การรับมือกับโรคแพนิก
โรเบิร์ตกำลังนั่งอย่างสบายในห้องทำงานของเขา. ทันใดนั้น หัวใจของเขา เริ่มเต้นระรัว. เขารีบนั่งตัวตรง ขณะที่หน้าผากมีเหงื่อไหลโซก. โรเบิร์ตแน่ใจว่า ตัวเองกำลังจะหัวใจวาย! เขาคว้าหูโทรศัพท์ แล้วละล่ำละลักออกไปว่า “สิ่งเลวร้ายกำลังเกิดขึ้นกับผม. ผมรู้สึกเหมือนจะหน้ามืด!”
นี่เป็นครั้งแรกที่โรเบิร์ตมีอาการของโรคแพนิก (โรคทางจิตที่มีอาการหวาดกลัวอย่างรุนแรง). น่าเศร้าที่อาการนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของเขา. ต่อมาความรู้สึกอย่างเดียวกันนี้ได้เกิดกับเขาอีกที่ภัตตาคารและศูนย์การค้า. อาการแพนิกถึงกับมาเยือนเขาอีกขณะกำลังเยี่ยมเพื่อนอยู่. ไม่นาน สถานที่เดียวซึ่ง “ปลอดภัย” สำหรับโรเบิร์ตก็คือบ้าน. เขาค่อย ๆ กลายเป็นคนซึมเศร้า. เขายอมรับว่า “ผมถึงกับเคยคิดจะฆ่าตัวตาย.”
หกเดือนต่อมา โรเบิร์ตเผอิญพบบทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์ซึ่งพูดถึงโรคแพนิกและแอกโกราโฟเบีย (โรคกลัวที่โล่งแจ้ง และกลัวการอยู่ในที่ชุมชน). สิ่งที่เขาเรียนรู้ได้ช่วยชีวิตเขาไว้.
ทำไมจึงตกใจกลัว?
ความตกใจกลัวเป็นการตอบสนองตามปกติของร่างกายต่ออันตราย. ลองนึกภาพว่า ขณะกำลังเดินข้ามทางหลวง โดยกะทันหันคุณสังเกตเห็นรถยนต์คันหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาหา. การเปลี่ยนแปลงทันทีทันใดทางด้านกายภาพและทางเคมีในร่างกายสามารถทำให้คุณพุ่งหลบอย่างรวดเร็วเพื่อพ้นภัย.
แต่คราวนี้ ลองนึกภาพความรู้สึกตกใจกลัวอย่างเดียวกันโดยไม่มีสาเหตุแจ่มชัด. ดร. อาร์. รีด วิลสัน บอกว่า “อาการแพนิกเกิดขึ้นเมื่อความตกใจกลัวหลอกสมองให้คิดว่ามีอันตรายจ่ออยู่ใกล้ ๆ. ลองนึกภาพตัวคุณกำลังยืนอยู่ตรงทางเดินในร้านขายของชำ ไม่มีเรื่องมีราวกับใคร. พรึบ. สวิตช์ไฟฉุกเฉินในตัวคุณ เปิด. ‘ภัยประชิด! ทุกระบบเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้!’”
เฉพาะแต่ผู้ซึ่งเคยมีอาการดังกล่าวเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้ดีถึงความรุนแรงของมัน. วารสารอเมริกัน เฮลท์พรรณนาอาการนี้ว่าเป็น “การฉีดของสารอะดรีนาลิน ที่วิ่งไปทั่วร่างกายของคุณเป็นเวลาห้านาที หรือหนึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งวัน และแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วลึกลับเหมือนตอนมา ปล่อยให้คุณอ่อนเปลี้ย หมดเรี่ยวหมดแรง และหวาดผวากับการจู่โจมครั้งต่อไป.”
ที่มาของความตกใจกลัว
โดยปกติ อาการแพนิกจะเริ่มเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย. อะไรเป็นสาเหตุ? ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด. บางคนบอกว่า ผู้เป็นโรคนี้มีความโน้มเอียงทางชีวภาพอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากความผิดปกติในระบบลิมบิกของสมอง. หลายคนรู้สึกว่าอาการนี้อาจเป็นกรรมพันธุ์ ขณะที่คนอื่น ๆ อ้างว่าเคมีในสมองถูกเปลี่ยนโดยปัจจัยต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความเครียด.
