ผมเคยเป็นคนนอกกฎหมาย
วันนั้นเป็นวันที่ 1 พฤษภาคม 1947 ที่เกาะซิซิลี. ผู้คนประมาณ 3,000 คน รวมทั้งผู้หญิงที่มีลูกเล็กเด็กแดง ได้พากันมาชุมนุมที่ช่องเขาแห่งหนึ่งเพื่อร่วมฉลองวันแรงงานประจำปี. คนเหล่านี้ไม่รู้ตัวว่ามีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่ที่เนินเขาใกล้ ๆ นั้นเอง. บางทีคุณอาจเคยอ่านหรือถึงกับได้ดูภาพยนตร์ซึ่งเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น. การสังหารโหดในครั้งนั้นถูกเรียกว่าการสังหารแห่งปอร์เตลลา เดลลา จีเนสตรา ซึ่งส่งผลให้มีคนตายถึง 11 คนและมีผู้บาดเจ็บอีก 56 คน.
แม้ว่าผมไม่มีส่วนในโศกนาฏกรรมดังกล่าว แต่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มที่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้. ผู้นำของพวกนี้คือ ซัลวาโตเร จูลีอาโน ซึ่งผมเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเขาในหมู่บ้านมอนเตเลเปร. เขาอายุมากกว่าผมเพียงปีเดียว. ในปี 1942 ขณะที่ผมอายุได้ 19 ปี ก็ถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง. ก่อนหน้านี้ในปีเดียวกันนั้นเอง ผมได้ตกหลุมรักและแต่งงานกับ วีตา โมตีซี. ในที่สุด เรามีลูกชายด้วยกันสามคน คนแรกเกิดในปี 1943.
เหตุที่ผมกลายเป็นคนนอกกฎหมาย
ในปี 1945 ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ผมเข้าสมทบกับกองพลตะวันตกของกองกำลังอาสาสมัครเพื่อปลดแอกชาวซิซิลี (อีวิส). กองพลที่ผมเข้าร่วมนี้เป็นหน่วยรบกึ่งทหารของพรรคการเมืองซึ่งต้องการแบ่งแยกดินแดน เป็นที่รู้จักกันในนามของขบวนการปลดแอกชาวซิซิลี (มิส). ซัลวาโตเร จูลีอาโน ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้หลบหนีการจับกุมอยู่ ได้รับการแต่งตั้งโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอีวิสและมิส เพื่อบังคับบัญชากองพลของเรา.
ผมกับซัลวาโตเร ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยที่เราต่างก็รักเกาะซิซิลีและประชาชนของเรา. และเราต่างก็โกรธแค้นในเรื่องที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ที่เราประสบมา. ด้วยเหตุนี้ ผมจึงรับเอาหลักการของกลุ่มจูลีอาโนนี้ ซึ่งต้องการให้ผนวกซิซิลีเข้าเป็นรัฐที่ 49 ของสหรัฐอเมริกา. มีเหตุผลไหมที่จะเชื่อว่าการนี้เป็นไปได้? ที่จริง มีเหตุผลที่จะเชื่ออย่างนั้น เพราะเจ้าหน้าที่ของมิสยืนยันกับเราว่าพวกเขามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับทางวอชิงตัน ดี.ซี. และประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ แฮร์รี เอส. ทรูแมน เห็นชอบกับการผนวกดินแดนนั้น.
กิจกรรมนอกกฎหมาย
งานหลักของกลุ่มผมได้แก่การลักพาตัวคนที่มีชื่อเสียงและกักตัวไว้เพื่อเรียกค่าไถ่. โดยวิธีนี้เราได้ทุนมาเพื่อซื้อปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็น. คนที่ถูกลักพาตัวมา ซึ่งเราเรียกเป็น “แขกของเรา” ไม่เคยมีใครได้รับอันตราย. เมื่อคนเหล่านี้ได้รับการปล่อยตัว เราให้ใบเสร็จรับเงินกับเขาเพื่อใช้สำหรับการจ่ายเงินคืนตามที่เราได้รับเป็นค่าไถ่. มีการแจ้งให้พวกเขาทราบว่าใบเสร็จนั้นสามารถนำไปใช้เพื่อรับเงินของพวกเขาคืนเมื่อเราได้ชัยชนะแล้ว.
