สามชั่วโมงที่เปลี่ยนชีวิตของผม
ผมอายุสิบขวบ เมื่อได้ปืนลมกระบอกหนึ่งเป็นของขวัญวันคริสต์มาส. ผมยิงขวดและกระป๋อง แต่ในไม่ช้าก็เปลี่ยนสู่เป้าซึ่งน่าตื่นเต้นกว่า ไม่ว่านก งู หรืออะไรก็ได้ที่เคลื่อนไหว. พอฆ่านกได้ตัวหนึ่งผมก็จะบากไว้ที่พานท้ายปืน. ไม่นานนัก ก็ปรากฏรอยบากถึง 18 รอย ซึ่งเป็นการประกาศถึงความสามารถของผมในฐานะนักล่าสัตว์.
แล้วก็มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง. วันหนึ่งผมออกไปหลังบ้านเพื่อล่านก. ผมพบนกกระจอกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนยอดต้นหยางของเรา ผมจัดแจงเล็งอย่างดี แล้วค่อย ๆ เหนี่ยวไก. ตรงเผงเลย! ได้ตัวที่ 19 แล้วล่ะ!
นกตัวนั้นตกลงมาที่พื้น. ผมเดินเข้าไปหา เมื่อก้มลงมองก็เห็นเลือดที่ขนของมัน. ร่างของมันกระตุกและดูเหมือนมองมาที่ผมราวกับจะพูดว่า ‘ใครให้สิทธิคุณที่จะเอาชีวิตของฉัน?’ ขณะที่มันตาย หัวมันก็ค่อย ๆ ฟุบลงกับพื้น. ผมรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในหัวใจ. น้ำตาเริ่มไหลออกมา. ผมวิ่งไปหาคุณแม่แล้วเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ผมแน่ใจว่าเจ้านกซึ่งกำลังจะสิ้นใจได้บอกผม. นับแต่นั้นมา ผมไม่เคยยิงนกอีกเลย ไม่เคยบากรอยไว้ที่ปืนอีก. จนกระทั่งทุกวันนี้ภาพของปุยขนที่มีเลือดยังติดตาผมอยู่. ประสบการณ์ในวัยเด็ก ครั้งนั้นซึ่งประทับอยู่ในความทรงจำของผมมิรู้ลืมทำให้ผมตระหนักว่าชีวิตมีค่า ไม่ว่าจะเป็นของนกกระจอกหรือของคน.
นอกจากนี้แล้ว ผมยังได้รับการปลูกฝังค่านิยมอื่น ๆ ตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่ว่าจะเป็นความซื่อสัตย์ การนับถือผู้ที่อาวุโสกว่า ความสำนึกในเรื่องศีลธรรม หรือรักในสิ่งที่เป็นความจริง. ผมเกิดที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี แต่โตที่ร็อบบินส์ ชานเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์. ผมไปโบสถ์ตั้งแต่เด็ก แต่ค่านิยมต่าง ๆ ที่ผมได้มากลับจางหายไปพร้อมกับเวลา. ผมไม่เห็นค่านิยมเหล่านี้ในคริสต์จักรหรือในพวกนักเทศน์นักบวชเลย ตรงกันข้าม ผมกลับเห็นแต่ความหน้าไหว้หลังหลอก. นอกนั้นในสังคมโดยทั่วไปค่านิยมเหล่านี้ก็ถูกละเลยหรือไม่มีการใส่ใจโดยถือว่านำมาปฏิบัติไม่ได้. แต่บทเรียนเรื่องคุณค่าชีวิตซึ่งความตายของเจ้านกกระจอกตัวน้อย ๆ สอนไว้นั้นไม่เคยเลือนไปจากความทรงจำของผมเลย.
พอผมเข้าเรียนชั้นมัธยม ผมก็เลิกไปโบสถ์ ยังความเสียใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ของผมมาก. สติรู้สึกผิดชอบของผมเริ่มด้าน แต่ผมจำได้ว่าตอนที่ผมหัดใช้คำหยาบ เหมือนที่คนอื่น ๆ เขาทำกันนั้น สติรู้สึกผิดชอบทิ่มแทงผม. เมื่อคบเพื่อนที่เลวมากขึ้น ก็ตกเข้าสู่การใช้ยาเสพย์ติดและการประพฤติผิดทางเพศ. คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่าจะเป็นเช่นนั้น และก็สมจริงกับผมในคำเตือนที่ว่า “อย่าลวงตนเองเลย การคบค้าสมาคมกับคนชั่วนั้นย่อมทำให้นิสัยดีกลับชั่วไปด้วย.”—1 โกรินโธ 15:33.
