แหล่งอ้างอิงสำหรับชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม
© 2024 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
วันที่ 3-9 มีนาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 3
แสดงให้เห็นว่าคุณไว้วางใจพระยะโฮวา
สุภาษิต 3:5, 6—“อย่าพึ่งความเข้าใจของตัวเอง”
“วางใจพระยะโฮวาสุดหัวใจ” เราจะแสดงว่าเราวางใจพระเจ้าโดยการทำสิ่งต่าง ๆ ตามแบบพระองค์ เราต้องวางใจพระเจ้าอย่างเต็มที่คือวางใจพระองค์สุดหัวใจ ในคัมภีร์ไบเบิลคำว่าหัวใจมักหมายถึงตัวตนข้างในของคนคนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงความคิด อารมณ์ความรู้สึก และแรงกระตุ้นของเขา ดังนั้น การที่เราวางใจพระเจ้าสุดหัวใจไม่ได้เกิดจากอารมณ์ความรู้สึกของเราเท่านั้น แต่เราเลือกที่จะวางใจพระองค์เพราะเราเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าผู้ที่สร้างตัวเรารู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา—โรม 12:1
“อย่าพึ่งความเข้าใจของตัวเอง” เราต้องวางใจพระเจ้าเพราะเราไม่สามารถวางใจความคิดของตัวเองได้ เราทุกคนเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ ถ้าเราพึ่งแต่ความคิดหรือความรู้สึกของตัวเองตอนที่ตัดสินใจว่าจะทำอะไร เราก็อาจตัดสินใจทำบางสิ่งที่ดูเหมือนดีในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ส่งผลเสียกับตัวเราเอง (สุภาษิต 14:12; เยเรมีย์ 17:9) พระเจ้าฉลาดกว่าเรามาก (อิสยาห์ 55:8, 9) ดังนั้น ถ้าเราพึ่งพระองค์ตอนที่ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ชีวิตของเราก็จะประสบความสำเร็จ—สดุดี 1:1-3; สุภาษิต 2:6-9; 16:20
สุภาษิต 3:5, 6—“อย่าพึ่งความเข้าใจของตัวเอง”
“คิดถึงพระองค์เสมอไม่ว่าจะทำอะไร” ทุกครั้งที่เราต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิต เราควรคิดถึงความคิดของพระเจ้าเสมอ เราจะทำอย่างนั้นได้โดยการอธิษฐานขอการชี้นำจากพระองค์ และทำตามคำสอนของพระองค์ที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล—สดุดี 25:4; 2 ทิโมธี 3:16, 17
“พระองค์จะทำให้ชีวิตราบรื่น” พระเจ้าทำให้ชีวิตของเราราบรื่นโดยช่วยเราให้ใช้ชีวิตตามมาตรฐานที่ถูกต้องของพระองค์ (สุภาษิต 11:5) นี่ช่วยให้เราไม่ต้องเจอกับปัญหาหลายอย่างโดยไม่จำเป็น และมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น—สดุดี 19:7, 8; อิสยาห์ 48:17, 18
จงทำความก้าวหน้า
คนที่เคยเผชิญกับสภาพการณ์หลายรูปแบบในชีวิตอาจหาเหตุผลว่า ‘ฉันเคยเผชิญสภาพการณ์แบบนี้มาก่อน. ฉันรู้ว่าต้องทำอะไร.’ นี่จะเป็นแนวทางแห่งสติปัญญาไหม? สุภาษิต 3:7 (ล.ม.) เตือนว่า “อย่าคิดว่าตัวมีปัญญา.” แน่นอน ประสบการณ์น่าจะขยายมุมมองของเราเกี่ยวกับองค์ประกอบต่าง ๆ ที่พึงพิจารณาเมื่อรับมือกับสภาพการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต. แต่ถ้าเรากำลังทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ ประสบการณ์ของเราน่าจะทำให้เราตระหนักด้วยว่าเพื่อจะประสบความสำเร็จ เราต้องรับการสนับสนุนจากพระยะโฮวา. ดังนั้น ความก้าวหน้าของเราไม่ได้ปรากฏให้เห็นโดยการเผชิญสภาพการณ์ต่าง ๆ ด้วยความมั่นใจในตัวเอง แต่โดยการที่เราพร้อมจะหันเข้าหาพระยะโฮวาทุกเมื่อเพื่อรับการชี้นำในการดำเนินชีวิต. ความก้าวหน้านั้นจะปรากฏแจ้งจากการที่เรามั่นใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หากพระองค์ไม่ทรงยอมให้เกิด และโดยการที่เรารักษาความไว้วางใจและสัมพันธภาพที่เปี่ยมด้วยความรักใคร่กับพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเราให้คงอยู่ต่อ ๆ ไป.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
จุดเด่นจากพระธรรมสุภาษิต
3:3. เราควรถือว่าความกรุณารักใคร่และความจริงมีค่าสูงยิ่งและควรแสดงคุณลักษณะนั้นอย่างเปิดเผยประหนึ่งสวมสร้อยคอที่ล้ำค่า. นอกจากนั้น เราต้องจารึกคุณลักษณะเหล่านี้ไว้ในหัวใจของเรา ให้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา.
วันที่ 10-16 มีนาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 4
“ปกป้องหัวใจของลูก”
คุณจะปกป้องหัวใจของคุณได้อย่างไร?
ในสุภาษิต 4:23 คำว่า “หัวใจ” หมายถึง ความคิด ความรู้สึก และความต้องการของเรา รวมทั้งเหตุผลลึก ๆ ที่เราทำสิ่งต่าง ๆ มันคือตัวตนจริง ๆ ของเรา ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเห็นเราแค่ภายนอก
คุณจะปกป้องหัวใจของคุณได้อย่างไร?
ถ้าเราอยากปกป้องหัวใจของเราได้สำเร็จ เราต้องรู้ว่าอะไรที่เป็นอันตรายและรีบจัดการเพื่อปกป้องหัวใจของเรา คำที่แปลว่า “ปกป้อง” ในสุภาษิต 4:23 ทำให้นึกถึงงานที่คนเฝ้ายามทำ ในสมัยกษัตริย์โซโลมอนคนเฝ้ายามจะยืนบนกำแพงเมือง เมื่อเห็นอันตรายใกล้เข้ามาเขาจะรีบส่งสัญญาณเตือนทันที ตัวอย่างนี้ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนว่า เราต้องทำอะไรเพื่อจะไม่ให้ซาตานใส่เชื้อความคิดที่ไม่ดีของมันในความคิดของเรา
ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล คนเฝ้ายามกับคนเฝ้าประตูร่วมมือกันในการทำงาน (2 ซม. 18:24-26) พวกเขาจะช่วยกันปกป้องเมืองโดยทำให้แน่ใจว่าประตูปิดทุกครั้งที่ศัตรูเข้ามาใกล้ (นหม. 7:1-3) ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราที่ตรงกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นเหมือนกับคนเฝ้ายาม มันจะเตือนเราเมื่อซาตานพยายามโจมตีหัวใจเรา หรือเมื่อซาตานพยายามมีอิทธิพลต่อความคิด ความรู้สึก และความต้องการของเรารวมทั้งเหตุผลลึก ๆ ที่เราทำสิ่งต่าง ๆ เมื่อไรที่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีส่งสัญญาณเตือน เราต้องฟังและรีบปิดประตูหัวใจทันทีเพื่อจะหนีจากอันตราย
คุณจะปกป้องหัวใจของคุณได้อย่างไร?
