแก้วเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหาเขา. หลังจากดื่มไปอีกสองสามแก้ว จอห์นก็ออกไปกับเธอและทำผิดประเวณี. ต่อมาภายหลัง จอห์นรู้สึกเสียใจมากที่ได้ทำสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะทำเลย แต่ก็ทำลงไปเพราะแอลกอฮอล์ทำให้เขาขาดความยับยั้งชั่งใจ.
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้ไม่สามารถควบคุมคำพูดและการกระทำได้. คัมภีร์ไบเบิลถามว่า “ใครที่มีปัญหาอยู่เสมอ? ใครที่ทะเลาะและชกต่อยกัน? ก็ทุกคนที่ไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อจะดื่มอีกแก้วเดียวเท่านั้น.” (สุภาษิต 23:29, 30, ฉบับคอนเทมโพรารี อิงลิช) การดื่มมากเกินไปอาจทำให้ “รู้สึกวิงเวียนเศียรปั่นป่วน เมาเซซวนแกว่งไกวให้สับสน เหมือนอยู่กลางมหาสมุทรสุดเวียนวน หรืออยู่บนเสากระโดงสูงโทงเทง.” (สุภาษิต 23:34, ฉบับประชานิยม) ชายคนหนึ่งที่ดื่มมากเกินไปอาจตื่นขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฉันคงต้องถูกตี . . . จำไม่ได้ว่าใครข่มเหง.”—สุภาษิต 23:35, ฉบับประชานิยม
การดื่มมากเกินไปอาจทำลายสุขภาพ. “ในบั้นปลาย [แอลกอฮอล์] ฉกกัดเหมือนงู ปล่อยพิษเหมือนงูพิษ.” (สุภาษิต 23:32, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) วิทยาศาสตร์การแพทย์ยืนยันสติปัญญาของสุภาษิตโบราณข้อนี้. แอลกอฮอล์ในปริมาณมากอาจเป็นพิษถึงตายเนื่องจากนำไปสู่โรคมะเร็งหลายชนิด, โรคตับอักเสบ, ตับแข็ง, ตับอ่อนอักเสบ, ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำในคนที่เป็นเบาหวาน, โรคทารกพิษสุราในครรภ์, โรคเส้นเลือดสมอง, หรือหัวใจล้มเหลว ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น. และแม้แต่การดื่มมากเกินไปหรือดื่มแบบไม่บันยะบันยังเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ป่วยหนักถึงขั้นโคม่าหรือตายได้. แต่ผลเสียหายร้ายแรงที่สุดของการดื่มมากเกินไปไม่ได้มีกล่าวไว้ในตำราแพทย์.
อันตรายที่ร้ายแรงที่สุด. แม้ว่าคนหนึ่งอาจจะไม่เมา แต่การดื่มมากเกินไปทำให้เขาสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ชัดเจนว่า “วิบัติแก่คนที่ลุกขึ้นแต่เช้ามืด, เพื่อจะไปดื่มเหล้าอีกต่อไป, แล้วก็นั่งเฉื่อยแฉะอยู่จนดึกดื่น, จนเขาเมาหยำเปไป!” เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? ยะซายาห์อธิบายว่าการดื่มมากเกินไปก่อผลเสียหายต่อความสัมพันธ์กับพระเจ้าดังนี้: “เขาทั้งหลายไม่เอาใจใส่ต่อกิจการของพระยะโฮวา, หรือมิได้พิจารณาถึงการกระทำแห่งพระหัตถ์ของพระองค์.”—ยะซายา 5:11, 12
พระคำของพระเจ้าแนะนำเราว่า “อย่ามั่วสุมกับนักเสพ เหล้าองุ่น.” (สุภาษิต 23:20) ผู้หญิงสูงอายุได้รับคำเตือนไม่ให้ “เป็นคนดื่มเหล้าองุ่นมาก.” (ทิทุส 2:3) เพราะเหตุใด? คนเราเริ่มดื่มมากขึ้นทีละน้อยและบ่อยขึ้นโดยที่ตัวเขาเองมักไม่สังเกต. ในที่สุด คนนั้นอาจพูดว่า “เมื่อไรเราจะตื่นนะ จะได้ไปดื่มอีก.” (สุภาษิต 23:35, ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) พวกนักดื่มได้ก้าวเข้าไปในธรณีประตูแห่งความพินาศเมื่อพวกเขาเสาะหาเหล้าดื่มอีกในตอนเช้าเพื่อให้สร่างเมาจากเมื่อคืน.
