เราแสวงหาความยุติธรรม
เล่าโดย อันโตนิโอ วิลยา
ปี 1836 ชาวเท็กซัสไม่ถึง 200 คนที่ปกป้องอะลาโมได้ถูกกองทัพเม็กซิโกซึ่งมีกำลังพลประมาณ 4,000 นายสังหารเรียบ. หลังจากนั้น การปลุกใจให้ทำสงครามด้วยคำขวัญ “อย่าลืมอะลาโม” ถูกนำมาใช้กระพือไฟสงครามเพื่ออิสรภาพ ซึ่งต่อมาก็ทำได้สำเร็จในปีนั้นเอง. ในปี 1845 ดินแดนส่วนซึ่งเคยเป็นของเม็กซิโกจึงกลับกลายเป็นของสหรัฐ และชาวเม็กซิโกพบว่าตัวเองตกอยู่ในเขตแดนของฝ่ายปรปักษ์. ความแตกต่างกันทางด้านชาติพันธุ์ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ.
ผมเกิดปี 1937 ไม่ไกลจากเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส ซึ่งอะลาโมตั้งอยู่ที่นั่น. สมัยโน้น ไม่ว่าห้องน้ำ จุดบริการน้ำดื่ม และสาธารณูปโภคอื่น ๆ มีป้ายกำกับว่า “คนขาวเท่านั้น” หรือ “คนผิวอื่น.” ผมเรียนรู้ในเวลาสั้น ๆ ว่า “คนผิวอื่น” รวมเอาพวกเราเชื้อสายชาวเม็กซิโกเข้าไปด้วย.
เมื่อเข้าไปดูภาพยนตร์ในโรงฉาย เขาอนุญาตให้ชาวเม็กซิโกและคนผิวดำนั่งได้เฉพาะที่นั่งชั้นบนเท่านั้น ไม่ให้นั่งกลางโรงในที่ของผู้เข้าชมส่วนใหญ่. ร้านอาหารและร้านค้าหลายแห่งไม่ต้อนรับลูกค้าชาวเม็กซิโก. ครั้งหนึ่งเวเลีย ภรรยาของผมกับน้องสาวได้เข้าร้านเสริมสวย เจ้าของร้านไร้มารยาทจริง ๆ แค่จะพูดว่า “ที่นี่เราไม่ต้อนรับคนเม็กซิโก” ก็ไม่มี. เขาเพียงแต่หัวเราะใส่หน้า จนกระทั่งเวเลียและน้องสาวรู้สึกอับอายจนต้องเดินออกจากร้าน.
บางครั้ง พวกผู้ชายผิวขาว—มักเป็นตอนเมา—จะส่ายตาหาผู้หญิงเม็กซิโกซึ่งหลายคนถือว่าเป็นพวกที่ไม่มีศีลธรรมมาแต่กำเนิด. ผมมาคิดดูว่า ‘เขาไม่ใช้ห้องน้ำร่วม หรือไม่ดื่มน้ำจากจุดบริการแห่งเดียวกับเรา แต่เขาร่วมเตียงกับผู้หญิงเม็กซิโก.’ ความอยุติธรรมที่พบเห็นระยะแรกเหล่านี้ทำให้ผมไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ แล้วภายหลังเกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์.
ปัญหากับคริสตจักร
ความหน้าซื่อใจคดของศาสนาทำให้ผมรู้สึกขมขื่นมากยิ่งขึ้น. คนขาว คนดำ คนเม็กซิโกต่างก็แยกกันเข้าโบสถ์ของใครของมัน. เมื่อผมเตรียมตัวจะรับศีลครั้งแรกเยี่ยงชาวคาทอลิก บาทหลวงได้ยื่นซองกำกับวันที่ไว้ล่วงหน้าจำนวนหนึ่งให้ผมเอาไปให้พ่อ. เราจะต้องคืนสัปดาห์ละซองพร้อมเงินบริจาค. หลังจากนั้นไม่นาน บาทหลวงบอกผมว่า “คุณน่าจะบอกพ่อว่ายังไม่มีซองคืนมาเลย.” คำพูดของพ่อที่ส่อความเคียดแค้นยังคงฝังใจผมว่า “นั่นเป็นสิ่งเดียวที่คนพวกนี้สนใจ—เงิน!”
