แหล่งอ้างอิงสำหรับชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม
© 2025 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
วันที่ 5-11 พฤษภาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 12
การทำงานหนักมีประโยชน์
คุณลักษณะอย่างพระเจ้ามีค่ายิ่งกว่าเพชรพลอย
ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาบางคนอาจรู้สึกว่ายากที่จะหาเงินให้พอกับการเลี้ยงชีพ พวกเขาไม่ได้พยายามหาทางออกง่าย ๆ ด้วยการทุจริตหรือไม่ซื่อสัตย์ แต่พวกเขาทำงานหนักและขยันขันแข็ง การทำอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า สำหรับพวกเขาแล้ว คุณลักษณะที่ยอดเยี่ยมของพระเจ้าซึ่งรวมถึงความซื่อสัตย์ มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง—สภษ. 12:24; อฟ. 4:28
จะมีความสุขกับการทำงานหนักได้อย่างไร?
คำถามสุดท้ายเป็นคำถามที่น่าคิดเป็นพิเศษ เพราะเราจะมีความสุขกับการทำงานได้ก็ต่อเมื่อเห็นว่างานที่เราทำเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นอย่างไร พระเยซูบอกว่า “การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กิจการ 20:35) นอกจากนายจ้างและลูกค้าจะได้ประโยชน์จากการทำงานของเราโดยตรงแล้ว คนในครอบครัวของเราและคนที่ต้องการความช่วยเหลือก็ได้รับประโยชน์ด้วย
คนในครอบครัวของเรา เมื่อหัวหน้าครอบครัวทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงคนในครอบครัว เขาก็ทำเพื่อครอบครัวอย่างน้อยสองด้าน (1) เขาจัดหาสิ่งจำเป็นด้านวัตถุให้กับคนในครอบครัว เช่น อาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัย เขาได้ทำหน้าที่รับผิดชอบที่พระเจ้ามอบให้ซึ่งก็คือ “เลี้ยงดูคนเหล่านั้นที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขา [คนในครอบครัว]” (1 ติโมเธียว 5:8) (2) หัวหน้าครอบครัววางตัวอย่างให้ลูก ๆ เห็นว่าการทำงานหนักเป็นเรื่องสำคัญ ชานที่กล่าวถึงในบทความก่อนเล่าว่า “พ่อผมวางตัวอย่างไว้ดีมากในเรื่องการทำงาน พ่อเป็นช่างไม้ที่ทำงานหนักอย่างซื่อสัตย์ตลอดชีวิต พ่อทำให้ผมรู้ว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงานและควรทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น”
คนที่ขัดสน เปาโลที่เป็นสาวกของพระเยซูแนะนำคริสเตียนคนอื่น ๆ ให้ “ทำงานหนัก . . . เพื่อเขาจะมีอะไรแจกให้คนที่ขัดสนบ้าง” (เอเฟโซส์ 4:28) เมื่อเราทำงานหนักเพื่อจะจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับตัวเองและคนในครอบครัวแล้ว เราอาจช่วยคนที่ขัดสนและด้อยโอกาสได้ด้วย (สุภาษิต 3:27) ดังนั้น การทำงานหนักทำให้เรามีโอกาสช่วยคนอื่นซึ่งเป็นความสุขที่ไม่มีอะไรจะเทียบได้
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ฉันเข้มแข็งแค่ไหน?
● มองให้ออกว่าปัญหาที่เจอใหญ่จริง ๆ ไหม แยกให้ออกว่าปัญหาที่เจอเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “คนโง่แสดงความรำคาญออกมาทันที แต่คนฉลาดไม่ถือสาเมื่อมีคนดูถูก” (สุภาษิต 12:16) ไม่ใช่ทุกปัญหาจะเป็นเรื่องใหญ่ไปซะหมด อย่าให้มันมีผลกับคุณมากเกินไป
“เพื่อนที่โรงเรียนชอบบ่นเว่อร์กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วพวกเพื่อนในโซเชียลก็ยิ่งอวยพวกเขาอีก มันเลยยากมากที่พวกเขาจะมองปัญหาที่เจอตามความเป็นจริง”—โจแอน
วันที่ 12-18 พฤษภาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 13
อย่าถูกหลอกด้วย “ตะเกียงของคนชั่ว”
it-2-E น. 196 ว. 2-3
ตะเกียง
การใช้ในเชิงเปรียบเทียบอื่น ๆ ตะเกียงถูกเปรียบเป็นสิ่งที่คนเราใช้เป็นเครื่องนำทางชีวิต หนังสือสุภาษิตใช้ภาพเปรียบเทียบนี้เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนชั่ว โดยบอกว่า “แสงสว่างของคนดีจะเจิดจ้า แต่ตะเกียงของคนชั่วจะถูกดับ” (สภษ 13:9) คนดีจะมีชีวิตที่สดใสและดีขึ้นเหมือนกับแสงที่สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ตรงกันข้ามกับคนชั่ว ถึงคนชั่วจะดูเหมือนมีชีวิตที่สดใสประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุด พระเจ้าจะทำให้เขามีชีวิตที่มืดมนและต้องล้มลง คนที่แช่งด่าพ่อแม่ก็จะเป็นอย่างนี้ด้วยเหมือนกัน—สภษ 20:20
การที่ตะเกียงของใครคนหนึ่ง “ถูกดับ” หมายถึงคนนั้นไม่มีอนาคตอะไรเหลืออยู่ สุภาษิตอีกข้อหนึ่งบอกว่า “เพราะคนเลวจะไม่มีอนาคต ตะเกียงของคนชั่วจะถูกดับ”—สภษ 24:20.
จงรับใช้พระเจ้าแห่งเสรีภาพ
3 หากซาตานชักนำมนุษย์สมบูรณ์สองคนและกายวิญญาณอีกมากมายให้ปฏิเสธอำนาจการปกครองของพระเจ้าได้ มันย่อมหลอกลวงเราได้เช่นกัน. ยุทธวิธีของมันส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม. มันพยายามชักนำเราให้คิดว่าการทำตามมาตรฐานของพระเจ้าเป็นภาระหนักและทำให้เราพลาดความสนุกตื่นเต้นในชีวิต. (1 โย. 5:3) การคิดอย่างนั้นอาจมีผลต่อเราได้มากทีเดียวถ้าเรารับเอาความคิดแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ. พี่น้องหญิงคนหนึ่งอายุ 24 ปีซึ่งเคยทำผิดศีลธรรมทางเพศกล่าวว่า “การคบหาที่ไม่ดีส่งผลต่อดิฉันมาก. เหตุผลหลักก็คือดิฉันกลัวว่าจะคิดต่างจากเพื่อน ๆ.” คุณอาจพบกับแรงกดดันคล้ายกันนี้จากคนรอบข้าง.
