ผู้ป้องกันยาสูบปล่อยบัลลูน
ในทศวรรษปี 1940 กรุงลอนดอนถูกโจมตี. เครื่องบินรบและจรวดของเยอรมนีที่ถล่มเป็นห่าฝนก่อความหวาดกลัวและความพินาศ. แต่ถ้าสถานการณ์ไม่ได้สาหัสสากรรจ์ขนาดนั้น ชาวเมืองอาจรู้สึกสนุกกับปรากฏการณ์ประหลาดอย่างหนึ่ง.
โดยมีเชือกยาวผูกไว้ บัลลูนขนาดใหญ่หลายพันลูกลอยฟ่องเหนือศีรษะ. จุดประสงค์ของบัลลูนนั้นก็เพื่อขัดขวางการโจมตีทางอากาศในระดับต่ำและหวังจะให้สกัดจรวดบางลูกเอาไว้กลางอากาศ. บัลลูนสกัดกั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นความคิดอันชาญฉลาด แต่ก็ประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย.
บริษัทยาสูบก็พบว่าตนถูกโจมตีเช่นกัน. จักรวรรดิยาสูบที่แผ่ไปทั่ว ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจเป็นปราการป้องกันอย่างเหนียวแน่น กำลังถูกโจมตีรอบด้าน.
พวกแพทย์ทำบทวิจัยกล่าวโทษออกมาเป็นจำนวนมาก. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ร่วมขบวนต่อต้านก็พลิกแพลงใช้สภาพการณ์เพื่อประโยชน์ของตน. บิดามารดาที่โกรธแค้นกล่าวหาว่า ลูก ๆ ของตนกำลังตกเป็นเหยื่อ. ฝ่ายนิติบัญญัติที่เด็ดเดี่ยวสั่งห้ามการสูบบุหรี่ในอาคารสำนักงาน, ภัตตาคาร, คลังแสง, และบนเครื่องบิน. ในหลายประเทศ มีการสั่งห้ามโฆษณาบุหรี่ทางโทรทัศน์และวิทยุ. ในสหรัฐ รัฐต่าง ๆ กำลังฟ้องบริษัทยาสูบให้จ่ายค่าดูแลสุขภาพหลายล้านดอลลาร์. แม้แต่พวกทนายความก็ร่วมในการต่อสู้นี้.
ดังนั้น ด้วยความพยายามจะตอบโต้เหล่าผู้โจมตี บริษัทยาสูบได้ปล่อยบัลลูนของตนออกสกัดกั้น. แต่บัลลูนเหล่านั้นดูเหมือนบรรจุแต่ลมปาก.
ในปีที่แล้วมานี้ ประชาชนทั้งสหรัฐได้สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดเมื่อฝ่ายนิติบัญญัติที่เดือดดาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐบาลระดมการโจมตีอุตสาหกรรมยาสูบอย่างดุเดือด. ในการพิจารณาต่อหน้าคณะสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในเดือนเมษายน 1994 พวกผู้บริหารบริษัทยาสูบของเจ็ดบริษัทใหญ่ในสหรัฐเผชิญสถิติที่บ่งชี้ความผิดของเขาคือ: แต่ละปีชาวอเมริกันมากกว่า 400,000 คนตาย และอีกหลายล้านคนป่วย, ใกล้ตาย, และติดบุหรี่.
พวกเขากล่าวเช่นไรเพื่อแก้ข้อกล่าวหา? พวกผู้บริหารที่ถูกโจมตีเสนอคำแถลงบางอย่างที่น่าสนใจเพื่อป้องกันตัวดังนี้: “การสูบบุหรี่ . . . ยังไม่มีการพิสูจน์ว่ามีบทบาทที่เป็นเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ” โฆษกของสถาบันยาสูบแห่งหนึ่งยืนยัน. นอกจากนั้น ยังมีการพรรณนาว่านิสัยสูบบุหรี่ไม่มีผลเสียหายเหมือน ๆ กับกิจกรรมน่าเพลิดเพลินอื่น ๆ เช่นการรับประทานขนมหวานหรือดื่มกาแฟ. ประธานกรรมการบริหารบริษัทยาสูบแห่งหนึ่งกล่าวว่า “การมีนิโคตินไม่ทำให้บุหรี่เป็นยาเสพย์ติด หรือทำให้การสูบบุหรี่เป็นการติดยา. สมมุติฐานที่ว่านิโคตินในบุหรี่เป็นสิ่งเสพย์ติดไม่ว่ามีมากน้อยเท่าใดนั้นไม่ถูกต้อง” นักวิทยาศาสตร์ของบริษัทยาสูบแห่งหนึ่งยืนยัน.