ถือว่าเป็นสิ่งธรรมดาที่มีเรื่องอื้อฉาว เมื่อนักเทศน์นักบวชพาผู้หญิงในประชาคมของตนหนีไป. ประสบการณ์ทำนองนี้ทำให้ผมแสดงท่าทีอย่างเปิดเผยซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ศาสนามีเป้าหมายเพียงสองอย่าง—ขอให้ได้เงินจากคุณหรือไม่ก็แย่งเอาผู้หญิงของคุณ.” ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดพยานพระยะโฮวาแวะมาที่บ้าน ผมจะบอกปัดและบอกว่า “ถ้าผมต้องการศาสนา ผมจะเสาะหาเอาเอง.”
เป็นทหารและแต่งงาน
เมื่อปี 1955 ผมเข้าประจำการอยู่ในกองทัพอากาศสหรัฐที่ซึ่งผมหวังไว้ว่าโดยทำงานเก่งเป็นเยี่ยม ผมย่อมได้รับความนับถือซึ่งผมฐานะเป็นคนเม็กซิโกไม่เคยประสบ. ด้วยการทุ่มเทตัว ผมได้รับการยอมรับ ในที่สุดผมถูกมอบหมายให้ดูแลการควบคุมคุณภาพ. งานนี้รวมไปถึงการประเมินงานแผนกอื่น ๆ ของหน่วยพลาธิการ.
ปี 1959 ผมแต่งงานกับเวเลีย. เวเลียมีแนวโน้มชอบทางศาสนาเสมอมา. แต่โบสถ์หลายแห่งที่เธอไปทำให้เธอรู้สึกผิดหวัง. วันหนึ่งในปี 1960 เมื่อรู้สึกซึมเศร้ามาก ๆ เธอได้ทูลอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า หากพระองค์ดำรงอยู่จริง โปรดสำแดงให้ข้าฯ ทราบ. ข้าฯ ปรารถนาจะรู้จักพระองค์.” วันเดียวกันนั้นเอง พยานพระยะโฮวาได้มาที่บ้านของเราในเมืองเปทาลูมา รัฐแคลิฟอร์เนีย.
แต่จากนั้นไม่นาน เวเลียขาดการติดต่อกับพยานฯ เนื่องจากมีการเปลี่ยนงานมอบหมายของผมฐานะทหาร. จนกระทั่งปี 1966 ขณะที่ผมอยู่ในเวียดนาม เธอจึงได้ติดต่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอีกครั้งหนึ่งกับพยานฯ ในเมืองเซมิโนล รัฐเท็กซัส. ต้นปีถัดมาเมื่อกลับจากเวียดนามถึงบ้าน ผมไม่มีความสุขที่รู้ว่าเธอกำลังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกพยานฯ.
ผมดันทุรังต่อต้าน
ผมรู้สึกว่าเวเลียคงถูกหลอกและจะผิดหวังเพราะศาสนา. ดังนั้น ผมจึงเข้าร่วมศึกษาและฟังเพื่อจะได้โอกาสแฉความหน้าซื่อใจคดของศาสนาแม้จะมีน้อยนิด. เมื่อสตรีพยานฯ พูดว่าพยานพระยะโฮวาเป็นกลางด้านการเมือง ผมถามขึ้นมาทันควันว่า “สามีของคุณทำอาชีพอะไร?”
“เขาทำไร่ฝ้าย” เธอตอบ.
“อะฮ้า! ชุดเครื่องแบบทหารทำด้วยผ้าฝ้ายนี่นา. เช่นนั้นแล้วคุณกำลังสนับสนุนการทำสงคราม!” ผมโต้กลับอย่างผยอง. ผมพูดเสียงดังและไม่มีเหตุผล.
