การเพ่งดูโลก
โปปบอกว่าพึงตำหนิเป็นรายบุคคลไม่ใช่ตำหนิคริสตจักร
ในจดหมายที่เขียนถึงพวกผู้นำคริสตจักร, เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน, และประชากรในรวันดา โปปจอห์น ปอล ที่สอง พยายามทำให้คริสตจักรโรมันคาทอลิกพ้นความรับผิดชอบต่อการฆ่าล้างชาติพันธุ์ที่นั่นในปี 1994. เขาอ้างว่า “ไม่อาจถือว่าคริสตจักรเองต้องรับผิดชอบต่อการทำผิดของคริสต์ศาสนิกชนที่ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกิตติคุณ.” อย่างไรก็ตาม โปปกล่าวอีกด้วยว่า “สมาชิกทั้งปวงแห่งคริสตจักรที่ได้ทำบาปในช่วงการฆ่าล้างชาติพันธุ์นั้นต้องมีความกล้าจะยอมรับผลที่เกิดจากการที่ตนได้ทำลงไป.” นี่ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่โปปพูดอย่างเปิดเผยถึงข้อกล่าวหาที่ว่า พวกบาทหลวงในรวันดาได้มีส่วนร่วมด้วยและแข็งขันสนับสนุนการเข่นฆ่าซึ่งได้คร่าชีวิตผู้คนราว 500,000 คนและข้อกล่าวหาที่ว่า คณะปกครองบาทหลวงของคาทอลิกไม่ได้ลงมือยับยั้งการกระทำนั้น. ลุยจี อักกัตโตลี โฆษกวาติกันซึ่งเขียนลงในหนังสือพิมพ์อิตาลี กอร์รีเอเร เดลลา เซรา กล่าวว่า คำกล่าวของโปปที่บอกชาวคาทอลิกไม่ให้พยายามหลีกหนีกระบวนการยุติธรรมนั้น “จี้ตรงประเด็นพอดี” เพราะ “ท่ามกลางเหล่าผู้ถูกกล่าวหาในเรื่องการฆ่าล้างชาติพันธุ์นั้นก็มีพวกบาทหลวงที่ลี้ภัยในต่างประเทศอยู่ด้วย.” ประชาชนส่วนใหญ่ในรวันดาเป็นคาทอลิก.
“ครอบครัวเปลี่ยนแปลง”
“ครอบครัวตามแบบฉบับของชาวแคนาดาได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างไปอย่างขนานใหญ่ถึงขนาดที่คู่สมรสซึ่งมีบุตรเป็นแค่ 44.5 เปอร์เซ็นต์ของครอบครัวทั้งหมด” หนังสือพิมพ์ เดอะ โกลบ แอนด์ เมล รายงาน. เมื่อเทียบกันแล้ว “ในปี 1961 เกือบ 65 เปอร์เซ็นต์ของครอบครัวชาวแคนาดาทั้งสิ้นเป็นคู่สมรสที่มีบุตร.” ตัวเลขที่น่าตกตะลึงอีกอย่างหนึ่งคือ การเพิ่มทวีในด้านจำนวนการสมรสแบบที่อยู่กินกันเฉย ๆ โดยไม่ทำตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งเพิ่มเป็นเกือบสามเท่าจาก 355,000 คู่ในปี 1981 เป็น 997,000 คู่ในปี 1995. การสำรวจซึ่งดำเนินการโดยสำนักสถิติแคนาดาให้ข้อสังเกตเช่นกันว่า “หากอัตราการหย่าร้าง, การแต่งงานใหม่และการอยู่กินกันเฉย ๆ ยังสูงอยู่ ก็คาดหมายได้ว่ายิ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของครอบครัวเร็วขึ้น.”