เพื่อจะปกป้องหัวใจของเรา เราต้องไม่ใช่แค่ปิดหัวใจไม่รับอิทธิพลที่ไม่ดีเท่านั้น แต่เราต้องเปิดรับอิทธิพลที่ดีเข้ามาด้วย ขอให้คิดถึงตัวอย่างเกี่ยวกับเมืองที่มีกำแพงอีกครั้ง ตอนที่มีศัตรูเข้ามาใกล้ คนเฝ้าประตูจะปิดประตูเมืองไว้ แต่ในเวลาอื่นเขาจะเปิดประตูเพื่อเอาอาหารและข้าวของเครื่องใช้เข้ามาในเมือง ถ้าคนเฝ้าประตูไม่เปิดประตูเลย คนในเมืองจะอดตาย คล้ายกัน เราต้องเปิดหัวใจรับความคิดของพระยะโฮวาเป็นประจำ และให้ความคิดของพระองค์มีอิทธิพลกับเรา
“จงรักษาหัวใจของคุณไว้!“
ทำไมเราควรรักษาหัวใจโดยนัยของเราไว้? พระเจ้าดลใจให้กษัตริย์โซโลมอนเขียนว่า “จงรักษาใจของเจ้าไว้ด้วยสุดความเพียรพยายาม: เพราะผลการแห่งกิจต่าง ๆ ในชีวิตก็เกิดมาจากจิตต์ใจ.” (สุภาษิต 4:23) คุณภาพชีวิตของเราในเวลานี้และความหวังของเราในอนาคตขึ้นอยู่กับสภาพหัวใจโดยนัยนี้. เพราะเหตุใด? เพราะพระยะโฮวาทรงมองเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเรา. (1 ซามูเอล 16:7) ความรู้สึกที่พระเจ้าทรงมีต่อเราขึ้นอยู่กับว่าตัวตนที่แท้จริงหรือ “ตัวตนที่อยู่ในใจ” ของเราเป็นอย่างไร.—1 เปโตร 3:4
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
คุณจะอดทนรอพระยะโฮวาไหม?
สุภาษิต 4:18 บอกว่า “ทางของคนดีเป็นเหมือนแสงสว่างยามเช้า ซึ่งสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเที่ยงวัน” ข้อนี้หมายถึงการที่พระยะโฮวาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ให้เข้าใจความประสงค์ของพระองค์ทีละเล็กทีละน้อย แต่ไม่ใช่แค่นั้น ข้อนี้ยังเอามาใช้ได้กับการที่คริสเตียนก้าวหน้าในความจริงและสนิทกับพระยะโฮวามากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยซึ่งการทำอย่างนี้ต้องใช้เวลา เราเร่งมันไม่ได้ ถ้าเราตั้งใจศึกษาและเอาคำแนะนำที่มาจากคัมภีร์ไบเบิลและองค์การของพระเจ้าไปใช้ เราจะค่อย ๆ มีคุณลักษณะแบบพระเยซูมากขึ้นเรื่อย ๆ และเราจะรู้จักพระเจ้ามากขึ้นด้วย ให้เรามาดูว่าพระเยซูใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง
วันที่ 17-23 มีนาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 5
เราต้องอยู่ให้ห่างจากการทำผิดศีลธรรมทางเพศ
คุณสามารถรักษาความบริสุทธิ์ในโลกที่ไร้ศีลธรรมได้
ในสุภาษิตข้อนี้ มีการพรรณนาว่าคนที่เสเพลเป็น “หญิงชั่ว”—หรือโสเภณี. ถ้อยคำที่นางใช้ล่อลวงเหยื่อนั้นหวานดังน้ำผึ้งและลื่นกว่าน้ำมันมะกอก. การทำผิดศีลธรรมส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยสิ่งนี้มิใช่หรือ? ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณาประสบการณ์ของเลขานุการสาวสวยวัย 27 ปีชื่อเอมี. เธอเล่าว่า “ผู้ชายคนนี้ในที่ทำงานของดิฉันจะเอาอกเอาใจและยกยอดิฉันมากทุกครั้งที่มีโอกาส. คนเรามักชอบที่มีคนมาสนใจ. แต่ดิฉันเห็นได้ชัดว่าเขาสนใจดิฉันเฉพาะเรื่องเพศเท่านั้น. ดิฉันไม่หลงไปกับการรุกเร้าของเขา.” ส่วนใหญ่แล้ว ถ้อยคำเยินยอจากคนปากหวานทั้งชายและหญิงจะน่าฟัง เว้นแต่เราตระหนักถึงเจตนาที่แท้จริงของผู้พูด. ด้วยเหตุนี้ เราต้องใช้ความสามารถในการคิด.
คุณสามารถรักษาความบริสุทธิ์ในโลกที่ไร้ศีลธรรมได้
ผลที่ตามมาจากการทำผิดศีลธรรมนั้นขมเหมือนยาพิษและคมดุจดาบสองคม คือก่อทั้งความเจ็บปวดและความตาย. การถูกสติรู้สึกผิดชอบรบกวน, การตั้งครรภ์โดยไม่ต้องการ, หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มักเป็นผลพวงอันขมขื่นของความประพฤติเช่นนั้น. และลองคิดถึงความเจ็บปวดทางอารมณ์อย่างรุนแรงซึ่งคู่สมรสของคนที่นอกใจต้องประสบ. การนอกใจเพียงครั้งเดียวก็อาจก่อความทุกข์เป็นบาดแผลลึกไปตลอดชีวิตได้. ใช่แล้ว การผิดศีลธรรมก่อความปวดร้าว.
คุณสามารถรักษาความบริสุทธิ์ในโลกที่ไร้ศีลธรรมได้
เราต้องอยู่ห่างให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จากอิทธิพลของคนผิดศีลธรรม. ทำไมเราจึงจะเปิดรับแนวทางของคนเหล่านั้นโดยฟังดนตรีที่ทำให้ต่ำทราม, ดูการบันเทิงที่ทำให้เสื่อมทราม, หรือดูภาพลามก? (สุภาษิต 6:27; 1 โกรินโธ 15:33; เอเฟโซ 5:3-5) และนับว่าโง่เขลาเพียงไรที่จะดึงดูดความสนใจของคนประเภทนั้นโดยการให้ท่าหรือโดยการแต่งกายและประดับตัวแบบไม่สุภาพ!—1 ติโมเธียว 4:8; 1 เปโตร 3:3, 4.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ปลูกฝังค่านิยมทางศีลธรรมให้ลูกของคุณ
คัมภีร์ไบเบิลช่วยคุณได้ เพราะกฎหมายหลายข้อในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นเพียงคำสั่งแต่ยังบอกด้วยว่าการละเมิดกฎหมายนั้นจะก่อผลเสียหายอย่างไร. ตัวอย่างเช่น สุภาษิต 5:8, 9 (ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย) เตือนคนหนุ่มให้หลีกหนีจากการผิดประเวณีและบอกเพิ่มเติมว่า “เกรงว่าเจ้าจะสูญเสียเกียรติให้แก่คนอื่น.” จริงดังข้อคัมภีร์นี้ คนที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรสทำให้ตัวเองสูญเสียภาพลักษณ์ของการเป็นคนมีศีลธรรมไป, เขาไม่ได้ยึดมั่นกับค่านิยมทางศีลธรรมของตน, และสูญเสียความนับถือตัวเอง. นอกจากนั้น คนที่ยึดมั่นกับหลักศีลธรรมอันดีงามก็อาจไม่เลือกเขามาเป็นคู่ครอง. ถ้าคุณช่วยให้ลูกคิดถึงผลเสียของการละเมิดกฎหมายของพระเจ้าทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ และผลกระทบต่อสัมพันธภาพที่มีกับพระเจ้า ลูกวัยรุ่นก็จะมีความตั้งใจแน่วแน่มากยิ่งขึ้นที่จะดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า.