ถึงแม้ในเดือนมิถุนายน 1967 งานมอบหมายใหม่ของการเป็นทหารทำให้เราย้ายไปเสียไกล ถึงเมืองไมนอต รัฐนอร์ทดาโกตา แต่พยานฯ ที่นั่นได้ติดต่อเวเลียและได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเธออีก. ผมเริ่มขัดขวางอย่างเด็ก ๆ. ผมจงใจกลับบ้านให้ตรงกับเวลาที่เขาศึกษากันและปิดประตูแรง ๆ เดินย่ำขึ้นบันได โยนรองเท้าบูตลงบนพื้นเสียงสนั่น และดึงชักโครกหลาย ๆ ที.
เวเลียเป็นคนพูดจานุ่มนวลและเป็นภรรยาที่นบนอบ เธอไม่เคยทำสิ่งใดถ้าไม่รับอนุญาตจากผม. แม้ผมฝืนใจยอมให้เธอศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เธอก็รู้ดีว่าที่จะไปร่วมการประชุมของพยานฯ นั้นคงเป็นประเด็นใหญ่แน่ ๆ. ครั้งใดที่เธอถูกกระตุ้นให้ไปร่วมประชุม เธอจะตอบทุกครั้งว่า “ไม่ไปดีกว่า. ฉันไม่อยากทำให้โทนีหัวเสีย.”
อย่างไรก็ดี วันหนึ่ง เวเลียอ่านพบข้อคัมภีร์ที่ว่า “อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าโศกเศร้า.” (เอเฟโซ 4:30, ล.ม.) เธอจึงถามว่า “ข้อนี้หมายความอย่างไร?” พยานฯ ที่นำการศึกษาได้อธิบายดังนี้: “พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ดลบันดาลให้มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิล. ฉะนั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติสอดคล้องกับที่คัมภีร์ไบเบิลบอก เราก็กำลังทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าโศกเศร้านะซี. ยกตัวอย่าง บางคนไม่ไปร่วมประชุมแม้เขารู้ว่าพระคำของพระเจ้าบอกว่าเราควรจะไป.” (เฮ็บราย 10:24, 25) เท่านั้นแหละ ใจถ่อมของเวเลียได้รับการกระตุ้น. นับแต่นั้นมา เธอเข้าร่วมประชุมทุกนัดทั้ง ๆ ที่ผมพยายามขัดขวาง.
ผมมักพูดตัดพ้อว่า “คุณทิ้งบ้านไปได้อย่างไร อาหารเย็นคุณก็ไม่เตรียมให้ผม?” เวเลียไหวทัน เธอทำอาหารไว้พร้อมและอุ่นให้ผมรับประทานได้เสมอ. ฉะนั้น ผมใช้ข้ออ้างอื่น ๆ เช่น “คุณไม่รักผม ไม่รักลูก. คุณปล่อยพวกเราไว้แล้วคุณก็ไปร่วมการประชุมเสีย.” หรือเมื่อผมจะกล่าวโจมตีความเชื่อของพยานฯ และเวเลียพยายามพูดปกป้องอย่างนุ่มนวล ผมใช้วิธีโบโคนา—“โพนทะนา”—เรียกเธอว่าโบโคนาที่ไม่เคารพนบนอบ.
ถึงกระนั้น เวเลียก็ยังคงไปร่วมประชุม บ่อยครั้งเธอออกจากบ้านทั้งน้ำตา เพราะคำพูดของผมหักหาญทำลายจิตใจเธอ. แต่ผมเองได้ปฏิบัติตามหลักการอยู่บ้าง. ผมไม่เคยทุบตีภรรยา หรือแม้แต่จะคิดทอดทิ้งเธอเนื่องจากความเชื่อที่เธอเพิ่งพบ. แต่ผมห่วงกังวลว่า ผู้ชายรูปหล่อบางคนที่เข้าร่วมการประชุมอาจเกิดสนใจตัวเธอ. ผมยังคงคิดว่าเมื่อเป็นเรื่องศาสนา ‘ก็สนใจแต่เงินหรือไม่ก็ผู้หญิง.’ ผมมักบ่นว่าเมื่อเวเลียแต่งตัวไปร่วมประชุม: “คุณแต่งตัวพริ้งสำหรับคนอื่นเชียวนะ แต่คุณไม่เคยแต่งตัวสวย ๆ สำหรับผมเลย.” ดังนั้น ครั้งแรกที่ผมตัดสินใจไปประชุม ผมบอกว่า “ผมจะไปด้วย แต่ที่ไปก็เพื่อจะเฝ้าดูคุณอย่างใกล้ชิด!”
