หนีมาพบความจริง
ตอนที่ผมเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา ผมเป็นนักโทษที่หลบหนีออกมา. ไม่ช้า ผมก็เผชิญข้อท้าทายที่ว่า จะเลิกโกหกและเริ่มพูดความจริงได้อย่างไร.
นั่นเป็นเดือนพฤศจิกายน ปี 1974 และผมอยู่ต่อหน้าศาลสูงแห่งเทศมณฑลเพนเดอร์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา. ข้อกล่าวหานั้นรวมทั้งการปล้นโดยใช้อาวุธ, การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธร้ายแรง, และขับรถเร็ว 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตจำกัดความเร็ว 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง. ในเดือนถัดมา เมื่ออายุเพียง 22 ปี ผมถูกตัดสินว่ากระทำผิดในทุกข้อหา และถูกพิพากษาจำคุก 30 ปีในเรือนจำรัฐนอร์ทแคโรไลนา.
ผมเติบโตขึ้นในเมืองนูเวิก รัฐนิวเจอร์ซี. แม้ว่าคุณพ่อเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผมก็ก่อปัญหาให้คุณพ่อคุณแม่อยู่เสมอ. ผมเคยอยู่ในสถานกักกัน, สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง, และครั้งหนึ่งถึงกับถูกขังในเขตที่คุณพ่อปฏิบัติหน้าที่อยู่. ผมจะไม่มีวันลืมที่ถูกคุณพ่อเฆี่ยนคืนนั้น! นั่นคงเพียงพอที่จะทำให้เด็กวัยรุ่นอื่น ๆ เกือบทุกคนเปลี่ยนวิถีชีวิตได้—แต่ไม่ใช่ผม.
ผมหนีออกจากบ้าน ค้างคืนที่บ้านเพื่อนหรือไม่ก็เตร็ดเตร่อยู่ตามถนน. ในที่สุด ผมก็มาลงเอยในคุกอีก. คุณแม่เอาผมออกจากคุกซึ่งเป็นการฝืนความปรารถนาของคุณพ่อ. คุณพ่อคุณแม่ซึ่งมีลูกอีกห้าคนตัดสินใจว่า บางทีการเป็นทหารอาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผม.
ผมสมัครเป็นทหาร และการฝึกอบรมต่าง ๆ เปลี่ยนพฤติกรรมของผมได้จริง ๆ ชั่วระยะหนึ่ง. แต่แล้วผมก็ติดยา กลายเป็นคนติดเฮโรอีน. ผมเข้าประจำการอยู่ที่ฟอร์ตแบรกก์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา และไม่นาน เพื่อน ๆ กับผมก็ไปตามเมือง ขโมยสิ่งที่เราต้องการ เพื่อซื้อยาเสพย์ติด. เรื่องราวเกี่ยวกับการปล้นของเรามีลงในหนังสือพิมพ์และออกข่าวทางทีวี.
ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็จับผมได้ และผมถูกตัดสินจำคุก 30 ปีดังที่กล่าวตอนเริ่มเรื่อง. ในเรือนจำ ผมฝ่าฝืนกฎและข้อบังคับต่าง ๆ อยู่หลายปี แต่ในที่สุดก็ตระหนักว่าผมกำลังทำร้ายตัวเอง. ดังนั้น ผมจึงพยายามทำตามกฎต่าง ๆ โดยหวังว่าจะถูกควบคุมตัวในระดับที่ไม่เข้มงวด และได้รับการปล่อยตัวโดยการคุมประพฤติ.
ตลอดสิบปีต่อมาในเรือนจำ ผมถูกควบคุมตัวในระดับที่ไม่เข้มงวด และไม่นานหลังจากนั้น ผมถูกบรรจุอยู่ในโครงการที่ให้ออกไปทำงานข้างนอกได้. ทั้งนี้หมายความว่า ผมสามารถออกจากคุกในตอนเช้าและกลับมาเองในตอนเย็น. วันหนึ่ง ผมไม่ได้กลับทันทีหลังเลิกงาน ผมจึงถูกคัดชื่อออกจากโครงการนั้น. อย่างไรก็ตาม ผมยังคงถูกควบคุมในระดับที่ไม่เข้มงวด.