ผมเข้าร่วมในการลักพาตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ประมาณ 20 ครั้ง รวมไปถึงการใช้กำลังอาวุธโจมตีค่ายแห่งการาบีนีเอรี ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธรักษาความสงบภายในประเทศ. ถึงอย่างไรก็ตาม ผมยินดีที่จะบอกว่าผมไม่เคยฆ่าใคร. การโจมตีของพวกเราซึ่งเป็นนักแบ่งแยกดินแดนมาถึงจุดสุดยอดในคราวปฏิบัติการที่ทำอย่างบุ่มบ่าม ณ หมู่บ้านปอร์เตลลา เดลลา จีเนสตรา. ปฏิบัติการครั้งนี้ได้มีการคบคิดก่อการโดยคนของกลุ่มจูลีอาโนประมาณสิบสองคน และทำไปโดยมุ่งจะต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์.
แม้ว่า การฆ่าชาวบ้านธรรมดา—ซึ่งก็มีทั้งเพื่อนบ้านและพวกผู้สนับสนุน—ไม่ได้เกิดขึ้นโดยจงใจ แต่บรรดาคนที่ได้สนับสนุนเราและรู้สึกว่าได้รับการปกป้องจากเราต่างก็ปักใจว่าเราทรยศพวกเขาเสียแล้ว. นับแต่นั้นมา การไล่ล่ากลุ่มนอกกฎหมายจูลีอาโนก็ได้ทำกันอย่างไม่ย่นย่อท้อถอย. หลังจากที่มีการแจ้งเบาะแสไปยังตำรวจ พวกเพื่อนผมหลายคนก็ถูกจับกุม. วันที่ 19 มีนาคม 1950 ผมติดกับและถูกจับ. และในฤดูร้อนนั้นแหละที่จูลีอาโนเองถูกฆ่า.
การจำคุกและพิพากษา
ในเรือนจำปาแลร์โมที่ผมถูกขังรอการพิจารณาคดีอยู่ ผมโศกเศร้าที่ต้องถูกพรากจากภรรยาสาวและลูกชายทั้งสามคนของผม. กระนั้น ความปรารถนาจะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ผมรู้สึกว่าถูกต้องทำให้ผมไม่ถึงกับหมดอาลัยตายอยาก. ผมเริ่มอ่านหนังสือเพื่อใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์. หนังสือเล่มหนึ่งกระตุ้นให้ผมอยากอ่านคัมภีร์ไบเบิล. หนังสือเล่มนั้นเป็นอัตชีวประวัติของ ซิลวีโอ เปลลีโก ชาวอิตาลีซึ่งถูกจำคุกด้วยเหตุผลทางการเมืองในช่วงศตวรรษที่19.
เปลลีโก เขียนว่า ตอนที่อยู่ในเรือนจำเขามีพจนานุกรมและคัมภีร์ไบเบิลอย่างละเล่มอยู่กับตัวเสมอ. แม้ว่าผมและครอบครัวเป็นโรมันคาทอลิก จริง ๆ แล้วผมไม่เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเลย. ดังนั้น ผมขอเจ้าพนักงานเรือนจำช่วยนำมาให้ผมเล่มหนึ่ง. ผมได้รับการแจ้งให้ทราบว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นของต้องห้าม แต่ผมก็ได้ส่วนที่เป็นกิตติคุณของมัดธาย, มาระโก, ลูกา, และโยฮัน. ต่อมา ผมสามารถหาคัมภีร์ไบเบิลครบชุดมาได้เล่มหนึ่ง ซึ่งผมยังคงเก็บไว้เป็นของที่ระลึกอันล้ำค่า.
ในที่สุด การพิจารณาคดีผมก็เริ่มมีขึ้นในปี 1951 ที่ วีแตร์โบ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับกรุงโรม. การพิจารณาคดียืดเยื้อไปถึง 13 เดือน. ผมถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตสองครั้งกับอีก 302 ปี! นั่นย่อมหมายความว่าผมจะต้องติดแหง็กอยู่ในเรือนจำจนตาย.
