การอนุรักษ์ปะทะการสูญพันธุ์
สงครามระหว่างการอนุรักษ์กับการสูญพันธุ์กำลังดุเดือด. องค์การกุศลหลายแห่งกดดันรัฐบาลต่าง ๆ ให้นำกฎหมายที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเรื่องการอนุรักษ์มาใช้เพื่อปกป้องสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์.
ยกตัวอย่าง ไม่นานมานี้กลุ่มต่าง ๆ ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ของจีน และได้รับความร่วมมือจากพวกเขาในการพยายามขจัดการดักจับหมีควาย. สัตว์ชนิดนี้ถูกล่าเพื่อเอาน้ำดีและถุงน้ำดีซึ่งใช้กันอย่างกว้างขวางในการทำยาแผนโบราณของชาวตะวันออก.
การช่วยเหลือระหว่างประเทศ
ที่จะปกป้องสิ่งมีชีวิตบางชนิดในประเทศหนึ่ง แต่ถูกล่าจนสูญพันธุ์ในประเทศอื่น ไม่ใช่นิมิตหมายที่ดีเลยสำหรับการอนุรักษ์. ดังนั้น ข้อตกลงระหว่างประเทศจึงนับว่าเหมาะกับเหตุการณ์—และมีหลายฉบับด้วยกัน. ข้อตกลงว่าด้วยความหลากหลายทางชีววิทยา หรือสนธิสัญญาริโอ ได้นำออกบังคับใช้เมื่อปลายปี 1993 ที่ตามมาติด ๆ ก็คือ ข้อตกลงว่าด้วยการอนุรักษ์ค้างคาวในยุโรป. คณะกรรมาธิการระหว่างชาติว่าด้วยการล่าปลาวาฬ ได้เพิ่มเขตห้ามล่าปลาวาฬบริเวณมหาสมุทรแอนตาร์กติกเข้ากับมหาสมุทรอินเดีย เพื่อปกป้องปลาวาฬเกรทและปลาวาฬมินเก. แต่บางที ข้อตกลงที่ทรงพลังที่สุดอาจจะเป็นอนุสัญญาระหว่างชาติว่าด้วยการค้าสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์.—ดูกรอบสี่เหลี่ยม.
มนุษย์ยังต้องเรียนรู้อีกมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกับอีกชนิดหนึ่ง. ชาวประมงแอฟริกาตะวันออกซึ่งนำปลาเพิชแม่น้ำไนล์มาปล่อยในทะเลสาบวิกตอเรียเพื่อเสริมสร้างแหล่งอาหาร เป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่นักสัตววิทยา คอลิน ทัดจ์ เรียกว่า “ความหายนะทางนิเวศอันร้ายแรงที่สุดในศตวรรษนี้.” ปลาประจำถิ่นของทะเลสาบซึ่งมี 300 ชนิดได้สูญพันธุ์ไปราว ๆ 200 ชนิด. ถึงแม้หลักฐานเมื่อเร็ว ๆ นี้โทษการกัดกร่อนของดินว่าเป็นตัวทำลายความสมดุลของสิ่งมีชีวิต แต่ปัจจุบัน รัฐบาลของสามประเทศที่มีพรมแดนติดทะเลสาบนี้ได้จัดตั้งองค์การหนึ่งขึ้นมาเพื่อกำหนดว่าปลาชนิดไหนสามารถนำมาปล่อยได้โดยไม่ทำให้ปลาประจำถิ่นล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์.
การเข้าแทรกแซงของมนุษย์
ขอบข่ายหนึ่งที่มนุษย์เข้าไปแทรกแซงโดยมีรายงานความสำเร็จอย่างน่าทึ่งก็คือโครงการผสมพันธุ์สัตว์ขังกรงซึ่งสวนสัตว์หลายแห่งดำเนินการอยู่. “ถ้าสวนสัตว์ทุกแห่งในโลกทุ่มตัวอย่างแท้จริงให้กับการผสมพันธุ์สัตว์ขังกรง และถ้าสาธารณชนให้การสนับสนุนสวนสัตว์ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต่างก็สามารถช่วยสงวนชีวิตสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังทุกชนิดไว้ซึ่งเป็นไปได้ที่จะต้องมีการผสมพันธุ์สัตว์ขังกรงในอนาคตอันพอจะเห็นล่วงหน้า.”—จากหนังสือสัตว์พวกสุดท้าย ณ สวนสัตว์ (ภาษาอังกฤษ).
สวนสัตว์บนเกาะเจอร์ซีอันเป็นเกาะเล็ก ๆ ของบริเตน ผสมพันธุ์สัตว์หายากเพื่อนำลูก ๆ ที่ได้กลับไปปล่อยป่าอีก. ในปี 1975 มีนกแก้วเซนต์ลูเซียเหลือเพียง 100 ตัวเท่านั้นในถิ่นอาศัยแถบแคริบเบียน. นกชนิดนี้ถูกส่งไปยังเกาะเจอร์ซีจำนวนเจ็ดตัว. พอถึงปี 1989 สวนสัตว์ดังกล่าวทำการผสมพันธุ์จนได้ลูกอีก 14 ตัว และส่งบางตัวกลับไปยังเกาะเซนต์ลูเซีย. ตามรายงานบอกว่า บัดนี้จำนวนกว่า 300 ตัวช่วยแต่งเติมสีสันให้เกาะนั้น.