“คนที่เฉลียวฉลาดทุกคนทำงานด้วยใช้ความรู้”
คนเฉลียวฉลาดและซื่อตรงซึ่งปฏิบัติสอดคล้องกับความรู้แท้จะได้รับบำเหน็จ. ซะโลโมรับรองเราดังนี้: “คนชอบธรรมรับประทานได้จนพอใจ แต่ท้องของคนชั่วร้ายก็หิว.” (สุภาษิต 13:25, ฉบับแปลใหม่) พระยะโฮวาทรงทราบว่าอะไรเป็นประโยชน์สำหรับเราไม่ว่าจะเป็นด้านใด ๆ ของชีวิต เป็นต้นว่า เรื่องครอบครัว, ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนอื่น, งานรับใช้, หรือเมื่อรับการตีสอน. และโดยการนำเอาคำแนะนำที่ได้จากพระคำของพระองค์ไปใช้ด้วยความรอบคอบ แน่นอน เราจะดำเนินในแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
การเลี้ยงดูลูกในโลกที่ปล่อยตามใจ
พ่อแม่ต้องการให้ลูกของตนเป็นเหมือนลูกธนูที่ตรง นั่นคือเป็นคนซื่อตรงไม่หันเหไปทางอื่น. ดังนั้น พ่อแม่ที่สุขุมจะไม่ปิดหูปิดตาต่อข้อบกพร่องร้ายแรง แต่จะช่วยลูกให้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้น. ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ต้องได้รับการช่วยเหลือเช่นนั้น เพราะ “ความโฉดเขลาผูกพันอยู่ในจิตต์ใจของเด็ก.” (สุภาษิต 22:15) ด้วยเหตุนี้ คัมภีร์ไบเบิลจึงกระตุ้นเตือนพ่อแม่ให้ตีสอนลูก. (เอเฟโซส์ 6:4) ที่จริง การตีสอนมีบทบาทสำคัญที่ช่วยหล่อหลอมและปรับความคิดจิตใจและลักษณะนิสัยของเด็ก.
จึงไม่น่าแปลกใจที่สุภาษิต 13:24 (ฉบับแปลใหม่) กล่าวว่า “บุคคลที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตน แต่ผู้ที่รักเขาพยายามตีสอนเขา.” ในบริบทนี้ ไม้เรียวที่ใช้ตีสอนหมายถึงวิธีการที่ใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบใด. โดยการตีสอนด้วยความรัก พ่อแม่จะพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดซึ่งหากปล่อยเอาไว้จนฝังรากลึกก็อาจก่อผลเสียแก่ลูกอย่างมากเมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่. จริงทีเดียว ผู้ที่ไม่ตีสอนลูกเช่นนั้นก็ไม่รักลูก และการตีสอนเป็นการกระทำที่แสดงถึงความรัก.
นอกจากนี้ พ่อแม่ที่รักลูกจะช่วยลูกให้เข้าใจเหตุผลที่ต้องมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ. การตีสอนจึงไม่ใช่เรื่องของการออกคำสั่งและการลงโทษเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการช่วยเด็กให้เข้าใจคำสั่งเหล่านั้น. คัมภีร์ไบเบิลให้ข้อสังเกตว่า “บุตรที่ประพฤติตามคำสั่งสอน [‘กฎ,’ ล.ม.] ก็เป็นคนมีปัญญา [‘มีความเข้าใจ,’ ล.ม.]”—สุภาษิต 28:7.
วันที่ 19-25 พฤษภาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 14
คิดให้ดีว่าต้องทำอะไรบ้างตอนที่เกิดภัยพิบัติ
เห็นค่าชีวิตที่เป็นของขวัญจากพระเจ้า
10 บางครั้งเราอาจอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น เราอาจเจอภัยพิบัติ โรคระบาด หรือการจลาจล แต่เราก็จะพยายามทำให้ตัวเองปลอดภัยและลดความเสี่ยงเท่าที่เป็นไปได้โดยเชื่อฟังคำสั่งรัฐบาลเรื่องเคอร์ฟิว คำสั่งที่ให้อพยพออกจากพื้นที่อันตราย และมาตรการอื่น ๆ (รม. 13:1, 5-7) นอกจากนั้น เราอาจเตรียมตัวล่วงหน้าสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่างได้ ให้เราฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อเราจะเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติ เช่น เราอาจต้องเก็บน้ำดื่ม อาหารที่ไม่เน่าเสียง่าย หรืออาจเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น
11 แล้วถ้ามีโรคระบาดเกิดขึ้นในเขตที่เราอยู่ล่ะ? เราควรเชื่อฟังมาตรการของรัฐบาล เช่น การล้างมือ การรักษาระยะห่าง การสวมหน้ากาก และการกักตัว ถ้าเราให้ความร่วมมือในการทำสิ่งเหล่านี้ก็แสดงว่าเราเห็นค่าชีวิตที่พระเจ้าให้กับเรา
12 ในช่วงที่เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน บางทีเราอาจได้ยินข้อมูลที่ไม่ถูกต้องซึ่งส่งต่อ ๆ กันมาจากเพื่อน เพื่อนบ้าน หรือสื่อต่าง ๆ แทนที่เราจะเชื่อ “คำพูดทุกคำ” ให้เราฟังจากแหล่งที่น่าเชื่อถือที่สุดของรัฐบาลและหน่วยงานด้านสาธารณสุข (อ่านสุภาษิต 14:15) คณะกรรมการปกครองและสำนักงานสาขาต่าง ๆ พยายามสุดความสามารถที่จะหาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนที่จะให้คำแนะนำกับพี่น้องเรื่องการประชุมและการประกาศ (ฮบ. 13:17) ถ้าเราให้ความร่วมมือกับองค์การ เราก็จะปกป้องตัวเองและคนอื่น ๆ ให้ปลอดภัยได้ และเรายังอาจสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับองค์การด้วย—1 ปต. 2:12
ให้กล้าหาญเหมือนศาโดก
11 ถ้าเราถูกขอให้ช่วยพี่น้องในสถานการณ์ที่อันตราย เราจะแสดงความกล้าหาญเหมือนกับศาโดกได้ยังไง? (1) ทำตามคำแนะนำ ในสถานการณ์แบบนั้น เราต้องจำไว้ว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ ให้เชื่อฟังและทำตามคำแนะนำที่มาจากสำนักงานสาขา (ฮบ. 13:17) ผู้ดูแลควรทบทวนเป็นระยะ ๆ เกี่ยวกับคำแนะนำว่าจะเตรียมพร้อมยังไงเพื่อรับมือกับภัยพิบัติและควรทำยังไงเมื่อเกิดภัยพิบัติจริง ๆ (1 คร. 14:33, 40) (2) ให้กล้าหาญแต่ก็ระมัดระวังตัว (สภษ. 22:3) คิดก่อนทำและใช้วิจารณญาณที่ดี อย่าเสี่ยงโดยไม่จำเป็น (3) พึ่งพระยะโฮวา ให้จำไว้ว่าพระยะโฮวาอยากให้คุณและพี่น้องปลอดภัย พระองค์จะช่วยคุณตอนที่คุณช่วยพี่น้อง
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
it-2-E น. 1094
คิดรอบคอบ
ถึงอย่างนั้น คนที่คิดรอบคอบก็อาจถูกเกลียดด้วย นี่เลยอาจเป็นเหตุผลที่สุภาษิต 14:17 บอกว่า “คนที่คิดรอบคอบจะถูกเกลียดชัง” คนที่ไม่ได้คิดรอบคอบหรือคิดอย่างลึกซึ้งมักจะไม่ชอบคนที่ทำอย่างนั้น เหมือนกับคนที่คิดและทำอย่างที่พระเจ้าต้องการก็มักจะถูกเกลียด อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกว่า “พวกคุณไม่ได้เป็นคนของโลกนี้แล้ว เพราะผมเลือกพวกคุณให้อยู่ต่างหากจากโลก โลกนี้จึงเกลียดคุณ” (ยน 15:19) คำภาษาเดิมที่แปลว่า “คิดรอบคอบ” ในสุภาษิต 14:17 ยังอาจหมายถึงการคิดชั่วร้ายได้ด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้อนี้อาจหมายถึงคนที่มีแผนชั่วร้ายจะถูกเกลียดชัง อย่างที่บางฉบับแปลได้แปลข้อนี้ว่า “คนวางแผนชั่วร้ายเป็นที่เกลียดชัง”—ฉบับคิงเจมส์
วันที่ 26 พฤษภาคม–1 มิถุนายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 15
ช่วยคนอื่นให้มีใจเบิกบาน
เราจะประพฤติด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีเสมอ!