เรียนความจริงในคัมภีร์ไบเบิล
เมื่อกลับไปติดคุกที่ปาเลอร์โมอีกครั้ง ผมถูกส่งไปอยู่ในส่วนของเรือนจำที่สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มเราซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของจูลีอาโนถูกจำขังอยู่ที่นั่น. เขาถูกจับก่อนผมสามปี. ก่อนหน้านั้น เขาได้พบกับพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งจากสวิตเซอร์แลนด์ในคุก ผู้ซึ่งได้บอกเล่าเรื่องคำสัญญาต่าง ๆ ที่น่าพิศวงในคัมภีร์ไบเบิลให้เขาฟัง. ชายคนนี้ถูกจับพร้อมกับเพื่อนพยานฯ อีกคนจากปาเลอร์โมขณะประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า. (มัดธาย 24:14) ผมมาทราบในภายหลังว่า การที่เขาถูกจับนั้นเกิดจากการยุยงส่งเสริมของเหล่าสมาชิกแห่งพวกนักบวช.
แม้ว่าผมร่วมในกิจกรรมนอกกฎหมายหลายอย่าง แต่ผมเชื่อในพระเจ้าและเชื่อในคำสอนต่าง ๆ ของคริสตจักร. ดังนั้น ผมตกตะลึงเมื่อได้มาเรียนรู้ว่าการแสดงความเลื่อมใสศรัทธาต่อสิ่งที่เรียกกันว่านักบุญนั้นไม่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ และพระบัญญัติสิบประการก็มีข้อหนึ่งที่ห้ามการใช้รูปเคารพในการนมัสการ. (เอ็กโซโด 20:3,4) ผมบอกรับวารสารหอสังเกตการณ์และตื่นเถิด! ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับผม. ผมไม่เข้าใจทุกสิ่งที่อ่าน แต่ยิ่งผมอ่านมากขึ้นเท่าไรผมก็ยิ่งรู้สำนึกว่าจำเป็นต้องหนี ไม่ใช่จากเรือนจำ แต่หนีจากการคุมขังของความเทียมเท็จทางศาสนาและความมืดบอดฝ่ายวิญญาณ.
ต่อมา ผมตระหนักว่าเพื่อจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ผมต้องถอดทิ้งบุคลิกลักษณะเก่าและสวมใส่บุคลิกลักษณะใหม่ซึ่งอ่อนน้อมและคล้ายกันกับของพระคริสต์เยซู. (เอเฟโซ 4:20-24) ผมค่อย ๆ เปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย. แต่แทบจะทันทีเลยที่ผมเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อพวกนักโทษด้วยกัน และผมพยายามพูดกับพวกเขาเรื่องสิ่งดียอดเยี่ยมหลายอย่างที่ผมกำลังเรียนรู้อยู่นั้น. ด้วยเหตุนี้ ปี 1953 ผมเริ่มพบกับช่วงเวลาที่น่าชื่นชมยินดี. แต่ก็มีอุปสรรค.
การต่อต้านขัดขวางจากบาทหลวง
หกเดือนให้หลัง นับจากที่ผมบอกรับวารสารหอสังเกตการณ์และตื่นเถิด! การส่งก็หยุดชะงักลง. ผมไปหาเจ้าหน้าที่ตรวจจดหมายของนักโทษ และแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นให้เขาทราบ. เขาบอกผมว่า บาทหลวงประจำเรือนจำเป็นคนสั่งระงับการส่ง.
ผมขอพบบาทหลวงคนนั้น. ระหว่างที่พูดคุยกันนั้น ผมให้เขาดูบางสิ่งที่ผมพอรู้อยู่บ้างจากคัมภีร์ไบเบิล รวมทั้งข้อพระคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น เอ็กโซโด 20:3,4 และยะซายา 44:14-17 เกี่ยวกับการใช้รูปเคารพในการนมัสการ. ผมอ่านคำตรัสของพระเยซูให้เขาฟังด้วย ดังบันทึกไว้ที่มัดธาย 23:8,9 (ล.ม.) ที่ว่า อย่า “เรียกผู้ใดว่าบิดาของท่านบนแผ่นดินโลก.” ด้วยความขุ่นเคืองเขาตอกกลับว่า ผมไม่สามารถเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลได้เพราะผมเป็นคนเขลา.