วันที่ 24-30 มีนาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 6
เราเรียนอะไรได้จากมด?
it-1-E น. 115 ว. 1-2
มด
“ฉลาดโดยสัญชาตญาณ” มดไม่ได้ฉลาดหรือมีสติปัญญาเพราะการคิดหาเหตุผลของมัน แต่มันฉลาดเพราะมีสัญชาตญาณตามที่พระเจ้าสร้างมา คัมภีร์ไบเบิลบอกว่ามัน “สะสมอาหารในฤดูร้อน และรวบรวมเสบียงในฤดูเกี่ยว” (สภษ 6:8) มดที่พบได้มากที่สุดในแถบปาเลสไตน์ (Messor semirufus) ชอบเก็บสะสมเมล็ดพืชในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเพื่อเอาไว้ใช้ในตอนที่หาอาหารได้ยาก เช่น ในฤดูหนาว มดพวกนี้ชอบอยู่ที่ลานนวดข้าวซึ่งมีเมล็ดพืชและเมล็ดข้าวมากมาย เมื่อมีฝนตก ทำให้ที่เก็บเมล็ดพืชเปียกหรือชื้น มดพวกนี้ก็จะขนเมล็ดพืชไปตากแดดเพื่อทำให้แห้ง นอกจากนั้น พวกมันยังกัดจมูกข้าวหรือเมล็ดพืชที่เก็บสะสมไว้เพื่อไม่ให้งอกออกมาเป็นต้น เราสามารถหาว่าพวกมันมีรังอยู่ที่ไหนโดยดูจากทางที่พวกมันเดินไปเดินมา และเปลือกเมล็ดพืชที่ถูกทิ้งไว้หน้ารัง
คุณสมบัติที่น่าเลียนแบบ เมื่อเราได้สังเกตมด เราจะเห็นว่าสิ่งที่บอกไว้ในหนังสือสุภาษิตมีพลังมากจริง ๆ ในนั้นบอกไว้ว่า “คนขี้เกียจ ไปดูมดสิ สังเกตดูว่ามันทำอะไรบ้าง คุณจะได้ฉลาดขึ้น” (สภษ 6:6) นอกจากมดจะเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตตามสัญชาตญาณแล้ว มันยังมีความมุ่งมั่นและอดทนด้วย มันมักจะแบกและลากของที่หนักกว่าตัวมันถึง 2 เท่าหรือบางครั้งก็มากกว่านั้นอีก และถ้ามันตั้งใจจะทำอะไร มันก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้งานสำเร็จ มันจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจถึงแม้อาจจะต้องล้ม ลื่น หรือหล่นลงมาจากที่สูงชันก็ตาม นอกจากนั้น พวกมันจะทำงานร่วมกันเป็นทีมด้วย เราสังเกตว่ารังของมดสะอาดมากเพราะพวกมันคอยช่วยกันดูแล และพวกมันจะเป็นห่วงเป็นใยกัน ถ้ามีตัวไหนบาดเจ็บหรือรู้สึกเหนื่อยล้า พวกมันก็จะช่วยพาตัวนั้นกลับไปที่รัง
รักษาชื่อเสียงของคุณให้ดี
ไม่ควรหรือที่เราก็เช่นกันพึงขยันหมั่นเพียรอย่างมด? การขยันและบากบั่นเพื่อแก้ไขปรับปรุงการงานของเราเป็นผลดีสำหรับตัวเรา ไม่ว่าจะมีคนคอยดูแลชี้แนะหรือไม่มีก็ตาม. ใช่แล้ว เราควรทำดีที่สุดทั้งในโรงเรียน, ณ ที่ทำงานรับจ้าง, และขณะที่มีส่วนร่วมกิจกรรมฝ่ายวิญญาณ. มดได้ประโยชน์จากความขยันหมั่นเพียรของมันฉันใด พระเจ้าก็ทรงประสงค์จะให้พวกเรา ‘เห็นสิ่งดีจากงานหนักทั้งสิ้นของเรา’ ฉันนั้น. (ท่านผู้ประกาศ 3:13, 22, ล.ม.; 5:18) สติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดและความอิ่มใจพอใจเป็นส่วนตัวคือบำเหน็จของความขยันขันแข็ง.—ท่านผู้ประกาศ 5:12.
โดยใช้คำถามสองข้อที่ไม่มุ่งหมายให้ตอบ ซะโลโมพยายามจะปลุกคนเกียจคร้านให้ตื่นขึ้นจากความขี้เกียจของตัวเองดังนี้: “เจ้าจะนอนอยู่นานสักเท่าใด, เจ้าขี้เกียจ? เมื่อไรเจ้าจะตื่นลุกขึ้นจากการหลับใหลของเจ้า?” โดยการใช้คำพูดล้อเลียนคนเกียจคร้าน กษัตริย์ทรงกล่าวเพิ่มเติมว่า “อยากนอนอีกนิด, อยากงีบอีกหน่อย อยากกอดมือนอนอีกประเดี๋ยว. ดังนั้นแหละความเข็ญใจของเจ้าจะจู่เข้ามาดุจโจรเข้าปล้น, และความขาดแคลนของเจ้าจะจู่เข้ามาดุจคนมีอาวุธครบมือ.” (สุภาษิต 6:9-11) ขณะที่คนเกียจคร้านยังเฉื่อยชาอยู่ ความยากจนจะจู่เข้ามาดุจโจรปล้น และความขาดแคลนจะจู่โจมเขาดุจคนมีอาวุธครบมือ. ไร่นาของคนเกียจคร้านจะมีหญ้ารกและต้นหนามเต็มไปหมด. (สุภาษิต 24:30, 31) การทำธุรกิจของเขาประสบการขาดทุนในเวลาอันสั้น. นายจ้างจะอดทนกับคนเกียจคร้านได้นานสักเท่าไร? และนักเรียนที่ขี้เกียจเรียนหนังสือจะคาดหวังได้หรือว่าจะทำคะแนนได้ดี?
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
รักษาชื่อเสียงของคุณให้ดี
เจ็ดอย่างที่กล่าวไว้ในพระธรรมสุภาษิตล้วนเป็นพื้นฐานและโดยแท้แล้วครอบคลุมความผิดแทบทุกประเภท. “ตาหยิ่งยโส” และ “ใจที่คิดกะการชั่วร้ายนานา” เป็นบาปที่เกิดขึ้นในความคิด. “ลิ้นพูดปด” และ “พยานเท็จที่ระบายลมออกมาเป็นคำเท็จ” เป็นบาปทางคำพูด. “มือที่ประหารคนที่ไม่มีผิดให้โลหิตตก” และ “เท้าที่วิ่งปราดไปกระทำผิด” เป็นการกระทำอันชั่วร้าย. และที่พระยะโฮวาทรงเกลียดชังโดยเฉพาะก็คือคนประเภทที่สนุกกับการยุแหย่ให้ผู้คนทะเลาะวิวาทกัน ซึ่งถ้าไม่มีการยุแหย่ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข. การเพิ่มจำนวนจากหกเป็นเจ็ดบ่งชี้ว่า ไม่ควรคิดว่าทั้งหมดมีแค่ที่ลงไว้ในรายการ เนื่องจากมนุษย์มีแต่จะเพิ่มการชั่วของตนมากขึ้นเรื่อย ๆ.
วันที่ 31 มีนาคม–6 เมษายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 7
หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจถูกล่อใจให้ทำผิด
“จงรักษาข้อบัญญัติต่าง ๆ ของเรา และมีชีวิตอยู่ต่อไป”
หน้าต่างซึ่งซะโลโมมองลอดออกไปนั้นมีช่องตะแกรง—ดูเหมือนว่าเป็นไม้ระแนงขัดแตะและอาจเป็นลายฉลุ. ขณะที่แสงอาทิตย์ยามอัสดงค่อย ๆ จางหายไป ความมืดมิดแห่งรัตติกาลเข้าปกคลุมท้องถนน. ท่านมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งถูกล่อลวงได้ง่ายเป็นพิเศษ. เนื่องจากขาดความสังเกตเข้าใจหรือไหวพริบ เขาจึงขาดด้านหัวใจ. เขาคงจะรู้ว่าเขาเข้าไปในย่านไหนและอาจเกิดอะไรขึ้นกับเขาที่นั่น. ชายหนุ่มเข้ามาใกล้ “มุมบ้านของหญิงนั้น” ซึ่งเป็นทางที่จะไปบ้านของนาง. นางคือใคร? นางจะทำอะไร?