ในบางรายอาการนี้เกิดจากความทรงจำเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ยังความบอบช้ำทางจิตใจ เช่น สงคราม, การถูกข่มขืน, หรือการถูกทำร้ายทางเพศในวัยเด็ก. การสำรวจรายหนึ่งเผยให้เห็นว่า ผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อของอินเซสต์ (การร่วมประเวณีระหว่างญาติ) ซึ่งมีอาการผิดปกติด้วยโรคแพนิก มีอัตราสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไปถึง 13 เท่า. ที่จริง ขณะที่โรคแพนิกและกลุ่มอาการของโรคอื่น ๆ ในตัวเองก็เป็นปัญหาหนักเอาการอยู่แล้ว แต่ก็ยังอาจเป็นสิ่งที่นักเขียน อี. ซู บลูม เรียกว่า “ซี่ล้อที่มีอินเซสต์เป็นดุม.”
แน่ละ ใช่ว่าอาการของโรคแพนิกทั้งหมดจะเกิดจากความบอบช้ำทางจิตใจ. แต่ดร. เวย์น คริตส์เบิร์ก เตือนว่าในกรณีเช่นนั้น “การรักษาผลพวงอันดับรองของโรคนี้—แทนที่จะบำบัดความบอบช้ำทางจิตใจที่เป็นมูลราก—จะไม่แก้ปัญหาแบบถาวร. คงจะคล้าย ๆ กับการจิบยาแก้ไอเพื่อรักษาอาการปอดบวม.”
จะรักษาให้หายได้ไหม?
อาการแพนิกสามารถควบคุมได้. หลายคน ซึ่งการกลัวว่าจะต้องประสบกับอาการแพนิกทำให้พวกเขาเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ได้รับการช่วยเหลือโดยวิธีบำบัดแบบให้เผชิญหน้า. ในการรักษาด้วยวิธีนี้ คนไข้จะถูกนำออกมาอยู่ในสถานการณ์ที่เขากลัว และได้รับความช่วยเหลือให้อยู่ในสภาพนั้นจนกระทั่งความตกใจกลัวบรรเทาลง. คนที่มีปัญหาเรื่องหัวใจ, โรคหอบหืด, แผลในกระเพาะ, ลำไส้ใหญ่อักเสบ, หรือโรคที่คล้ายกันนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนลองใช้การรักษาดังกล่าว.
เทคนิคในการผ่อนคลายสามารถนำมาใช้ได้เพื่อบรรเทาความวิตกกังวลที่ก่อตัวขึ้น.a วิธีเหล่านี้บางอย่างมีการพิจารณาในกรอบสี่เหลี่ยม “ทักษะในการทำให้ใจสงบ” ของบทความนี้. แต่ไม่ต้องคอยให้ความตกใจกลัวเกิดขึ้น. ทักษะดังกล่าวจะฝึกได้ดีที่สุดในช่วงที่ความกังวลมีระดับต่ำ. เมื่อฝึกจนชำนาญ ทักษะนั้นสามารถบรรเทาหรือกระทั่งป้องกันอาการของโรคนี้ได้ในอนาคต.
โรคแพนิกเฟื่องฟูในหมู่ผู้ที่ถือว่าทุกสิ่งต้องสมบูรณ์ชนิดหาที่ติไม่ได้ และผู้ที่มีความนับถือตัวเองต่ำ. ผู้ทนทุกข์คนหนึ่งบอกว่า “ขณะที่ผมกำลังถูกความวิตกกังวลจู่โจม เจ้าความคิดในแง่ลบก็เข้ามาครอบงำชีวิตของผม. ผมบอกตัวเองว่า เนื่องจากผมมีความกังวล ผมด้อยกว่าผู้อื่น และดังนั้นจึงเป็นคนไม่น่ารัก.” การพลิกเปลี่ยนเจตคติดังกล่าวสามารถลดความกังวลซึ่งนำไปสู่โรคแพนิกได้.b
นับว่ามีคุณค่าอย่างมากในการเผยความกังวลแก่เพื่อนที่วางใจได้. การพูดคุยถึงสิ่งนั้นสามารถช่วยผู้ทนทุกข์ให้แยกแยะปัญหาต่าง ๆ ที่จะต้องทนรับต่อไปกับปัญหาที่สามารถแก้ได้. ที่ไม่ควรมองข้ามคือการอธิษฐาน. บทเพลงสรรเสริญ 55:22 (ล.ม.) บอกว่า “จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยะโฮวา และพระองค์เองจะทรงค้ำจุนท่าน. ไม่มีวันที่พระองค์จะทรงยอมให้คนชอบธรรมกะปลกกะเปลี้ยเลย.”