คณะกรรมาธิการโต้ว่า หากบุหรี่ไม่ทำให้เสพย์ติด ทำไมบริษัทยาสูบพยายามใช้เล่ห์เปลี่ยนระดับนิโคตินในสินค้าของตนล่ะ? ผู้บริหารของบริษัทยาสูบอีกแห่งหนึ่งชี้แจงว่า “เพื่อรสชาติไงล่ะ.” มีอะไรจะแย่ยิ่งกว่าบุหรี่ที่ไร้รสชาติ? เมื่อเอางานวิจัยเป็นกอง ๆ จากที่เก็บข้อมูลของบริษัทของเขาเองมาแสดงซึ่งชี้ถึงฤทธิ์ทำให้เสพย์ติดของนิโคติน เขาก็ยังยืนกรานคำชี้แจงของเขา.
ดูเหมือนว่า เขากับคนอื่น ๆ จะยึดความคิดเห็นนั้นไม่ว่าสุสานต่าง ๆ จะเต็มไปด้วยเหยื่อบุหรี่มากแค่ไหน. เมื่อต้นปี 1993 นายแพทย์ลันนี บริสโทว์ ประธานคณะกรรมการแพทยสมาคมแห่งอเมริกาได้เสนอคำท้าที่น่าสนใจประการหนึ่ง. วารสารแพทยสมาคมแห่งอเมริกา รายงานดังนี้: “เขาเชิญผู้บริหารของบริษัทยาสูบใหญ่ ๆ ของสหรัฐให้เดินไปกับเขาตามห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อดูผลอย่างหนึ่งจากการสูบบุหรี่ คือผู้ป่วยเป็นมะเร็งปอดและปอดพิการด้วยสาเหตุอื่น. ไม่มีผู้บริหารสักคนรับคำเชิญ.”
อุตสาหกรรมยาสูบคุยโวว่า ได้ทำให้มีงานดี ๆ ในสภาพเศรษฐกิจโลกที่การว่างงานกำลังมากขึ้น. ยกตัวอย่าง ในอาร์เจนตินา อุตสาหกรรมนี้สร้างงานถึงหนึ่งล้านตำแหน่ง พร้อมกับงานอีกสี่ล้านตำแหน่งที่เกี่ยวข้องในทางอ้อม. รายได้มหึมาจากภาษีทำให้บริษัทยาสูบได้รับความพอใจมากจากหลายรัฐบาล.
บริษัทยาสูบแห่งหนึ่งได้เจาะจงทำให้คนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มพอใจด้วยการบริจาคอย่างใจกว้าง ซึ่งดูผิวเผินแล้วเป็นการแสดงออกถึงการใส่ใจในความจำเป็นของพลเมือง. แต่เอกสารภายในของบริษัทเผยให้เห็นเจตนาที่แท้จริงของการทำเช่นนั้น นั่นคือ “งบประมาณพัฒนาเขตเลือกตั้ง” เพื่อสร้างความนิยมในหมู่ผู้ที่อาจลงคะแนนให้ฝ่ายของตน.
นอกจากนี้ บริษัทยาสูบเดียวกันนี้ได้สร้างมิตรภาพในแวดวงศิลปะด้วยการบริจาคเงินจำนวนมากแก่พิพิธภัณฑสถาน, สถานศึกษา, โรงเรียนสอนเต้นรำ, และสถาบันดนตรี. พวกเจ้าหน้าที่องค์การศิลปะต่างก็ต้องเตรียมใจเมื่อยอมรับเงินที่จำเป็นมากนั้นจากบริษัทยาสูบ. เมื่อไม่นานนี้เอง ผู้ที่อยู่ในวงการศิลปะแห่งกรุงนิวยอร์กก็เผชิญสภาพกระอักกระอ่วนเมื่อบริษัทยาสูบเดียวกันนี้ขอให้พวกเขาสนับสนุนการพยายามวิ่งเต้นคัดค้านการออกกฎหมายต้านการสูบบุหรี่.
และแน่นอน บริษัทยาสูบยักษ์ใหญ่ที่มั่งคั่งย่อมไม่กระดากใจในเรื่องการแจกจ่ายเงินแก่เหล่านักการเมืองซึ่งสามารถใช้อิทธิพลของตนคัดค้านข้อเสนอใด ๆ ที่ขัดต่อผลประโยชน์ของบริษัทยาสูบ. พวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลได้สนับสนุนนโยบายของบริษัทยาสูบ. บางคนมีความผูกพันทางการเงินกับอุตสาหกรรมนั้นหรือไม่ก็รู้สึกถูกกดดันให้ตอบแทนบริษัทยาสูบที่บริจาคเงินสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง.
ตามรายงานข่าวแจ้งว่า สมาชิกคนหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐได้รับเงินบริจาคกว่า 525,000 บาทจากบริษัทยาสูบต่าง ๆ และต่อมาจึงลงคะแนนคัดค้านข้อเสนอให้มีการต่อต้านยาสูบหลายข้อ.