16 โยบมีน้ำใจรับรองแขก. (โยบ 31:31, 32) แม้ว่าเราไม่ใช่คนรวย แต่เรา “มีน้ำใจรับรองแขก” ได้. (โรม 12:13) เราอาจเชิญคนอื่นมารับประทานอาหารง่าย ๆ ด้วยกัน โดยจำไว้ว่า “มีผักเป็นอาหาร, ณ ที่ที่ซึ่งแวดล้อมไปด้วยความรักยังดีกว่ามีวัวตอนทั้งตัวเป็นอาหาร แต่แวดล้อมไปด้วยความเกลียดชัง.” (สุภา. 15:17) การรับประทานอาหารด้วยกันกับเพื่อนผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อพระเจ้าในบรรยากาศที่มีความรักย่อมจะทำให้แม้แต่อาหารมื้อธรรมดา ๆ ก็เป็นที่น่าเพลิดเพลินและทำให้มีโอกาสหนุนใจกันทางฝ่ายวิญญาณอย่างแน่นอน.
ให้กำลังใจกัน “ให้มากขึ้น”
16 คุณจะทำอย่างไรถ้ารู้สึกว่าพูดให้กำลังใจไม่เป็น? ที่จริง ไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะให้กำลังใจคนอื่น ลองยิ้มให้พี่น้องดูสิ และถ้าเขาไม่ยิ้มกลับ ก็อาจหมายความว่าเขากำลังมีปัญหาและอยากให้มีคนคุยด้วย พอถึงตอนนี้คุณอาจให้กำลังใจแบบง่าย ๆ ได้โดยตั้งใจฟังเขา—ยากอบ 1:19
17 พี่น้องหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่ออองรีรู้สึกเสียใจมากเพราะว่าหลายคนในครอบครัวของเขาเลิกรับใช้พระยะโฮวา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพ่อของเขาที่เคยเป็นผู้ดูแลในประชาคม ผู้ดูแลหมวดคนหนึ่งเห็นว่าอองรีรู้สึกเศร้า เลยชวนอองรีไปร้านกาแฟ และเขาก็ตั้งใจฟังอองรีระบายความรู้สึก นี่ทำให้อองรีรู้ว่าทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยครอบครัวได้ก็คือ เขาเองต้องซื่อสัตย์ต่อ ๆ ไป เขาได้รับกำลังใจด้วยเมื่ออ่านสดุดีบท 46 เศฟันยาห์ 3:17 และมาระโก 10:29, 30
18 เราได้เรียนอะไรจากประสบการณ์ของมาร์เทและอองรี? จริง ๆ แล้วเราทุกคนสามารถให้กำลังใจพี่น้องของเราได้ โซโลมอนเขียนว่า “คำพูดที่ถูกกาลเทศะก็ดีจริง ๆ ดวงตาที่เป็นประกายทำให้ใจเบิกบาน” (สุภาษิต 15:23, 30) คุณคิดถึงใครไหมที่กำลังเศร้าหรือท้อใจ? ลองใช้วิธีง่าย ๆ ให้กำลังใจเขาดูสิ เช่น อ่านหอสังเกตการณ์ หรือบางเรื่องในเว็บไซต์ด้วยกันกับเขา นอกจากนั้น เปาโลบอกว่าการร้องเพลงราชอาณาจักรด้วยกันทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เขาเขียนว่า “ให้พวกคุณคอยสอนและให้กำลังใจกันเสมอด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญพระเจ้า และเพลงนมัสการที่ร้องด้วยความสำนึกบุญคุณ ให้ร้องเพลงจากใจให้กับพระยะโฮวาเสมอ”—โคโลสี 3:16; กิจการ 16:25
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
คริสเตียนรับการรักษาจากแพทย์ได้ไหม?
2. ฉันควรปรึกษาแพทย์มากกว่าหนึ่งคนไหม? การ “มีที่ปรึกษาหลายคน” อาจเป็นประโยชน์โดยเฉพาะถ้าคุณป่วยหนัก—สุภาษิต 15:22
วันที่ 2-8 มิถุนายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 16
สามคำถามที่จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดี
เลือกอย่างฉลาดตั้งแต่เป็นวัยรุ่น
11 ไม่มีอะไรจะทำให้มีความสุขมากไปกว่าการรับใช้พระยะโฮวา (สุภา. 16:20) ขอให้คิดถึงตัวอย่างของบารุค เลขานุการของยิระมะยาห์ มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาไม่มีความสุขเพราะคิดถึงความต้องการของตัวเองแทนที่จะทำงานที่พระเจ้าให้ทำ พระยะโฮวาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงบอกบารุคว่าให้เลิก ‘แสวงหาของใหญ่สำหรับตัว’ และถ้าเขาเชื่อฟังเขาจะรอดชีวิตเมื่อกรุงเยรูซาเลมถูกทำลาย (ยิระ. 45:3, 5) คุณคิดอย่างไร? อะไรจะทำให้บารุคมีความสุขมากกว่าระหว่างการทำตามความต้องการของตัวเองแล้วต้องตาย หรือทำตามที่พระเจ้าบอกแล้วรอดชีวิต?—ยโก. 1:12
12 พี่น้องชายคนหนึ่งที่พบความสุขในการช่วยคนอื่นคือรามิโร เขาบอกว่า “ผมมาจากครอบครัวที่ยากจนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแอนดีส พี่ชายบอกว่าจะส่งผมเรียนมหาวิทยาลัย นั่นเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับผม แต่ตอนนั้นผมเพิ่งรับบัพติสมา และผมก็รับปากกับไพโอเนียร์คนหนึ่งว่าจะเป็นไพโอเนียร์ด้วยกันในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ผมตัดสินใจย้ายไปหมู่บ้านนั้น เรียนตัดผม แล้วก็เปิดร้านตัดผมเพื่อจะเลี้ยงตัวได้ มีหลายคนอยากเรียนพระคัมภีร์กับเรา ต่อมา มีการตั้งประชาคมภาษาท้องถิ่น ผมจึงย้ายไปเป็นไพโอเนียร์ที่นั่น ตอนนี้ก็สิบปีแล้ว ไม่มีอะไรทำให้ผมมีความสุขเท่ากับการได้ช่วยผู้คนให้รู้จักพระเจ้าในภาษาของผมเอง”
คุณเปลี่ยนแปลงแล้วไหม?