กระนั้น ความสำนึกในเรื่องศีลธรรมได้หน่วงเหนี่ยวผมไว้บ้าง. เช่น ตอนที่ผมอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ผมมีเพื่อนซี้อยู่สองคนที่ผมไปไหนมาไหนด้วย อยู่ในทีมบาสเก็ตบอล และทำอะไร ๆ ด้วยกัน จนกระทั่งคืนหนึ่งเมื่อเราได้พบหญิงสาวคนหนึ่งเข้า. เพื่อนผมสองคนนี้คิดจะข่มขืนเธอ. เธอขอร้องไม่ให้เขาทำ แต่เมื่อเขาลงมือทำ เธอจึงกลัวจนตั้งสติไม่อยู่ แล้วกรีดร้องให้เขาฆ่าเธอเสียดีกว่า. เธอดิ้นรนต่อสู้ แต่เขาทั้งสองก็ข่มขืนเธอจนสำเร็จ. ซ้ำยังต้องการให้ผมร่วมในการกระทำชำเราเธอ. ด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนและรังเกียจ ผมไม่ยอมมีส่วนร่วมในการทำร้ายเธออย่างขี้ขลาดเช่นนี้. พวกเขาโกรธผมมาก ถึงกับด่าผมด้วยคำหยาบคาย. จึงเป็นอันว่ามิตรภาพของเราจบสิ้นลงในคืนนั้นเอง.
หลายปีต่อมาผมจึงได้สำนึกว่าประสบการณ์ของผมเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าจะเกิดขึ้นคือ “ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้วิ่งเข้าพร้อมกับเขาในการชั่วร้ายอันใหญ่เช่นนั้น เขาก็ประหลาดใจและกล่าวนินทาท่าน.”—1 เปโตร 4:4.
เมื่อถึงชั้นมัธยมศึกษาปีสุดท้าย ในปี 1965 สงครามเวียดนามกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ และผมต้องเผชิญสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าจะทำอะไรหลังจากจบโรงเรียนแล้ว. ผมไม่อยากจะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร และถูกบังคับให้ฆ่าคน. ผมยังคงมีความรู้สึกรุนแรงต่อการปลิดชีวิต—ไม่ว่าจะเป็นนกกระจอกหรือคน. ผมมีทางออกง่าย ๆ คือรับทุนนักกีฬา เพื่อเล่นบาสเก็ตบอลให้กับมหาวิทยาลัย. แทนที่จะเลือกสิ่งนี้ ผมกลับเข้าประจำการในกองทัพอากาศ ซึ่งเป็นที่ที่ผมไม่ต้องต่อสู้ในป่าและฆ่าคน.
ผมได้รับมอบหมายให้ไปยังหน่วย MAC (กองบัญชาการลำเลียงทหาร หรือเสบียงทางอากาศ) ในฐานะช่างเครื่องบินเป็นเวลาสี่ปีในงานรับราชการทหารของผม. หลังจากรับการฝึกอบรมขั้นพื้นฐานแล้ว ผมถูกส่งไปยังฐานทัพ CCK ในประเทศไต้หวัน. ตอนนั้นเป็นเดือนมกราคม 1968. เพื่อนผมส่วนใหญ่ในกองร้อยได้รับมอบหมายให้ไปยังประเทศเวียดนาม ไทย ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์. พวกเขาจะเอาอะไรก็ได้ตามต้องการ รวมทั้งยาเสพย์ติดร้ายแรง เช่น เฮโรอีนและโคเคน. ตอนที่อยู่ชั้นมัธยมผมได้เริ่มใช้ยาเสพย์ติด มาตอนนี้ผมเริ่มขายยาเสพย์ติด. แปดเดือนต่อมา กองร้อยของเราทั้งกองก็ถูกย้ายไปยังเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในตอนนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา. กิจการยาเสพย์ติดของเราก็รุ่งเรือง.