หลังจากที่ผมอยู่ในคุกเกือบ 11 ปี โอกาสที่จะได้รับการปล่อยตัวโดยการคุมประพฤตินั้นดูไม่มีวี่แววเท่าไรนัก. เช้าที่อากาศร้อนวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม 1985 ขณะอยู่นอกเรือนจำ ผมก็ได้โอกาสหนี—หนีโดยไม่มีใครสังเกตเห็น. ผมไปที่บ้านเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเคยต้องโทษมาด้วยกัน. หลังจากที่ผมได้พักคืนหนึ่งและเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อนคนนี้ขับรถพาผมไปกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เป็นระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร.
ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีวันกลับเข้าไปอยู่ในคุก ซึ่งหมายความว่า ผมจำต้องหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่ผิดกฎหมายอีก. ตอนแรก ผมรับงานที่ทำวันต่อวัน ซึ่งเป็นงานจิปาถะที่หาได้. จากนั้น ผมได้งานทำที่บริษัทไฟฟ้าแห่งหนึ่ง. ต่อมา ผมหาทางจนได้สูติบัตรในอีกชื่อหนึ่ง—เดอริก มาเจ็ตต์. ชื่อของผม, สถานที่เกิด, ภูมิหลัง, ครอบครัว—ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตัวผมเวลานี้เป็นความเท็จ. ผมรู้สึกว่า ตัวเองปลอดภัยตราบใดที่ไม่มีใครรู้. ผมดำเนินชีวิตแบบนี้อยู่สามปีทั้งในกรุงและรอบ ๆ วอชิงตัน ดี.ซี.
พบพยานพระยะโฮวา
เย็นวันหนึ่ง มีชายหนุ่มแต่งกายสุภาพสองคนมาที่อพาร์ตเมนต์ของผม. ทั้งสองคนพูดกับผมเรื่องคัมภีร์ไบเบิล ให้หนังสือไว้เล่มหนึ่ง และสัญญาว่าจะกลับมาอีก. แต่ ผมย้ายไปอพาร์ตเมนต์อื่น และไม่เห็นเขาทั้งสองอีกเลย. แล้วเช้าวันหนึ่งก่อนเข้างาน ผมแวะดื่มกาแฟที่ร้าน และพบผู้หญิงสองคนซึ่งถามว่า ผมสนใจจะรับวารสารหอสังเกตการณ์ไหม? ผมรับไว้ฉบับหนึ่ง และจากนั้นทุกเช้า ผู้หญิงสองคนนี้จะพบผมและจะคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิล.
แม้การสนทนาเป็นแบบสั้น ๆ เสมอ ความสนใจของผมในสิ่งที่ผู้หญิงสองคนนี้พูดมีมากขึ้นถึงขนาดที่ทุกเช้าผมจะคอยพบเธอทั้งสอง คือซินเทียและเจอเนตต์. ต่อมา ผมได้รู้จักพยานพระยะโฮวาคนอื่น ๆ ซึ่งทำการเผยแพร่แต่เช้าตรู่. พวกเขาเชิญผมให้เข้าร่วมการประชุมที่หอประชุม. ผมรู้สึกหวั่น ๆ แต่ก็รับคำเชิญ.
ขณะที่ผมนั่งฟังคำบรรยายบ่ายวันนั้น นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินการอธิบายข้อพระคัมภีร์แบบที่เข้าใจได้จริง ๆ. ผมอยู่ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลโดยใช้วารสารหอสังเกตการณ์และพบว่า ผมสามารถมีส่วนโดยการตอบคำถาม. ผมออกความคิดเห็นเป็นครั้งแรก และหลังการประชุม ผมตกลงศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผู้ปกครองคนหนึ่งของประชาคม.
ไม่ช้า ผมก็ทำความก้าวหน้าในความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผมหยั่งรู้ค่าความจริงที่ผมกำลังเรียนรู้. ผมไม่อาจสบายใจกับชีวิตของตัวเองอีกต่อไป. ผมเริ่มรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องโกหกที่ได้บอกคนเหล่านั้น ซึ่งบัดนี้เป็นเพื่อนของผม. ผมศึกษาต่อไป โดยคิดว่า ผมคงรอดตัวไปได้ตราบใดที่ไม่มีใครรู้ความจริงเกี่ยวกับผม. แต่แล้วผู้ที่สอนคัมภีร์ไบเบิลก็เริ่มพูดกับผมเกี่ยวกับการมีส่วนในงานเผยแพร่ตามบ้าน.