แทนที่จะเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาเดียว บ่อยครั้งมักเป็นการสะสมของความทุกข์ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดูเหมือนว่าไม่สลักสำคัญซึ่งทำให้เกิดอาการแพนิก—คล้ายกันกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีหลายตัวเกินไป เมื่อใช้กระแสไฟจากวงจรเดียวกันก็อาจทำให้ฟิวส์ขาดได้. วิธีแก้อย่างหนึ่งก็คือ เขียนปัญหาแต่ละอย่างลงบนบัตรดัชนี แล้วจัดเรียงลำดับตั้งแต่ปัญหาง่ายที่สุดไปจนถึงปัญหายากที่สุด. จัดการปัญหาทีละอย่าง. การเขียนความทุกข์หนักใจของคุณออกมาจะเปลี่ยนโครงสร้างของความทุกข์นั้นจากสิ่งที่คุณกลัวและหลีกเลี่ยง เป็นสิ่งที่คุณกล้าเผชิญและแก้ไขได้.
บางคนได้รับการช่วยโดยรับประทานยากล่อมประสาทหรือยาต้านอาการซึมเศร้าที่แพทย์จ่ายให้. อย่างไรก็ดี ความระมัดระวังนับเป็นสิ่งเหมาะสม. เมลวิน กรีน ผู้ให้คำปรึกษากล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าลำพังยาเพียงอย่างเดียวจะแก้ได้. ควรใช้ยาเป็นส่วนประกอบขณะเสาะหา วิธีแก้. . . . ยาอาจทำให้คุณปฏิบัติภารกิจประจำวันได้มากขึ้น และนั่นจะทำให้คุณมีโอกาสเสาะหาความช่วยเหลืออื่น ๆ ได้เพื่อจัดการกับสาเหตุของแอกโกราโฟเบีย และดำเนินการเพื่อให้หายเป็นปกติ.”
ปัญหาทางฝ่ายวิญญาณหรือ?
เบรนดา กล่าวว่า “ดิฉันคิดว่าคริสเตียนไม่น่าจะประสบกับอาการวิตกกังวล เพราะพระเยซูตรัสว่า ‘อย่ากระวนกระวาย.’ ดิฉันจึงลงความเห็นว่า ตัวเองคงไม่ได้ไว้วางใจในพระเจ้าอย่างเพียงพอ.” กระนั้น บริบทแห่งคำตรัสของพระเยซูที่มัดธาย 6:34 แสดงให้เห็นว่า พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงอาการผิดปกติของโรคแพนิก. แต่พระองค์ทรงเน้นถึงอันตรายของการเป็นห่วงสิ่งฝ่ายวัตถุมากกว่าสิ่งฝ่ายวิญญาณ.
ที่จริง แม้คนที่จัดเอาผลประโยชน์ทางฝ่ายวิญญาณมาเป็นอันดับแรกก็อาจทุกข์ทรมานด้วยอาการผิดปกตินี้ ดังประสบการณ์ต่อไปนี้ของสตรีชาวฟินแลนด์คนหนึ่งแสดงให้เห็น.
“ทั้งเพื่อนร่วมงานและดิฉันเป็นพยานพระยะโฮวา กำลังทำงานเผยแพร่ตามบ้าน. ทันใดนั้น ดิฉันรู้สึกวิงเวียน. ความคิดของดิฉันถูกสกัดกั้น. ทุกสิ่งดูเหมือนภาพหลอน และดิฉันกลัวว่าตัวเองจะยืนไม่อยู่. ณ บ้านถัดไป ดิฉันไม่สามารถสนทนาให้เป็นที่เข้าใจได้เลย.
“ประสบการณ์ที่น่าหวาดกลัวนี้เกิดขึ้นในปี 1970. นี่เป็นครั้งแรกของอาการเจ็บป่วยประหลาด ๆ ที่ติดตามมาเป็นลำดับซึ่งก่อกวนดิฉันตลอดสองทศวรรษต่อจากนั้น. ครั้งแล้วครั้งเล่า ดิฉันจะพบว่าตัวเองอยู่ในโลกที่มืดมนสับสน ไม่สามารถคิดอะไรได้กระจ่างแจ้ง. ดิฉันจะรู้สึกวิงเวียน และหัวใจก็จะเต้นตึ้ก ๆ ตั้ก ๆ. ดิฉันจะพูดตะกุกตะกัก หรือไม่ก็ลืมเรื่องที่จะพูดทั้งหมด.