คัมภีร์ไบเบิลเตือนว่า คนที่หมกมุ่นกับ “การดื่มเหล้าองุ่นมากเกินไป การเลี้ยงเฮฮาอย่างเลยเถิด การแข่งกันดื่ม . . . จะต้องให้การต่อพระองค์ผู้ทรงพร้อมที่จะพิพากษาคนเป็นและคนตาย.” (1 เปโตร 4:3, 5) และพระเยซูได้เตือนเกี่ยวกับสมัยวิกฤติที่เรามีชีวิตอยู่ว่า “จงระวังตัวให้ดีเพื่อว่าใจของเจ้าจะไม่หมกมุ่นอยู่กับการกินมากเกินไป การดื่มจัด และความวิตกกังวลกับชีวิต แล้ววัน [ของพระยะโฮวา] จะมาถึงเจ้าทันทีโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว เหมือนบ่วงแร้ว.”—ลูกา 21:34, 35
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
คำถามจากผู้อ่าน
ตัวอย่างเช่น ความอ้วนอาจบ่งบอกถึงการกินเติบ แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป. คนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปอาจเป็นเพราะความเจ็บป่วย. ปัจจัยทางกรรมพันธุ์อาจเป็นเหตุทำให้อ้วนด้วยเช่นกัน. นอกจากนี้ เราควรจดจำไว้ด้วยว่าความอ้วนเป็นสภาพทางกาย แต่การกินเติบเป็นอาการทางจิตใจ. ความอ้วนได้รับการนิยามว่า “ร่างกายมีเนื้อและไขมันมากเกินไป” ส่วนการกินเติบคือ “ความตะกละหรือการปล่อยตัวอย่างเลยเถิด.” ด้วยเหตุนี้ การกินเติบไม่ได้ตัดสินจากสัดส่วนของคนเรา แต่ตัดสินจากเจตคติของคนนั้นในเรื่องอาหารต่างหาก. คนเราอาจมีสัดส่วนพอดีหรืออาจถึงกับผอมด้วยซ้ำ แต่ก็ยังเป็นคนกินเติบ. นอกจากนี้ มีการมองน้ำหนักตัวหรือรูปร่างที่พอเหมาะแตกต่างกันไปในแต่ละแห่ง.
วันที่ 28 กรกฎาคม–3 สิงหาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 24
ทำให้ตัวเองเข้มแข็งเพื่อพร้อมรับมือกับปัญหา
“ขอให้มั่นคงไว้ อย่าหวั่นไหว”
15 ศึกษาส่วนตัวและคิดใคร่ครวญ ถ้าต้นไม้ต้นไหนมีรากลึก มันจะไม่โค่นล้มเมื่อเจอพายุ เหมือนกันถ้าเรามีความเชื่อเข้มแข็ง เราก็จะหนักแน่นมั่นคงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อต้นไม้โตขึ้น มันจะหยั่งรากลึกลงไปในดินและแผ่ขยายรากออกไป คล้ายกันเมื่อเราศึกษาส่วนตัวและคิดใคร่ครวญ ความเชื่อของเราก็จะยิ่งเข้มแข็ง และเราจะยิ่งมั่นใจว่าแนวทางของพระยะโฮวาดีที่สุด (คส. 2:6, 7) ตอนที่เราศึกษาส่วนตัว ให้พยายามคิดว่าการสอน การชี้นำ และการปกป้องจากพระยะโฮวาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ในอดีตยังไง ตัวอย่างเช่น เอเสเคียลเห็นนิมิตเรื่องวิหาร และเขาสนใจเป็นพิเศษตอนที่ทูตสวรรค์วัดวิหารนั้น นิมิตนี้ทำให้เอเสเคียลเข้มแข็งและได้กำลังใจ และทำให้เรารู้ว่าเราต้องทำอะไรบ้างเพื่อรักษามาตรฐานของพระยะโฮวาเรื่องการนมัสการบริสุทธิ์ (อสค. 40:1-4; 43:10-12) ดังนั้น ถ้าเราใช้เวลาศึกษาส่วนตัวและคิดใคร่ครวญความรู้ที่ลึกซึ้งในคัมภีร์ไบเบิล เราก็จะได้ประโยชน์
จงรักษาความยินดีไว้ในยามทุกข์ยาก