ในเวลานั้น มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ผมรู้ว่า การมีส่วนในงานเผยแพร่หรือในกิจกรรมใด ๆ ทำนองนั้นจะเป็นไปไม่ได้หากผมไม่ทำอะไรบางอย่างลงไปเกี่ยวกับสถานะของตน. ขณะที่ผมกำลังเติมน้ำมันรถยนต์ของผมอยู่ มีใครคนหนึ่งเข้ามาทางด้านหลัง แล้วล็อกมือผมไพล่หลังไว้. ผมเย็นวูบไปทั้งตัว! คิดว่า ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็ตามจับผมจนได้. โล่งใจจริง ๆ เมื่อปรากฏว่าเป็นอดีตเพื่อนที่เคยต้องโทษมาด้วยกัน! โดยไม่รู้ว่าผมหนีออกมา เขายังคงเรียกผมโดยใช้ชื่อจริงและถามอะไรต่ออะไรสารพัด.
ผมไม่เคยกลัวแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่วันที่หลบหนีมา. แต่แล้วสิ่งนี้ทำให้ผมต้องคิดหนัก. สมมุติว่า ผมอยู่ในงานเผยแพร่ตามบ้าน และมีใครคนหนึ่งมาที่ประตู ซึ่งรู้ความจริงว่าผมเป็นใคร จะเกิดอะไรขึ้น? ผมจะออกไปในงานรับใช้พระยะโฮวาและพูดความจริงในขณะที่ผมกำลังดำเนินชีวิตในความเท็จได้อย่างไร? ผมควรทำอย่างไร? ศึกษาต่อไปแล้วดำเนินชีวิตในความเท็จ หรือเลิกศึกษาแล้วย้ายไป? เรื่องนี้ทำให้รู้สึกสับสนจนผมต้องไปที่อื่นสักระยะหนึ่งและคิดให้ดี.
ตัดสินใจ
ผมออกเดินทาง. การได้ขับรถไปไกล ๆ อย่างสบาย ๆ เป็นสิ่งที่ผมต้องการอยู่ทีเดียว เพื่อจะได้ผ่อนคลาย, คิด, และทูลขอพระยะโฮวาให้ช่วยผมตัดสินใจว่าควรทำอย่างไร. ผมยังตัดสินใจไม่ได้จนกระทั่งระหว่างขากลับมาวอชิงตัน ดี.ซี. นี่เอง—คือจะเลิกโกหกและบอกความจริง. แต่ไม่ง่ายนักที่จะทำเช่นนั้น. เนื่องจากผมคุ้นเคยกับซินเทียเป็นอย่างดี ผมจึงเล่าเรื่องที่เป็นความลับให้เธอฟัง. เธอแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผมต้องจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อยเฉพาะพระพักตร์พระยะโฮวา. เธอแนะนำให้ผมพูดกับผู้ปกครองในประชาคม.
ผมรู้ว่าเธอพูดถูก และผมเห็นด้วย. แต่เนื่องจากไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไรบ้างตามกฎหมาย ผมจึงโทรศัพท์หาทนายความท้องถิ่นคนหนึ่ง และอธิบายสภาพการณ์ของผม. เขาแนะนำให้ติดต่อกับทนายความในรัฐนอร์ทแคโรไลนา เพราะทนายที่นั่นจะทราบขั้นตอนสำหรับรัฐนั้น. ดังนั้น ผมจึงเดินทางลงใต้ เพื่อจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับทนายความ.
เมื่อผมมาถึงเมืองรอลี รัฐนอร์ทแคโรไลนา ผมขับรถไปที่เรือนจำ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายหลักแห่งหนึ่ง. ผมจอดรถ และได้แต่นั่งมองรั้วลวดหนามสูง, ยามถืออาวุธบนหอคอย, และพวกนักโทษที่เดินไปมาภายในรั้วนั้น. ผมเคยเป็นนักโทษแบบนั้นนานถึง 11 ปี! นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย.