ฝรั่งเศสลุ่มหลงในเรื่องลึกลับ
“ทำไมชาวฝรั่งเศสใช้เวลามากเหลือเกินกับพวกนักทำนายและผู้มีญาณพิเศษในทุกวันนี้?” หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ตั้งคำถาม. “มีรายงานว่าชาวฝรั่งเศสที่ปรึกษาพวกที่มีตาทิพย์และผู้ที่ศึกษาความหมายลึกลับของตัวเลขต่าง ๆ นั้นมีมากยิ่งกว่าก่อน. . . . ทางรัฐบาลมีหลักฐานว่า มายาการกำลังรุ่งเรือง. ปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่สรรพากรกล่าวว่า ผู้เสียภาษีเกือบ 50,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดเท่าที่เคยมีมา ได้แจ้งเงินได้จากงานของตนในฐานะโหร, ผู้รักษาโรค, คนทรง และอาชีพต่าง ๆ ที่คล้ายกัน. เมื่อเปรียบเทียบ ประเทศนี้มีบาทหลวงนิกายโรมันคาทอลิกไม่ถึง 36,000 คนและมีจิตแพทย์ราว 6,000 คน.” สำหรับบางคน การทำเช่นนั้นแสดงถึงความกลัวสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในตอนปลายช่วงพันปีนี้. ส่วนคนอื่นมองว่านั่นเป็นผลจากความเสื่อมของสถาบันหลักต่าง ๆ เช่น ศาสนา. พวกผู้ประกอบอาชีพที่อาศัยความสามารถพิเศษเหล่านี้บอกว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ชนิดของลูกค้าของตนเปลี่ยนไปมากทีเดียว. ในอดีต พวกลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสตรี. แต่เดี๋ยวนี้มีลูกค้าทั้งชายและหญิงจำนวนพอ ๆ กัน. และแทนที่จะถามเรื่องความเจ็บป่วยและเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เดี๋ยวนี้ผู้คนมักถามเรื่องงานของเขา.
เครื่องขายของแบบหยอดเหรียญของญี่ปุ่น
“แทบไม่มีอะไรที่หาไม่ได้ในเครื่องขายของแบบหยอดเหรียญในญี่ปุ่น” หนังสือพิมพ์เดอะ วอชิงตัน โพสต์กล่าว. เครื่องขายของจ่ายของที่ห่อเป็นของขวัญ, แผ่นซีดี, เบียร์, กางเกงขาสั้นแบบนักมวย, ไข่, ไข่มุก, ตุ๊กตาผ้ารูปช้าง, ถุงน่องแบบเต็มตัว, กล้องถ่ายรูปแบบใช้แล้วทิ้ง, และแทบทุกอย่างที่คุณคิดออก. มี “เครื่องขายของแบบไม่ต้องก้ม” ที่จ่ายของให้ในระดับอก, เครื่องขายของขนาดไม่สูงซึ่งจะไม่บังสายตา, และแม้แต่เครื่องขายของซึ่งตกแต่งด้วยดอกไม้หรือลวดลายแบบอื่น ๆ. บทความนั้นกล่าวเพิ่มเติมว่า “ญี่ปุ่นมีขนาดพอ ๆ กับรัฐมอนตานาเท่านั้น แต่ที่นั่นมีเครื่องขายของแบบหยอดเหรียญมากเกือบเท่ากับที่มีทั่วสหรัฐทีเดียว. เครื่องขายของแบบหยอดเหรียญของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถูกตั้งไว้นอกอาคาร; มีเครื่องหนึ่งอยู่บนยอดเขาฟูจิที่ปกคลุมด้วยหิมะด้วยซ้ำ.” ของราคาแพง ๆ ก็มีจัดจำหน่ายภายนอกอาคารได้ เพราะในญี่ปุ่นอัตราการทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นอยู่ในระดับต่ำ. พื้นที่ใช้งานมีราคาแพง ดังนั้น พวกเจ้าของร้านจะใช้เครื่องขายของเหล่านั้นเป็นส่วนขยายพื้นที่ชั้นเก็บของของตน. จะพบเครื่องขายของแบบหยอดเหรียญได้เกือบทุกมุมถนนในโตเกียว. อย่างไรก็ตาม ผู้คนบางกลุ่มรู้สึกไม่พอใจที่พวกเด็ก ๆ ไม่ว่าคนใดที่สามารถหยอดเหรียญได้ก็อาจหาเหล้า, เบียร์, และบุหรี่ได้.