อดีตผู้วิ่งเต้นคนหนึ่งที่บริษัทยาสูบได้จ่ายเงินอย่างงาม ครั้งหนึ่งเคยเป็นวุฒิสมาชิกและเป็นคนสูบบุหรี่จัด เมื่อไม่นานนี้ได้พบว่าเขาเป็นมะเร็งในลำคอ, ปอด, และตับ. เดี๋ยวนี้เขารู้สึกเสียใจมากและโอดครวญว่า “การนอนแซ่วอยู่กับเตียงด้วยโรคที่คุณก่อกับตัวเอง” ทำให้คนเรารู้สึกเหมือนอ้ายโง่.
ด้วยอำนาจทั้งสิ้นที่เงินซึ่งจ่ายไปในการโฆษณาสามารถซื้อได้ บริษัทยาสูบยักษ์ใหญ่กำลังโจมตีผู้ที่ต่อต้านคัดค้านอย่างหนัก. โฆษณาเรื่องหนึ่งเร้าใจให้กระหายเสรีภาพ โดยเตือนอย่างจริงจังว่า “วันนี้ห้ามบุหรี่. แล้วพรุ่งนี้ล่ะจะห้ามอะไร?” โฆษณานี้บ่งนัยว่า กาเฟอีน, แอลกอฮอล์, และแฮมเบอร์เกอร์ จะเป็นเหยื่อรายต่อ ๆ ไปของพวกนักห้ามโน่นห้ามนี่ที่หลับหูหลับตาคิดเอาเอง.
โฆษณาทางหนังสือพิมพ์ได้พยายามจะทำให้งานวิจัยของสำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐที่มีการอ้างถึงอย่างกว้างขวางซึ่งได้จัดให้ควันบุหรี่ที่คนไม่สูบสูดเข้าไปเป็นสารก่อมะเร็งนั้นไม่น่าเชื่อถือ. อุตสาหกรรมยาสูบแถลงแผนการที่จะต่อสู้ทางกฎหมาย. รายการโทรทัศน์รายการหนึ่งกล่าวหาบริษัทหนึ่งในเรื่องการลอบใช้เล่ห์เปลี่ยนระดับนิโคตินเพื่อกระตุ้นให้ติด. บริษัทโทรทัศน์ที่ออกอากาศรายการนั้นถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายทันทีสองแสนห้าหมื่นล้านบาท.
บริษัทยาสูบทั้งหลายได้ต่อสู้อย่างแข็งขัน แต่บรรยากาศยังคงหนาแน่นยิ่งขึ้นด้วยข้อกล่าวหา. มีการดำเนินงานวิจัยประมาณ 50,000 รายในช่วงสี่สิบปีหลังนี้ ซึ่งยังผลให้หลักฐานเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้ยาสูบกองสูงขึ้นเรื่อย ๆ.
เหล่าบริษัทยาสูบพยายามหลบเลี่ยงข้อกล่าวหาที่มีต่อพวกเขาอย่างไร? พวกเขาดันทุรังยึดถือข้อเท็จจริงที่ทึกทักเอาอย่างหนึ่งที่ว่า พวกนักสูบเลิกสูบ. ดังนั้น เขาบอกว่า นิโคตินไม่ใช่สารเสพย์ติด. แต่สถิติเผยให้เห็นตรงกันข้าม. จริงอยู่ ชาวอเมริกัน 40 ล้านคนเลิกสูบ. แต่อีก 50 ล้านยังสูบอยู่ และ 70 เปอร์เซ็นต์ของพวกนี้บอกว่าเขาต้องการเลิก. จาก 17 ล้านคนที่พยายามเลิกในแต่ละปีนั้น 90 เปอร์เซ็นต์ล้มเหลวภายในปีเดียว.
หลังจากรับการผ่าตัดมะเร็งปอด เกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของนักสูบบุหรี่ในสหรัฐกลับไปสูบอีก. ร้อยละ 38 ของนักสูบที่หัวใจวายเริ่มสูบอีกแม้แต่ก่อนออกจากโรงพยาบาลด้วยซ้ำ. ร้อยละสี่สิบของนักสูบที่ได้รับการผ่าตัดเอาหลอดลมที่เป็นมะเร็งออกจะพยายามสูบอีก.
สามในสี่ของนักสูบวัยรุ่นหลายล้านคนในสหรัฐบอกว่า พวกเขาได้พยายามอย่างจริงจังอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อจะเลิกสูบแต่ก็ล้มเหลว. อนึ่ง สถิติต่าง ๆ เผยให้เห็นว่า สำหรับหนุ่มสาวจำนวนมาก การสูบบุหรี่เป็นขั้นตอนสู่ยาเสพย์ติดที่แรงขึ้น. โอกาสที่นักสูบวัยรุ่นจะใช้โคเคนมีมากกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 50 เท่า. นักสูบบุหรี่วัย 13 ปีคนหนึ่งเห็นด้วย เธอเขียนว่า “ฉันแน่ใจว่าบุหรี่เป็นยาเสพย์ติดขั้นต้น. เกือบทุกคนที่ฉันรู้จัก ยกเว้นแค่สามคน เริ่มสูบบุหรี่ก่อน จะเสพยา.”