แต่เจตนาจริง ๆ ของผมเพื่อหาเรื่องต่อต้านพยานฯ. ณ การร่วมประชุมตอนแรก ๆ คราวหนึ่งนั้น คำบรรยายเป็นเรื่องการสมรส “กับผู้ที่เชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า” เท่านั้น. (1 โกรินโธ 7:39) เมื่อเรากลับถึงบ้าน ผมว่าแรง ๆ ให้เธอเสียหน้า “เห็นไหมล่ะ! พวกเขาก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ทุกคนนั่นแหละ—มีอคติต่อคนที่ไม่เชื่อศรัทธาเหมือนตน.” เวเลียอธิบายอย่างอ่อนน้อมว่า “แต่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาพูดเอาเอง นั่นเป็นสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลบอก.” ผมชกผนังห้องเป็นการโต้ตอบทันควันและตะโกนลั่นว่า “เอาอีกแล้ว คุณทำตัวเป็นโบโคนาอีกแล้ว!” ที่จริง ผมข้องขัดใจเพราะผมรู้ว่าเธอเป็นฝ่ายถูก.
ผมยังคงไปร่วมประชุมและอ่านหนังสือของพยานฯ แต่ผมมีเจตนาจะจับผิด. ผมถึงกับเริ่มออกความคิดเห็น ณ การประชุมด้วยซ้ำ แต่ก็เพื่อให้คนเขาเห็นว่าผมไม่ใช่คน “เม็กซิโกโง่ทึ่ม.”
ผมพบความยุติธรรมสมใจ
พอถึงปี 1971 อาชีพทหารของผมทำให้เราต้องย้ายไปอยู่ในรัฐอาร์คันซอ. ผมยังคงไปร่วมการประชุมกับเวเลียซึ่งในเดือนธันวาคม 1969 เธอได้รับบัพติสมาแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา. ผมไม่ขัดขวางเธออีกต่อไป แต่ก็ไม่ยอมให้ใครนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผม. จากการที่ได้อ่านหนังสือต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคัมภีร์ไบเบิล ผมได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากทีเดียว. แต่ก็เป็นความรู้ในสมองเท่านั้น—เป็นผลจากความต้องการเป็นเยี่ยมในทุกสิ่งที่ผมกระทำ. อย่างไรก็ตาม การคบหาสมาคมกับพยานพระยะโฮวาเริ่มก่อผลกระทบหัวใจของผมทีละเล็กทีละน้อย.
อย่างเช่น ผมสังเกตเห็นคนผิวดำมีส่วนร่วมในการสอน ณ การประชุมประชาคม. แต่ทีแรกผมบอกตัวเองว่า ‘ใช่สิ พวกเขาสอนเฉพาะที่นี่ ที่ไม่มีใครเห็น.’ อย่างไรก็ตาม ครั้นเราไปร่วมการประชุมใหญ่ที่สนามแข่งเบสบอลขนาดใหญ่ ผมตกตะลึงเมื่อเห็นคนผิวดำมีส่วนในระเบียบวาระที่นั่นด้วย. ผมจำต้องยอมรับว่าไม่มีการเลือกปฏิบัติท่ามกลางเหล่าพยานฯ. พวกเขาดำเนินการอย่างเที่ยงธรรมจริง ๆ.
นอกจากนั้น ผมได้มาหยั่งรู้ค่าที่พยานพระยะโฮวามีความรักแท้ซึ่งกันและกัน. (โยฮัน 13:34, 35) และเมื่อผมร่วมงานกับพวกเขาในการก่อสร้างหอประชุมราชอาณาจักร ผมเห็นได้ว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงปุถุชนธรรมดา. ผมเห็นพวกเขาเหนื่อย ทำงานผิดพลาด และเมื่อมีอะไรผิดพลาดก็มีการใช้คำพูดไม่ค่อยจะรื่นหูโต้ตอบกันบ้าง. แทนที่ผมจะตีตัวออกห่างเพราะข้อบกพร่องเหล่านี้ ผมยิ่งไว้เนื้อเชื่อใจพวกเขามากขึ้น. ผมอาจตระหนักว่ายังมีความหวังสำหรับผม ทั้ง ๆ ที่ผมมีข้อบกพร่องมากมาย.