ผู้บังคับกองร้อยเชิญผมไปเวียดนามเป็นการส่วนตัว เพื่อจะได้เห็นด้วยตาของตนเอง. เนื่องจากเงินและความตื่นเต้น ผมจึงรีบคว้าโอกาสนี้. ผมพบว่าเวียดนามเป็นประเทศที่สวยงาม พร้อมด้วยต้นไม้ที่เขียวชอุ่มและหาดทรายขาวสะอาด. คนเวียดนามใจดี และมีน้ำใจต้อนรับแขกจริง ๆ. เพียงแต่คุณไปเคาะที่ประตู พวกเขาจะเชิญคุณเข้าบ้าน แล้วเอาอาหารมาเลี้ยงคุณ. บ่อยครั้งที่ผมนึกสงสัยว่าทำไมถึงมีสงครามนี้? ทำไมประชาชนเหล่านี้ถูกฆ่าแกงราวกับสัตว์ก็ไม่ปาน? แต่ในเมืองไซ่ง่อน ผมเห็นอาชญากรรมมากมาย เห็นการกระทำที่ชั่วร้าย การฉ้อราษฎร์บังหลวง และความรุนแรงป่าเถื่อน! ชีวิตช่างไร้ค่าเสียจริง! ผมเริ่มสงสัยอย่างหนักว่าจะมีวันหรือ ที่มนุษย์จะสามารถและยินยอมพร้อมใจอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติและมีความสุข.
ภายหลังการปลดประจำการจากกองทัพอากาศในปลายเดือนกรกฎาคม 1970 ผมก็กลับไปยังบ้านเกิดคือเมืองร็อบบินส์ในรัฐอิลลินอยส์. ผมได้งานทำ และพยายามจะตั้งรกรากที่นั่น แต่สิ่งต่าง ๆ ไม่เหมือนเดิม. ผู้คนและสถานที่ได้เปลี่ยนไป. และผมเองก็เปลี่ยนด้วย. บ้านไม่ได้เป็นบ้านอีกต่อไป. ความคิดของผมมุ่งไปที่ตะวันออกไกล ผมนึกอยู่เสมอถึงเหตุการณ์ที่ฝังแน่นติดตรึงหัวใจของผม. ความปรารถนาที่จะกลับไปยังดินแดนตะวันออกนั้นมีอยู่เต็มเปี่ยม. แปดเดือนหลังจากปลดประจำการ ผมก็ซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว เพื่อกลับไปยังโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น.
ในคืนแรกที่กลับไป ผมได้ไปยังที่ที่ผมมักจะไปแกร่วอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสถานเริงรมย์ที่คึกคักมากแห่งหนึ่งมีชื่อเรียกว่า ทีนาส์ บาร์ แอนด์ เลานจ์. ผมประหลาดใจมากที่เห็นเพื่อนเก่าซึ่งค้ายาเสพย์ติดมาด้วยกันนั่งอยู่ในบาร์นั้น. เราต่างดีใจที่ได้พบกัน แล้วก็วางแผนทันทีที่จะลักลอบยาเสพย์ติดออกจากประเทศไทย. เราปลอมตัวเป็นนายทหารเพื่อจะเข้าประเทศไทย เนื่องจากเรามีบัตรประจำตัวปลอม มีใบลาปลอม มีเครื่องแบบ และอื่น ๆ อีก. ฉะนั้น เราจึงเดินทางจากสนามบินเข้ากรุงเทพฯ ได้.
ที่นั่น เราได้ติดต่อกับคนนำทางที่นัดกันไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นผู้พาเรานั่งเรือพายไปตามทางน้ำและหนองน้ำที่มืดมิดในป่าเพื่อไปยังเกาะที่อยู่โดดเดี่ยวแห่งหนึ่ง. ราชาค้ายาเสพย์ติดของไทยคนหนึ่งได้ออกมาต้อนรับเรา. เขาเป็นเจ้าบ้านที่มีอัธยาศัยและเอื้อเฟื้อมาก จนเราไม่ระแวงเลยว่าเขาจะเป็นผู้แจ้งให้ทางเจ้าหน้าที่ทราบถึงกิจการของเรา. แต่เขาก็แจ้ง. ซึ่งถือเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำไม่รู้ไม่เห็นกับการค้าที่ผิดกฎหมายบางอย่างของเขา.