“จงรักษาข้อบัญญัติต่าง ๆ ของเรา และมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ริมฝีปากของหญิงคนนี้พรั่งพรูถ้อยคำหวานหู. ด้วยความหน้าด้านไร้ยางอาย นางพูดออกมาอย่างมั่นใจ. ทุกสิ่งที่นางพูดนั้นได้รับการไตร่ตรองมาอย่างดีเพื่อล่อลวงชายหนุ่ม. โดยกล่าวว่านางได้ถวายเครื่องบูชาสมานไมตรีในวันนั้นเองและได้แก้สินบนแล้ว นางแสดงท่าว่าตัวเองชอบธรรม และบอกเป็นนัยว่านางไม่ได้อ่อนแอทางฝ่ายวิญญาณ. เครื่องบูชาสมานไมตรีที่พระวิหารในกรุงยะรูซาเลมประกอบด้วยเนื้อสัตว์, แป้งสาลี, น้ำมัน, และเหล้าองุ่น. (เลวีติโก 19:5, 6; 22:21; อาฤธโม 15:8-10) เนื่องจากผู้ถวายสามารถรับเอาเครื่องบูชาส่วนหนึ่งมาเป็นของตัวเองและครอบครัว นางจึงพูดเป็นเชิงว่ามีอาหารและเครื่องดื่มมากมายที่บ้านของนาง. สิ่งที่นางบอกแสดงนัยชัดเจน คือชายหนุ่มจะมีความสุขที่นั่น. นางออกมาจากบ้านเพื่อมองหาชายหนุ่มคนนี้โดยเฉพาะ. น่าประทับใจจริง ๆ—สำหรับคนที่หลงเชื่อเรื่องราวอย่างนี้ได้. ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งกล่าวว่า “เป็นเรื่องจริงที่นางกำลังมองหาใครบางคน แต่นางกำลังมองหาพ่อหนุ่มคนนี้โดยเฉพาะไหม? คนโง่เท่านั้น—ซึ่งอาจเป็นชายหนุ่มคนนี้—ที่จะเชื่อนาง.”
หลังจากทำให้ตัวเองดูมีเสน่ห์ด้วยเสื้อผ้า, เสียงที่เอ่ยแต่คำยกยอปอปั้น, สัมผัสด้วยอ้อมกอด, และรสแห่งริมฝีปาก, หญิงผู้ล่อลวงก็ใช้ประสาทรับกลิ่น. นางกล่าวว่า “ฉันได้ประดับเตียงของฉันด้วยผ้าคลุม เป็นผ้าลินินอียิปต์สีต่าง ๆ ฉันได้อบที่นอนของฉันด้วยมดยอบ กฤษณา และอบเชย.” (สุภาษิต 7:16, 17, ฉบับแปลใหม่) นางได้จัดเตียงนอนอย่างสวยงามด้วยผ้าลินินสีสดใสจากอียิปต์และใส่กลิ่นที่หอมละมุนของมดยอบ, กฤษณา, และอบเชย.
นางพูดต่อว่า “มาซิ, ให้เราอิ่มใจในเสน่หาจนรุ่งเช้า; ให้เรากำหนัดยินดีในความรัก.” นี่ไม่ได้เป็นเพียงคำเชิญไปรับประทานอาหารค่ำที่น่ายินดีสองต่อสองเท่านั้น. นางสัญญาว่าจะมีการดื่มด่ำกับความเพลิดเพลินทางกามารมณ์. สำหรับชายหนุ่ม คำเชื้อเชิญนี้น่าลิ้มลองและน่าตื่นเต้น! ขณะที่เชิญชวนต่อไป นางพูดเสริมดังนี้: “เพราะนายผู้ชายไม่อยู่บ้าน; เขาไปทางไกล. เขาเอาถุงเงินไปด้วย; วันพระจันทร์เต็มดวงเขาจึงจะกลับบ้าน.” (สุภาษิต 7:18-20) นางรับประกันว่าพวกเขาจะปลอดภัยแน่นอน เพราะสามีของนางออกเดินทางไปทำธุรกิจและคงไม่กลับมาอีกสักระยะหนึ่ง. นางช่ำชองในการล่อลวงคนหนุ่มเสียจริง! “ด้วยคำอ่อนหวานนานาหล่อนทำให้เขาต้องยอมตาม: ด้วยคำเล่ห์สวาทจากลิ้นของหล่อน ๆ บังคับให้เขายอมตาม.” (สุภาษิต 7:21) ผู้ที่จะต้านทานการล่อใจนี้ได้คงต้องเป็นคนที่มีความสามารถทางจิตใจพอ ๆ กับโยเซฟ. (เยเนซิศ 39:9, 12) ชายหนุ่มคนนี้ต้านทานได้ไหม?
“จงรักษาข้อบัญญัติต่าง ๆ ของเรา และมีชีวิตอยู่ต่อไป”
คำเชื้อเชิญปรากฏว่าเป็นที่เย้ายวนใจจนชายหนุ่มคนนี้หักห้ามใจไม่ได้. โดยเพิกเฉยต่อสติสัมปชัญญะทุกอย่าง เขาก็ตามนางไป “เหมือนวัวตัวผู้เดินมาสู่การฆ่า.” เหมือนกับคนที่ถูกล่ามไม่อาจหนีจากการถูกลงโทษ ในทำนองเดียวกัน ชายหนุ่มก็ถูกนำไปสู่การทำบาป. เขามองไม่เห็นอันตรายของมันจนกระทั่ง “ลูกธนูผ่าตับของเขา” นั่นคือ จนกระทั่งเขาได้รับบาดแผลที่อาจทำให้ถึงตาย. การตายอาจเป็นตามตัวอักษรคือเขาทำให้ตัวเองเสี่ยงที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซึ่งทำให้ถึงตาย. บาดแผลอาจก่อให้เกิดการตายทางฝ่ายวิญญาณด้วย; “นั่นเกี่ยวพันถึงจิตวิญญาณของเขา.” ความเป็นอยู่และชีวิตทั้งสิ้นของเขาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และเขาได้ทำบาปอย่างร้ายแรงต่อพระเจ้า. เขาจึงเหมือนติดอยู่ในอุ้งมือของความตายเหมือนนกติดอยู่ในกับดัก!
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
“จงรักษาข้อบัญญัติต่าง ๆ ของเรา และมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ซะโลโมกล่าวต่อไปว่า “จงมัด [ข้อบัญญัติต่าง ๆ ของเรา] ติดไว้กับนิ้วของเจ้า; จงจารึกไว้บนแผ่นหัวใจของเจ้า.” (สุภาษิต 7:3) เช่นเดียวกับที่นิ้วมือโดดเด่นในสายตาของเราและเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ความมุ่งหมายของเราสำเร็จ บทเรียนที่ได้รับจากการอบรมตามหลักพระคัมภีร์หรือการได้รับความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลก็ควรเป็นข้อเตือนใจและนำทางเราเสมอในทุก ๆ สิ่งที่เราทำ. เราควรจะจารึกข้อบัญญัติเหล่านั้นไว้บนแผ่นเนื้อหัวใจของเรา คือทำให้ข้อบัญญัติเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของแรงกระตุ้นภายในเรา.