12 สุภาษิต 24:10 ยอมรับว่า “ถ้าเจ้าป้อแป้ในวันที่มีความทุกข์ยากก็เห็นได้ว่ากำลังของเจ้านั้นน้อย.” สุภาษิตอีกข้อหนึ่งกล่าวว่า “แต่ความเศร้าใจทำให้จิตต์แตกร้าว.” (สุภา. 15:13) พี่น้องคริสเตียนบางคนท้อใจมากจนในที่สุดเลิกอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนตัวและเลิกคิดใคร่ครวญในพระคำของพระเจ้า. คำอธิษฐานของพวกเขากลายเป็นเรื่องที่ทำพอเป็นพิธี และพวกเขาอาจปลีกตัวจากเพื่อนผู้นมัสการ. เห็นได้ชัดว่า การจมอยู่กับความคิดที่หดหู่เป็นอันตราย.—สุภา. 18:1, 14
13 ในทางตรงกันข้าม ทัศนะในแง่บวกจะช่วยเราให้มุ่งสนใจเรื่องที่ทำให้เราชื่นใจยินดี. ดาวิดเขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้ายินดีที่จะประพฤติตามน้ำพระทัยของพระองค์.” (เพลง. 40:8) เมื่อเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตไม่เป็นอย่างที่เราคิด เราไม่ควรเลิกทำกิจวัตรที่ดีในการนมัสการ. ที่จริง สิ่งหนึ่งที่ช่วยเยียวยาความเศร้าก็คือการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำให้มีความสุข. พระยะโฮวาทรงบอกเราว่าเราสามารถพบความสุขและความยินดีได้จากการอ่านและพินิจพิจารณาพระคำของพระองค์เป็นประจำ. (เพลง. 1:1, 2; ยโก. 1:25) เราได้รับ “ถ้อยคำที่เพราะหู” ซึ่งสามารถชูใจเราและทำให้หัวใจเราเบิกบานจากทั้งพระคัมภีร์บริสุทธิ์และการประชุมคริสเตียน.—สุภา. 12:25; 16:24
คำถามจากผู้อ่าน
สุภาษิต 24:16 บอกว่า “คนดีอาจล้มถึงเจ็ดครั้งแต่จะลุกขึ้นมาได้” ข้อนี้หมายถึงคนที่ทำบาปซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วพระเจ้าก็ให้อภัยเขาไหม?
ไม่ใช่ ข้อนี้ไม่ได้หมายถึงแบบนี้ แต่ข้อนี้หมายถึงคนที่เจอปัญหาและความลำบากหลายอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนกับเขาล้มลงหลายครั้ง แต่เขายังลุกขึ้นมา พยายามสู้กับปัญหาที่เจอ และยังอดทนได้
จากทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าสุภาษิต 24:16 ไม่ได้หมายถึงการทำบาป แต่หมายถึงการเจอกับปัญหาหรือความลำบากซ้ำแล้วซ้ำอีก ในโลกชั่วนี้คนดีอาจจะต้องเจอปัญหาสุขภาพหรือปัญหาอย่างอื่น เขาอาจจะโดนรัฐบาลข่มเหงอย่างหนัก แต่เขามั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะช่วยให้เขารับมือและอดทนกับปัญหาต่าง ๆ ได้ มีกี่ครั้งแล้วที่คุณเห็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเจอปัญหา แต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี เรามั่นใจว่า “พระยะโฮวาประคองทุกคนที่กำลังจะล้ม และดึงทุกคนที่หมอบฟุบอยู่ให้ลุกขึ้น”—สด. 41:1-3; 145:14-19
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
คำถามจากผู้อ่าน
ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ถ้าชายคนใดต้องการ “สร้างเรือน” ของตนหรือมีครอบครัวด้วยการแต่งงาน เขาต้องถามตัวเองว่า ‘ข้าพร้อมไหมที่จะดูแลเลี้ยงดูภรรยาและลูก ๆ ที่อาจมีในภายหลัง?’ ก่อนจะมีครอบครัว เขามีงานที่ต้องทำ คือการดูแลทุ่งนาหรือพืชผลของเขา. ด้วยเหตุนั้น ฉบับแปล ทูเดส์ อิงลิช จึงแปลข้อนี้อย่างชัดเจนตรงไปตรงมาว่า “อย่าเพิ่งสร้างบ้านและมีครอบครัว จนกว่านาของเจ้าจะพร้อม และเจ้าแน่ใจแล้วว่าจะหาเลี้ยงชีพได้.” หลักการเดียวกันนั้นใช้ได้ไหมในปัจจุบัน?