ณ สถานีขนส่งในกรุงเทพฯ นี่เอง เจ้าหน้าที่กำลังคอยเราอยู่ ส่วนผมกำลังหิ้วกระเป๋าเดินทางที่บรรจุยาเสพย์ติดถึง 29 กิโลกรัม! ขณะที่ผมก้าวผ่านประตูเข้าไปในสถานีขนส่ง ผมรู้สึกมีเหล็กเย็น ๆ มาจี้อยู่ที่ท้ายทอยของผม. ตำรวจไทยยศนายพันคนหนึ่งกำลังเล็งปืนลูกโม่ .38 มาที่ศีรษะของผม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “โปรดอย่าขัดขืน.” เราถูกจับและถูกพาตัวไปยังกองบัญชาการตำรวจ.
เราคาดว่าจะไปพบเพื่อนอีกคนหนึ่งในโอกินาวาที่เราสมคบกันค้ายาเสพย์ติด ซึ่งเขาจะเป็นผู้นำเฮโรอีนใส่กล่องรองเท้าเข้ามาสามกล่อง. โดยนำสินค้าของเรามารวมกัน เราคิดจะควบคุมการค้ายาเสพย์ติดทั้งหมดในโอกินาวา. เพื่อนคนนี้ก็ไปถึงโอกินาวาพร้อมด้วยเฮโรอีน แต่ตอนที่กล่องรองเท้าเลื่อนมาตามสายพานลำเลียงสัมภาระ มีตำรวจยืนอยู่พร้อมกับสุนัขตำรวจซึ่งสามารถดมกลิ่นเฮโรอีนได้. เขาถูกยึดเฮโรอีน ส่วนผมถูกยึดกัญชาและโคเคนที่บรรจุเต็มกระเป๋าเดินทาง กิจการของเราถูกปิดก่อนที่จะได้เริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ. เราจึงลงเอยด้วยเรือนจำคลองเปรม. สภาพในคุกล้าสมัย. อาหารก็อัตคัด. สิ่งที่เราได้รับเพื่อประทังชีวิตในแต่ละวันประกอบด้วยข้าวกับปลาเค็มตัวเล็ก ๆ วันละสองมื้อ. ช่วงที่อยู่ในคุกสองเดือน น้ำหนักผมลดไป 45 กิโลกรัม.
ตอนที่เราถูกจำคุกอยู่ มีสุภาพบุรุษคนหนึ่งรูปร่างสูงดูภูมิฐานมาเยี่ยมเรา โดยแจ้งว่ามาจากสถานกงสุลสหรัฐอเมริกา. เขาบอกว่าต้องการช่วยเหลือเรา แต่ต้องทราบข้อมูลมากกว่านี้. เราไม่เชื่อใจเขา. หลังจากที่พูดวกไปวนมาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เปิดเผยตัวว่าเป็นหัวหน้าสืบสวนเรื่องยาเสพย์ติดในแถบเอเชียอาคเนย์ทั้งหมด และกำลังพยายามหาหลักฐานว่าเราทำการลักลอบยาเสพย์ติดออกจากประเทศ. วันรุ่งขึ้นเขากลับมาอีก คราวนี้มาคุยกับผมเป็นการส่วนตัว.
“บอกผมมาตามตรงดีกว่า” นักสืบสวนคนนั้นกล่าว. “ไม่เช่นนั้น ผมรับประกันได้เลยว่าคุณต้องเน่าตายอยู่ในคุกนี่.” ฉะนั้น ผมจึงไม่ปิดบังเขา และบอกความจริง. เขาจึงถามว่า “อยากทำงานเป็นสายสืบพิเศษให้ผมไหม?” ผมแทบตั้งตัวไม่ติด แต่ในที่สุดก็ตกลงที่จะทำงานเป็นนกต่อให้กับเขา.