เราทุกคนได้รับอิทธิพลอย่างมากจากวิธีที่เราได้รับการเลี้ยงดูและจากสังคมที่อยู่รอบตัวเรา ซึ่งก็คือเพื่อน ๆ วัฒนธรรม และชุมชนที่เราอยู่. นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราชอบอาหารบางอย่าง แต่งกายและประพฤติอย่างใดอย่างหนึ่ง.
2 แต่มีบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าวิธีที่เราแต่งกายหรืออาหารที่เราเลือกรับประทาน. ตัวอย่างเช่น ขณะที่เราเติบโตขึ้นมาเราได้รับการสอนว่าอะไรถูกอะไรผิด. อย่างไรก็ตาม แต่ละคนมีความคิดเห็นแตกต่างกันในเรื่องนี้. สติรู้สึกผิดชอบของเราอาจมีผลกระทบต่อการเลือกของเราด้วย. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ชนต่างชาติซึ่งไม่มีบัญญัติได้ทำตามบัญญัติโดยสัญชาตญาณ.” (โรม 2:14) แต่นี่หมายความว่าหากไม่มีกฎหมายจากพระเจ้าระบุไว้อย่างชัดเจน เราก็สามารถทำตามมาตรฐานของครอบครัวหรือของผู้คนทั่วไปในสังคมไหม?
3 มีเหตุผลอย่างน้อยสองประการที่คริสเตียนไม่ทำอย่างนั้น. ประการแรก คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “มีทางหนึ่งซึ่งดูเหมือนบางคนเห็นว่าเป็นทางถูก; แต่ปลายทางนั้นเป็นทางแห่งความตาย.” (สุภา. 16:25) เนื่องจากเราเป็นคนไม่สมบูรณ์ เราไม่สามารถกำหนดก้าวเดินในชีวิตของเราได้อย่างสมบูรณ์แบบ. (สุภา. 28:26; ยิระ. 10:23) ประการที่สอง คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าซาตานเป็น “พระเจ้าของยุคนี้.” มันควบคุมมาตรฐานต่าง ๆ ของโลกนี้ ซึ่งก็คือสิ่งที่ผู้คนในโลกคิดว่าถูกหรือผิดและสิ่งที่ผู้คนนิยมชมชอบ. (2 โค. 4:4; 1 โย. 5:19) ด้วยเหตุนั้น ถ้าเราต้องการให้พระเจ้าพอพระทัยและอวยพรเรา เราต้องทำอย่างที่กล่าวไว้ในโรม 12:2.—อ่าน
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
it-1-E น. 629
การสั่งสอน
ผลจากการยอมรับการสั่งสอนและไม่ยอมรับการสั่งสอน คนชั่ว คนโง่ และคนที่ไม่ทำตามมาตรฐานศีลธรรมเกลียดการสั่งสอนที่มาจากพระยะโฮวา พวกเขาไม่สนใจการสั่งสอนนั้นเลย (สด 50:16, 17; สภษ 1:7) การที่พวกเขาทำอย่างนั้นถือเป็นความโง่ซึ่งทำให้เกิดผลเสียตามมา ซึ่งผลเสียนั้นก็เป็นเหมือนกับการถูกสั่งสอนด้วย อย่างที่สุภาษิตบอกว่า “คนโง่จะถูกความโง่ของตัวเองสั่งสอน” (สภษ 16:22) พวกเขาอาจต้องยากจน อับอาย เจ็บป่วย หรืออาจต้องตายก่อนวัยอันควร สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวอิสราเอลทำให้เห็นว่าการไม่ยอมรับการสั่งสอนทำให้พวกเขาต้องได้รับผลเสียมากขนาดไหน พวกเขาไม่สนใจการตักเตือนและการสั่งสอนจากพวกผู้พยากรณ์ และถึงพระยะโฮวาจะสั่งสอนพวกเขาโดยไม่ปกป้องและไม่อวยพรพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่สนใจ ในที่สุด พวกเขาก็ถูกสั่งสอนแบบที่หนักมากคือ พวกเขาแพ้สงครามและถูกเนรเทศ อย่างที่ได้บอกไว้แล้วล่วงหน้า—ยรม 2:30; 5:3; 7:28; 17:23; 32:33; ฮชย 7:12-16; 10:10; ศฟย 3:2
วันที่ 9-15 มิถุนายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 17
มีบ้านที่สงบสุข
ทำอย่างไรดีถ้าเจ็บใจไม่หาย?
ตรวจสอบตัวเองอย่างตรงไปตรงมา คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าบางคนเป็น “คนเจ้าโมโห” และ “โกรธ” ง่าย (สุภาษิต 29:22, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971) คุณเป็นคนอย่างนั้นไหม? ลองถามตัวเองว่า ‘ฉันมักจะเคียดแค้นไหม? ฉันโกรธง่ายไหม? ฉันมักจะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ไหม?’ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ผู้ที่พูดซ้ำซากเรื่องความผิดของคนอื่นก็ทำลายมิตรสนิทให้แตกแยกกัน” (สุภาษิต 17:9; ท่านผู้ประกาศ 7:9) ในชีวิตสมรสก็เป็นอย่างนั้นด้วย ดังนั้น ถ้าคุณมักจะรู้สึกเจ็บใจไม่หายให้ถามตัวเองว่า ‘ฉันจะอดทนกับคู่ของฉันให้มากกว่านี้ได้ไหม?’—คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: 1 เปโตร 4:8
วิธีแก้ปัญหา
1. กำหนดเวลาพูดคุยกันเกี่ยวกับปัญหา. “มีเวลากำหนดสำหรับทุกสิ่ง . . . เวลานิ่งเงียบและเวลาพูด.” (ท่านผู้ประกาศ 3:1, 7, ล.ม.) ดังที่เห็นจากการโต้เถียงในตอนต้น ปัญหาบางอย่างอาจก่อความรู้สึกที่รุนแรง. ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น จงควบคุมตัวเองและหยุดการสนทนาไว้ก่อน—“นิ่งเงียบ”—ก่อนที่อารมณ์จะระเบิดออกมา. คุณจะรักษาความสัมพันธ์กับคู่ของคุณไม่ให้ถึงขั้นที่เสียหายร้ายแรงได้ หากคุณเชื่อฟังคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “การเริ่มต้นชิงดีกัน [‘วิวาท,’ ล.ม.] เปรียบเหมือนช่องรั่วแห่งหนึ่งที่ทำนบกันน้ำ; เพราะฉะนั้นจงเลิกการโต้เถียงกันเสียก่อนที่จะเกิดการทะเลาะวิวาท.”—สุภาษิต 17:14.