ถึงกระนั้น ผมหยิบสมุดโทรศัพท์ขึ้นมาและเลือกทนายความคนหนึ่ง. ผมโทรศัพท์และให้รายละเอียดเช่นเดียวกับที่ให้ทนายความคนแรกที่ผมคุยด้วย. เขาไม่ได้ถามอะไรมาก เพียงแต่บอกว่า เขาคิดค่าทนายความเท่าไร และเมื่อพร้อม ให้ผมโทรศัพท์ไป แล้วเขาจะเป็นฝ่ายนัดหมาย. เมื่อกลับไปถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ผมตรงไปหาครูสอนคัมภีร์ไบเบิลของผมทันที.
เขา, ภรรยา, และลูกสาวเป็นเหมือนครอบครัวของผม. ดังนั้น คืนที่ผมไปบ้านของเขา ต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งกว่าผมจะพูดออกมาได้. แต่เมื่อพูดออกมา ผมก็รู้สึกโล่งใจ. พวกเขาตกตะลึงไม่น้อย. กระนั้น เมื่อเขาหายตกใจแล้ว เขาแสดงความเห็นอกเห็นใจและให้การหนุนใจมาก.
สิ่งถัดมาที่ผมต้องทำก็คือ หาเงินสำหรับค่าทนายความและตัดสินใจว่าจะมอบตัวเมื่อไร. ผมกำหนดวันที่ 1 มีนาคม 1989 ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น. ผมอยากออกจากงานและชื่นชมกับโอกาสสุดท้ายแห่งอิสรภาพ แต่ผมทำไม่ได้เพราะผมต้องการเงินมาจ่ายให้ทนายความ.
เป็นเรื่องน่าขันที่ผมหนีออกจากเรือนจำ แล้วมาตอนนี้กำลังเก็บเงินเพื่อจะกลับไปที่นั่น. บางครั้ง มีความคิดแวบขึ้นมาว่า ลืมเรื่องทั้งหมดแล้วก็ไปซะ. แต่ วันที่ 1 มีนาคมก็มาถึงอย่างรวดเร็ว. ครูของผมและนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอีกคนหนึ่งของครูไปเมืองรอลีกับผม. เราไปที่สำนักทนายความและพูดถึงข้อหาที่ผมถูกส่งไปเรือนจำ, ระยะเวลาที่ถูกตัดสินจำคุก, และสาเหตุที่ผมยินดีมอบตัว. ทนายความโทรศัพท์ไปที่สำนักงานของผู้พิพากษาศาลแขวง ขอรายละเอียดว่าผมควรไปที่ใด. เขาได้รู้ว่า ผู้พิพากษาศาลแขวงสามารถรับผมกลับเข้าคุกได้ทันที.
ผมไม่ได้เตรียมใจที่จะกลับเข้าคุกเร็วอย่างนั้น. ผมคิดว่า เราเพียงแต่ไปคุยกับทนายความ แล้วผมจะมอบตัวในวันรุ่งขึ้น. แต่ตอนนี้ เนื่องจากได้ตัดสินใจไปแล้ว พวกเราทั้งสี่คนจึงขับรถไปที่เรือนจำโดยไม่มีใครปริปากพูด. ผมจำได้ ตอนนั้นยังนึกถามตัวเองว่า ‘สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ หรือนี่?’ มารู้อีกที เราก็อยู่ตรงประตูทางเข้าแล้ว และกำลังฟังทนายความอธิบายให้ยามว่าผมเป็นใคร.
กลับเข้าเรือนจำ
เมื่อประตูเปิดออก ผมรู้ว่าถึงเวลาที่จะกล่าวอำลา. ทนายความกับผมจับมือกัน. แล้วครูของผม, เพื่อนที่ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับครูคนเดียวกัน, และผม ต่างสวมกอดกัน. ทันทีที่เข้าไปด้านในของประตู ผมก็ถูกใส่กุญแจมือและถูกพาตัวไปยังที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อใส่ชุดนักโทษแทน. ผมได้หมายเลขประจำตัวในเรือนจำ 21052-OS ตามเดิม.