ในที่สุด ผมก็ถูกปล่อยออกจากเรือนจำ และกลับไปยังโอกินาวาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะสายสืบพิเศษเรื่องยาเสพย์ติด. หน้าที่มอบหมายของผมก็คือ ดำเนินการเพื่อให้มีการติดต่อซื้อขายยาเสพย์ติด โดยมีเป้าหมายที่จะจับกุมผู้ทำการจัดส่งยาเสพย์ติด. ผมทำงานในตำแหน่งนี้อยู่ประมาณปีครึ่ง แล้วก็เลิก.
ต่อมา ผมพร้อมด้วยหุ้นส่วนก็หันมาเปิดร้านอาหาร ซึ่งตั้งชื่อว่าปาป้าโจส์. เรามีหญิงเสิร์ฟซึ่งทำหน้าที่ดูแลแขกประจำร้านโดยพยายามให้พวกจีไอซื้อเหล้าให้มากเท่าที่จะมากได้. อยู่มาคืนหนึ่ง ชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่บาร์ถามผมว่า “คุณคือจิมมีซัง ใช่ไหม?”
“ใช่ ผมเอง”
“กิจการไม่เลวเลยนี่?”
“ก็ใช้ได้ ถามทำไมหรือครับ?”
“ผมขอแนะนำอย่างหนึ่ง อย่ากลับไปค้ายาอีก. ไม่อย่างนั้น เราจับคุณเข้าตารางแน่.”
ผมจึงรู้ว่าเขาเป็นสายสืบเกี่ยวกับยาเสพย์ติด และผมกำลังถูกจับตามองอยู่. ด้วยความที่รู้มากเกินไป พวกเขาจึงเตือนไม่ให้ผมไปยุ่งกับเรื่องยาเสพย์ติดอีก. ไม่มีปัญหา. ผมไม่ได้ค้ายาเสพย์ติดแล้วตอนนี้. ผมเลิกวิถีชีวิตที่ต่ำทรามซึ่งผมเคยดำเนินนั้นแล้ว.
ในช่วงนี้ ผมเสาะหาความหมายของชีวิตโดยตรวจสอบศาสนาทางตะวันออก. แต่ไม่ช้า ผมก็ตระหนักว่าศาสนาเหล่านี้ก็ลึกลับและสับสนพอ ๆ กับหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพของคริสต์ศาสนจักร. ศาสนาทางตะวันออกก็ขาดเหตุผลเช่นเดียวกัน.
แล้ววันหนึ่ง ขณะผมอยู่บ้านคนเดียว ก็มีเสียงเคาะที่ประตู. หญิงสูงอายุชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูพร้อมด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้า. แต่สิ่งที่จับความสนใจของผมจริง ๆ ก็คือดวงตาของเธอ. ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย. ผมแทบจะบอกได้จากนัยน์ตาของเธอว่าเธอเป็นคนซื่อตรงและบริสุทธิ์สะอาด และไม่ได้มาเพื่อยัดเยียดอะไรให้. ผมมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าควรรับฟังเธอ. ผมอธิบายไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แต่ก็ทำเมินเฉยไม่ได้. ผมจึงเชิญเธอเข้ามา.
หลังจากเราได้นั่งลงที่โต๊ะในห้องครัว ผมจึงเริ่มได้ยินจริง ๆ ว่าเธอพูดอะไร. ผมไปโบสถ์หลายครั้งในวัยเด็ก แต่ผมไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้จากคัมภีร์ไบเบิลโดยตรง. เธอแสดงให้เห็นว่าเหตุใดจึงมีความชั่วมากนัก พร้อมกับบอกว่าซาตานเป็นพระของโลกนี้ และสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของยุคสุดท้าย. อีกไม่ช้าพระเจ้าจะทรงยุติความชั่วช้าทั้งสิ้น แล้วจะทรงนำโลกแห่งความชอบธรรมที่สะอาดเข้ามาแทนที่. ผมมักสงสัยบ่อย ๆ ว่าเหตุใดเราจึงอยู่ที่นี่ ชีวิตมีความหมายอะไรหรือไม่ โลกที่งดงามเช่นนี้มีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร. คำตอบอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล—อยู่ในนั้นตลอดมา.—บทเพลงสรรเสริญ 92:7; ท่านผู้ประกาศ 1:4; ยะซายา 45:18; ดานิเอล 2:44; 2 โกรินโธ 4:4; 2 ติโมเธียว 3:1-5, 13; 2 เปโตร 3:13.