ใช้ได้. ชายที่อยากแต่งงานต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับหน้าที่รับผิดชอบนั้น. ถ้าสุขภาพของเขาเอื้ออำนวย เขาจะต้องทำงาน. แน่นอน งานหนักของผู้ชายในการดูแลครอบครัวไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่ด้านร่างกาย. พระคำของพระเจ้าชี้ว่าชายคนใดไม่ดูแลความจำเป็นของครอบครัวด้านร่างกาย, อารมณ์, และวิญญาณถือว่าเลวยิ่งกว่าคนที่ไม่มีความเชื่อด้วยซ้ำ! (1 ติโม. 5:8) ดังนั้น เพื่อเตรียมให้พร้อมสำหรับการแต่งงานและชีวิตครอบครัว ชายหนุ่มควรถามตัวเองดังนี้: ‘ผมเตรียมพร้อมตามสมควรแล้วไหมเพื่อจะเลี้ยงดูครอบครัวได้? ผมพร้อมจะเป็นผู้นำหน้าครอบครัวในการนมัสการพระเจ้าไหม? ผมจะทำหน้าที่รับผิดชอบในการนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับภรรยาและลูกเป็นประจำได้ไหม?’ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระคำของพระเจ้าเน้นหน้าที่รับผิดชอบสำคัญเหล่านี้.—บัญ. 6:6-8; เอเฟ. 6:4
ดังนั้น ชายหนุ่มที่มองหาคู่ครองควรคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับหลักการที่พบในสุภาษิต 24:27. ในทำนองเดียวกัน หญิงสาวควรถามตัวเองว่าเธอพร้อมจะทำหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นภรรยาและแม่แล้วหรือไม่. หนุ่มสาวที่คิดจะแต่งงานหรือคนที่เพิ่งแต่งงานอาจถามตัวเองคล้าย ๆ กันนี้เมื่อพิจารณาว่าจะเลี้ยงดูลูกไหวหรือไม่. (ลูกา 14:28) การดำเนินชีวิตโดยอาศัยการชี้นำที่มีขึ้นโดยการดลใจเช่นนั้นสามารถช่วยประชาชนของพระเจ้าหลีกเลี่ยงความปวดร้าวใจมากมายและชื่นชมยินดีกับชีวิตครอบครัวที่น่าพอใจ.
วันที่ 4-10 สิงหาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 25
หลักการที่จะช่วยในเรื่องการพูด
ใช้ความสามารถในการพูดของคุณอย่างเหมาะสม
6 ทำไมเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรพูดในเวลาที่เหมาะ? สุภาษิต 25:11 บอกว่า “คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเปรียบเหมือนผลแอปเปิลทำด้วยทองคำใส่ไว้ในกระเช้าเงิน” แน่นอน แอปเปิลทองคำสวยงามอยู่แล้ว แต่แอปเปิลนั้นจะสวยขึ้นไปอีกถ้ามันวางอยู่ในกระเช้าเงิน ในทำนองเดียวกัน เราอาจมีบางอย่างที่ดีที่เราอยากจะพูดกับคนอื่น แต่ถ้าเราพูดในเวลาที่เหมาะ เราก็จะช่วยคนนั้นได้มากกว่า เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?
7 ถ้าเราพูดในเวลาที่ไม่เหมาะ คนฟังก็อาจจะไม่เข้าใจหรือไม่ยอมรับสิ่งที่เราพูด (อ่านสุภาษิต 15:23) ตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม 2011 เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิซึ่งทำลายหลายเมืองทางตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น มีคนมากกว่า 15,000 คนเสียชีวิต ถึงแม้ว่าพยานพระยะโฮวาหลายคนสูญเสียสมาชิกครอบครัวและเพื่อน ๆ แต่พวกเขาก็อยากใช้คัมภีร์ไบเบิลช่วยคนอื่นที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็รู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและไม่ค่อยรู้จักคัมภีร์ไบเบิล ดังนั้น แทนที่จะบอกผู้คนเกี่ยวกับความหวังเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย พี่น้องของเราปลอบใจพวกเขาและอธิบายให้พวกเขารู้ว่าทำไมเรื่องร้าย ๆ แบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับคนดี
ใช้ความสามารถในการพูดของคุณอย่างเหมาะสม
15 วิธีที่เราพูดกับคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญมากพอ ๆ กับเรื่องที่เราพูด ผู้คนชอบฟังพระเยซูเพราะท่านสอนได้น่าฟังและสอนอย่างกรุณา (ลูกา 4:22) เมื่อเราพูดอย่างกรุณา คนอื่นก็จะชอบฟังและยอมรับสิ่งที่เราพูด (สุภา. 25:15) เราจะพูดกับคนอื่นอย่างกรุณาก็ต่อเมื่อเรานับถือเขาและคำนึงถึงความรู้สึกของเขา พระเยซูก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ตอนที่ท่านเห็นฝูงชนพยายามเดินทางมาฟังท่านสอน พระเยซูยินดีให้เวลาและสอนพวกเขา (มโก. 6:34) ถึงแม้บางครั้งพระเยซูจะถูกด่า แต่ท่านก็ไม่ได้ด่าตอบ—1เป. 2:23
16 ถึงแม้เรารักครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเรา แต่บางครั้งเราก็อาจพูดกับพวกเขาอย่างไม่กรุณาเพราะเราสนิทกับพวกเขาอยู่แล้ว เราอาจคิดว่าเราไม่ต้องระวังวิธีที่เราพูดกับเขาก็ได้ แต่พระเยซูไม่เคยพูดกับเพื่อนของท่านอย่างไม่กรุณา เมื่อพวกสาวกเถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่ ท่านพูดแก้ไขพวกเขาอย่างกรุณา แล้วใช้ตัวอย่างของเด็กเล็ก ๆ เพื่อช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนวิธีคิด (มโก. 9:33-37) ผู้ดูแลในประชาคมสามารถเลียนแบบตัวอย่างของพระเยซูได้โดยให้คำแนะนำคนอื่น ๆ อย่างสุภาพอ่อนโยน—กลา. 6:1
เร้าใจให้เกิดความรักและการงานที่ดี—โดยวิธีใด?
8 ในการรับใช้พระเจ้าของเรา พวกเราทุกคนจะเร้าใจซึ่งกันและกันได้โดยการวางตัวอย่าง. พระเยซูได้เร้าใจบรรดาผู้ที่ฟังพระองค์อย่างแน่นอน. พระองค์ทรงรักงานเผยแพร่ของคริสเตียนและยกย่องงานนี้. พระองค์ตรัสว่า งานนี้เป็นดั่งอาหารสำหรับพระองค์. (โยฮัน 4:34; โรม 11:33) ความกระตือรือร้นเช่นนี้อาจส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง. คุณจะแสดงให้เห็นเช่นเดียวกันนั้นไหมว่าคุณชื่นชมยินดีกับงานรับใช้? ขณะที่คุณจะระมัดระวังหลีกเลี่ยงการพูดในเชิงโอ้อวด จงเล่าประสบการณ์ดี ๆ ของคุณให้คนอื่นในประชาคมฟัง. คราใดที่เชิญชวนคนอื่นทำงานร่วมกับคุณ ก็จงดูว่าคุณจะช่วยเขาให้ประสบความเพลิดเพลินอย่างแท้จริงในการสนทนากับผู้คนด้วยเรื่องพระยะโฮวา พระผู้สร้างองค์ใหญ่ยิ่งของเรา.—สุภาษิต 25:25.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
it-2-E น. 399
ความอ่อนโยน
หนังสือสุภาษิตอธิบายว่า “คนที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์เป็นเหมือนเมืองที่กำแพงถูกทำลายแล้ว” (สภษ 25:28) คนแบบนั้นไม่มีอะไรที่จะปกป้องความคิด เลยทำให้เขามีความคิดที่ไม่ดีได้ง่าย ๆ และอาจกระตุ้นให้เขาทำผิด
วันที่ 11-17 สิงหาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 26