วันที่ 7-13 เมษายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 8
ขอให้ฟังสติปัญญา
“เรารักพระบิดา”
ในข้อ 22 พระปัญญากล่าวว่า “พระยะโฮวาทรงสร้างตัวเราเป็นปฐมแห่งทางการ, ก่อนกิจโบราณอื่น ๆ ของพระองค์.” ในที่นี้ คงไม่ได้พูดถึงเฉพาะแต่พระปัญญาที่เป็นคุณลักษณะเท่านั้น เพราะพระปัญญาไม่เคยถูก “สร้าง” ขึ้น. พระปัญญาไม่มีจุดเริ่มต้น เพราะพระยะโฮวาทรงดำรงอยู่ตลอดมาและทรงไว้ซึ่งพระปัญญาเสมอมา. (บทเพลงสรรเสริญ 90:2) อย่างไรก็ดี พระบุตรของพระเจ้าเป็น “บุตรหัวปีเหนือทุกสิ่งที่ทรงสร้าง.” พระองค์ได้ถูกสร้างขึ้น; พระองค์เป็นสิ่งแรกสุดในผลงานการสร้างทั้งสิ้นของพระยะโฮวา. (โกโลซาย 1:15, ฉบับแปล 2002) พระบุตรทรงดำรงอยู่ก่อนแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์ ดังที่พรรณนาไว้ในพระธรรมสุภาษิต. และในฐานะพระวาทะ โฆษกของพระเจ้าเอง พระองค์แสดงถึงพระปัญญาของพระยะโฮวาอย่างครบถ้วน.—โยฮัน 1:1.
“เรารักพระบิดา”
พระบุตรทรงทำอะไรระหว่างช่วงเวลาอันยาวนานยิ่งนักก่อนพระองค์เสด็จมายังแผ่นดินโลก? ข้อ 30 บอกเราว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างพระบิดาฐานะเป็น “นายช่าง.” ข้อนี้หมายความเช่นไร? โกโลซาย 1:16 (ล.ม.) อธิบายว่า “โดยพระองค์ สิ่งอื่นทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นทั้งในสวรรค์และที่แผ่นดินโลก. . . สิ่งอื่นทั้งสิ้นได้สร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์.” ดังนั้น พระยะโฮวาพระผู้สร้างทรงใช้พระบุตรของพระองค์ที่เป็นนายช่างให้สร้างสรรพสิ่งอื่น ๆ—ตั้งแต่พวกกายวิญญาณที่อยู่ในแดนสวรรค์ไปจนถึงเอกภพกว้างใหญ่ไพศาลที่เป็นวัตถุ, แผ่นดินโลกพร้อมกับชีวิตพืชและสัตว์ที่น่าอัศจรรย์หลากหลายชนิด, จนถึงสุดยอดของการทรงสร้างทางแผ่นดินโลก นั่นก็คือมนุษยชาติ. ในบางแง่มุม ความร่วมมือกันระหว่างพระบิดากับพระบุตรเช่นนี้ เราอาจเทียบได้กับความร่วมมือกันระหว่างสถาปนิกที่ทำงานร่วมกับช่างก่อสร้างที่ชำนาญเป็นพิเศษในการสร้างตรงตามแบบแปลนที่สถาปนิกคิดขึ้นมา. เมื่อเรารู้สึกเกรงขามเนื่องจากแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งของการทรงสร้าง ที่จริงแล้วเรากำลังสรรเสริญสถาปนิกองค์ยิ่งใหญ่. (บทเพลงสรรเสริญ 19:1) อย่างไรก็ดี เรายังอาจระลึกถึงการร่วมมือกันมานานอย่างมีความสุขระหว่างพระผู้สร้างกับ “นายช่าง” ของพระองค์ด้วย.
เมื่อคนไม่สมบูรณ์สองคนทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด บางครั้งยากที่เขาทั้งสองจะเข้ากันได้. แต่หาเป็นเช่นนั้นกับพระยะโฮวาและพระบุตรของพระองค์ไม่! พระบุตรทำงานร่วมกับพระบิดามาเป็นเวลานานสุดคณานับ และ “ชื่นชมยินดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์ตลอด เวลา.” (สุภาษิต 8:30) ใช่แล้ว พระองค์ทรงยินดีอยู่กับพระบิดา และนี่เป็นความรู้สึกที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกัน. เป็นธรรมดาที่พระบุตรเป็นเหมือนพระบิดาของพระองค์มากขึ้นเรื่อย ๆ ทรงเรียนรู้ที่จะเลียนแบบคุณลักษณะของพระเจ้า. ดังนั้น ไม่น่าแปลกที่ความผูกพันระหว่างพระบิดากับพระบุตรจึงเหนียวแน่นอย่างยิ่ง! เราจึงเรียกได้อย่างถูกต้องว่า นี่เป็นความผูกพันแห่งความรักที่ยาวนานที่สุดและเหนียวแน่นที่สุดในเอกภพทั้งสิ้น.
เข้าใจบทบาทของพระเยซู ผู้ยิ่งใหญ่กว่าดาวิดและโซโลมอน
มีมนุษย์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจนว่ามีสติปัญญาเหนือกว่าโซโลมอน. มนุษย์ผู้นั้นคือพระเยซูคริสต์ ซึ่งทรงพรรณนาพระองค์เองว่าเป็น “ผู้ที่ใหญ่กว่าโซโลมอน.” (มัด. 12:42) พระเยซูตรัส “ถ้อยคำที่ให้ชีวิตนิรันดร์.” (โย. 6:68) ตัวอย่างเช่น คำเทศน์บนภูเขาของพระองค์ขยายความหลักการที่อยู่ในสุภาษิตบางข้อของโซโลมอน. โซโลมอนพรรณนาถึงหลายสิ่งที่ทำให้ผู้นมัสการของพระยะโฮวามีความสุข. (สุภา. 3:13; 8:32, 33; 14:21; 16:20) พระเยซูทรงเน้นว่าความสุขแท้มาจากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการพระยะโฮวาและความสำเร็จเป็นจริงตามคำสัญญาของพระเจ้า. พระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณก็มีความสุข เพราะราชอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา.” (มัด. 5:3) คนที่ใช้หลักการที่พบในคำสอนของพระเยซูถูกชักนำให้เข้ามาใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับพระยะโฮวาผู้เป็น “น้ำพุแห่งชีวิต.” (เพลง. 36:9; สุภา. 22:11; มัด. 5:8) พระคริสต์ทรงเป็นผู้ที่แสดงให้เห็น “พระสติปัญญาของพระเจ้า.” (1 โค. 1:24, 30) ในฐานะกษัตริย์มาซีฮา พระเยซูคริสต์ทรงมี “วิญญาณแห่งปัญญา.”—ยซา. 11:2, ล.ม.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
‘ปัญญากำลังส่งเสียงเรียก’ คุณได้ยินไหม?