อย่างไรก็ตาม มี “เวลาพูด” ด้วย. ปัญหาก็เหมือนวัชพืช หากปล่อยไว้ไม่จัดการก็จะโตเร็ว. ดังนั้น อย่าทิ้งปัญหาไว้โดยหวังว่ามันจะหมดไปเอง. ถ้าคุณหยุดการสนทนาไว้ก่อน จงแสดงความนับถือต่อคู่ของคุณโดยกำหนดเวลาที่จะพูดคุยปัญหานั้นอีกไม่นานหลังจากนั้น. การสัญญาเช่นนั้นสามารถช่วยคุณทั้งสองให้ใช้หลักการของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “อย่าโกรธจนถึงดวงอาทิตย์ตก.” (เอเฟโซส์ 4:26) และแน่นอน คุณก็ต้องทำตามที่คุณสัญญาไว้ด้วย.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
จงหลีกเลี่ยงน้ำใจหยิ่งยโส
สุภาษิตที่สุขุมข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “คนที่ยกประตูบ้านของตนให้สูงก็เท่ากับเป็นผู้เสาะหาความพินาศ.” (สุภาษิต 17:19) มีอะไรผิดหรือกับประตูบ้านที่สูง? และอะไรคือจุดใหญ่ใจความของสุภาษิตข้อนี้?
ในสมัยโบราณพวกโจรที่มาคนเดียวและกลุ่มโจรที่ใช้ม้าเป็นพาหนะไม่ใช่เรื่องผิดปกติ. บ้านที่ไม่มีการป้องกันซึ่งอยู่ในที่โล่งก็ง่ายที่โจรจะจู่โจม. เพื่อป้องกันการปล้นทรัพย์สิน เจ้าข้องบ้านบางคนสร้างกำแพงพร้อมด้วยประตูพิเศษ. ตัวกำแพงสูง แต่ประตูทางเข้าต่ำ. ที่จริง บางประตูสูงไม่เกินหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ—ต่ำเกินกว่าที่ม้าที่มีคนขี่จะเข้าได้. คนที่ไม่สร้างประตูเข้าบ้านของตนให้ต่ำก็เสี่ยงต่อการที่จะมีคนขี่ม้าเข้าไปและปล้นเอาข้าวของของเขา.
ในเมืองต่าง ๆ ประตูเข้าลานบ้านโดยทั่วไปจะต่ำและไม่น่าสนใจ ไม่มีสิ่งบ่งชี้ถึงความมั่งคั่งซึ่งอาจจะมีอยู่ภายในกำแพงที่ล้อมรอบ. แต่ในเปอร์เซีย ประตูที่สูงเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งของราชสำนัก ซึ่งประชากรบางคนพยายามจะเลียนแบบอันเป็นการเสี่ยงอย่างมาก. ใครก็ตามที่ทำประตูสูงสำหรับบ้านของตนก็กำลังเชื้อเชิญให้โจรมาปล้นเนื่องจากการโอ้อวดความร่ำรวยของตน.
ดังนั้น สุภาษิต 17:19 จึงแสดงว่าคนที่ทำประตูบ้านของตนให้สูงก็กำลังแส่หาเรื่องหายนะโดยการประเมินค่าตนเองเกินกว่าคุณค่าที่ตนมีจริง ๆ. สุภาษิตข้อนี้ก็อาจพาดพิงถึงปากว่าเป็นเหมือนประตูที่ยกสูงโดยการคุยโวโอ้อวดและใช้คำพูดหยิ่งยโส. การพูดเช่นนั้นปลุกเร้าการทะเลาะวิวาทและสามารถนำบุคคลที่หยิ่งจองหองนั้นไปสู่ความหายนะได้ในที่สุด. ฉะนั้น เป็นการฉลาดสุขุมจริง ๆ ที่จะหลีกเลี่ยงน้ำใจหยิ่งยโส!
วันที่ 16-22 มิถุนายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 18
พูดในแบบที่ทำให้คนที่มีปัญหาสุขภาพรู้สึกสดชื่นและมีกำลังใจ
สติปัญญาแท้กำลังร้องเสียงดัง
17 คิดก่อนที่คุณจะพูด ถ้าเราไม่ระวังคำพูด เราอาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “คำพูดที่ไม่คิดเป็นเหมือนดาบที่ทิ่มแทง แต่คำพูดของคนฉลาดจะช่วยเยียวยารักษา” (สภษ. 12:18) ถ้าเราไม่ซุบซิบนินทาคนอื่น เราก็จะไม่มีเรื่องกับใคร (สภษ. 20:19) และเพื่อที่คำพูดของเราจะช่วยเยียวยารักษาและไม่ทิ่มแทงคนอื่น เราต้องให้ใจของเราเต็มไปด้วยความรู้จากคัมภีร์ไบเบิล (ลก. 6:45) เมื่อเราคิดใคร่ครวญคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล คำพูดของเราจะเป็น “แหล่งของสติปัญญา [ซึ่ง] เป็นเหมือนสายน้ำไหล” ที่ทำให้คนอื่นสดชื่น—สภษ. 18:4
รงอ บทความ 19 กรอบ
วิธีรับมือกับปัญหาสุขภาพ
เป็นผู้ฟังที่ดี วิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการตั้งใจฟัง คุณอาจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเยอะแค่ตั้งใจฟังก็พอแล้ว ปล่อยให้เพื่อนพูดเต็มที่และไม่ตำหนิสิ่งที่เขาพูด อย่าคิดว่าคุณเข้าใจความรู้สึกทุกอย่างของเพื่อน เพราะบางครั้งอาการเจ็บป่วยบางอย่างก็ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็น—สุภาษิต 11:2