โครงการคล้าย ๆ กันในที่อื่นประสบความสำเร็จ. แนชันแนล จีโอกราฟิกรายงานว่า หมาป่าขนแดง 17 ตัวซึ่งเหลือรอดอยู่ในอเมริกาเหนือแพร่พันธุ์ได้ดีทีเดียวในสภาพถูกกักขัง จนบัดนี้มีการนำกลับไปปล่อยป่ามากกว่า 60 ตัว.
ประสบความสำเร็จมากเกินไปไหม?
สัตว์ที่ตกอยู่ในอันตรายไม่จำเป็นต้องถูกคุกคามด้วยการสูญพันธุ์เสมอไป. ตามคำกล่าวในหนังสือช้าง—สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (ภาษาอังกฤษ) ระหว่างปี 1979 ถึงปี 1989 จำนวนช้างแอฟริกาลดลงจาก 1,300,000 ตัวเป็น 609,000 ตัว—บางส่วนเป็นผลจากการลักลอบฆ่าเพื่อเอางา. แต่ความกดดันจากสาธารณชนเพื่อให้รัฐบาลประกาศว่าการค้างาช้างผิดกฎหมายนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ. กระนั้น เสียงต่อต้านการสั่งห้ามเรื่องงาช้างก็ดังโวยวายขึ้น. เพราะเหตุใด?
ทั้งในซิมบับเวและแอฟริกาใต้ นโยบายอนุรักษ์ปรากฏว่าประสบผลสำเร็จอย่างมากจนวนอุทยานแห่งชาติและเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าของพวกเขามีช้างอาศัยมากเกินไป. วารสารนิว ไซเยนติสต์ รายงานว่า ซิมบับเวมีความจำเป็นที่จะต้องกำจัดช้าง 5,000 ตัวจากวนอุทยานแห่งชาติฮวังกี. กลุ่มกดดันต่าง ๆ (พวกนักอนุรักษ์) เสนอแนะให้แก้ไขโดยใช้วิธีหาที่อยู่ใหม่. ส่วนเจ้าหน้าที่วนอุทยานก็เสนอให้ขายช้างส่วนที่มากเกินไป และชี้ว่าหน่วยงานต่าง ๆ ในประเทศตะวันตกที่คัดค้านการปลิดชีพช้างสามารถ “ให้เงินแทนที่จะเอาแต่พูดปาว ๆ แล้วช้างจะได้ย้ายไปที่ใหม่.”
ความคาดหวังที่น่าสงสัย
กระนั้น ก็มีความล้มเหลวเกิดขึ้น. หลายคนแสดงความห่วงใยต่อสภาพยากลำบากของสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งนำกลับไปปล่อยป่า. เสือไซบีเรียอยู่รอดได้อย่างดีในที่ที่ขังไว้ แต่เมื่ออยู่ในป่ามันต้องการอาณาบริเวณป่าไม้ราว ๆ 260 ตารางกิโลเมตร ปลอดจากพวกลักลอบล่าสัตว์. ยิ่งกว่านั้น วารสารดิ อินดิเพนเดนต์ ออน ซันเดย์ ตั้งข้อสังเกตว่า “หากนำเสือที่เติบโตในสวนสัตว์กลับสู่ถิ่นอาศัยนี้ทันทีทันใด แทบพูดได้ว่ามันจะอดตายอย่างแน่นอน.” ความคาดหวังมืดมนจริง ๆ!
ในความเป็นจริงแล้ว ใช่ว่าสัตว์ทุกชนิดจะมีทีมผู้ช่วยเหลือที่เชี่ยวชาญของตนเอง. และไม่ใช่แค่การขาดแคลนกำลังคนเท่านั้นที่ทำให้ปัญหานี้ยุ่งยากขึ้น. ไม่ว่านักอนุรักษ์ทั้งหลายจะอุทิศกายถวายใจแค่ไหนก็ตาม เมื่อเผชิญกับการคอร์รัปชัน, ความละโมบ, และการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของพวกเจ้าหน้าที่ อีกทั้งสงครามและกระทั่งการถูกขู่ด้วยความตาย พวกเขาจะมีความหวังอะไรล่ะสำหรับการประสบความสำเร็จ? แล้วอะไรเป็นวิธีแก้ปัญหาว่าด้วยสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์? และคุณเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไร?
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
อาวุธสากล
อนุสัญญาระหว่างชาติว่าด้วยการค้าสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์นับเป็นอาวุธทรงพลังในการต่อสู้กับการทำผิดกฎหมายเรื่องการค้าขายสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์. หนังเสือดาว, งาช้าง, กระดูกเสือ, นอแรด, และเต่า จัดอยู่ในบรรดาสินค้าสั่งห้ามในปัจจุบัน. ข้อตกลงนี้กินความไปถึงต้นไม้และปลาที่ใกล้จะสูญพันธุ์ด้วย.
อย่างไรก็ดี วารสารไทม์เตือนว่า “เว้นแต่ชาติสมาชิกต่าง ๆ จะหาวิธีปฏิบัติตามกฎดังกล่าว, . . . มิฉะนั้นบรรดาสัตว์ที่พวกเขาพยายามปกป้องอยู่ จะไม่เหลือรอดให้เห็นสักตัวเดียว.”
[รูปภาพหน้า 8]
การพยายามอนุรักษ์ประสบความสำเร็จมากเกินไปไหม?
[ที่มาของภาพ]
Courtesy of Clive Kihn