ดีที่ว่าผมได้เริ่มเปลี่ยนบุคลิกลักษณะของตัวเองแล้ว—ถ้าไม่อย่างนั้นผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมอาจทำอะไรลงไป. โดยควบคุมอารมณ์ให้เยือกเย็นเอาไว้ ผมตอบไปว่า “ใช่ เป็นความจริงที่ว่าผมเป็นคนเขลา. แต่คุณได้ศึกษาเล่าเรียน แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้กับผม.” บาทหลวงตอบว่า เพื่อจะรับสรรพหนังสือของพยานพระยะโฮวาได้ผมต้องยื่นคำร้องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมขอลาออกจากศาสนาคาทอลิกเสียก่อน. ผมทำเช่นนั้นทันที แต่คำร้องขอนั้นไม่ได้รับการอนุมัติ. อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาผมสามารถหาทางให้มีการบันทึกชื่อผมฐานะเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งได้ และสามารถรับวารสารได้อีกครั้ง. แต่ผมต้องยืนหยัดจริง ๆ.
หอประชุมราชอาณาจักรในเรือนจำ
มีอยู่พักหนึ่งที่ผมได้พยายามของานทำจากพัศดี จะได้หาเงินส่งไปให้ครอบครัวของผม. เขามักจะบอกผมอยู่เสมอว่าหากเขาให้งานผม เขาก็คงต้องให้คนอื่นด้วย และนั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้. แต่เช้าวันที่ 5 สิงหาคม 1955 พัศดีก็บอกข่าวดีกับผม—ผมได้งานเป็นเสมียนในเรือนจำ.
งานที่ผมทำช่วยให้ผมได้รับความนับถือจากพัศดี และเขาก็ใจดีอนุญาตให้ผมใช้ห้องเก็บของเพื่อจัดการประชุมศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ด้วยเหตุนี้ ในปี 1956 ผมได้ใช้ไม้จากตู้เอกสารที่ทิ้งแล้วประกอบเป็นม้านั่งยาวสำหรับสถานที่ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นหอประชุมราชอาณาจักร ตามชื่อที่ใช้เรียกสถานประชุมของพยานพระยะโฮวา. ผมกับเพื่อนนักโทษคนอื่น ๆ พบกันที่นั่นทุกวันอาทิตย์ และเรามียอดผู้เข้าร่วมการพิจารณาคัมภีร์ไบเบิลสูงสุด 25 คน.
ต่อมา บาทหลวงก็รู้เรื่องการประชุมที่ผมจัดให้มีขึ้น และเขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง. ผลก็คือ ในฤดูร้อนปี 1957 ผมถูกย้ายขังจากปาเลอร์โมไปอยู่ที่ทัณฑสถานแห่งปอร์โต อัซซุร์โร ซึ่งอยู่บนเกาะเอลบา. สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องความร้ายกาจ.
รับบัพติสมาในเรือนจำ
เมื่อผมมาถึง ผมถูกขังเดี่ยว 18 วัน. ที่นั่นผมไม่ได้รับอนุญาตแม้แต่ที่จะเก็บคัมภีร์ไบเบิลของผมเอาไว้. ต่อมาในภายหลัง ผมเขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอีกครั้งหนึ่งเพื่อลาออกจากศาสนาคาทอลิก. แต่ทว่า คราวนี้ผมขอความช่วยเหลือจากสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในกรุงโรม. หลังจากสิบเดือนผ่านไป คำตอบที่เฝ้าคอยอยู่แสนนานก็มาถึง. ทางกระทรวงยอมรับการเปลี่ยนศาสนาของผม! นี่ไม่เพียงหมายถึงผมสามารถมีคัมภีร์ไบเบิล, วารสาร, และสรรพหนังสือต่าง ๆ ที่อธิบายคัมภีร์ไบเบิลได้เท่านั้น แต่หมายถึงว่าผมสามารถได้รับการเยี่ยมเป็นประจำจากผู้รับใช้คนหนึ่งของพยานพระยะโฮวาด้วย.