อยู่ให้ห่างจาก “คนโง่”
it-2-E น. 729 ว. 6
ฝน
ฤดู ในแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญามีฤดูหลัก ๆ 2 ฤดู คือฤดูร้อนกับฤดูหนาว หรืออาจจะบอกได้ว่าเป็นช่วงหน้าแล้งกับช่วงหน้าฝน (เทียบกับ สด 32:4; พซม 2:11, เชิงอรรถ) ช่วงประมาณกลางเดือนเมษายนถึงกลางเดือนตุลาคมจะมีฝนน้อยมาก นอกจากนั้น ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวฝนก็แทบจะไม่ตกเลย และสุภาษิต 26:1 ก็ทำให้เห็นว่าไม่ควรจะมีฝนตกในฤดูเก็บเกี่ยว (เทียบกับ 1ซม 12:17-19) ปกติแล้วในช่วงหน้าฝน ก็จะไม่ได้มีฝนตกตลอด แต่จะมีวันที่ฟ้าใสด้วย และเนื่องจากช่วงที่ฝนตกก็เป็นฤดูหนาว ตอนที่มีฝนตกลงมาอากาศก็จะหนาวมาก (อสร 10:9, 13) ดังนั้น เป็นเรื่องเหมาะถ้าจะมีที่หลบฝนที่อบอุ่นและสบาย—อสย 4:6; 25:4; 32:2; โยบ 24:8
ห87 1/10 น. 23 ว. 12
การตีสอนก่อผลเป็นความสุขสำราญ
12 มาตรการที่รุนแรงกว่านั้นอาจจำเป็นสำหรับบางคน ดังที่แจ้งในสุภาษิต 26:3 “แส้เหมาะกับม้า บังเหียนเหมาะกับลาฉันใด ไม้เรียวเหมาะกับหลังคนโฉดเขลาฉันนั้น.” บางครั้งพระยะโฮวาได้ทรงปล่อยให้ชาติยิศราเอลถูกกำราบโดยความยากลำบากต่าง ๆ ที่เขานำมาสู่ตัวเอง. “เพราะเขาได้ขัดขืนต่อถ้อยคำของพระองค์ และได้ประมาทต่อคำสั่งสอนของพระองค์ผู้สูงสุด. เหตุฉะนั้น พระองค์ได้ทรงกระทำให้ใจของเขาท้อลงด้วยงานหนัก เขาทั้งหลายได้สะดุดล้มลง ไม่มีผู้ใดช่วยเขา. ขณะนั้นเขาได้ร้องทูลพระยะโฮวาเพราะความทุกข์ยากของเขา และพระองค์ได้ทรงช่วยให้พ้นจากการยากลำบากของเขา.” (บทเพลงสรรเสริญ 107:11-13) แต่คนโง่ ทำใจแข็งกระด้างกระทั่งไม่อาจรับการตีสอนเพื่อการแก้ไข: “คนที่ถูกห้ามปรามอยู่บ่อย ๆ และยังทำตัวเป็นคนคอแข็ง คนนั้นจะถูกทำลายเสียทันที และไม่มีหนทางแก้ไข.”—สุภาษิต 29:1.
it-2-E น. 191 ว. 4
ง่อย, พิการ
การใช้ในเชิงสุภาษิต โซโลมอนซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ฉลาดมากบอกว่า “คนที่ไว้ใจให้คนโง่ทำงาน ก็เหมือนคนที่ทำให้เท้าตัวเองพิการและทำร้ายตัวเอง” คนที่จ้างคนโง่ให้ทำงานก็กำลังทำให้ตัวเองต้องเสียผลประโยชน์ งานที่เขาตั้งใจไว้ก็จะไม่สำเร็จและตัวเขาเองก็จะได้รับผลเสียหายด้วย—สภษ 26:6
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
it-1-E น. 846
คนโง่
การตอบคนโง่ “แบบเดียวกับคนโง่” ในแง่หนึ่งหมายถึงการเถียงกับคนโง่โดยใช้วิธีเดียวกันกับเขา ซึ่งมันเป็นวิธีโง่ ๆ หรือเป็นการใช้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพื่อเราจะไม่เป็นอย่างนั้น หนังสือสุภาษิตเลยเตือนว่า “อย่าตอบคนโง่แบบเดียวกับคนโง่” ในทางกลับกัน สุภาษิต 26:4, 5 ทำให้เห็นว่าการตอบคนโง่ “แบบเดียวกับคนโง่” ในอีกแง่หนึ่งหมายถึงการวิเคราะห์สิ่งที่เขาพูด และทำให้เขาเห็นว่าคำพูดเหล่านั้นไร้สาระ ไม่ถูกต้อง และทำให้เข้าใจผิด การตอบคนโง่ในแง่นี้อาจมีประโยชน์ด้วย
วันที่ 18-24 สิงหาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 27
เพื่อนแท้จะช่วยเราได้ยังไงบ้าง?