“ดิฉันอยู่ในวัยสาว กระปรี้กระเปร่า และเป็นพยานพระยะโฮวา ทำงานเผยแพร่เต็มเวลา. ดิฉันรักที่จะช่วยคนอื่น ๆ ให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิลสักเพียงไร! แต่อาการเหล่านี้เป็นความทุกข์ทรมานที่กระหน่ำดิฉันไม่ขาดสาย. ดิฉันนึกสงสัยว่า ‘มีอะไรผิดปกติกับฉัน?’ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาวินิจฉัยอาการของดิฉันว่าเป็นโรคลมชักเทมโปรอล (temporal epilepsy). ดิฉันได้กินยาตามที่เขาสั่งเป็นเวลาถึงสิบปีนับจากนั้น. แต่ดิฉันก็ยังสงสัยว่าทำไมแทบไม่ได้ผลอะไรเลย. ดิฉันเริ่มยอมรับสภาพของตัวเองว่าคงเป็นอะไรบางอย่างที่จะต้องทนรับกันไป.
“หลังจากระยะหนึ่ง ดิฉันได้มาตระหนักว่าอาการป่วยนั้นไม่ใช่โรคลมชัก และการกินยาตามใบสั่งแพทย์ไม่ได้ผล. แม้กระทั่งการเดินไปยังที่ที่คุ้นเคยก็เป็นงานที่ลำบากเหลือกำลัง. ดิฉันกลัวการพบเห็นไม่ว่าใครก็ตามที่อาจเจอตามทาง. ต้องออกแรงสุดกำลังเพื่อจะเข้าร่วมประชุมคริสเตียน. ดิฉันมักจะนั่งเหงื่อแตกและหน้ามืดตาลายพร้อมด้วยมือกุมขมับ, หัวใจเต้นตึ้ก ๆ, ความคิดมืดตื้อ. บางครั้งดิฉันรู้สึกตึงและเป็นตะคริวไปทั้งตัว. ครั้งหนึ่ง ดิฉันเชื่อว่าตัวเองกำลังจะตาย.
“งานเผยแพร่ช่วยค้ำจุนดิฉันไว้ แม้ว่าการที่ดิฉันสามารถทำงานนั้นต่อไปได้จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างมาก. บางครั้ง การนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องหนักหน่วงจนเพื่อนร่วมงานต้องนำแทน. จริง ๆ แล้ว งานเผยแพร่ของเราเป็นงานที่ทำเป็นทีม และในที่สุดพระเจ้าจะเป็นผู้คอยดูเพื่อทำให้เกิดผล. (1 โกรินโธ 3:6,7) คนที่เป็นเสมือนแกะจะฟังและตอบรับถึงแม้ผู้สอนจะมีขีดจำกัด.
“วันหนึ่งในเดือนมีนาคมปี 1991 สามีให้ดิฉันดูหนังสือเล่มเล็กเกี่ยวกับอาการผิดปกติของโรคแพนิก. อาการต่าง ๆ ที่พรรณนาไว้เหมือนของดิฉันเปี๊ยบเลย! ดิฉันอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนั้น, เข้าฟังการบรรยาย, และนัดหมายเพื่อเข้าพบผู้ชำนัญพิเศษ. ในที่สุด หลังจากยี่สิบปีผ่านไป ก็ระบุได้ว่าปัญหาของดิฉันคืออะไร. ดิฉันกำลังจะหายเป็นปกติ!
“ผู้ป่วยส่วนใหญ่ซึ่งมีอาการผิดปกติของโรคแพนิกสามารถได้รับความช่วยเหลือด้วยการรักษาที่ถูกวิธี. เพื่อน ๆ ก็อาจเป็นแหล่งแห่งการหนุนใจได้มากหากพวกเขาเป็นคนเห็นอกเห็นใจ. แทนที่จะสุมความรู้สึกผิดให้กับผู้ทุกข์หนักอยู่แล้ว เพื่อนที่สังเกตเข้าใจจะตระหนักว่าผู้ที่มีอาการผิดปกติของโรคแพนิกไม่ได้เจตนาต่อต้านสังคม.—เทียบกับ 1 เธซะโลนิเก 5:14.