บุหรี่ที่มีน้ำมันดินต่ำล่ะจะว่าอย่างไร? การวิจัยแสดงว่า ที่จริงแล้วมันอาจเป็นอันตรายมากกว่า ด้วยเหตุผลสองประการคือ: หนึ่ง นักสูบมักจะสูดควันลึกขึ้นอีกเพื่อดูดซับเอานิโคตินที่ร่างกายของเขากระหาย ทำให้เนื้อเยื่อปอดสัมผัสสิ่งเป็นพิษจากควันมากขึ้น; สอง แนวคิดผิด ๆ ที่ว่า เขากำลังสูบบุหรี่ “ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่า” อาจทำให้เขาเลิกพยายามจะหยุดสูบไปเลย.
มีการทำงานวิจัยไปแล้วมากกว่า 2,000 รายเกี่ยวกับนิโคตินอย่างเดียว. งานวิจัยเหล่านั้นเผยว่า นิโคตินคือหนึ่งในสารที่ทำให้เสพย์ติดมากที่สุดเท่าที่คนเรารู้จัก และหนึ่งในสารที่ก่อผลเสียหายมากที่สุด. นิโคตินทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและทำให้หลอดเลือดตีบ. นิโคตินถูกดูดซับเข้ากระแสเลือดในเจ็ดวินาที เร็วยิ่งกว่าการฉีดของเหลวเข้าเส้นเลือดโดยตรงด้วยซ้ำ. มันทำให้สมองรู้สึกอยากได้มากขึ้น ความอยากที่บางคนบอกว่า แรงเป็นสองเท่าของเฮโรอีน.
ทั้ง ๆ ที่พวกเขาปฏิเสธ เหล่าบริษัทยาสูบรับรู้ไหมว่า นิโคตินมีฤทธิ์ทำให้เสพย์ติด? ข้อบ่งชี้ต่าง ๆ แสดงว่าพวกเขารู้เรื่องนั้นมานานแล้ว. ตัวอย่างเช่น รายงานหนึ่งในปี 1983 เผยให้ทราบว่า นักวิจัยของบริษัทยาสูบแห่งหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า หนูทดลองแสดงอาการติดยาโดยให้นิโคตินตนเองอย่างสม่ำเสมอด้วยการดันคันโยกเป็นประจำ. ตามรายงาน การวิจัยนั้นถูกอุตสาหกรรมยาสูบระงับอย่างรวดเร็วและเพิ่งรู้กันเมื่อไม่นานนี้เอง.
บริษัทยาสูบยักษ์ใหญ่ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยขณะที่ถูกกระหน่ำโจมตีรอบด้าน. สภาวิจัยยาสูบในกรุงนิวยอร์กดำเนินการในสิ่งที่หนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล เรียกว่า “การรณรงค์ให้ข้อมูลผิด ๆ ระยะยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ธุรกิจสหรัฐ.”
ในนามของการดำเนินงานวิจัยแบบเอกเทศ สภานั้นได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในการต่อสู้กับเหล่าผู้โจมตี. ทั้งหมดเริ่มต้นในปี 1953 เมื่อนายแพทย์ เอิร์นส์ท วินเดอร์ แห่งศูนย์มะเร็งเมโมเรียล สโลน-เค็ตเทอริงพบว่า น้ำมันดินในบุหรี่ที่ทาบนหลังหนูนั้นทำให้เกิดเนื้องอก. อุตสาหกรรมยาสูบได้จัดตั้งสภานั้นขึ้นมาเพื่อทำให้หลักฐานชัดแจ้งซึ่งรวบรวมมาต่อต้านผลิตภัณฑ์ของตนนั้นใช้ไม่ได้ โดยหักล้างด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาเอง.
แต่พวกนักวิทยาศาสตร์ของสภาให้ผลวิจัยที่ขัดแย้งกับการค้นพบของพวกนักวิจัยอื่น ๆ ได้อย่างไร? เอกสารที่ออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้เปิดเผยถึงกลอุบายที่โยงใยซับซ้อน. นักวิจัยหลายคนของสภาซึ่งถูกผูกมัดโดยหนังสือสัญญาและถูกควบคุมโดยกลุ่มทนายความที่เฝ้าจับตามอง ได้พบว่าความกลัวในเรื่องสุขภาพที่เพิ่มขึ้นนั้นมีเหตุผลดี. แต่เมื่อเผชิญข้อเท็จจริง ตามที่หนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล กล่าว สภานั้น “บางครั้งไม่นำพา หรือแม้แต่หยุดงานวิจัยของตนเองซึ่งบ่งชี้ว่าการสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ.”