พูดในแง่บวก คุณอาจไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่แทนที่จะเงียบ คุณน่าจะพูดบางอย่างที่ให้กำลังใจเพื่อน ถ้านึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร คุณอาจใช้คำพูดง่าย ๆ ที่แสดงถึงความจริงใจ เช่น “ฉันเป็นห่วงเธอนะ” ควรหลีกเลี่ยงคำพูด เช่น “นี่เป็นแค่อาการเริ่มต้นนะ เดี๋ยวมันจะแย่ยิ่งกว่านี้อีก” หรือ “แค่นี้เองไม่เห็นจะเป็นไรมากเลย”
ทำให้เพื่อนเห็นว่าคุณใส่ใจเขาโดยการหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เขาเป็น แล้วคุณก็จะรู้ว่าจะพูดให้กาลังใจเพื่อนได้ยังไง และเขาอาจรู้สึกขอบคุณที่คุณพยายามเข้าใจปัญหาของเขา (สุภาษิต 18:13) แต่ก็ต้องระวังที่จะไม่ให้คำแนะนำมากเกินไปจนทำให้เพื่อนรู้สึกอึดอัด
พร้อมให้ความช่วยเหลือ อย่าเดาเองว่าเพื่อนต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่ให้ถามเขา บางทีเขาอาจไม่กล้าบอกเพราะกลัวจะเป็นภาระ ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณอาจเสนอความช่วยเหลือบางอย่าง เช่น ช่วยไปซื้อของ ช่วยทำความสะอาด หรือช่วยทำงานอย่างอื่น—กาลาเทีย 6:2
อดทน ตอนที่เพื่อนของคุณต้องรับมือกับอาการเจ็บป่วย อาจมีบางครั้งที่เขายกเลิกนัดหมายกับคุณหรือไม่อยากคุยกับคุณ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ขอให้คุณอดทนและเข้าใจเขา และคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ—สุภาษิต 18:24
ช่วยคนที่มีปัญหาทางอารมณ์และจิตใจ
“พูดปลอบใจ”—1 เธสะโลนิกา 5:14
เพื่อนของคุณอาจกำลังกลัว วิตกกังวล หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ถึงคุณไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี แต่คุณก็ช่วยให้เขารู้สึกสบายใจและมีกำลังใจขึ้นได้โดยทำให้เขาเห็นว่าคุณรักและเป็นห่วงเขาจริง ๆ
“เพื่อนแท้รักกันอยู่เสมอ”—สุภาษิต 17:17
เสนอความช่วยเหลือ ให้ถามเขาตรง ๆ ว่าอยากให้คุณช่วยอะไรแทนที่จะคิดเอาเอง ถ้าเขาบอกไม่ถูกว่าอยากให้ช่วยอะไร ก็ให้คุณลองชวนเขาไปทำอะไรด้วยกัน เช่น ชวนไปเดินเล่น หรือคุณอาจเสนอว่าจะช่วยซื้อของ ช่วยทำความสะอาด หรือช่วยทำงานอื่น ๆ —กาลาเทีย 6:2
“มีความอดทน”—1 เธสะโลนิกา 5:14, ฉบับมาตรฐาน
ถ้าเพื่อนของคุณยังไม่พร้อมที่จะพูด ให้บอกเขาว่าถ้าพร้อมจะพูดเมื่อไหร่คุณก็ยินดีรับฟังเสมอ บางครั้งอาการป่วยอาจทำให้เพื่อนพูดหรือทำอะไรที่ทำให้คุณเสียใจ เช่น เขาอาจยกเลิกนัดหรืออารมณ์เสียใส่คุณ ขอให้คุณอดทนและเข้าใจเขา และพยายามช่วยเขาต่อไป—สุภาษิต 18:24
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
it-2-E น. 271-272
ฉลาก
ในสมัยโบราณมีการจับฉลากเพื่อตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง วิธีก็คือ เอาก้อนกรวด หินเล็ก ๆ หรือไม้ชิ้นเล็ก ๆ ใส่ในผ้าแล้วห่อไว้ หรืออาจจะใส่บน “ตัก” หรือใส่ในไหก็ได้ จากนั้นก็เขย่า ถ้าหินหรือไม้ของใครถูกหยิบออกมาหรือหล่นออกมาก่อน คนนั้นก็ถูกเลือก เหมือนกับการปฏิญาณการจับฉลากถูกมองว่าเป็นการอธิษฐานรูปแบบหนึ่ง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็อาจจะมีการอธิษฐานตอนที่จับฉลากด้วยเพื่อขอการชี้นำจากพระยะโฮวา คำภาษาฮีบรู โกห์รัล (goh·ralʹ) ที่แปลว่า ฉลาก อาจแปลได้ว่า “แบ่ง” หรือ “ส่วนแบ่ง” ตามตัวอักษรหรือใช้เป็นภาพเปรียบเทียบ—ยชว 15:1; สด 16:5; 125:3; อสย 57:6; ยรม 13:25
การใช้ สุภาษิต 16:33 บอกว่า “มนุษย์โยนฉลากลงบนตัก แต่การตัดสินทุกอย่างมาจากพระยะโฮวา” ในสมัยอิสราเอล การจับฉลากไม่ได้มีไว้เพื่อเล่นพนัน หรือเป็นกีฬา ไม่มีการลงเงิน เดิมพัน และไม่มีคนได้หรือเสีย ไม่ได้มีไว้เพื่อหาเงินเข้าวิหาร หรือหาเงินเพื่อปุโรหิต หรือเพื่อการกุศล แต่การจับฉลากอย่างเหมาะสมมีไว้เพื่อหยุดความขัดแย้ง เหมือนที่สุภาษิตบอกไว้ว่า “การจับฉลากยุติความขัดแย้ง และช่วยตัดสินข้อพิพาทระหว่างสองฝ่ายที่มีอำนาจ” (สภษ 18:18) แต่พวกทหารชาวโรมันใช้วิธีจับฉลากอย่างเห็นแก่ตัวเพื่อจะได้เสื้อผ้าของพระเยซูอย่างที่สดุดี 22:18 พยากรณ์ไว้—มัทธิว 27:35
วันที่ 23-29 มิถุนายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 19
เป็นเพื่อนแท้
เราจะรักกันอยู่เสมอได้ยังไง?
