เมื่อตาทุกดวงดูเหมือนจ้องมาที่คุณ
“ทรมาน” เป็นคำที่เจอร์รีใช้พรรณนาอาการนี้. เขาบอกว่า “ทุกครั้งที่ผมเดินเข้าห้องเรียนเหงื่อผมจะแตกพลั่ก ผมรู้สึกเหมือนมีสำลีจุกอยู่เต็มปาก และผมไม่คิดว่าจะพูดคุยได้—แม้ชีวิตผมจะขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น. แล้วผมจะเริ่มรู้สึกว่าความร้อนผ่าวนี้พวยพุ่งขึ้นมาผ่านแขนขาและใบหน้าของผม แล้วตัวผมก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ—ราวกับลูกตำลึงสุก.”
เจอร์รีทนทุกข์เนื่องด้วยโรคกลัวสังคม ซึ่งอาการนี้มีลักษณะเฉพาะคือ กลัวอย่างรุนแรงเรื่องการถูกคนอื่นจ้องมองและกลัวการอับอายขายหน้าต่อธารกำนัล. จุลสารเล่มหนึ่งที่จัดพิมพ์โดยสมาคมโรควิตกกังวลแห่งอเมริกา บอกว่า “คนที่เป็นโรคกลัวสังคมเชื่อว่าตาทุกดวงกำลังเพ่งมองมาที่ตน. ความวิตกกังวลอาจนำไปสู่การเกิดอาการคล้าย ๆ โรคแพนิก ซึ่งประกอบด้วยอาการต่าง ๆ เช่น หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ, หน้ามืดเป็นลม, หอบเหนื่อยหายใจไม่อิ่ม, และเหงื่อแตกพลั่ก.”
บางคนซึ่งมีแนวโน้มจะถือว่าความกลัวจากโรคกลัวสังคมไม่สลักสำคัญบอกว่า พวกเขาจะต้องบังคับตัวเองไม่ให้แยแสกับความอายของตนและ “ออกไปที่นั่นแล้วพบปะผู้คน.” ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับโรคกลัวสังคมนั้นเกี่ยวข้องกับการเผชิญความกลัวของคุณ. อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างความอายกับการกลัวสังคม. เจริลีน รอสส์ บอกว่า “โรคกลัวสังคมนั้นไม่เหมือนความอายโดยทั่วไป มันรุนแรงมากจนเข้าไปรบกวนการปฏิบัติหน้าที่ประจำวัน ณ ที่ทำงาน, ที่โรงเรียน, และในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแทบทุกรูปแบบ.”
การศึกษาวิจัยชี้ว่า ชีวิตของผู้คนหลายล้านได้รับความเสียหายจากโรคกลัวสังคม.a ลองพิจารณาความกลัวบางอย่างซึ่งเกี่ยวพันกับอาการที่ทำให้อ่อนเปลี้ยนี้.
ความกลัวรูปแบบต่าง ๆ ของโรคกลัวสังคม
การพูดต่อสาธารณชน. ดั๊กจำได้ถึงคราวเมื่ออาการกลัวผิดปกติเข้าครอบงำขณะกล่าวสั้น ๆ ต่อหน้ากลุ่มชนท้องถิ่น. เขาบอกว่า “ในทันใดนั้นเหงื่อผมแตกพลั่ก. หัวใจผมเต้นตึกตัก. ตัวผมสั่นเทิ้ม. ลำคอรู้สึกเหมือนจะตีบตัน ทำให้คำพูดของผมหลุดออกมาอย่างยากเย็น.” จริงอยู่ เกือบทุกคนจะตื่นเต้นเมื่อยืนต่อหน้าผู้ฟัง. แต่คนที่เป็นโรคกลัวสังคมจะประสบกับคลื่นแห่งความหวาดกลัวที่รุนแรงและถาโถมเข้ามาไม่หยุด แม้จะฝึกซ้อมก็ไม่ช่วยให้เพลาลง. ที่จริง ดั๊กถึงกับมองโอกาสแห่งการพูดที่ธรรมดาที่สุดเป็นเสมือนการคุกคามชีวิตของเขา.
การรับประทานอาหารต่อหน้าคนอื่น. เนื่องจากผู้เป็นโรคกลัวสังคมเชื่อว่าตนกำลังถูกจ้องมอง แม้แต่มื้อธรรมดา ๆ ก็อาจกลายเป็นประสบการณ์ที่เหมือนฝันร้าย. เขากังวลว่ามือจะสั่น, จะทำอาหารหกหรือเลอะปาก, หรือกระทั่งกังวลว่าจะไม่สบาย. ความกลัวเหล่านี้อาจกลายเป็นคำทำนายที่เกิดขึ้นจริงตามที่คาดไว้. หนังสือสุดแสนอาย (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า “ยิ่งคุณเป็นห่วงว่าอาจจะทำสิ่งน่าอาย คุณก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น. ยิ่งคุณวิตกกังวล ก็ยิ่งเป็นไปได้ที่คุณจะเริ่มสั่นจริง ๆ หรือทำท่าทางเงอะงะงุ่มง่าม. ปัญหานี้อาจเพิ่มทวีถึงจุดที่ยากจะเอาอาหารหรือเครื่องดื่มเข้าปากโดยไม่ให้หกเลอะ.”
การเขียนเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น. เนื่องจากกลัวว่ามือจะสั่นหรือกลัวจะมีคนเห็นว่าเขียนหวัดอ่านไม่ออก หลายคนที่เป็นโรคกลัวสังคมจึงมีความกลัวผิดปกติเมื่อพวกเขาต้องเซ็นเช็คหรือทำการเขียนอื่นใดขณะถูกเฝ้ามอง. ยกตัวอย่าง แซมรู้สึกอายสุดแสนเมื่อนายจ้างเรียกร้องให้เขาเซ็นบันทึกการทำงานต่อหน้ายามรักษาความปลอดภัยในตอนเริ่มงานแต่ละวัน. แซมบอกว่า “ผมไม่สามารถทำได้. มือผมจะสั่นขนาดหนักจนผมต้องจับมันด้วยมืออีกข้างหนึ่งเพื่อจะขีดเขียนลงไป แล้วคุณก็อ่านไม่ออกว่าผมเขียนอะไร.”
การใช้โทรศัพท์. นายแพทย์จอห์น อาร์. มาร์แชล บอกว่า คนไข้ของเขาหลายคนสารภาพว่าพวกเขาจะหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์เมื่อไรก็ตามที่เป็นไปได้. เขาบอกว่า “คนไข้บางคนกังวลว่าตนจะไม่สามารถโต้ตอบได้อย่างเหมาะสม. ส่วนคนอื่นกลัวว่า เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ความเงียบที่ทำให้อึดอัดก็จะตามมา และเมื่อถึงจุดที่การสนทนาเกิดติดขัด ความวิตกกังวลจะทำให้น้ำเสียงของเขาเปลี่ยน, สั่น, หรือพูดเสียงแหลม. พวกเขาหวาดกลัวว่าตนอาจพูดตะกุกตะกัก, หรือพูดติดอ่าง, หรืออาการที่น่าอายแบบอื่น ๆ ซึ่งบ่งบอกว่าเขาอยู่ในภาวะกระอักกระอ่วน.”
ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน. บางคนที่เป็นโรคกลัวสังคมหวาดหวั่นแทบจะทุกสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ปะปนกับคนอื่น. บ่อยครั้ง พวกเขามักจะหวาดกลัวการสบตาเป็นพิเศษ. จดหมายข่าวสุขภาพจิตของฮาร์เวิร์ด (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “คนที่เป็นโรคกลัวสังคมอย่างรุนแรงมักจะวิตกกังวลและไม่แน่ใจว่าจะมองไปทางไหนดี และจะสนองตอบอย่างไรเมื่อคนอื่นมองมายังตน. พวกเขาเลี่ยงการสบตาเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรควรมองและเมื่อไรควรละสายตาไปที่อื่น. พวกเขานึกเอาเองว่า คนอื่นจะตีความหมายการจ้องมองของเขาไปแบบผิด ๆ.”
มีความกลัวแบบอื่น ๆ อีกที่เกี่ยวพันกับโรคกลัวสังคม. ยกตัวอย่าง หลายคนหวาดกลัวการใช้ส้วมสาธารณะ. คนอื่น ๆ กลัวการไปจับจ่ายซื้อของที่มีคนขายจ้องมองอยู่. สตรีคนหนึ่งบอกว่า “ดิฉันรู้สึกประหม่า กระทั่งบ่อยครั้งดิฉันไม่เห็นสิ่งที่ตัวเองกำลังมองอยู่ด้วยซ้ำ. ดิฉันคาดหรือนึกเสมอว่า พนักงานขายต้องการให้ดิฉันตัดสินใจเสียทีว่าจะเอาอะไร และเลิกทำให้เขาเสียเวลา.”
พวกเขาพยายามจะรับมืออย่างไร?
คนปกติรู้สึกว่าความปวดร้าวของคนที่เป็นโรคกลัวสังคมนั้นยากแก่การเข้าใจ. ผู้เป็นโรคกลัวคนหนึ่งพรรณนาถึงประสบการณ์ของเขาว่าเป็น “ความน่าอับอายชนิดเลวร้ายที่สุดเท่าที่ใคร ๆ จะนึกภาพได้!” อีกคนหนึ่งยอมรับว่า “ดิฉันคิดจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา.”