ความยินดีของผมนั้นมากล้นเหลือเมื่อมีการเยี่ยมผมเป็นครั้งแรกโดย จูเซปเป โรมาโน จากสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในอิตาลี. โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ มีการจัดเตรียมเพื่อในที่สุดผมสามารถแสดงเครื่องหมายการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในน้ำ. วันที่ 4 ตุลาคม 1958 บราเดอร์โรมาโนให้บัพติสมาแก่ผมพร้อมด้วยเพื่อนนักโทษอีกคนในอ่างน้ำขนาดยักษ์ที่ใช้สำหรับรดน้ำสวนของเรือนจำ โดยที่พัศดี, เจ้าหน้าที่คุมความประพฤติ, และเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ก็อยู่ด้วย.
แม้ว่าผมสามารถศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์กับเพื่อนนักโทษคนอื่น ๆ เป็นประจำได้แทบทุกครั้ง แต่ผมจำต้องทำการระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์ตามลำพังในห้องขังของผม เพราะการฉลองนี้ทำหลังดวงอาทิตย์ตกดิน. ผมจะหลับตาและอธิษฐาน จินตนาการว่าผมร่วมอยู่กับเพื่อนพยานฯ.
ทำให้คนเป็นสาวกในเรือนจำ
ในปี 1968 ผมถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำที่ฟอสซอมโบรเน ซึ่งอยู่ในเขตเมืองเปซาโร. ที่นั่นผมรู้สึกยินดีที่เห็นผลจากการพูดคุยกับคนอื่นเรื่องความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. ผมทำงานที่ห้องพยาบาล ที่ซึ่งหาโอกาสบอกเล่าเรื่องพระคัมภีร์ได้ง่าย. นับเป็นความยินดีเป็นพิเศษที่เห็นความก้าวหน้าของเพื่อนนักโทษคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า เอมานูเอเล อัลตาวิลลา. หลังจากศึกษาได้สองเดือน เขาตระหนักว่า เขาต้องนำคำแนะนำของกิจการ 19:19 มาใช้ และทำลายหนังสือตำราเวทมนตร์คาถา. ในภายหลัง เอมานูเอเลได้เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา.
ปีถัดจากนั้น ผมถูกย้ายไปขังที่เรือนจำบนเกาะโปรชีดา ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของอ่าวจากเมืองเนเปิลส์. เนื่องจากมีความประพฤติดี อีกครั้งหนึ่งที่ผมได้รับมอบหมายให้ทำงานที่ห้องพยาบาล. ที่นั่นผมพบกับมาริโอ โมเรโนนักโทษคนหนึ่งผู้ซึ่งเป็นคาทอลิกที่เข้าพิธีรับเชื่อแล้ว. เขาเองก็ทำงานในตำแหน่งที่รับผิดชอบสูง คืออยู่ในแผนกบัญชี.
เย็นวันหนึ่ง มาริโอ ถามผมว่ามีอะไรให้เขาอ่านบ้าง และผมให้หนังสือความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวรแก่เขา.a เขาเห็นทันทีถึงความสำคัญของเรื่องราวที่เขาอ่าน และเราเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วยกัน. มาริโอเลิกนิสัยสูบบุหรี่วันละสามซอง. นอกจากนี้ เขาตระหนักด้วยว่า เขาต้องประพฤติตนอย่างซื่อสัตย์แม้แต่ในงานบัญชีที่ทำในเรือนจำ. เขาเริ่มบอกเล่าเรื่องที่เขาได้เรียนรู้กับคู่หมั้นของเขา และเธอก็เช่นกันตอบรับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล. ไม่นานหลังจากนั้น เขาทั้งสองก็แต่งงานกันในเรือนจำนั้นเอง. ภรรยาของมาริโอได้รับบัพติสมา ณ การประชุมภาคที่เมืองเนเปิลส์ในปี 1975. เธอรู้สึกยินดีอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าสามีของเธอก็ได้รับบัพติสมาในเรือนจำวันเดียวกันนั้นเอง!