การวิจัยหาบุหรี่ที่ปลอดภัยกว่าดำเนินต่อไปอย่างลับ ๆ เป็นเวลาหลายปี. การจะทำเช่นนั้นอย่างเปิดเผยคงเป็นการยอมรับโดยดุษณีว่า การสูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจริง ๆ. พอสิ้นทศวรรษปี 1970 ทนายความอาวุโสของบริษัทยาสูบแห่งหนึ่งเสนอแนะให้ล้มเลิกความพยายามต่าง ๆ เพื่อผลิตบุหรี่ “ที่ปลอดภัย” เพราะไร้ประโยชน์ และให้เก็บซ่อนเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง.
จากหลายปีที่ทดลอง มีสองสิ่งเป็นที่ชัดแจ้ง: นิโคตินเป็นสารเสพย์ติดจริง และการสูบบุหรี่ทำให้ถึงตายจริง. ถึงแม้ปฏิเสธข้อเท็จจริงเหล่านี้อย่างแข็งกร้าวต่อสาธารณชน บริษัทยาสูบก็แสดงให้เห็นโดยการกระทำของตนว่า พวกเขาก็รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดนั้นเป็นอย่างดีทีเดียว.
โดยกล่าวหาว่ามีการจงใจใช้เล่ห์เปลี่ยนระดับนิโคติน เดวิด เคสเลอร์ ผู้อำนวยการองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐกล่าวดังนี้: “ที่จริง บุหรี่บางอย่างในสมัยนี้อาจถือได้ว่าเป็นระบบส่งผ่านนิโคตินที่มีเทคโนโลยีระดับสูงซึ่งส่งผ่านนิโคตินด้วยปริมาณที่คำนวณอย่างแม่นยำ . . . เพียงพอจะสร้างและคงไว้ซึ่งการเสพย์ติด.”
นายเคสเลอร์เปิดเผยว่า พวกบริษัทยาสูบเป็นเจ้าของสิทธิบัตรหลายฉบับซึ่งพิสูจน์เจตนาของเขา. ฉบับหนึ่งสำหรับพันธุ์ยาสูบซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ให้นิโคตินสูงสุดเท่าที่รู้จักกัน. กรรมวิธีอีกอย่างหนึ่งเพื่อใส่นิโคตินในก้นกรองและกระดาษมวนบุหรี่เพื่อให้แรงขึ้นอีก. ยังมีอีกวิธีหนึ่งสำหรับทำให้มีนิโคตินในควันเฮือกแรก ๆ ที่สูดมากกว่าในตอนท้าย. นอกจากนี้ เอกสารต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมนั้นยังแสดงว่า มีการใส่สารประกอบแอมโมเนียเพิ่มในบุหรี่เพื่อให้ปล่อยนิโคตินจากยาสูบมากขึ้น. “เกือบสองเท่าของปริมาณการสูบตามปกติเข้าสู่กระแสเลือดผู้สูบ” หนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงาน. องค์การอาหารและยาประกาศว่านิโคตินเป็นยาเสพย์ติดและประสงค์จะควบคุมบุหรี่ต่าง ๆ อย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น.
รัฐบาลต่าง ๆ ก็พึ่งยาสูบในวิถีทางของตน. ยกตัวอย่าง รัฐบาลสหรัฐจัดเก็บภาษีของรัฐและของประเทศได้ 300,000 ล้านบาทต่อปีจากผลิตภัณฑ์ยาสูบ. เมื่อคำนวณจากค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและการสูญเสียสมรรถนะในการผลิต สำนักประเมินผลทางเทคโนโลยีแห่งสหรัฐคำนวณว่า ต้องสูญเงินถึง 1,700,000 ล้านบาทต่อปีเนื่องจากการสูบบุหรี่.
จริง ๆ แล้ว ด้วยข้ออ้างต่าง ๆ ในเรื่องผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจและการสร้างงานให้ทำมากมาย, การสนับสนุนด้านศิลปะด้วยความเอื้อเฟื้อ, การปฏิเสธอย่างรุนแรงในเรื่องอันตรายต่อสุขภาพ อุตสาหกรรมยาสูบได้ส่งบัลลูนที่ดูพิลึกจำนวนหนึ่งเพื่อป้องกันตัว. บัลลูนเหล่านั้นจะมีประสิทธิภาพมากกว่าบัลลูนสกัดกั้นการโจมตีที่อยู่เหนือลอนดอนหรือไม่ ก็ต้องคอยดูกัน.