พระยะโฮวาเห็นค่าผู้รับใช้ที่ถ่อมตัว
12 คนถ่อมจะรู้สึกขอบคุณเมื่อได้รับคำแนะนำ สมมุติว่าหลังจากที่คุณคุยกับพี่น้องหลายคนที่หอประชุม มีพี่น้องคนหนึ่งแอบมาบอกคุณว่ามีเศษอาหารติดฟันคุณ คุณคงอายมากแต่ก็รู้สึกขอบคุณพี่น้องคนนั้น จริง ๆ แล้วคุณคงอยากให้มีคนบอกคุณเร็วกว่านี้ คล้ายกัน เราควรเป็นคนถ่อมและรู้สึกขอบคุณเมื่อมีคนกล้าให้คำแนะนำที่เราจำเป็นต้องได้รับ และมองว่าพี่น้องคนนั้นเป็นเพื่อนของเรา ไม่ใช่เป็นศัตรู—อ่านสุภาษิต 27:5, 6; กท. 4:16
it-2-E น. 491 ว. 3
เพื่อนบ้าน
ถึงอย่างนั้น ให้เราไว้ใจและพึ่งพาเพื่อนตอนที่ต้องการความช่วยเหลือ เหมือนที่หนังสือสุภาษิตแนะนำว่า “อย่าทิ้งเพื่อนของคุณหรือเพื่อนของพ่อ และอย่าไปบ้านพี่น้องตอนที่คุณลำบาก เพื่อนบ้าน [ชา เคนʹ] ที่อยู่ใกล้ก็ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ไกล” (สภษ 27:10) ผู้เขียนหนังสือสุภาษิตอาจหมายถึงว่า เพื่อนสนิทมีค่ามาก และเราควรขอความช่วยเหลือจากเขาแทนที่จะขอความช่วยเหลือจากญาติแท้ ๆ ของเราโดยเฉพาะถ้าญาติของเราอยู่ไกล เนื่องจากญาติอาจไม่พร้อมที่จะช่วยเราได้เท่ากับเพื่อนสนิท
วัยรุ่น คุณอยากมีชีวิตแบบไหน?
7 บทเรียนหนึ่งที่เราได้จากการตัดสินใจที่ไม่ฉลาดของเยโฮอาชก็คือเราต้องเลือกเพื่อนที่จะช่วยให้เราทำสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องเป็นเพื่อนกับคนที่รักพระยะโฮวาและคนที่อยากทำให้พระองค์มีความสุข เราไม่จำเป็นต้องคบแค่คนที่อายุใกล้ ๆ กันกับเรา ขอให้จำไว้ว่าเยโฮอาชสนิทกับเยโฮยาดามากทั้ง ๆ ที่เยโฮยาดาอายุมากกว่าเขาเยอะ ดังนั้น เมื่อคิดถึงคนที่คุณคบเป็นเพื่อน ให้ถามตัวเองว่า ‘พวกเขาช่วยฉันให้มีความเชื่อในพระยะโฮวามากขึ้นไหม? พวกเขาทำให้ฉันอยากใช้ชีวิตตามมาตรฐานของพระองค์ไหม? พวกเขาพูดถึงพระยะโฮวาและความจริงในคัมภีร์ไบเบิลไหม? พวกเขาเอาแต่ชมฉันไหมหรือพวกเขากล้าเตือนฉันตอนที่ฉันทำไม่ถูก?’ (สภษ. 27:5, 6, 17) ถ้าเพื่อนของคุณไม่รักพระยะโฮวา คุณก็ไม่ควรไปคบกับพวกเขา แต่ให้คบกับคนที่รักพระองค์เพราะพวกเขาจะเป็นเพื่อนที่ดีของคุณแน่นอน—สภษ. 13:20
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
จุดเด่นจากพระธรรมสุภาษิต
27:21. คำสรรเสริญเยินยออาจเผยให้รู้ว่าเราเป็นคนเช่นไร. หากคำสรรเสริญนั้นกระตุ้นเราให้ยอมรับว่าเราเป็นหนี้พระยะโฮวาและสนับสนุนเราให้รับใช้พระองค์ต่อไปก็แสดงว่าเราเป็นคนถ่อมใจ. เมื่อคำสรรเสริญเยินยอทำให้เรารู้สึกว่าเหนือกว่าคนอื่น นั่นอาจเผยให้เห็นว่าเราขาดความถ่อมใจ.
วันที่ 25-31 สิงหาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 28
คนชั่วกับคนดีต่างกันยังไง?
คุณประพฤติตามพระยะโฮวาทุกประการไหม?
“คนชอบธรรมมีใจกล้าหาญ [เชื่อมั่น, ล.ม.] ดุจสิงโต.” (สุภาษิต 28:1) พวกเขาสำแดงความเชื่อ, หมายพึ่งพระวจนะของพระเจ้าด้วยความมั่นใจ, และมุ่งหน้าในการรับใช้พระยะโฮวาด้วยความกล้าหาญไม่ว่าเผชิญกับอันตรายใด ๆ.