ผมได้รับอนุญาตสัปดาห์ละครั้งที่จะสนทนากับพยานฯ ที่มาเยี่ยมผมที่โปรชีดา. ผมได้รับอนุญาตด้วยที่จะปรุงอาหารเพื่อร่วมรับประทานกับพวกเขาในห้องโถงที่ใช้ต้อนรับผู้มาเยี่ยม. จะมีผู้มาเยี่ยมได้ครั้งละไม่เกินสิบคน. ในเวลาที่พวกผู้ดูแลเดินทางของพยานพระยะโฮวามาเยี่ยม ผมได้รับอนุญาตให้ฉายภาพนิ่งของพวกเขา. มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกยินดีที่ได้นำการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ในระหว่างการมาเยี่ยมของพยานฯ 14 คน. พวกเจ้าหน้าที่ดูเหมือนว่าไว้ใจผมอย่างเต็มที่. ในตอนหัวค่ำตามวันที่มีกำหนดไว้ให้ ผมจะไปประกาศตามห้องขัง.
ในปี 1974 หลังจากอยู่ในคุกต่าง ๆ 24 ปี ผู้พิพากษาคนหนึ่งมาเยี่ยมและสนับสนุนผมให้ยื่นคำร้องขอการอภัยโทษ. ผมคิดว่าไม่เหมาะที่จะทำเช่นนั้นเพราะเท่ากับยอมรับว่ามีส่วนร่วมในการสังหารแห่งปอร์เตลลา เดลลา จีเนสตรา ซึ่งผมไม่ได้เข้าส่วนในเหตุการณ์นั้น.
วาระแห่งความยินดียิ่ง
ในปี 1975 กฎหมายใหม่อนุญาตให้นักโทษออกจากเรือนจำได้ระยะเวลาหนึ่ง. โดยวิธีนี้ ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรก ในการประชุมภาคของพยานพระยะโฮวาที่เมืองเนเปิลส์. ผมเพลิดเพลินตลอดห้าวันที่ไม่มีทางจะลืมเลือนได้ ผมพบกับพี่น้องคริสเตียนชายหญิงอีกหลายคนที่ผมไม่เคยได้พบมาก่อน.
สิ่งที่นำความยินดีเป็นพิเศษให้กับผมคือในที่สุด หลังจากที่ผ่านไปปีแล้วปีเล่า ก็สามารถได้อยู่ร่วมกับครอบครัวของผมอีกครั้งหนึ่ง. วีตา ภรรยาของผม ยังคงซื่อสัตย์ต่อผม และลูกชายของผมในเวลานี้เป็นหนุ่มในวัย 20 และ 30 กว่าแล้ว.
ปีถัดมา—ซึ่งผมชื่นชมกับช่วงเวลาที่ได้รับอนุญาตให้อยู่นอกเรือนจำเป็นครั้งคราว—ก็มีการเสนอแนะให้ผมยื่นคำขอเพื่อรับการปล่อยตัวจากเรือนจำ. ในรายงานเกี่ยวกับตัวผมของผู้พิพากษาศาลแขวงคุมประพฤติ เขาเสนอให้รับพิจารณาคำร้องของผม. เขาเขียนว่า “อาจกล่าวได้โดยไม่ต้องกลัวการคัดค้านว่า มันนีโนในวันนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับตอนเป็นหนุ่มที่กระหายเลือดผู้ลงมือตามคำสั่งของจูลีอาโนแล้ว เป็นคนละคนเลยทีเดียว. เขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจนจำเค้าเดิมไม่ได้.”
ต่อมา เจ้าหน้าที่เรือนจำแห่งโปรชีดายื่นคำร้องขออภัยโทษให้ผม. ในที่สุด คำร้องขออภัยโทษนั้นก็ได้รับอนุมัติ และในวันที่ 28 ธันวาคม 1978 ผมได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ. ช่างน่ายินดีสักเพียงไรที่หลังจากต้องถูกจำขังอยู่กว่า 28 ปี แล้วก็ได้เป็นอิสระ!