ขณะที่เธอพูด ชิ้นส่วนของภาพปริศนานี้ก็เริ่มปะติดปะต่อ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น. เมล็ดที่ฝังตัวอยู่เป็นเวลาแรมปีจะงอกขึ้นเมื่อได้รับความชุ่มชื้นฉันใด ความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งจมนิ่งอยู่ในหัวใจผมเป็นเวลานาน ก็กลับฟื้นขึ้นทันทีฉันนั้น เมื่อน้ำแห่งความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลหลั่งรินลงบนความคิดของผม.—เอเฟโซ 5:26; วิวรณ์ 7:17.
การมีชีวิตตลอดไป ไม่ใช่ในสรวงสวรรค์อันไกลโพ้น แต่บนโลกนี้เองที่เป็นอุทยาน. ทั่วโลกจะเป็นดุจสวนเอเดน. การปลุกผู้ที่ตายไปนับล้าน ๆ คนซึ่งยังไม่ได้รับการบอกเล่าเรื่องความจริงให้กลับมีชีวิตขึ้นอีก เพื่อจะมีโอกาสได้รับชีวิตนิรันดร์ในอุทยานดุจสวนเอเดนบนโลกนี้. ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความตาย—ซึ่งข้อพระคัมภีร์หลายข้อได้แสดงว่าพระพรเหล่านี้จะหลั่งมาโดยทางราชอาณาจักรของพระยะโฮวาภายใต้พระเยซูคริสต์นั้น ได้ก่อให้เกิดภาพอันสดใสในจิตใจของผม เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติที่เชื่อฟัง.—บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11, 29; สุภาษิต 2:21, 22; โยฮัน 5:28, 29; 17:3; วิวรณ์ 21:1, 4, 5.
ดีเกินกว่าที่จะเป็นจริงกระนั้นหรือ? แต่เธอก็พิสูจน์จากคัมภีร์ไบเบิลถึงทุกคำพูดที่เธอกล่าว. ขณะที่เธอพูด เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถเห็นเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลอย่างกระจ่างชัดดุจผลึกที่ใสดั่งแก้ว มีเหตุผล และมีชีวิต. ผมตระหนักถึงสองสิ่ง: ประการแรก นี่เป็นความจริงแท้ ๆ จากพระคำของพระเจ้า ซึ่งไม่แปดเปื้อนด้วยหลักความเชื่อและคำสอนเท็จจากนิกายต่าง ๆ ในคริสต์ศาสนจักร และประการที่สอง ผมต้องเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต เพื่อให้ประสานกับกฎหมายและมาตรฐานของพระเจ้า.—บทเพลงสรรเสริญ 119:105; โรม 12:1, 2; 1 โกรินโธ 6:9-11; โกโลซาย 3:9, 10.
เราคุยกันถึงสามชั่วโมง ซึ่งเป็นสามชั่วโมงที่เปลี่ยนชีวิตผมโดยสิ้นเชิง. ก่อนที่ฮารูโกะ อิเซกาวา—ซึ่งเป็นชื่อของเธอ—จะจากไป เธอบอกถึงสถานที่ที่ผมจะเข้าร่วมประชุมกับพวกพยานพระยะโฮวาได้. นอกจากนี้เธอได้เริ่มมาสอนคัมภีร์ไบเบิลให้ผมทุกสัปดาห์. ในสัปดาห์ต่อมาผมเข้าร่วมประชุมกับพวกพยานพระยะโฮวาเป็นครั้งแรก. สิ่งที่ผมเรียนรู้ได้ก่อผลกระทบลึกลงไปถึงความคิดและการประพฤติของผม. การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบจะเรียกได้ว่าเพียงชั่วข้ามคืน. สำหรับเพื่อนเก่าของผมหลายคนเห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากและเร็วเกินไปจนทำให้เราต้องเลิกคบกัน. ผมจึงเสียเพื่อนเก่าไปบางคน แต่ผมก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกดังที่พระเยซูทรงสัญญาไว้. (มัดธาย 19:29) สิบเดือนหลังจากที่ซิสเตอร์อิเซกาวามาเยี่ยมครั้งแรก ผมก็รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง ในวันที่ 30 สิงหาคม 1974.