“เมื่อนึกทบทวนช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านไป ดิฉันรู้สึกขอบคุณที่ตลอดระยะเวลานั้นดิฉันสามารถคงอยู่ในงานเผยแพร่เต็มเวลาได้. เป็นพระพรที่คุ้มค่ากับการบากบั่นพยายาม. ขณะเดียวกัน ดิฉันตระหนักว่า บางคนจำต้องสละสิทธิพิเศษแห่งงานรับใช้เนื่องจากสุขภาพไม่ดี เช่นเดียวกับเอปาฟะโรดีโต. พระยะโฮวาไม่ทรงผิดหวังในบุคคลเช่นนั้น. พระองค์ไม่คาดหมายเกินกว่าที่คนเราจะให้ได้อย่างสมเหตุสมผล.
“การอดทนกับอาการนี้สอนดิฉันไม่ให้คิดคำนึงถึงตัวเองมากเกินไป. สภาพดังกล่าวทำให้ดิฉันเห็นอกเห็นใจคนอื่น ๆ ซึ่งมีขีดจำกัด. แต่เหนืออื่นใด การเป็นโรคนี้ช่วยให้ดิฉันใกล้ชิดกับพระยะโฮวา. ตลอดความทุกข์แสนสาหัส ดิฉันได้ประจักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า พระองค์เป็นแหล่งแห่งกำลังและการปลอบประโลมที่แท้จริง.”
[เชิงอรรถ]
a คริสเตียนหลีกเลี่ยงเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับการถูกสะกดจิตหรือการสะกดจิตตัวเอง. อย่างไรก็ตาม มีการฝึกเชิงทัศนาการและการคิดรำพึงบางอย่างที่ประจักษ์ชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำให้จิตว่าง หรือปล่อยให้อีกบุคคลหนึ่งเข้ามาควบคุม. จะยอมรับวิธีรักษาเหล่านี้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของการตัดสินใจส่วนตัว.—ฆะลาเตีย 6:5.
b สำหรับข้อมูลในเรื่องการพลิกเปลี่ยนความคิดในแง่ลบ โปรดดูตื่นเถิด! ฉบับ 8 ตุลาคม 1992 หน้า 3-9 และ 8 พฤศจิกายน 1987 หน้า 8-20.
[กรอบหน้า 22]
ทักษะในการทำให้ใจสงบ
หายใจสงบ. บ่อยครั้งอาการแพนิกมักจะควบคู่ไปกับการหายใจลึกและถี่ผิดธรรมดา. เพื่อผ่อนคลายการหายใจของคุณ ลองฝึกอย่างนี้: นอนคว่ำ. นับหนึ่งถึงหกขณะหายใจเข้า นับหนึ่งถึงหกขณะหายใจออก. ขั้นต่อไป พยายามหายใจลึก ๆ ด้วยวิธีเดียวกันนี้ขณะอยู่ในท่านั่ง. แล้วก็ลองทำในท่ายืน. หายใจลึก ๆ ให้ถึงกะบังลม และฝึกแบบนี้ทุกวันจนกระทั่งกลายเป็นปกติวิสัย. บางคนได้ผลดีจากการสร้างจินตนาการว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สวยงามขณะทำการฝึกนี้.
ความคิดสงบ. ‘จะว่าอย่างไรถ้าฉันล้มฟุบ?’ ‘จะว่าอย่างไรถ้าไม่มีใครอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยฉัน?’ ‘จะว่าอย่างไรถ้าหัวใจฉันหยุดเต้น?’ ความคิดเชิงวิบัติกระตุ้นให้เกิดอาการแพนิก. เนื่องจากความคิดเหล่านี้ โดยปกติแล้ว เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติในอนาคต หรือไม่ก็อาการในอดีต ดังนั้นพยายามเพ่งความสนใจอยู่ที่สถานการณ์ปัจจุบัน. นายแพทย์แอลัน โกลด์สไตน์ กล่าวว่า “การเพ่งอยู่ที่ปัจจุบันจะทำให้ใจสงบในทันที.” บางคนแนะให้คุณใส่ยางวงไว้ที่ข้อมือ. เมื่อความคิดเชิงวิบัติเกิดขึ้น ให้ดึงยางวงดีดลงไปแล้วบอกตัวเองว่า “หยุด!” จงสกัดกั้นความวิตกกังวลก่อนที่จะมีโอกาสกำเริบสู่อาการแพนิก.