▪ สารานุกรม เดอะ เวิลด์ บุ๊ก บอกว่า “คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีการแจกจ่ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่าหนังสือเล่มใด ๆ ในโลก” ผู้คนสามารถหาคัมภีร์ไบเบิลแบบครบชุดหรือบางส่วนอ่านได้ในเกือบ 2,600 ภาษา และมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของทุกครอบครัวก็หาอ่านได้
▪ สติปัญญา “ร้องเสียงดัง” จริง ๆ เพราะในมัดธาย 24:14 บอกว่า “ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรจะได้รับการประกาศไปทั่วแผ่นดินโลกที่มีคนอาศัยอยู่เพื่อให้พยานหลักฐานแก่ทุกชาติ แล้วอวสาน [ของระบบโลกปัจจุบัน] จะมาถึง”
วันที่ 14-20 เมษายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 9
ขอให้เป็นคนฉลาด อย่าเป็นคนชอบเยาะเย้ย
“ฟังคำของคนฉลาด”
ที่จริง คำแนะนำตรง ๆ นี่แหละที่เรารับได้ยากและอาจทำให้เรารู้สึกโกรธด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้ว่าเราจะยอมรับว่าเราเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็อาจไม่ค่อยยอมรับคำแนะนำถ้ามีคนบอกว่าเราผิด (อ่านปัญญาจารย์ 7:9) เราอาจคิดเข้าข้างตัวเอง แก้ตัว หรือสงสัยว่าเขาไม่ชอบเราหรือเปล่า เราอาจไม่ชอบวิธีที่เขาแนะนำและอาจถึงขนาดคิดว่า ‘เขาก็ไม่ใช่ว่าจะดี แล้วมีสิทธิ์อะไรมาแนะนำฉัน’ และถ้าเราไม่ชอบคำแนะนำนั้น เราอาจไม่สนใจจะทำตาม และถึงกับไปหาคนอื่นเพื่อจะได้คำแนะนำที่ถูกใจเรา
“ฟังคำของคนฉลาด”
อะไรจะช่วยให้เรายอมรับคำแนะนำ? เราต้องถ่อม เราต้องจำไว้ว่าเราเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ และบางครั้งเราก็ทำอะไรที่โง่มาก ๆ จากที่เราได้เรียนมาแล้ว เราเห็นว่าโยบมีความคิดที่ไม่ถูกต้องแต่เขาก็ปรับความคิดของเขาและพระยะโฮวาก็อวยพรเขา ทำไมพระองค์ถึงอวยพรเขา? ก็เพราะโยบเป็นคนถ่อม เขายอมรับคำแนะนำจากเอลีฮูทั้ง ๆ ที่เอลีฮูอายุน้อยกว่าเขาเยอะ (โยบ 32:6, 7) เราก็เหมือนกัน ความถ่อมจะช่วยให้เรายอมรับคำแนะนำทั้ง ๆ ที่บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่ผิดหรือคนที่ให้คำแนะนำจะอายุน้อยกว่าเรา ผู้ดูแลคนหนึ่งจากแคนาดาบอกว่า “เรามักจะมองตัวเองไม่เหมือนที่คนอื่นมองเรา ถ้าไม่มีใครแนะนำเราเตือนเรา แล้วเราจะพัฒนาตัวเองได้ยังไง” เราคงเห็นด้วยกับคำพูดของผู้ดูแลคนนี้ เราทุกคนต้องพัฒนาตัวเองในงานรับใช้และพยายามมีผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้าให้มากขึ้น—อ่านสดุดี 141:5
มองว่าคำแนะนำเป็นหลักฐานแสดงว่าพระเจ้ารักเรา พระยะโฮวาหวังดีกับเราเสมอ (สภษ. 4:20-22) ถ้าเราได้รับคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิล หนังสือและสื่อขององค์การ หรือจากพี่น้องที่มีประสบการณ์ก็แสดงว่าพระยะโฮวารักเรา ฮีบรู 12:9, 10 บอกว่า “พระเจ้าสั่งสอนเราเพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง”
ดูที่คำแนะนำ ไม่ใช่วิธีให้คำแนะนำ บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่ชอบวิธีที่บางคนแนะนำเราเลย ก็จริงที่เราทุกคนต้องพยายามแนะนำในแบบที่คนอื่นยอมรับได้ง่าย (กท. 6:1) แต่ถึงเราจะรู้สึกว่าคนที่แนะนำเราน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ให้เราสนใจที่คำแนะนำไม่ใช่วิธีของเขา เราควรถามตัวเองว่า ‘ถึงฉันไม่ชอบวิธีที่เขาแนะนำฉัน แต่บางอย่างที่เขาพูด มันถูกไหม? ฉันจะมองข้ามข้อเสียของเขา และมองที่ประโยชน์จากคำแนะนำของเขาได้ไหม?’ ถ้าทุกครั้งที่เราได้รับคำแนะนำ เราพยายามมองที่ประโยชน์ของคำแนะนำนั้น เราก็จะเป็นคนฉลาด—สภษ. 15:31
‘เนื่องจากสติปัญญาวันคืนของเราจะทวีคูณ’
การตอบรับของคนมีปัญญาต่อการว่ากล่าวนั้นตรงกันข้ามกับการตอบรับของคนเยาะเย้ย. ซะโลโมกล่าวว่า “จงตักเตือนคนมีปัญญา, และเขาก็จะรักเจ้า, เมื่อให้คำสั่งสอนแก่คนมีปัญญา, ก็ยิ่งทำให้เขามีปัญญามากขึ้น.” (สุภาษิต 9:9ก) คนมีปัญญาทราบว่า “ไม่มีการตีสอนใดดูเหมือนน่าชื่นใจเมื่อได้รับอยู่ แต่น่าเศร้าใจ; กระนั้นในภายหลังผู้ที่ได้รับการฝึกโดยการตีสอนก็ได้ผลที่ก่อให้เกิดสันติสุข คือความชอบธรรม.” (เฮ็บราย 12:11, ล.ม.) ถึงแม้คำแนะนำอาจดูเหมือนทำให้เจ็บปวดก็ตาม ไฉนเราจะตอบโต้หรือแก้ตัวเล่า หากการยอมรับคำแนะนำนั้นจะทำให้เรามีปัญญาขึ้น?
กษัตริย์ผู้ชาญฉลาดตรัสต่อไปว่า “เมื่อสอนคนชอบธรรม, ก็จะทำให้เขาทวีความรู้ยิ่งขึ้น.” (สุภาษิต 9:9ข) ไม่มีใครฉลาดหรือแก่เกินกว่าที่จะเรียนรู้ต่อไป. เป็นเรื่องน่ายินดีเสียจริง ๆ ที่เห็นแม้แต่ผู้สูงอายุได้รับเอาความจริงและทำการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา! ขอให้เราพยายามคงไว้ซึ่งความตั้งใจที่จะเรียนรู้และรักษาจิตใจให้ตื่นตัวอยู่เสมอ.
‘เนื่องจากสติปัญญาวันคืนของเราจะทวีคูณ’
การทุ่มเทตัวเพื่อได้รับสติปัญญานั้นเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของเรา. เพื่อเน้นความเป็นจริงข้อนี้ ซะโลโมกล่าวว่า “ถ้าเจ้ามีปัญญา, เจ้าก็มีปัญญาสำหรับตัวเจ้าเอง; และถ้าเจ้าเย้ยหยัน, เจ้าผู้เดียวก็จะต้องแบกภาระนั้น.” (สุภาษิต 9:12) ผู้มีปัญญา มีปัญญาก็เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และผู้เยาะเย้ยเองควรถูกตำหนิเนื่องด้วยความทุกข์ของเขา. ที่จริง เราเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราหว่าน. ดังนั้นแล้ว ขอให้เรา “[“เอาใจใส่,” ล.ม.] ฟังพระปัญญา.”—สุภาษิต 2:2.
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ได้ประโยชน์ต่อ ๆ ไปจากความเกรงกลัวพระเจ้า
มีเหตุผลหลายอย่างที่เราต้องไม่ทำผิดศีลธรรมทางเพศ “ผู้หญิงโง่” บอกว่า “น้ำที่ขโมยเขากินมีรสชาติดี” “น้ำที่ขโมยเขากิน” คืออะไร? คัมภีร์ไบเบิลเปรียบเพศสัมพันธ์ของคู่สมรสว่าเป็นเหมือนน้ำที่ทำให้สดชื่น (สภษ. 5:15-18) คนที่เป็นสามีภรรยาที่แต่งงานกันอย่างถูกต้องเท่านั้นถึงจะมีเพศสัมพันธ์กันได้ซึ่งจะทำให้พวกเขามีความสุข แต่ต่างกันมากกับ “น้ำที่ขโมยเขากิน” ซึ่งอาจหมายถึงการทำผิดศีลธรรมทางเพศ การทำแบบนี้ต้องแอบทำเหมือนขโมยที่แอบขโมยของ “น้ำที่ขโมยเขากิน” อาจดูเหมือนรสชาติดีเพราะคนที่ทำผิดคิดว่าไม่มีใครจับได้ แต่มันไม่จริงเลย พระยะโฮวาเห็นทุกอย่าง ไม่มีอะไรเลวร้ายเท่ากับการทำให้พระองค์ไม่พอใจ ดังนั้น เราจะบอกว่ามันมี “รสชาติดี” ไม่ได้ เพราะมันมีแต่ความขมขื่น (1 คร. 6:9, 10) แต่ไม่ใช่แค่นี้
การทำผิดศีลธรรมทางเพศอาจทำให้รู้สึกอับอาย ไร้ค่า มีลูกโดยไม่ตั้งใจ และทำให้ครอบครัวแตกแยก เห็นได้ชัดเลยว่าการไม่เข้าไปใน “บ้าน” และกินอาหารตามคำชักชวนของผู้หญิงโง่เป็นเรื่องที่ฉลาดจริง ๆ นอกจากจะไม่ทำลายสายสัมพันธ์ที่มีกับพระยะโฮวาแล้ว การทำแบบนี้ยังทำให้ไม่ต้องติดโรคทางเพศสัมพันธ์ที่อาจต้องตายจริง ๆ (สภษ. 7:23, 26) สุภาษิต 9:18 สรุปว่า “แขกของเธอก็อยู่ในหลุมศพ” แล้วทำไมหลายคนถึงยังทำตามคำชักชวนของผู้หญิงโง่ซึ่งจะทำให้พบจุดจบที่น่าเศร้า?—สภษ. 9:13-18
วันที่ 21–27 เมษายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 10
อะไรทำให้เรามีชีวิตที่ร่ำรวยอย่างแท้จริง?