ในที่สุดก็เข้าถึงหัวใจของผม
ผมตระหนักเป็นครั้งแรกว่าผมกำลังพัฒนาสัมพันธภาพกับพระยะโฮวา เมื่อปี 1973 ที่วารสารหอสังเกตการณ์ได้อธิบายเรื่องการสูบบุหรี่ ‘ทำให้เนื้อหนังเป็นมลทิน’ และเป็นพื้นฐานการตัดสัมพันธ์ผู้กระทำผิด. (2 โกรินโธ 7:1) ตอนนั้น ผมสูบบุหรี่จัด วันละหนึ่งถึงสองซอง. ผมเคยพยายามเลิกหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ. อย่างไรก็ตาม บัดนี้ ทุกครั้งที่ผมอยากสูบ ผมจะกล่าวคำอธิษฐานในใจขอพระยะโฮวาโปรดช่วยผมให้เลิกนิสัยที่ก่อความสกปรกนี้เสียที. สิ่งที่ยังความประหลาดใจแก่ทุกคนก็คือผมไม่สูบบุหรี่อีกเลย.
วันที่ 1 กรกฎาคม 1975 เป็นวันถึงกำหนดที่ผมต้องปลดประจำการ. ผมตระหนักแล้วว่าหากผมต้องการทำอย่างคัมภีร์ไบเบิลสอน ผมจะต้องอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา. ผมเองไม่เคยมีใครศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยังความตกตะลึงไม่น้อยแก่ผู้ปกครองในประชาคม เมื่อเดือนมิถุนายน 1975 ผมได้แจ้งแก่พวกผู้ปกครองว่าผมต้องการรับบัพติสมาทันทีที่เลิกอาชีพการเป็นทหาร. พวกเขาได้ชี้แจงว่า ก่อนอื่นผมจะต้องทำตามพระบัญชาของพระเยซูที่จะมีส่วนทำงานประกาศเผยแพร่. (มัดธาย 28:19, 20) ผมได้ลงมือทำจุดนี้ในวันเสาร์แรกของเดือนกรกฎาคม. วันเดียวกันนั้นเอง ผมได้เข้าพบผู้ปกครองและตอบคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเป็นข้อเรียกร้องสำหรับผู้ประสงค์จะรับบัพติสมา สามสัปดาห์ต่อมา ผมก็รับบัพติสมา.
ครั้นลูก ๆ เห็นผมรับบัพติสมา ทั้งสามคน คือวีโต เวเนลดา และเวโรนิกา ต่างก็เริ่มก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณอย่างรวดเร็ว. ในช่วงสองปีต่อมา ลูกสองคนแรกได้รับบัพติสมา ส่วนคนสุดท้องได้รับบัพติสมาหลังจากนั้นอีกสี่ปี. เมื่อผมพูดกับคนที่รู้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิล แต่ไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับความรู้ ผมมักจะบอกเขาถึงผลสืบเนื่องจากการที่เขาไม่ได้ลงมือปฏิบัติ. ผมบอกเขาว่าถึงแม้ลูกของเขาอาจไม่พูดออกมา แต่ลูก ๆ ก็คงคิดว่า ‘ถ้าความจริงไม่สำคัญพอสำหรับพ่อ ความจริงก็ไม่สำคัญพอสำหรับฉัน.’
มุ่งรับใช้เต็มเวลา
พวกเราทั้งครอบครัวเริ่มงานรับใช้เต็มเวลาฐานะไพโอเนียร์ในเมืองมาร์แชลล์ รัฐอาร์คันซอ. เวเลียกับผมเริ่มเมื่อปี 1979 และลูก ๆ ร่วมสมทบกับเราในช่วงปีต่อ ๆ มาเมื่อแต่ละคนเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาแล้ว.