จงน้อมใจของท่านเพื่อการสังเกตเข้าใจ
5 สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราใช้การสังเกตเข้าใจและเลี่ยงการประพฤติที่ไม่เหมาะสม. ตัวอย่างเช่นสุภาษิต 10:23 (ฉบับแปลใหม่) บอกว่า “คนโง่กระทำความผิด [“ประพฤติหละหลวม,” ล.ม.] เหมือนการเล่นสนุก แต่ความประพฤติอันกอปรด้วยปัญญา เป็นความเพลิดเพลินแก่คนที่มีความเข้าใจ [“การสังเกตเข้าใจ,” ล.ม.].” คนที่การประพฤติหละหลวมเป็นเช่น “การเล่นสนุก” นั้นมองไม่เห็นว่าแนวทางของตนผิด และไม่แยแสต่อพระเจ้าผู้ทรงอยู่ในฐานะที่ทุกคนต้องให้การต่อพระองค์. (โรม 14:12) “คนโง่” เช่นนั้นบิดเบือนการหาเหตุผลของตนจนถึงขั้นทึกทักเอาเองว่า พระเจ้าไม่ทรงเห็นการทำผิดของพวกเขา. ที่จริง โดยสิ่งที่พวกเขาทำก็เหมือนกับพูดว่า “พระเจ้า [“พระยะโฮวา,” ล.ม.] ไม่มี.” (บทเพลงสรรเสริญ 14:1-3; ยะซายา 29:15, 16) เนื่องจากไม่ได้รับการชี้นำจากหลักการของพระเจ้า พวกเขาจึงขาดการสังเกตเข้าใจและไม่สามารถตัดสินเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง.—สุภาษิต 28:5.
it-1-E น. 1211 ว. 4
ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า
เราสามารถซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าได้แต่ไม่ใช่ด้วยกำลังของตัวเอง เราต้องเชื่อและไว้วางใจพระยะโฮวาว่าพระองค์จะช่วยเรา (สด 25:21) พระเจ้าสัญญาว่าจะเป็น “โล่” และ “ป้อมปราการ” ปกป้องคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ (สภษ 2:6-8; 10:29; สด 41:12) คนที่พยายามทำให้พระยะโฮวาพอใจเสมอจะมีชีวิตที่มั่นคงและช่วยเขาให้ไปถึงเป้าหมายได้ (สด 26:1-3; สภษ 11:5; 28:18) นอกจากนั้น เหมือนกับที่โยบสังเกตเห็น คนดีก็อาจเจอปัญหาเพราะคนชั่วปกครองโลกนี้ และคนดีก็อาจตายไปพร้อมกับคนชั่วด้วย แต่พระยะโฮวารับรองว่าพระองค์เห็นค่าชีวิตของคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ และจะให้มรดกของเขาคงอยู่ตลอดไป ในอนาคตเขาจะมีสันติสุข และจะได้รับสิ่งดี ๆ (โยบ 9:20-22; สด 37:18, 19, 37; 84:11; สภษ 28:10) จากตัวอย่างของโยบ สิ่งที่ทำให้เรามีค่าจริง ๆ หรือสมควรได้รับความนับถือไม่ใช่การมีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่เป็นการซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า (สภษ 19:1; 28:6) เด็ก ๆ ที่มีพ่อแม่แบบนี้ก็จะมีความสุขมาก (สภษ 20:7) สิ่งที่เด็ก ๆ เหล่านี้ได้รับเป็นมรดกก็คือตัวอย่างของพ่อ ชื่อเสียงที่ดีของพ่อ และความนับถือที่พ่อได้รับ
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
คุณจะหลีกเลี่ยงหัวใจวายฝ่ายวิญญาณได้
การมั่นใจเกินไป. เหยื่อของโรคหัวใจวายหลายรายมั่นใจทีเดียวในเรื่องสุขภาพของตนก่อนที่เขาเกิดภาวะหัวใจวายเพียงไม่นาน. บ่อยครั้งมีการปฏิเสธการตรวจสุขภาพหรือถึงกับหัวเราะเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ โดยถือว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็นเลย. ทำนองเดียวกัน บางคนอาจรู้สึกว่าเนื่องจากเขาเป็นคริสเตียนมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาได้. เขาอาจละเลยการตรวจสุขภาพฝ่ายวิญญาณหรือการตรวจสอบดูตัวเองจนกระทั่งความหายนะเกิดขึ้น. นับว่าสำคัญที่จะคำนึงถึงคำแนะนำที่ดีของอัครสาวกเปาโลที่ให้ระวังการมั่นใจเกินไปที่ว่า “คนที่คิดว่าตัวมั่นคงดีอยู่แล้วจงระวังให้ดี, กลัวว่าจะหลงผิดไป.” เป็นการสุขุมที่จะยอมรับสภาพไม่สมบูรณ์ของเราและตรวจดูตัวเองฝ่ายวิญญาณเป็นครั้งคราว.—1 โกรินโธ 10:12; สุภาษิต 28:14.