‘พระพรมีแก่คนชอบธรรม’
คนชอบธรรมได้รับพระพรในอีกวิธีหนึ่งด้วย. “บุคคลผู้ทำการด้วยมือเกียจคร้านย่อมยากจนลง; แต่มือซึ่งขยันขันแข็งกระทำให้เกิดความมั่งคั่ง, บุคคลผู้สะสมไว้ในฤดูร้อนก็เป็นบุตรที่มีปัญญา; แต่บุคคลผู้หลับใหลในฤดูเกี่ยวเก็บก็เป็นบุตรที่เป็นเหตุให้ได้รับความอับอาย.”—สุภาษิต 10:4, 5.
ถ้อยคำของกษัตริย์มีความหมายโดยเฉพาะสำหรับคนที่ทำงานระหว่างการเก็บเกี่ยว. ฤดูเก็บเกี่ยวไม่ใช่เวลาสำหรับการหลับใหล แต่เป็นเวลาสำหรับความขยันขันแข็งและการทำงานนานหลายชั่วโมง. ที่จริง เป็นเวลาของความเร่งด่วน.
โดยคำนึงถึงการเก็บเกี่ยว ไม่ใช่ข้าว แต่เป็นผู้คน พระเยซูทรงแจ้งเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “การเกี่ยวนั้นเป็นการใหญ่นักหนา, แต่คนทำการยังน้อยอยู่. เหตุฉะนั้นจงอธิษฐานขอต่อเจ้าของของการเกี่ยวนั้น [พระยะโฮวาพระเจ้า], ให้ใช้คนทำการหลายคนไปในการเกี่ยวของพระองค์.” (มัดธาย 9:35-38) ในปี 2000 มีมากกว่า 14 ล้านคนได้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์เกี่ยวกับการวายพระชนม์ของพระเยซู—มากกว่าจำนวนของพยานพระยะโฮวาสองเท่า. ดังนั้น ใครหรือจะปฏิเสธได้ว่า “ทุ่งนาเหลืองถึงฤดูเกี่ยวแล้ว”? (โยฮัน 4:35) ผู้นมัสการแท้ทูลขอเจ้าของนาเพื่อให้มีคนงานมากขึ้น ขณะที่ทุ่มเทตัวเองอย่างแข็งขันในงานทำให้คนเป็นสาวกอย่างที่สอดคล้องกับคำอธิษฐานของพวกเขา. (มัดธาย 28:19, 20) และพระยะโฮวาได้อวยพระพรความพยายามของพวกเขาอย่างอุดมสักเพียงไร! ระหว่างปีรับใช้ 2000 มีคนใหม่มากกว่า 280,000 คนได้รับบัพติสมา. คนเหล่านี้พยายามจะเป็นผู้สอนพระคำของพระเจ้าด้วย. ขอให้เราประสบความยินดีและความพอใจในฤดูเก็บเกี่ยวนี้โดยการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในงานทำให้คนเป็นสาวก.
ห01 15/9 น. 24 ว. 3–น. 25 ว. 1
จงดำเนินใน ‘ทางแห่งความเที่ยงตรง’
ซะโลโมชี้ถึงความสำคัญของความชอบธรรม. ท่านกล่าวว่า “ความมั่งคั่งของเศรษฐีคือเมืองที่มั่นคงของเขา; ความหายนะของคนอนาถาก็คือความยากจนของเขา. การงานของคนชอบธรรมย่อมพาไปสู่ชีวิต; แต่การทวีผลงานของคนชั่วย่อมนำไปสู่ความบาป.”—สุภาษิต 10:15, 16.
ทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องปกป้องไว้จากความไม่แน่นอนบางอย่างในชีวิต เช่นเดียวกับเมืองที่มีกำแพงแน่นหนาให้ความปลอดภัยระดับหนึ่งแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ในเมือง. และความยากจนอาจยังความหายนะเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด. (ท่านผู้ประกาศ 7:12) อย่างไรก็ตาม กษัตริย์ผู้ชาญฉลาดอาจบอกเป็นนัยด้วยถึงอันตรายอันเกี่ยวข้องกับความมั่งมีและความยากจน. เศรษฐีอาจมีแนวโน้มที่จะให้ความไว้วางใจอย่างหมดสิ้นต่อทรัพย์ของเขา โดยคิดเอาเองว่าสิ่งของมีค่าของตนเป็น “เหมือนกำแพงอันสูง.” (สุภาษิต 18:11) และคนยากจนอาจมีทัศนะที่สำคัญผิดไปว่าความยากจนทำให้อนาคตของเขามืดมน. ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้สร้างชื่อเสียงที่ดีกับพระเจ้า.
ในอีกด้านหนึ่ง ไม่ว่าคนชอบธรรมมีมากหรือน้อยทางด้านวัตถุ การงานที่ซื่อสัตย์ของเขานำไปสู่ชีวิต. โดยวิธีใด? เขาอิ่มใจในสิ่งที่ตนมี. เขาไม่ยอมให้สภาพทางการเงินของตนขัดขวางฐานะอันเป็นที่โปรดปรานกับพระเจ้า. ไม่ว่ามั่งมีหรือยากจน แนวทางชีวิตของคนชอบธรรมนำความสุขมาให้เขาในปัจจุบันและทำให้มีความหวังเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ในอนาคต. (โยบ 42:10-13) คนชั่วไม่ได้รับประโยชน์ถึงเขาจะมีทรัพย์สมบัติ. แทนที่จะสำนึกถึงคุณค่าของทรัพย์ที่ให้การปกป้องและดำเนินชีวิตประสานกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้า เขากลับใช้ทรัพย์ของตนเพื่อส่งเสริมชีวิตที่เป็นบาป.
it-1-E น. 340
พร
พระยะโฮวาอวยพรมนุษย์ “พรจากพระยะโฮวาทำให้มั่งคั่ง และจะไม่ทำให้ปวดร้าวใจเลย” (สภษ 10:22) พระยะโฮวาอวยพรคนที่พระองค์ยอมรับ โดยปกป้องเขา ช่วยให้มั่งคั่ง ชี้นำเขา ช่วยให้ประสบความสำเร็จ และยังดูแลให้มีสิ่งที่จำเป็นในชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลดีกับคนนั้นจริง ๆ
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ความยินดีจากการดำเนินอย่างซื่อสัตย์มั่นคง
“พระพรของพระยะโฮวา” คือสิ่งที่นำความรุ่งเรืองฝ่ายวิญญาณมาสู่ประชาชนของพระองค์. และเรามั่นใจว่า “พระองค์จะไม่เพิ่มความทุกข์ยากให้เลย.” (สุภาษิต 10:22) ถ้าอย่างนั้น เหตุใดผู้ที่ภักดีต่อพระเจ้าหลายคนจึงถูกทดสอบและทดลองซึ่งทำให้พวกเขาประสบความทุกข์ยากเจ็บปวดมากมาย? มีเหตุผลอยู่สามประการที่ความลำบากและความทุกข์เกิดขึ้นกับเรา. (1) แนวโน้มที่ผิดบาปของตัวเราเอง. (เยเนซิศ 6:5; 8:21; ยาโกโบ 1:14, 15) (2) ซาตานและพวกผีปิศาจ. (เอเฟโซ 6:11, 12) (3) โลกชั่ว. (โยฮัน 15:19) แม้ว่าพระยะโฮวาทรงยอมให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับเรา แต่พระองค์ไม่ใช่ผู้ที่ก่อให้เกิดสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น. ที่จริง “ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาแต่เบื้องบน, และลงมาจากพระบิดาผู้ทรงบันดาลให้มีดวงสว่าง.” (ยาโกโบ 1:17) พระพรของพระยะโฮวานั้นไม่ทำให้เจ็บปวดเลย.