16 ให้คุณมองที่ข้อดีของพี่น้องแทนที่จะมองที่ข้อเสียของพวกเขา มาดูตัวอย่างหนึ่งด้วยกัน สมมุติว่าคุณไปกินข้าวกับพี่น้อง ตอนนั้นทุกคนมีความสุขมากและหลังจากกินข้าวเสร็จ คุณก็จะถ่ายรูปด้วยกัน ปกติคุณคงไม่ถ่ายแค่รูปเดียว แต่อาจจะถ่ายไว้สัก 2-3 รูปเผื่อรูปแรกเสีย สมมุติว่าคุณถ่ายรูปไว้ทั้งหมด 3 รูป แต่ปรากฏว่ามีรูปหนึ่งที่พี่น้องคนหนึ่งไม่ได้ยิ้ม คุณจะทำยังไงกับรูปนั้น? คุณคงจะลบรูปนั้นเพราะมีอีก 2 รูปที่พี่น้องทุกคนยิ้มอย่างสดชื่น
17 รูปถ่ายในตัวอย่างนี้เป็นเหมือนกับความทรงจำดี ๆ ที่เราอยากจะเก็บไว้ ปกติแล้วเวลาที่เราอยู่กับพี่น้อง เรามักจะมีช่วงเวลาที่ดีและมีความสุข แต่บางครั้งพี่น้องอาจพูดหรือทำบางอย่างที่เราไม่ชอบ ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะทำยังไง? ทำไมไม่ลองลบความทรงจำนั้นออกไปเหมือนที่เราลบรูปที่เราไม่ชอบ? (สภษ. 19:11; อฟ. 4:32) เราควรเลือกที่จะไม่จำข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพี่น้อง แต่เลือกที่จะจำสิ่งดี ๆ ที่พวกเขาทำ ความทรงจำแบบนี้แหละที่เราอยากจะเก็บไว้เสมอ
รักมากขึ้นเรื่อย ๆ
10 เราเองก็ควรหาวิธีช่วยพี่น้องด้วย (ฮบ. 13:16) ให้เรามาดูประสบการณ์ของแอนนาซึ่งเป็นพี่น้องหญิงที่พูดถึงในบทความก่อน หลังจากเกิดพายุใหญ่แอนนากับสามีก็ไปเยี่ยมบ้านพี่น้องครอบครัวหนึ่ง และเห็นว่าหลังคาบ้านของพวกเขาพังลงมา พวกเขาก็เลยไม่มีเสื้อผ้าสะอาดใส่เลย แอนนาเล่าว่า “เราเลยเอาเสื้อผ้าของพวกเขามาซักรีดเรียบร้อย ที่จริงมันไม่ใช่งานยากหรือเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่พอเราทำแบบนี้ เรากับครอบครัวนั้นก็เลยเป็นเพื่อนสนิทกันจนถึงทุกวันนี้” แอนนากับสามีแสดงความรักต่อพี่น้องโดยลงมือช่วยเหลือพวกเขา—1 ยน. 3:17, 18
11 เมื่อเรารักและทำดีกับคนอื่น พวกเขามักจะเห็นว่าเราพยายามเลียนแบบพระยะโฮวา พวกเขาอาจเห็นค่าที่เราทำดีกับเขามากกว่าที่เราคิด กานห์ซึ่งเราได้พูดถึงไปแล้วตอนต้นบทความรู้สึกประทับใจพี่น้องหญิงหลายคนที่ช่วยเธอตอนเด็ก ๆ เธอบอกว่า “ตอนนี้ฉันรู้สึกเห็นค่าพี่น้องหญิงทุกคนที่น่ารักที่เคยพาฉันออกประกาศ พวกเขามารับฉันที่บ้าน ชวนฉันไปกินขนม บางทีก็ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน แล้วก็พาฉันไปส่งบ้าน ฉันเพิ่งรู้ว่าพวกเขาต้องออกความพยายามมากขนาดไหน และพวกเขารักฉันมากจริง ๆ” แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะขอบคุณที่เราทำเพื่อเขา กานห์พูดถึงพี่น้องที่ช่วยเธอว่า “ฉันอยากตอบแทนสิ่งดี ๆ ที่พวกเขาทำเพื่อฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน แต่พระยะโฮวารู้ ฉันก็เลยอธิษฐานขอพระองค์ตอบแทนสิ่งดี ๆ ที่พวกเขาทำให้ฉัน” กานห์พูดถูก พระยะโฮวาสังเกตเห็นแม้แต่สิ่งเล็กน้อยที่สุดที่เราทำเพื่อคนอื่น พระองค์มองว่ามันเป็นเครื่องบูชาที่มีค่ามาก และถือว่าพระองค์เป็นหนี้ที่จะต้องตอบแทนเรา—อ่านสุภาษิต 19:17
แสดงความรักที่มั่นคงต่อกันเสมอ
6 ลองคิดถึงพนักงานคนหนึ่งที่ทำงานให้กับบริษัทมานานหลายปี ตลอดเวลาที่เขาทำงานที่นั่นเขาอาจจะไม่เคยได้เจอหรือคุยกับพวกผู้บริหารเลย และเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับนโยบายบางอย่างของบริษัทนี้ แต่ที่เขายังซื่อสัตย์กับบริษัทและทำงานนี้อยู่ก็เพราะมันทำให้เขามีรายได้เลี้ยงตัวเอง และเขาก็ตั้งใจจะทำงานที่บริษัทนี้จนกว่าจะเกษียณ แต่ถ้าบริษัทอื่นให้เงินให้ตำแหน่งสูงกว่า เขาก็จะไป
7 คุณเห็นความแตกต่างระหว่างความรักที่มั่นคงกับความรู้สึกของพนักงานคนนี้ไหม? สิ่งที่ทำให้ต่างกันคือแรงกระตุ้น ที่พนักงานคนนี้ยังทำงานให้บริษัทก็เพราะเขาอยากมีรายได้ แต่ในคัมภีร์ไบเบิลอะไรกระตุ้นให้คนของพระเจ้าแสดงความรักที่มั่นคง? พวกเขาไม่ได้แสดงความรักที่มั่นคงเพราะต้องทำหรืออยากได้ผลประโยชน์ แต่พวกเขาอยากทำและทำจากใจ ลองคิดถึงตัวอย่างของดาวิดที่มีความรักที่มั่นคงต่อโยนาธาน ถึงพ่อของโยนาธานพยายามจะฆ่าดาวิด แต่เขาก็ยังรักโยนาธานไม่เปลี่ยนแปลง และถึงโยนาธานตายไปหลายปีแล้ว ดาวิดก็ยังแสดงความรักที่มั่นคงต่อเมฟีโบเชทลูกชายของโยนาธานต่อไป—1 ซม. 20:9, 14, 15; 2 ซม. 4:4; 8:15; 9:1, 6, 7, เชิงอรรถ
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
it-1-E น. 515
คำแนะนำ, ผู้ให้คำแนะนำ
พระยะโฮวาเป็นผู้ที่มีสติปัญญาสูงสุด พระองค์เป็นผู้เดียวที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาแนะนำ (อสย 40:13; รม 11:34) พระเยซูลูกชายของพระองค์สามารถให้คำแนะนำและเป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” ได้ก็เพราะท่านได้รับคำแนะนำจากพ่อของท่านและทำตามคำแนะนำนั้น และท่านยังได้รับพลังบริสุทธิ์จากพระองค์ด้วย (อสย 9:6; 11:2; ยน 5:19, 30) นี่ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าเพื่อคำแนะนำจะมีประโยชน์จริง ๆ คำแนะนำนั้นต้องตรงกันกับสิ่งที่พระยะโฮวาบอก คำแนะนำที่ไม่ตรงกับสิ่งที่พระองค์บอกเอาไว้ก็เป็นคำแนะนำที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย และจะเรียกว่าเป็นคำแนะนำไม่ได้ด้วยซ้ำ—สภษ 19:21; 21:30
วันที่ 30 มิถุนายน–6 กรกฎาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 20
คุณจะใช้ช่วงเวลาที่เป็นแฟนกันยังไงเพื่อตัดสินใจได้อย่างฉลาด?