ปฏิกิริยาสงบ. ถ้าอาการแพนิกเกิดขึ้นกับคุณ อย่าไปต่อสู้. นั่นเป็นแค่ความรู้สึก และความรู้สึกนั้นไม่จำเป็นต้องทำอันตรายคุณ. ลองนึกภาพว่าคุณอยู่ที่ฝั่งมหาสมุทรกำลังเฝ้าดูคลื่น ซึ่งก่อตัวสูงขึ้น จนถึงยอดสูงสุด แล้วก็สลายไป. อาการแพนิกก็มีลักษณะอย่างเดียวกัน. แทนที่จะไปโต้คลื่น ให้ลอยละล่องไปตามคลื่น. ความรู้สึกนั้นจะผ่านไป. เมื่อผ่านไปแล้ว อย่าแสดงปฏิกิริยาเกินขีด หรือปักใจครุ่นคิดเกินไป. ความรู้สึกนั้นได้จากไปคล้ายการจามหรือการปวดศีรษะคราวหนึ่ง.
อาการแพนิกเหมือนกับนักเลงอันธพาล. ไปยั่วเขา เขาก็เล่นงานเอา ถ้าไม่ยั่ว เขาก็อาจจะจากเราไป. ดร. อาร์. รีด วิลสัน อธิบายว่า ทักษะในการทำให้ใจสงบ “ไม่ใช่คิดค้นเพื่อให้คุณสามารถ ‘ต่อสู้’ แพนิกได้ดีขึ้น หรือ ‘ขจัด’ อาการแพนิกออกไปในตอนนั้น. แต่ให้มองทักษะนี้ว่าเป็นวิธีช่วยให้ช่วงดังกล่าวผ่านไปเมื่ออาการแพนิกพยายามยั่วให้คุณปะทะกับมัน.”
[กรอบหน้า 23]
แอกโกราโฟเบีย กลัวซ้อนกลัว
หลายคนที่เป็นโรคแพนิกจะเกิดอาการของแอกโกราโฟเบีย. ถึงแม้มีการนิยามว่าเป็นความหวาดกลัวการอยู่ในที่ชุมชน แต่แอกโกราโฟเบียอาจเรียกได้ถูกต้องกว่าว่า กลัวซ้อนกลัว. ผู้ที่เป็นแอกโกราโฟเบียจะกลัวอาการแพนิกอย่างมากจนพวกเขาหลีกเลี่ยงทุกสถานที่ที่เคยเกิดอาการแพนิก. ไม่ช้าก็จะเหลือเพียงแห่งเดียวที่ “ปลอดภัย”—ปกติแล้วก็คือบ้าน.
นักเขียนชื่อ เมลวิน กรีน บอกว่า “ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกจากบ้าน. ฉับพลันมีชายรูปร่างใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณเคยเห็นโผล่พรวดมาจากไหนไม่รู้. เขาถือไม้เบสบอล และฟาดหัวคุณโดยไม่มีเหตุ. คุณโซซัดโซเซกลับเข้าบ้าน งุนงงในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น. เมื่อคุณรู้สึกดีขึ้น คุณแอบมองที่ช่องประตูและทุกสิ่งดูเหมือนปกติ. คุณเริ่มเดินออกไปอีก. เขาโผล่มาที่นั่นในทันใด และตีหัวคุณอีก. คุณกลับเข้าบ้านที่ซึ่งคุณปลอดภัย. คุณมองออกไปทางประตูหลัง . . . เขาอยู่ที่นั่น. ครั้นมองออกไปทางหน้าต่าง . . . เขาก็อยู่ที่นั่น. คุณรู้ว่าถ้าคุณออกจากที่ปลอดภัยซึ่งเป็นบ้านของคุณ คุณจะถูกตีอีก. ขอถามว่า คุณจะออกจากบ้านไหม?”
หลายคนที่มีอาการแอกโกราโฟเบียเปรียบความรู้สึกของตนเหมือนภาพตัวอย่างนี้ และรู้สึกว่าสภาพของตนสิ้นหวังแล้ว. แต่นายแพทย์แอลัน โกลด์สไตน์ ให้ความมั่นใจว่า “คุณไม่ใช่รายเดียวในโลก ไม่ได้มีเพียงคุณเท่านั้น . . . คุณสามารถ ช่วยตัวเองได้.”