“พายุอาชญากรรม” โดยวัยรุ่นกำลังจะมา
“อาชญากรรมรุนแรงในสหรัฐเป็นเหมือน ‘ระเบิดเวลาที่กำลังเดิน’ ซึ่งจะระเบิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่ผู้ใหญ่ประกอบอาชญากรรมที่รุนแรงน้อยกว่า อัตราอาชญากรรมที่รุนแรงในหมู่วัยรุ่นได้พุ่งพรวดขึ้นตลอดทศวรรษที่แล้ว. . . . วัยรุ่นแต่ละรุ่นนับแต่ทศวรรษปี 1950 ทวีความรุนแรงยิ่งกว่ารุ่นก่อน.” เป็นคำกล่าวในหนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์เกี่ยวกับรายงานจากสภาที่ปรึกษาด้านอาชญากรรมในอเมริกาซึ่งเป็นองค์กรอันประกอบด้วยเหล่าอัยการและผู้เชี่ยวชาญในด้านการบังคับใช้กฎหมาย. พอถึงปี 2005 จำนวนผู้ชายอายุ 14 ถึง 17 ปีจะเพิ่มอีก 23 เปอร์เซ็นต์ และการเพิ่มนี้แหละที่ทำให้พวกผู้เชี่ยวชาญกังวล. ด้วยความเป็นห่วงว่าพวกอาชญากรร้ายส่วนใหญ่เป็นชายที่เริ่มเข้าสู่แนวทางอาชญากรรมตั้งแต่อายุยังน้อยนั้น จอห์น เจ. ดีอูลโญ จูเนียร์ ศาสตราจารย์ในสาขาการเมืองและรัฐกิจประจำมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันกล่าวว่า “เราอยู่ในช่วงสงบก่อนพายุอาชญากรรมจะโหมกระหน่ำ.” รายงานของเขาที่รวบรวมขึ้นสำหรับสภาที่ปรึกษาด้านอาชญากรรมในอเมริกาชี้ให้เห็นว่า ประมาณหนึ่งในสามของอาชญากรรมรุนแรงทั้งหมดก่อขึ้นโดยผู้ที่เคยถูกจับกุมแต่อยู่ในระหว่างทัณฑ์บน, คุมประพฤติ, หรือการปล่อยตัวชั่วคราวก่อนพิจารณาคดี. รายงานนั้นกล่าวว่า รัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบต้องปกป้องพลเมืองของตน แต่ก็ล้มเหลว.
ศัลยกรรมโดยไม่ใช้เลือดเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
ในช่วงปลายปี 1996 โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองฮาร์ตฟอร์ด รัฐคอนเนกติกัต สหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกับโรงพยาบาลอื่นอีก 56 แห่งทั่วประเทศซึ่งมี “ศูนย์การรักษาโดยไม่ใช้เลือดสำหรับพยานพระยะโฮวา” หนังสือพิมพ์เดอะ ฮาร์ตฟอร์ด คูรันต์รายงาน. “หลังจากศึกษาแนวความคิดเรื่องศัลยกรรมโดยไม่ใช้เลือด คณะผู้บริหารโรงพยาบาลจึงตระหนักว่า ความต้องการของพยานพระยะโฮวาไม่แตกต่างจากผู้ป่วยอื่น ๆ ส่วนใหญ่อีกแล้ว.” ด้วยการใช้ยาต่าง ๆ และเทคนิคศัลยกรรมที่ก้าวหน้าเข้าช่วย เหล่าแพทย์จึงทำการปลูกถ่ายอวัยวะและเปลี่ยนข้อต่อกระดูก รวมทั้งผ่าตัดเปิดหัวใจ, ผ่าตัดมะเร็ง, และการผ่าตัดอื่น ๆ—ทั้งหมดโดยไม่ใช้เลือด. นอกจากนั้น เดี๋ยวนี้พวกผู้ประกอบอาชีพด้านการดูแลรักษาสุขภาพต่างยอมรับอย่างเปิดเผยในเรื่องอันตรายจากการรับการถ่ายเลือด. นายแพทย์เดวิด ครอมบี จูเนียร์ หัวหน้าแผนกศัลยกรรมแห่งโรงพยาบาลฮาร์ตฟอร์ดยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมได้รับการอบรมด้านเวชกรรมในช่วงเวลาที่คิดกันว่าเลือดเป็นยาบำรุง. แต่เดี๋ยวนี้คิดกันว่าเลือดเป็นยาพิษ.” คัมภีร์ไบเบิลห้ามการรับเอาเลือดเข้าสู่ร่างกายมาโดยตลอด.—เยเนซิศ 9:4; เลวีติโก 17:14; กิจการ 15:28, 29; 21:25.
คุณเครียดเพราะเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไหม?
โทรศัพท์เคลื่อนที่, เพเจอร์, เครื่องแฟกซ์, คอมพิวเตอร์ประจำบ้าน, และโมเดม ได้ปฏิวัติการติดต่อสื่อสาร. อย่างไรก็ตาม ดร. ซานเจย์ ชาร์มา ผู้ซึ่งสนใจเป็นพิเศษในการจัดการกับความเครียด คิดว่าเทคโนโลยีใหม่นี้ยังได้บุกรุกความเป็นส่วนตัวและเวลาพักผ่อนของผู้คนด้วย. ผลก็คือ ความเครียดเพราะเทคโนโลยี. ดังรายงานในหนังสือพิมพ์ เดอะ โตรอนโต สตาร์ “ความเครียดเป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ็บป่วย, อัตราผลผลิตลดลงและการตายก่อนวัยอันควร.” ผลกระทบต่าง ๆ นั้นรวมถึงความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, อารมณ์ปรวนแปร, ปวดศีรษะ, กล้ามเนื้อตึง, นอนไม่หลับ, ซึมเศร้า, และระบบภูมิคุ้มกันโรคอ่อนแอ. คุณจะหลีกเลี่ยงความเครียดเพราะเทคโนโลยีได้อย่างไร? แน่นอน เป็นการสุขุมเสมอที่จะปรึกษาแพทย์ประจำตัวคุณ. นอกจากนี้ รายงานนี้ยังเสนอแนะการออกกำลังกายเป็นประจำ, การไปพักผ่อนตอนสุดสัปดาห์, และการออกไปรับแสงแดดทุกวัน ซึ่ง “กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ต่อสู้ความซึมเศร้าและความเครียด.” ประการสุดท้าย “ปิดสัญญาณเรียกของโทรศัพท์และเครื่องแฟกซ์ของคุณเสีย. ให้เครื่องตอบรับโทรศัพท์รับเอง.”