วันที่ 28 เมษายน–4 พฤษภาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล สุภาษิต 11
อย่าพูดมันออกมา!
ความซื่อสัตย์มั่นคงนำทางคนซื่อตรง
ความซื่อสัตย์มั่นคงของคนซื่อตรงและความชั่วร้ายของคนกระทำชั่วนั้นส่งผลกระทบต่อคนอื่น ๆ เช่นกัน. กษัตริย์แห่งอิสราเอลกล่าวว่า “คนไร้พระเจ้าทำลายเพื่อนบ้านของเขาด้วยปาก แต่คนชอบธรรมได้รับการช่วยให้พ้นด้วยอาศัยความรู้.” (สุภาษิต 11:9, ฉบับแปลใหม่) ใครเลยจะปฏิเสธได้ว่าการให้ร้าย, การนินทาที่มุ่งร้าย, การพูดเรื่องลามก, และการพูดจาไร้สาระไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเสียหาย? ในทางตรงกันข้าม คำพูดของคนชอบธรรมนั้นบริสุทธิ์สะอาด, ใคร่ครวญอย่างดี, และคำนึงถึงผู้อื่น. เนื่องด้วยความรู้ เขาจึงได้รับการช่วยให้รอดพ้น เพราะความซื่อสัตย์มั่นคงทำให้เขามีหลักฐานต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อจะแสดงว่าผู้ที่กล่าวหาเขานั้นพูดเท็จ.
ความซื่อสัตย์มั่นคงนำทางคนซื่อตรง
คนในชุมชนที่ดำเนินชีวิตด้วยความซื่อตรงส่งเสริมสันติสุขและสวัสดิภาพ อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนอื่นในชุมชนด้วย. ด้วยเหตุนี้ บ้านเมืองจึงจำเริญรุ่งเรืองขึ้น. คนเหล่านั้นที่พูดจาให้ร้าย, พูดให้ผู้อื่นเจ็บใจ, หรือพูดไม่ดีต่าง ๆ นานานั้นก่อให้เกิดความไม่สงบ, ไม่มีความสุข, เกิดการแตกแยก, และปัญหายุ่งยาก. นี่เป็นความจริงโดยเฉพาะหากคนเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพล. บ้านเมืองที่มีคนเช่นนี้ย่อมต้องประสบกับความวุ่นวาย, การฉ้อราษฎร์บังหลวง, และความเสื่อมทรุดทางศีลธรรมและอาจจะทางเศรษฐกิจด้วย.
หลักการที่กล่าวไว้ในสุภาษิต 11:11 ใช้ได้กับไพร่พลของพระยะโฮวาด้วยเนื่องจากพวกเขามีการคบหาสมาคมกันภายในประชาคมคริสเตียนซึ่งเป็นเสมือนชุมชนหนึ่ง. ประชาคมที่มีมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ—คนซื่อตรงที่ได้รับการชี้นำโดยความซื่อสัตย์มั่นคง—เป็นอิทธิพลชักจูงในทางดีย่อมเป็นกลุ่มชนที่มีความสุข, มีชีวิตชีวา, และเป็นประโยชน์ ซึ่งนำพระเกียรติมาสู่พระเจ้า. พระยะโฮวาทรงอวยพระพรประชาคมเช่นนั้น และประชาคมจะเจริญรุ่งเรืองทางฝ่ายวิญญาณ. เป็นครั้งคราว บางคนที่แค้นเคืองหรือไม่พอใจซึ่งมักวิพากษ์วิจารณ์และพูดไม่ดีเกี่ยวกับวิธีจัดการกับเรื่องต่าง ๆ จะเป็นเหมือน “รากขมขื่น” ซึ่งอาจแผ่ออกไปและแพร่พิษร้ายทำลายคนอื่น ๆ ซึ่งตอนแรกไม่ได้รับผลกระทบ. (เฮ็บราย 12:15) คนเช่นนั้นมักต้องการมีอำนาจและมีชื่อเสียงมากขึ้น. พวกเขาปล่อยข่าวลือว่ามีความไม่ยุติธรรม, อคติทางเชื้อชาติ, หรืออะไร ๆ ทำนองนั้นเกิดขึ้นในประชาคมหรือในหมู่ผู้ปกครอง. ที่จริง ปากของคนเหล่านี้สามารถทำให้ประชาคมแตกแยกได้. เป็นการสมควรมิใช่หรือที่เราจะปิดหูของเราต่อคำพูดของพวกเขาและเพียรพยายามที่จะเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณผู้ซึ่งส่งเสริมสันติสุขและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายในประชาคม?
ความซื่อสัตย์มั่นคงนำทางคนซื่อตรง
การที่ใครคนหนึ่งขาดความสังเกตเข้าใจหรือ “บกพร่องด้านหัวใจ” ย่อมก่อผลเสียมากเพียงไร! เขาพูดโดยไม่ยั้งคิดอยู่เรื่อยจนกลายเป็นการให้ร้ายหรือการว่าผู้อื่นอย่างเสีย ๆ หาย ๆ. ผู้ปกครองที่ได้รับการแต่งตั้งควรยุติอิทธิพลที่ไม่ดีนี้โดยเร็ว. ไม่เหมือนกับ “ผู้ที่บกพร่องด้านหัวใจ” บุคคลที่มีความสังเกตเข้าใจรู้ว่าเมื่อไรที่เขาควรจะเงียบเสียง. แทนที่จะแพร่งพรายความลับ เขาจะปิดเรื่องนั้นไว้มิด. โดยรู้ว่าลิ้นที่ไม่ได้ควบคุมอาจก่อผลเสียมากมาย คนที่สังเกตเข้าใจจะมี “ใจซื่อสัตย์.” เขาภักดีต่อเพื่อนร่วมความเชื่อและไม่เปิดเผยเรื่องที่เป็นความลับซึ่งอาจทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย. คนที่รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงเช่นนั้นช่างเป็นพระพรสำหรับประชาคมสักเพียงไร!
ค้นหาความรู้ที่มีค่าของพระเจ้า
ต20.1 น. 11, กรอบ
ทำอย่างไรให้หายเครียด?
“กำจัดความเครียดโดยทำดีกับคนอื่น”
“คนมีเมตตาจะได้สิ่งดีกลับมา แต่คนโหดร้ายทำให้ตัวเองเดือดร้อน”—สุภาษิต 11:17
หนังสือเกี่ยวกับการเอาชนะความเครียด (Overcoming Stress) มีบทหนึ่งชื่อ “กำจัดความเครียดโดยทำดีกับคนอื่น” ดร. ทิม แคนโทเฟอร์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า การทำดีกับคนอื่นจะช่วยให้สุขภาพดีและมีความสุข ในทางกลับกัน คนที่ไม่กรุณาหรือนิสัยไม่ดีทำให้ตัวเองไม่มีความสุขเพราะไม่มีใครอยากเข้าใกล้เขา
เราอาจหายเครียดได้โดยคิดถึงตัวเองมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เราไม่ควรกดดันและคาดหมายจากตัวเองมากเกินไป และไม่ควรดูถูกตัวเอง พระเยซูบอกว่า “ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง”—มาระโก 12:31