น่าเศร้า หลายคนที่เป็นโรคกลัวสังคมหันเข้าหาแอลกอฮอล์เพื่อพยายามบรรเทาความวิตกกังวล.b แม้อาจจะให้การบรรเทาชั่วคราว แต่ในระยะยาว การใช้แอลกอฮอล์อย่างผิด ๆ มีแต่จะเพิ่มปัญหาให้กับผู้เป็นโรคกลัวดังกล่าว. นายแพทย์จอห์น อาร์. มาร์แชล ให้ข้อสังเกตว่า “คนไข้ของผมหลายคนซึ่งแทบไม่เคยดื่ม ณ งานเลี้ยงสังสรรค์ เกิดเมาจนไม่ได้สติ—เพราะพยายามจะทำให้ใจสงบก่อนหรือระหว่างอยู่ในงานสังคม แต่แล้วกลับทำให้ตัวเองอับอายขายหน้ามากยิ่งขึ้นในสายตาของคนอื่นซึ่งเป็นสิ่งที่เขากลัวขนาดหนัก.”
บางทีกลยุทธ์ในการรับมือแบบธรรมดา ๆ ที่สุดสำหรับผู้เป็นโรคกลัวสังคมก็คือ การหลีกเลี่ยง. ใช่แล้ว หลายคนไม่เข้าใกล้เลยในสถานการณ์ที่พวกเขากลัว. ผู้เป็นโรคกลัวสังคมคนหนึ่งชื่อ ลอร์เรน บอกว่า “ดิฉันจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มากเท่าที่จะมากได้ แม้แต่การพูดคุยโทรศัพท์ด้วยซ้ำ.” อย่างไรก็ดี ต่อมาหลายคนที่เป็นโรคนี้จะพบว่าการหลีกเลี่ยงนั้นกักขังพวกเขาแทนที่จะปกป้องพวกเขา. ลอร์เรนบอกว่า “จากนั้นไม่นาน ความโดดเดี่ยวเดียวดายและความเบื่อหน่ายก็จะโถมทับท่วมท้นดิฉัน.”
การหลีกเลี่ยงอาจกลายเป็น “กับดักที่เพิ่มฤทธิ์เดชให้ตัวมันเอง” ตามที่เจริลีน รอสส์ กล่าวเตือน. เธอพูดเสริมว่า “และการหลีกเลี่ยงแต่ละครั้งทำให้คราวถัดไปติดกับดักง่ายยิ่งขึ้น—จนกระทั่งการหลีกเลี่ยงแทบจะกลายเป็นอาการตอบสนองโดยอัตโนมัติ.” บางคนที่เป็นโรคกลัวนี้ปฏิเสธเป็นประจำเมื่อได้รับคำเชิญให้ไปรับประทานอาหาร หรือไม่ก็ปฏิเสธโอกาสการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์กับผู้คน. ผลก็คือ พวกเขาไม่มีทางได้เรียนรู้วิธีเผชิญหน้ากับความกลัวและเอาชนะมัน. ดังที่ดร. ริชาร์ด ไฮม์เบิร์ก กล่าวว่า “ชีวิตของพวกเขามีแต่การคิดเอาเองว่าจะถูกปฏิเสธซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริง และการคิดเอาเองว่าจะล้มเหลวในการงานซึ่งพวกเขาไม่เคยลองทำเพราะเอาแต่หลีกเลี่ยงมัน.”
อย่างไรก็ตาม มีข่าวดีเกี่ยวกับโรคกลัวสังคม นั่นคือ โรคนี้รักษาได้. แน่ละ เป็นไปไม่ได้—กระทั่งไม่น่าปรารถนาด้วยซ้ำ—ที่จะขจัดความวิตกกังวลทุกรูปแบบให้หมดสิ้น. กระนั้น คนที่ทนทุกข์เพราะโรคกลัวสังคมสามารถเรียนรู้วิธีควบคุมความกลัวของตนได้ และคัมภีร์ไบเบิลก็มีคำแนะนำที่ใช้ได้ผลซึ่งสามารถช่วยได้.
[เชิงอรรถ]
a ควรสังเกตว่าเกือบทุกคนมีความกลัวสังคมอยู่บ้าง. ยกตัวอย่าง หลายคนวิตกกังวลเมื่อรู้ว่าจะต้องพูดต่อหน้าผู้ฟัง. อย่างไรก็ดี โรคกลัวสังคมตามการวินิจฉัยของแพทย์นั้นโดยทั่วไปแล้วหมายถึงเฉพาะผู้ที่มีความกลัวสุดขีดจริง ๆ จนทำให้การปฏิบัติหน้าที่ตามปกติหยุดชะงัก.
b การวิจัยแสดงให้เห็นว่า ในหมู่ผู้ที่เป็นโรคกลัวสังคม โรคพิษสุราเรื้อรังมีอัตราสูงและในหมู่ผู้ติดสุรา โรคกลัวสังคมก็มีอัตราสูง. อย่างไหนมาก่อน? มีการอ้างว่า หนึ่งในสามของผู้ติดสุรามีประวัติเรื่องการเป็นโรคแพนิก (อาการกลัวผิดปกติ) หรือการกลัวสังคมแบบใดแบบหนึ่งก่อนที่เขาจะเริ่มดื่ม.
[รูปภาพหน้า 5]
สำหรับผู้เป็นโรคกลัวสังคม ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนแบบธรรมดา ๆ กลายเป็นประสบการณ์ที่เหมือนฝันร้าย