เดือนต่อมาผมก็กลับสหรัฐอเมริกา และเริ่มสมทบกับประชาคมร็อบบินส์ในบ้านเกิดของผม. ปีถัดมา ผมไปเยี่ยมสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุคลิน นิวยอร์ก ซึ่งมีชื่อเรียกว่าเบเธล แปลว่า “ราชสำนักของพระเจ้า.” ปัจจุบันมีอาสาสมัครทำงานที่นั่นสามพันคน และอีกหนึ่งพันคนทำงานที่ฟาร์มว็อชเทาเวอร์ ในรัฐนิวยอร์กทางตอนเหนือ ทำการพิมพ์สรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมีการจำหน่ายไปทั่วโลก. การเยี่ยมครั้งนั้นทำให้ผมเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรับใช้ที่นั่น แล้วพระยะโฮวาทรงประทานสิทธิพิเศษอันล้ำเลิศนั้นให้ผมในเดือนกันยายน 1979.
ไม่กี่เดือนหลังจากที่ผมมาอยู่เบเธล ก็มีพี่น้องชายคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้มายังแผนกที่ผมทำงานอยู่. มีอะไรบางอย่างที่คลับคล้ายคลับคลาในตัวเขา แต่ผมก็นึกไม่ออก. หลังจากที่คุ้นเคยกันมากขึ้น จึงได้ทราบว่าเราอยู่ที่โอกินาวาในช่วงเวลาเดียวกัน พักอยู่ในบริเวณเดียวกัน และค้ายาเสพย์ติดเหมือนกัน. เราต่างดีใจที่ได้มาพบกันอีก. ขณะนี้ทั้งเขาและภรรยาทำงานในฐานะผู้รับใช้เต็มเวลาของพยานพระยะโฮวาในหมู่เกาะไมโครนีเซีย.
ในปี 1981 พระยะโฮวาทรงอวยพระพรให้ผมมีภรรยาที่แสนน่ารักคือบอนนี. เราต่างชื่นชมยินดีกับพระพรอันอุดมนานัปการขณะรับใช้ร่วมกันที่เบเธล. ผมมีความรู้สึกอย่างเดียวกับกษัตริย์ดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญ เมื่อท่านพรรณนาความรู้สึกนึกคิดของท่านออกมาที่บทเพลงสรรเสริญบท 23 ข้อ 6 ดังนี้ “พระเมตตาและพระกรุณาคุณคงจะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอาศัยอยู่ในพระบรมมหาราชวังของพระยะโฮวาเป็นนิจกาล.”
วันหนึ่ง เมื่อผมได้อ่านพระธรรมมัดธาย 10:29, 31 ข้อความนั้นทำให้ผมหวนถึงวัยเด็ก ข้อนั้นอ่านว่า “นกกระจาบสองตัวเขาขายสามสตางค์มิใช่หรือ และนกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินนอกจากพระบิดาของท่านพอพระทัยก็มิได้.” พระยะโฮวาทรงล่วงรู้ถึงเรื่องที่ผมฆ่านกกระจอกตัวนั้นไหม? ผมรู้สึกโล่งอกขณะที่อ่านต่อไปว่า “เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลยท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว.”—เล่าโดยเจมส์ ไดสัน.
[จุดเด่นหน้า 15]
‘ทำไมประชาชนเหล่านี้จึงถูกฆ่าแกงราวกับสัตว์ก็ไม่ปาน?’
[จุดเด่นหน้า 16]
ผมรู้สึกมีเหล็กเย็น ๆ มาจี้อยู่ที่ท้ายทอยของผม
[จุดเด่นหน้า 17]
ตำรวจยืนอยู่พร้อมกับสุนัขตำรวจซึ่งสามารถดมกลิ่นเฮโรอีนได้
[จุดเด่นหน้า 18]
ผมมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าควรรับฟังเธอ
[รูปภาพหน้า 19]
กับบอนนี ภรรยาของผม