แต่เป็นที่เห็นได้ชัดว่า บริษัทยาสูบยักษ์ใหญ่ไม่อาจซ่อนธาตุแท้ของตนได้อีกต่อไปแล้ว. พวกเขาทำเงินเป็นล้าน ๆ, พวกเขาฆ่าคนเป็นล้าน ๆ, แต่ดูเหมือนพวกเขาไม่สะทกสะท้านเลยว่าผลสุดท้ายก็คือความหายนะอันน่าสะพรึงกลัวในชีวิตมนุษย์.
[จุดเด่นหน้า 8]
บัลลูนเหล่านั้นดูเหมือนบรรจุแต่ลมปาก
[จุดเด่นหน้า 9]
งานวิจัยรายหนึ่งของรัฐบาลบ่งว่า ควันบุหรี่ที่ผู้ไม่สูบสูดเข้าไปนั้นเป็นสารก่อมะเร็ง
[จุดเด่นหน้า 10]
นิโคตินคือหนึ่งในสารที่ทำให้เสพย์ติดมากที่สุดเท่าที่รู้จักกัน
[จุดเด่นหน้า 11]
พวกเขาทำเงินเป็นล้าน ๆ พวกเขาฆ่าคนเป็นล้าน ๆ
[กรอบหน้า 10]
งานวิจัย 50,000 ราย—พวกเขาพบอะไร?
นี่คือตัวอย่างเล็กน้อยเกี่ยวกับความห่วงใยเรื่องสุขภาพซึ่งพวกนักวิจัยยกขึ้นมาอันเกี่ยวเนื่องกับการใช้ยาสูบ:
มะเร็งปอด: ในผู้เสียชีวิตด้วยมะเร็งปอด เป็นผู้สูบบุหรี่ถึง 87 เปอร์เซ็นต์.
โรคหัวใจ: ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจมากกว่าถึง 70 เปอร์เซ็นต์.
มะเร็งเต้านม: สตรีที่สูบบุหรี่ 40 มวนหรือมากกว่านี้ต่อวันมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากมะเร็งเต้านมมากกว่าถึง 74 เปอร์เซ็นต์.
การได้ยินเสื่อม: ทารกของมารดาที่สูบบุหรี่มีความลำบากมากกว่าในการแยกแยะเสียง.
อันตรายต่อผู้เป็นโรคเบาหวาน: ผู้เป็นโรคเบาหวานซึ่งสูบบุหรี่หรือเคี้ยวยาเส้นมีทางเป็นไปได้สูงกว่าในเรื่องไตเสีย และเป็นโรคของเรตินาเร็วกว่า (เนื้อเยื่อรับภาพของดวงตาเสีย).
มะเร็งลำไส้ใหญ่: งานวิจัยสองรายเกี่ยวข้องกับผู้คนกว่า 150,000 คนแสดงให้เห็นความเกี่ยวโยงชัดเจนระหว่างการสูบบุหรี่กับมะเร็งลำไส้ใหญ่.
โรคหืด: ควันบุหรี่ที่พ่นออกมาอาจทำให้โรคหืดในเด็ก ๆ ยิ่งหนักขึ้น.
มีแนวโน้มจะสูบบุหรี่: บุตรสาวของสตรีที่สูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์มีความเป็นไปได้สูงกว่าถึงสี่เท่าที่จะสูบบุหรี่.
มะเร็งเม็ดเลือดขาว: ดูเหมือนว่าการสูบบุหรี่จะเป็นเหตุให้เกิดไมอะลอยด์ลิวคีเมีย.
การบาดเจ็บขณะออกกำลังกาย: ตามการสำรวจของกองทัพสหรัฐ ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสได้รับการบาดเจ็บมากกว่าขณะออกกำลังกาย.
ความจำ: นิโคตินปริมาณมากที่ได้รับแต่ละครั้งอาจทำให้ความไวของสมองลดลงขณะที่คนเราทำงานที่ซับซ้อน.
ความซึมเศร้า: เหล่าจิตแพทย์กำลังตรวจสอบหลักฐานในเรื่องความเกี่ยวพันระหว่างการสูบบุหรี่กับความซึมเศร้าอย่างหนัก รวมทั้งโรคจิตเภทด้วย.
อัตวินิบาตกรรม: การสำรวจนางพยาบาลเผยให้เห็นว่า ในหมู่นางพยาบาลซึ่งสูบบุหรี่ มีความเป็นไปได้ที่จะทำอัตวินิบาตกรรมมากกว่าถึงสองเท่า.
อันตรายอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้าในรายการดังกล่าวมี: มะเร็งที่ปาก, กล่องเสียง, คอ, หลอดอาหาร, ตับอ่อน, กระเพาะ, ลำไส้เล็ก, กระเพาะปัสสาวะ, ไต, และคอมดลูก; โรคเส้นเลือดสมอง, หัวใจวาย, โรคปอดเรื้อรัง, โรคเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนโลหิต, แผลเปื่อยที่เยื่อบุกระเพาะอาหาร, โรคเบาหวาน, เป็นหมัน, ทารกคลอดมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ, กระดูกพรุน, และการติดเชื้อในช่องหู. อีกทั้งอัคคีภัยก็อาจเพิ่มเข้าได้ด้วยเนื่องจากการสูบบุหรี่คือสาเหตุใหญ่ของการเกิดเพลิงไหม้บ้าน, โรงแรม, และโรงพยาบาล.