ใช้ช่วงเวลาที่เป็นแฟนเพื่อช่วยให้ตัดสินใจอย่างฉลาด
3 การคบกันเป็นแฟนเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นขั้นตอนสำคัญด้วยที่นำไปสู่การแต่งงาน ในวันแต่งงานเจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะปฏิญาณต่อพระยะโฮวาว่าพวกเขาจะรักและให้เกียรติกันตราบเท่าที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่เราแต่ละคนจะปฏิญาณอะไร เราก็ต้องคิดเรื่องนั้นอย่างรอบคอบ (อ่านสุภาษิต 20:25) และนี่ก็เป็นจริงกับคำปฏิญาณเรื่องการแต่งงานด้วย การคบกันเป็นแฟนจะช่วยให้คนสองคนได้รู้จักกันมากขึ้นและช่วยให้พวกเขาตัดสินใจอย่างฉลาด บางครั้งทั้งสองคนอาจตัดสินใจที่จะแต่งงานกันหรือตัดสินใจที่จะเลิกกันก็ได้ ถ้าทั้งสองคนเลิกกัน นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาล้มเหลว แต่พวกเขาได้บรรลุจุดประสงค์ของการคบกันเป็นแฟนแล้ว นั่นก็คือเพื่อที่จะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้อย่างฉลาดว่าจะแต่งงานกับคนที่คบกันอยู่หรือไม่
4 ทำไมถึงสำคัญที่จะมีมุมมองที่ถูกต้องในเรื่องการคบกันเป็นแฟน? ถ้าคนโสดมีมุมมองที่ถูกต้องในเรื่องนี้ เขาก็จะไม่คบเป็นแฟนกับคนที่เขาไม่คิดจะแต่งงานด้วย แต่คนโสดไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ต้องมีมุมมองที่ถูกต้องในเรื่องนี้ เราทุกคนก็เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น บางคนคิดว่าถ้าคนสองคนกำลังคบกัน พวกเขาต้องแต่งงานกันเท่านั้น แต่การคิดแบบนี้ส่งผลกับคนโสดยังไง? เมลิซ่าพี่น้องหญิงโสดที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาบอกว่า “คนที่กำลังคบกันรู้สึกกดดันมากเลยค่ะ บางคู่ก็เลยไม่ยอมเลิกกันทั้ง ๆ ที่ไปกันไม่ได้ ส่วนบางคนก็ไม่กล้าคบเป็นแฟนกับใครเลย ถ้าเป็นแบบนี้มันก็เครียดมากเลยค่ะ”
คุณจะเจอคนที่ใช่ได้ยังไง?
8 คุณจะสังเกตคนที่คุณกำลังสนใจได้ยังไง? ตอนที่อยู่หอประชุมหรือตอนที่กินข้าวสังสรรค์กับพี่น้อง ให้สังเกตว่าเขามีความเชื่อเข้มแข็งไหม? เขาเป็นคนยังไงและมีนิสัยแบบไหน? ใครเป็นเพื่อนเขา? เขาชอบคุยเรื่องอะไร? (ลก. 6:45) เขามีเป้าหมายที่คล้าย ๆ กับคุณไหม? คุณอาจจะคุยกับผู้ดูแลในประชาคมของเขา หรือคุยกับพี่น้องที่มีความเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักเขาอย่างดี (สภษ. 20:18) คุณอาจจะถามว่า เขามีชื่อเสียงแบบไหน? มีนิสัยยังไง? (นรธ. 2:11) ตอนที่คุณสังเกตคนที่คุณกำลังสนใจ ระวังอย่าทำให้เขาอึดอัดหรือไม่สบายใจ ให้เคารพความเป็นส่วนตัวและความรู้สึกของเขา และเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสมด้วย
ใช้ช่วงเวลาที่เป็นแฟนเพื่อช่วยให้ตัดสินใจอย่างฉลาด
7 แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าแฟนของคุณเป็นคนยังไงจริง ๆ? วิธีที่ดีที่สุดก็คือเปิดใจคุยกันตรง ๆ ให้ถามและตั้งใจฟังกันจริง ๆ (สภษ. 20:5; ยก. 1:19) คุณอาจต้องสร้างโอกาสในการคุยกันด้วย เช่น ไปกินข้าวด้วยกัน เดินเล่นในที่สาธารณะด้วยกัน หรือไปประกาศด้วยกัน นอกจากนั้น คุณยังสามารถรู้จักกันดีขึ้นได้โดยใช้เวลากับเพื่อน ๆ และครอบครัว ไม่เพียงเท่านั้นคุณอาจจะวางแผนทำสิ่งที่ต่างออกไปจากเดิมเพื่อจะดูว่าแฟนของคุณเป็นคนยังไง เช่น ทำกิจกรรมที่หลากหลายกับพี่น้องหลาย ๆ คนที่แตกต่างกัน อัชวินกับเอลีเซียจากเนเธอร์แลนด์เล่าถึงช่วงที่พวกเขาคบกันว่า “เราจะหากิจกรรมง่าย ๆ ทำร่วมกันเพื่อจะรู้จักกันดีขึ้น เช่น ทำกับข้าวด้วยกันหรือทำงานด้วยกัน พอทำแบบนี้เราก็เลยได้เห็นข้อดีข้อเสียของกันและกันชัดขึ้น”
8 นอกจากนั้นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้คุณรู้จักกันดีขึ้นก็คือการคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในคัมภีร์ไบเบิล ถ้าคุณแต่งงานคุณต้องจัดการนมัสการครอบครัวเป็นประจำเพื่อทำให้พระยะโฮวาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตครอบครัวของคุณ (ปญจ. 4:12) ดังนั้น ทำไมไม่ลองทำแบบนี้ตอนที่คบกันดูล่ะ? แน่นอนว่าคนที่เป็นแฟนยังไม่ใช่สามีและภรรยากันและพี่น้องชายก็ยังไม่ได้เป็นผู้นำครอบครัวของพี่น้องหญิง แต่การนมัสการด้วยกันเป็นประจำจะช่วยให้เห็นสภาพความเชื่อของอีกฝ่ายหนึ่งได้ ให้เรามาดูตัวอย่างของแม็กซ์กับเลซ่าจากสหรัฐ ทั้งสองคนยังพบข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการคุยกันเรื่องคัมภีร์ไบเบิลด้วย แม็กซ์บอกว่า “ช่วงแรก ๆ ที่เราคบกัน เราเริ่มนมัสการด้วยกันโดยใช้เรื่องต่าง ๆ จากหนังสือขององค์การ เช่น เรื่องการคบกัน การแต่งงาน หรือชีวิตครอบครัว บทความเหล่านี้เปิดโอกาสให้เราสองคนได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องสำคัญต่าง ๆ หลายเรื่อง ซึ่งปกติแล้วไม่ง่ายเลยที่จะยกเรื่องพวกนี้มาคุยกัน”
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
it-2-E น. 196 ว. 7
ตะเกียง
สุภาษิต 20:27 บอกว่า “ลมหายใจของมนุษย์เป็นเหมือนตะเกียงของพระยะโฮวา สำหรับตรวจดูส่วนลึกที่สุดในตัวเขา” สิ่งที่คนเรา “หายใจ” ออกมา หรือพูดออกมาไม่ว่าในทางที่ดีหรือไม่ดี ก็แสดงให้เห็นว่าตัวตนของเขาเป็นยังไงจริง ๆ