ความหวังอย่างเดียวสำหรับความยุติธรรม
ในฐานะผู้ลักพาตัวตามคำสั่งของจูลีอาโน ผมได้ต่อสู้เพื่อสิ่งที่ผมเชื่อว่าจะนำเสรีภาพแท้มาสู่ครอบครัวของผมและเพื่อนร่วมชาติของผม. อย่างไรก็ตาม ผมได้มาเรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลว่า ถึงมนุษย์เราจะจริงใจขนาดไหน พวกเขาไม่มีวันสามารถนำมาซึ่งความยุติธรรมที่ผมปรารถนาอย่างจริงจังตอนที่เป็นคนหนุ่ม. น่ายินดี ความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลช่วยให้ผมเข้าใจว่า เฉพาะราชอาณาจักรของพระเจ้าโดยการปกครองของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์เท่านั้น ที่สามารถขจัดความอยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น.—ยะซายา 9:6,7; ดานิเอล 2:44; มัดธาย 6:9,10; วิวรณ์ 21:3,4.
หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงเรื่องชีวิตจริงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะของผม ซึ่งความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลทำให้เกิดขึ้น. ตัวอย่างเช่น ปาเอเซ เซราอ้างถึงคำกล่าวของผู้คุมเรือนจำแห่งโปรชีดาที่ว่า “ถ้านักโทษทั้งหมดเป็นเหมือนฟรังก์ คงต้องยุบเรือนจำไปแล้ว. ความประพฤติของเขาดีจนไม่มีที่ติ เขาไม่เคยทะเลาะกับใคร และเขาไม่เคยถูกภาคทัณฑ์แม้แต่น้อย.” หนังสือพิมพ์อีกฉบับคืออัฟเวนีเรเขียนดังนี้: “เขาเป็นนักโทษตัวอย่าง ไม่เหมือนใคร. การดัดเปลี่ยนนิสัยของเขานั้นเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายใด ๆ. เขาแสดงความนับถือต่อสถาบันต่าง ๆ และนับถือเจ้าหน้าที่เรือนจำและมีสภาพฝ่ายวิญญาณที่น่าทึ่ง.”
ชีวิตที่เปี่ยมด้วยบำเหน็จ
นับแต่ปี 1984 เป็นต้นมา ผมได้รับใช้ในประชาคมของพยานพระยะโฮวาแห่งหนึ่งฐานะผู้ปกครอง และฐานะไพโอเนียร์ ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกผู้รับใช้เผยแพร่เต็มเวลา. ในปี 1990 ผู้คุมนักโทษคนหนึ่งผู้ซึ่งผมเคยบอกเล่าความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลให้เขาฟังเมื่อ 15 ปีมาแล้ว โทรศัพท์มาและบอกผมว่า เขาและทุกคนในครอบครัวได้เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา.
แต่ประสบการณ์ที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 1995. ในปีนั้นผมยินดีอย่างเหลือล้นที่ได้อยู่ ณ การรับบัพติสมาของวีตา ภรรยาสุดที่รักของผม. หลังจากเวลาผ่านไปนานหลายปี เธอได้ทำให้คำสอนในคัมภีร์ไบเบิลเป็นของเธอเอง. บางทีลูกชายทั้งสามคนของผมซึ่งตอนนี้ยังไม่ร่วมในความเชื่อกับผม สักวันหนึ่งอาจจะยอมรับสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากพระคำของพระเจ้า.
ประสบการณ์ของผมที่ได้ช่วยคนอื่น ๆ ให้เรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลทำให้ผมยินดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้. ช่างเป็นบำเหน็จสักเพียงไรที่ได้ยึดเอาความรู้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ และสามารถแบ่งปันความรู้นี้ให้กับคนผู้มีหัวใจสุจริต!—โยฮัน 17:3.—เล่าโดยฟรังก์ มันนีโน.
[เชิงอรรถ]
a จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก
[รูปภาพหน้า 18]
ช่องเขาที่เกาะซิซิลีซึ่งเป็น สถานที่เกิดการสังหารโหดขึ้น
[รูปภาพหน้า 19]
เมื่อเราแต่งงาน ในปี 1942
[รูปภาพหน้า 21]
ผมมักแบ่งปันความจริงในคัมภีร์ไบเบิลให้กับผู้คุมนักโทษ
[รูปภาพหน้า 23]
กับภรรยาของผม