เรือนจำนี้เป็นเรือนจำลหุโทษ ดังนั้น ภายในชั่วโมงนั้น ผมจึงถูกนำตัวไปยังเรือนจำที่มีการคุมขังแน่นหนา. ผมเพียงแต่ได้รับอนุญาตให้มีคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก. ผมถูกจัดให้อยู่กับบรรดานักโทษซึ่งผมจำได้ว่าเคยรู้จักมาก่อนตลอดช่วงหลายปีนั้น. พวกเขาสันนิษฐานว่าผมถูกจับได้ แต่เมื่อผมอธิบายว่าผมกลับมาเองเพราะผมอยากเป็นพยานพระยะโฮวา พวกเขาต่างพูดกันว่า เป็นสิ่งโง่เง่าที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา.
สิ่งสุดท้ายสิ่งหนึ่งที่ครูบอกกับผมก็คือ “อย่าเลิกศึกษาเป็นอันขาด.” ดังนั้น ผมจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการอ่านคัมภีร์ไบเบิล, หนังสือชีวิตตลอดไป, และการเขียนจดหมายถึงเพื่อน ๆ ที่บ้าน ซึ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม. ในบรรดาพยานฯ ที่ผมเขียนถึงก็มีเจอโรมและอาร์ลีน ภรรยาของเขา. จดหมายของผมสั้น เพียงแต่กล่าวขอบคุณและบอกถึงความรู้สึกเกี่ยวกับช่วงที่ได้คบหากับพยานพระยะโฮวา.
ไม่ช้า ผมได้ข่าวจากเจอโรม ซึ่งขออนุญาตนำจดหมายของผมไปใช้ในคำบรรยายที่เขากำลังจะบรรยายในการประชุมหมวดของพยานพระยะโฮวา. ผมตกลง แต่ไม่ได้คิดว่าจะมีผลอะไรติดตามมา. มีพยานฯ เพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของผม. ดังนั้น หลังจากที่อ่านจดหมายของผมและประกาศชื่อจริงของผม ไบรอัน อี. การ์เนอร์แล้ว ยังความประหลาดใจสักเพียงไรเมื่อเขาบอกว่า “ใช้นามแฝง เดอริก มาเจ็ตต์!” แล้วก็ถึงคราวที่ผมประหลาดใจ. จดหมายหนุนใจเริ่มหลั่งไหลมาจากพี่น้องชายหญิง—ไม่เพียงจากพี่น้องในประชาคมเพ็ตเวิร์ทที่ผมเข้าร่วมประชุมเท่านั้น แต่จากประชาคมอื่น ๆ ด้วย.
ไม่นานนัก ผมก็ถูกย้ายจากเรือนจำกลางไปยังเรือนจำที่เข้มงวดปานกลางในลิลลิงตัน รัฐนอร์ทแคโรไลนา. ทันทีที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมก็สอบถามเกี่ยวกับกิจกรรมทางศาสนา. ผมยินดีที่ทราบว่ามีพยานพระยะโฮวานำการประชุมทุกเย็นวันพุธในห้องเรียนของเรือนจำ. ผมจะไม่มีวันลืมความรัก, การเกื้อหนุน, และความพยายามเพื่อช่วยไม่เพียงแต่ผม แต่ใครก็ตามที่ต้องการเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลในเรือนจำนั้น. หลังจากที่ทราบว่าผมเคยศึกษามาก่อน ผู้ปกครองคนหนึ่งซึ่งนำการประชุมที่เรือนจำก็ศึกษากับผมทันทีต่อจากที่ผมหยุดไป.
พิจารณาปล่อยตัวโดยให้มีการคุมประพฤติ
หลายเดือนผ่านไป และแล้วมีข่าวเข้ามาว่า ผมต้องพบคณะกรรมการพิจารณาปล่อยตัว. แม้ว่าผมหลบหนีไปและเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน แต่กฎหมายระบุว่าจะต้องนำตัวผมมาอยู่ต่อหน้าคณะกรรมการพิจารณาปล่อยตัวโดยให้มีการคุมประพฤติเพื่อทบทวนคดี หรืออย่างน้อยก็มารับทราบว่าคณะกรรมการได้พิจารณาคดีของผมแล้ว. ผมส่งข่าวให้เพื่อน ๆ ทราบว่า ผมกำลังจะได้รับการพิจารณาปล่อยตัว. อีกครั้งหนึ่ง จดหมายเริ่มหลั่งไหลเข้ามา ไม่ใช่ถึงผม แต่ถึงคณะกรรมการพิจารณาปล่อยตัว.