[กรอบหน้า 12]
ยาสูบไร้ควัน—สิ่งอันตรายที่ใช้แทน
บริษัทผู้นำในอุตสาหกรรมยาสูบผงมูลค่า 27,500 ล้านบาท ได้ล่อใจผู้เริ่มใช้กลุ่มเล็ก ๆ อย่างมีเล่ห์เหลี่ยมด้วยการปรุงแต่งกลิ่นรส. มียาสูบผงที่ปรุงแต่งกลิ่นรสตราต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมกัน. ความรู้สึกแรกเมื่อสูดผงยาสูบให้ความพอใจบ้างแต่ไม่นาน. อดีตรองประธานบริษัทยาสูบนี้คนหนึ่งกล่าวว่า “ผู้คนจำนวนมากเริ่มใช้ยาสูบผงที่มีกลิ่นรสมากกว่า แต่ในที่สุด พวกเขาก็จะใช้ [ตราที่แรงที่สุด].” ตรานี้มีการโฆษณาว่าเป็น “ยาสูบใช้เคี้ยวรสแรงสำหรับชายฉกรรจ์” และ “รสถึงใจ.”
หนังสือพิมพ์ เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ซึ่งรายงานข่าวเกี่ยวกับกลเม็ดของบริษัทนี้และได้ยกเอาคำปฏิเสธของบริษัทเรื่อง “การแอบใช้เล่ห์เปลี่ยนระดับนิโคติน” ขึ้นมากล่าว. หนังสือพิมพ์นี้ยังกล่าวด้วยว่า อดีตนักเคมีของบริษัทสองคนซึ่งพูดถึงหัวข้อนี้เป็นครั้งแรก กล่าวว่า “ขณะที่บริษัทไม่ได้ใช้เล่ห์เปลี่ยนระดับนิโคติน แต่บริษัทได้เปลี่ยนปริมาณนิโคตินที่ผู้ใช้ดูดซับเอา.” พวกเขาบอกว่า บริษัทเพิ่มสารเคมีเข้าไปเพื่อเพิ่มความเข้มของด่างในยาสูบผงของตน. ยิ่งยาสูบผงมีความเป็นด่างมากเท่าไร ก็ “ยิ่งปล่อยนิโคตินออกมามากเท่านั้น.” หนังสือพิมพ์นี้เพิ่มความกระจ่างเกี่ยวกับยาสูบผงและยาสูบใช้เคี้ยวดังนี้: “ยาสูบผง ซึ่งบางครั้งทำให้สับสนกับยาสูบที่ใช้เคี้ยว คือยาสูบหั่นฝอยที่ผู้ใช้ดูดเอา แต่ไม่เคี้ยว. ผู้ใช้จะหยิบขึ้นมาหยิบหนึ่งและยัดไว้ระหว่างแก้มกับเหงือก ใช้ลิ้นดุนย้ายไปมาและบ้วนน้ำลายทิ้งเป็นครั้งคราว.”
ยาสูบผงตราที่ปรุงกลิ่นรส ซึ่งผลิตขึ้นสำหรับผู้เริ่มใช้ปล่อยนิโคตินที่มีอยู่ออกมาเพียง 7 ถึง 22 เปอร์เซ็นต์สำหรับการดูดซึมเข้ากระแสเลือด. ตราที่เข้มข้นที่สุดอาจทำให้ผู้ใช้ใหม่ ๆ สำลักได้. ยาสูบตรานี้เป็นแบบที่หั่นอย่างละเอียดสำหรับชาย “แท้.” ยาสูบผงชนิดนี้ “ปล่อย” นิโคตินออกมาถึงเจ็ดสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ พร้อมให้ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทันที. ในสหรัฐ ผู้ที่เริ่มใช้ยาสูบผงมีวัยโดยเฉลี่ยเก้าขวบ. และคนวัยเก้าขวบคนไหนล่ะจะอดใจได้นานโดยไม่ใช้ตราที่แรงกว่าและร่วมเป็นชาย “แท้”?
แท้จริงแล้ว นิโคตินที่รับจากการใช้ครั้งหนึ่ง ๆ แรงกว่าที่ได้รับจากบุหรี่. ตามรายงาน ผู้ใช้ยาสูบผงมีโอกาสเกิดมะเร็งปากมากกว่าถึง 4 เท่า และมีโอกาสเกิดมะเร็งลำคอมากกว่าผู้ไม่ใช้ถึง 50 เท่า.