นกเดินดงดำส่งเสียงสัญญาณกันขโมยรถยนต์
นกเดินดงดำกำลังก่อปัญหาเป็นพิเศษในเมืองกิสเบอระในมณฑลยอร์กเชียร์ซึ่งอยู่ทางเหนือของอังกฤษ—พวกมันทำให้ผู้คนพรวดพราดตื่นขึ้นแต่เช้าด้วยการเลียนเสียงสัญญาณกันขโมยรถยนต์. หนังสือพิมพ์ เดอะ ไทมส์ในลอนดอนรายงานว่า “พอเจ้าของรถพุ่งออกมาเพื่อเผชิญกับขโมย พวกเขาก็มักเจอนกเดินดงดำกำลังร้องเพลงอยู่.” คนหนึ่งที่อาศัยในแถบนั้นออกความเห็นว่า “มันเลียนทำนองเสียงสูงต่ำของสัญญาณกันขโมยได้เหมือนเปี๊ยบเลย. เราทุกคนจะถูกกระตุ้นจนแทบคลั่ง.” และก็คงจะไม่ดีขึ้น. ขณะที่นกตัวหนึ่งถ่ายทอดเพลงใหม่ให้นกอีกตัวหนึ่ง เสียงนั้นอาจกลายเป็นเสียงที่ได้ยินกันทั่วไป. ตามจริงแล้ว นกราว 30 ชนิดในบริเตนสามารถเลียนเสียงอื่น ๆ ได้. นกสตาร์ลิงที่พบเห็นกันทั่วไปเป็นนกชนิดที่มีความสามารถพิเศษนี้มากที่สุดและสามารถเลียนเสียงร้องของนกชนิดอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย. มีตัวหนึ่งที่รู้จักกันว่าเลียนเสียงกริ่งโทรศัพท์ได้เหมือนจริงจนแยกแยะไม่ออก.
งานเลี้ยงนอกรีตยังเป็นที่นิยมกัน
วันนักบุญจอห์นผู้ให้บัพติสมา “มีความเกี่ยวพันกับนักบุญของคาทอลิกน้อยกว่าที่คิด” หนังสือพิมพ์ โฟลยา ดี เซาเปาโลของบราซิลรายงาน. ถึงแม้การเลี้ยงนี้ “ตรงกับวันที่กล่าวกันว่านักบุญผู้นี้เกิด . . . การฉลองอนุสรณ์นั้นที่แท้แล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกษตรกรรมและมีลักษณะนอกรีต.” โดยสรุปสิ่งที่นักมานุษยวิทยา คามารา คาสกูดู ได้ค้นพบ หนังสือพิมพ์นี้กล่าวว่า “ลัทธิบูชาดวงอาทิตย์ของชนเผ่าเยอรมันและพวกเซลต์” ฉลองเทศกาลเลี้ยงตอนฤดูเกี่ยว “เพื่อไล่ปิศาจแห่งการไม่เกิดดอกออกผล, โรคธัญพืช, และความแห้งแล้ง.” อีกหลายปีต่อมา มีการนำเทศกาลเลี้ยงนั้นมายังบราซิลโดยชาวโปรตุเกส. ลักษณะหนึ่งของเทศกาลเลี้ยงนี้ซึ่งยังคงมีอยู่เรื่อยมาในบางประเทศคือการก่อกองไฟกลางแจ้งของนักบุญจอห์น. กิจปฏิบัตินี้มีต้นตอจากไหน? หนังสือพิมพ์นี้บอกว่า “ประเพณีนี้ . . . เกี่ยวโยงกับการบูชาสุริยเทพ ให้ความเคารพบูชาเพื่อท่านจะไม่เคลื่อนห่างไกลจากแผ่นดินโลกเกินไปและเพื่อหลีกเลี่ยงฤดูหนาวอันทารุณ.”