ในเดือนตุลาคม 1989 ผมได้รับแจ้งจากคณะกรรมการพิจารณาปล่อยตัวว่า จะต้องมีการทบทวนคดีของผม. ผมตื่นเต้น. แต่ในวันที่สมาชิกคณะกรรมการกำหนดจะมา กลับไม่มีใครปรากฏตัว. ทั้งไม่มีข่าวว่าพวกเขาจะมาเมื่อไร. ผมผิดหวังมาก แต่ไม่เลิกทูลอธิษฐานถึงพระยะโฮวา. ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ในวันที่ 8 พฤศจิกายน นักโทษชายอีกสองคนและผมได้รับแจ้งว่า สมาชิกคณะกรรมการพิจารณาปล่อยตัวอยู่ที่เรือนจำ และผมจะถูกเรียกตัวเป็นคนแรก.
ขณะที่ผมเข้าไปในห้องทำงาน ผมสังเกตเห็นแฟ้มสองแฟ้มเต็มไปด้วยเอกสาร. แฟ้มหนึ่งเป็นแฟ้มเกี่ยวกับตัวผม ซึ่งย้อนไปถึงปี 1974. ผมไม่แน่ใจว่าอีกแฟ้มหนึ่งมีอะไร. หลังจากที่ได้พูดกับผมถึงบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับคดี สมาชิกคนหนึ่งในคณะกรรมการก็เปิดอีกแฟ้มหนึ่ง ซึ่งมีจดหมายหลายสิบฉบับเขียนสนับสนุนผม. คณะกรรมการอยากทราบว่า ผมไปรู้จักผู้คนมากมายเช่นนั้นได้อย่างไรหลังจากที่หลบหนีออกจากเรือนจำ. ดังนั้น ผมจึงเล่าย่อ ๆ ถึงประสบการณ์ของผมกับพวกพยานพระยะโฮวา. จากนั้น พวกเขาก็ให้ผมออกไปนอกห้อง.
อิสรภาพและชีวิตใหม่
เมื่อผมถูกเรียกกลับเข้าไป ผมได้รับแจ้งว่า คณะกรรมการลงคะแนนเสียงให้มี “การปล่อยตัวทันทีโดยมีเงื่อนไข.” ผมดีใจจนกลั้นความรู้สึกไว้ไม่อยู่. หลังจากเพียงเก้าเดือนในเรือนจำ ผมจะได้รับการปล่อยตัว! ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อดำเนินการทางด้านเอกสาร ดังนั้น ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1989 ผมเดิน—คราวนี้ไม่ต้องวิ่ง—ออกจากเรือนจำ.
ในวันที่ 27 ตุลาคม 1990 ไม่ถึงหนึ่งปีหลังจากที่ผมถูกปล่อยตัวออกมา ผมแสดงสัญลักษณ์ของการอุทิศตัวแด่พระเจ้ายะโฮวาด้วยการรับบัพติสมาในน้ำ. เวลานี้ ผมกำลังรับใช้พระยะโฮวาอย่างมีความสุขในวอชิงตัน ดี.ซี. ฐานะผู้รับใช้ที่ได้รับการแต่งตั้ง. วันที่ 27 มิถุนายน 1992 ซินเทีย แอดัมส์กับผมแต่งงานกัน.
ผมขอบคุณพระยะโฮวา, ภรรยาและครอบครัวของเธอ, รวมทั้งพี่น้องชายหญิงทุกคนที่ช่วยผมให้เป็นส่วนหนึ่งขององค์การที่มีความรักทั่วโลกเช่นนี้.—เล่าโดยไบรอัน อี. การ์เนอร์.
[รูปภาพหน้า 23]
เรือนจำที่ผม อยู่นานถึง 11 ปี
[รูปภาพหน้า 25]
กับซินเทีย ภรรยาของผม