เสียงประท้วงบริษัทยาสูบจากสาธารณชนในสหรัฐดังขึ้นพักหนึ่งเมื่อมีการยื่นฟ้องร้องบริษัทยาสูบโดยมารดาของอดีตนักกรีฑาดาวรุ่งของโรงเรียนมัธยมปลายซึ่งเสียชีวิตเพราะมะเร็งปาก. เขาได้รับยาสูบผงฟรีกระป๋องหนึ่งที่การแสดงขี่ม้าพยศเมื่ออายุ 12 ขวบแล้วก็กลายเป็นผู้ใช้ยาสูบผงสัปดาห์ละสี่กระป๋อง. หลังจากเขาได้รับการผ่าตัดอันเจ็บปวดหลายครั้ง ซึ่งผ่าตัดลิ้น, ขากรรไกร, และคอ แพทย์ก็วางมือ. ชายหนุ่มคนนี้เสียชีวิตเมื่ออายุ 19 ปี.
[กรอบหน้า 13]
วิธีเลิกสูบบุหรี่
หลายล้านคนประสบผลสำเร็จในการเลิกติดนิโคติน. หากคุณเป็นนักสูบคนหนึ่ง แม้จะสูบมานาน คุณก็เลิกนิสัยที่ให้โทษนี้ได้เช่นกัน. ต่อไปนี้คือข้อแนะบางประการที่อาจช่วยได้:
• จงรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น. อาการถอนยาอาจรวมถึงความกระวนกระวาย, หงุดหงิด, วิงเวียน, ปวดศีรษะ, นอนไม่หลับ, ไม่สบายท้อง, หิว, อาการอยาก, ไม่มีสมาธิ, และอาการสั่นกระตุก. แน่นอน ไม่ใช่การคาดหมายที่น่าพอใจ แต่อาการหนักที่สุดมีอยู่ไม่กี่วันเท่านั้นและจะค่อย ๆ เบาลงเมื่อร่างกายพ้นจากการเป็นทาสนิโคติน.
• ทีนี้การต่อสู้ทางจิตใจเริ่มต้นอย่างจริงจัง. ไม่ใช่เพียงร่างกายคุณเท่านั้นกระหายนิโคติน แต่จิตใจคุณก็ถูกปรับไปตามพฤติกรรมต่าง ๆ ที่พัวพันกับการสูบบุหรี่. จงวิเคราะห์กิจวัตรของคุณเพื่อดูว่า เมื่อไรคุณเอื้อมหยิบบุหรี่โดยอัตโนมัติ และเปลี่ยนรูปแบบเสียใหม่. ยกตัวอย่าง ถ้าคุณสูบบุหรี่ทันทีหลังอาหาร จงตั้งใจแน่วแน่จะลุกจากโต๊ะทันทีและไปเดินเล่นหรือล้างจาน.
• เมื่อคุณเกิดความอยากรุนแรง อาจเนื่องจากในช่วงที่เครียด จำไว้ว่าตามปกติแล้วแรงกระตุ้นนั้นจะผ่านไปภายในห้านาที. จงเตรียมใจให้พร้อมจะหมกมุ่นอยู่กับการเขียนจดหมาย, ออกกำลังกาย, หรือรับประทานอาหารว่างที่มีประโยชน์. การอธิษฐานเป็นการช่วยเหลือที่ทรงพลังเพื่อให้มีการบังคับตัว.
• หากคุณท้อแท้เนื่องจากความพยายามเลิกนั้นล้มเหลว อย่ายอมแพ้. สิ่งสำคัญคือ พยายามต่อ ๆ ไป.
• หากการคาดว่าน้ำหนักจะเพิ่มมายับยั้งคุณ จงจำไว้เสมอว่า ผลประโยชน์จากการเลิกบุหรี่มีเกินกว่าผลเสียหายจากน้ำหนักเพิ่มไม่กี่กิโลกรัมนั้นมากมายนัก. ถ้ามีผลไม้หรือผักอยู่ใกล้มือคงช่วยได้. และดื่มน้ำมาก ๆ.
• การจะหยุดสูบบุหรี่เป็นเรื่องหนึ่ง. ส่วนการจะเลิกใช้ยาสูบตลอดไปนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งทีเดียว. จงตั้งเป้าเรื่องเวลาไว้สำหรับการไม่สูบบุหรี่: หนึ่งวัน, หนึ่งสัปดาห์, สามเดือน, ตลอดไป. พระเยซูตรัสดังนี้: “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.” (มาระโก 12:31) เพื่อจะรักเพื่อนบ้านของคุณ จงเลิกสูบบุหรี่. เพื่อจะรักตัวคุณเอง จงเลิกสูบบุหรี่.—โปรดดูเรื่อง “การสูบบุหรี่—ทัศนะของคริสเตียน” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8 กรกฎาคม 1989 หน้า 14-16.