ช่วงต้นทศวรรษปี 1980 เราได้ยินรายงานว่าผู้คนในประเทศเอกวาดอร์ ในอเมริกาใต้กระหายความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิล เราจึงตั้งเป้าจะย้ายไปที่นั่น. ครั้นมาในปี 1989 ลูกของเราต่างโต ๆ กันแล้วและสามารถดูแลตัวเองได้. ดังนั้น ปีนั้นเอง พวกเราได้ไปเยือนเอกวาดอร์ชั่วระยะสั้น ๆ เพื่อ “สืบดูแผ่นดิน.”—เทียบกับอาฤธโม 13:1, 2.
เดือนเมษายน 1990 พวกเราไปถึงประเทศเอกวาดอร์ บ้านแห่งใหม่ของเรา. เนื่องจากฐานะการเงินของเรามีจำกัด—เพราะอาศัยบำนาญทหาร—เราจึงต้องจัดทำงบประมาณของเราอย่างรอบคอบ. แต่ความชื่นชมยินดีจากการรับใช้เต็มเวลาในเขตงานซึ่งบังเกิดผลมากทางฝ่ายวิญญาณนี้มีค่าเกินกว่าการสละเงินทองเป็นไหน ๆ. ทีแรก เราทำงานในมันตา เมืองท่าเรือ ที่นั่นเราแต่ละคนได้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์ราว ๆ 10 ถึง 12 ราย. ครั้นแล้ว ปี 1992 ผมเริ่มงานรับใช้ในฐานะผู้ดูแลเดินทาง และมีภรรยาร่วมสมทบด้วย. แต่ละสัปดาห์เราไปเยี่ยมหนึ่งประชาคม.
เมื่อจะประสบความยุติธรรมเต็มที่
เมื่อคิดทบทวนความเป็นมา ผมกับเวเลียเห็นได้ว่าความอยุติธรรมที่เราเคยประสบมาตลอดระยะที่เราเติบโตขึ้นมานั้น บัดนี้เป็นประโยชน์ในงานรับใช้ของเรา. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราสำนึกเสมอที่จะไม่ดูถูกใคร ๆ ซึ่งอาจอยู่ในสภาพยากจนกว่าหรือมีการศึกษาที่ด้อยกว่า หรือมีพื้นเพทางชาติพันธุ์ต่างจากเรา. เราเข้าใจด้วยว่าคริสเตียนชายหญิงพี่น้องของเราหลายคนประสบความอยุติธรรมทางสังคมยิ่งกว่าที่เราเองเคยประสบ. ถึงกระนั้น พวกเขาไม่บ่น. เขาจดจ้องคอยการมาถึงแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าและนี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้ที่จะกระทำ. เราเลิกความพยายามจะไขว่คว้าหาความยุติธรรมในระบบนี้มานานแล้ว ทว่าเรากลับใช้ชีวิตของเราชี้ให้ผู้คนรู้จักราชอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับความอยุติธรรมได้จริง.—มัดธาย 24:14.
เราได้เรียนรู้อีกด้วยว่าคนเหล่านั้นในพวกเราที่มีความรู้สึกอ่อนไหวต่อความอยุติธรรมต่าง ๆ พึงต้องระมัดระวังไม่คาดหมายความยุติธรรมครบถ้วนสมบูรณ์จากไพร่พลของพระเจ้า. ทั้งนี้เนื่องจากพวกเราทุกคนไม่สมบูรณ์และเอนเอียงจะทำชั่ว. (โรม 7:18-20) กระนั้น เราพูดได้อย่างสุจริตใจว่าเราได้มาพบสังคมประกอบด้วยพี่น้องหลายชนชาติที่มีความรัก ซึ่งบากบั่นจะทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างสุดความสามารถของตน. เราตั้งความหวังพร้อมด้วยไพร่พลของพระเจ้าทุกหนแห่งว่าเราจะเข้าสู่โลกใหม่ของพระเจ้าซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ที่นั่น.—2 เปโตร 3:13.
[จุดเด่นหน้า 20]
ผมชกผนังห้องเป็นการโต้ตอบทันควัน
[รูปภาพหน้า 21]
กับเวเลีย เมื่อผมเข้าเป็นทหารอากาศ
[รูปภาพหน้า 23]
กับเวเลีย เมื่อปี 1996