การควบคุมโรคกลัวสังคม
“สิ่งสำคัญที่สุดที่คนเป็นโรคกลัวพึงจำไว้ก็คือ โรคกลัวตอบรับการรักษาได้ดี. มันไม่ใช่อะไรบางอย่างที่พวกเขาจะต้องทนทุกข์เรื่อยไป.”—ดร. คริส สเลตเทน.
น่าดีใจหลายคนที่เป็นโรคกลัวสังคมได้รับการช่วยให้คลายความวิตกกังวลและกระทั่งกล้าเผชิญกับเหตุการณ์ทางสังคมที่พวกเขากลัวมาหลายปี. หากคุณเป็นโรคกลัวสังคม ขอให้แน่ใจว่าคุณก็เช่นกันสามารถเรียนรู้วิธีเชิงสร้างสรรค์ในการจัดการกับโรคดังกล่าว. เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ คุณจำเป็นต้องใส่ใจต่อ (1) อาการทางกายของคุณ, (2) สิ่งที่คุณเชื่อเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ อันทำให้คุณกลัว, และ (3) พฤติกรรมที่ความกลัวของคุณก่อขึ้น.
หลักการในคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยได้. จริงอยู่ พระคำของพระเจ้าไม่ใช่ตำราทางการแพทย์ อีกทั้งไม่ได้เอ่ยถึงคำ “โรคกลัวสังคม.” กระนั้น คัมภีร์ไบเบิลก็สามารถช่วยคุณให้ “รักษาสติปัญญาที่ใช้ได้จริงและความสามารถในการคิด” เมื่อจัดการกับสิ่งที่คุณกลัว.—สุภาษิต 3:21, ล.ม.; ยะซายา 48:17.
การจัดการกับอาการของคุณ
อาการทางกายของโรคกลัวสังคมนั้นแตกต่างกันไประหว่างคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง. ร่างกายของคุณ สนองตอบอย่างไรเมื่อคุณเข้าใกล้สถานการณ์ที่ทำให้วิตกกลัว? มือคุณสั่นไหม? หัวใจคุณเต้นเร็วไหม? คุณรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไหม? คุณเหงื่อแตกหรือหน้าแดง หรือปากแห้งไหม?
ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยเมื่อนึกถึงอาการเหงื่อแตก, พูดติดอ่าง, หรือตัวสั่นงันงกขณะอยู่ต่อหน้าคนอื่น. แต่การวิตกกังวลต่อสิ่งที่อาจเกิดขึ้นนั้นจะไม่ช่วยอะไร. พระเยซูทรงถามอย่างเหมาะเจาะว่า “มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวายอาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ?” (มัดธาย 6:27; เทียบกับสุภาษิต 12:25.) ที่จริง การครุ่นคิดอยู่กับอาการของคุณและสิ่งที่คนอื่น ๆ อาจจะคิดนั้นมีแต่จะทำให้เรื่องเลวร้ายยิ่งขึ้น. จดหมายข่าวสุขภาพจิตของฮาร์เวิร์ดให้ข้อสังเกตว่า “การนึกไปเองว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นความประหม่าของตนนั้น ทำให้คนที่เป็นโรคกลัวสังคมยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น. พวกเขาคาดว่าจะทำท่าทางเงอะ ๆ งะ ๆ ไม่เหมาะสม—เป็นความคาดหมายที่กระตุ้นให้หวาดหวั่นมากขึ้นเมื่อสถานการณ์ที่ทำให้กลัวคืบใกล้เข้ามา.”
คุณอาจจะลดความรุนแรงของอาการได้โดยฝึกหายใจช้า ๆ จากกะบังลม. (ดูกรอบ “ระวังการหายใจของคุณ!”) ที่ช่วยได้เช่นกันก็คือ การทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและการออกกำลังกายเป็นประจำ. (1 ติโมเธียว 4:8) คุณอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบชีวิตบางอย่างด้วย. ยกตัวอย่าง คัมภีร์ไบเบิลแนะนำว่า “ความสงบสุขเต็มกำมือหนึ่งยังดีกว่าสองกำมือเต็มด้วยการเหน็ดเหนื่อยและทั้งต้องอุตส่าห์วิ่งไล่ตามลมไป.” (ท่านผู้ประกาศ 4:6) ดังนั้น จงทำให้แน่ใจว่าคุณได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ. นอกจากนี้ จงระวังเรื่องอาหารการกินของคุณ. อย่ากินมื้อไม่กินมื้อหรือกินไม่เป็นเวลา. อาจจำเป็นด้วยที่จะต้องลดกาเฟอีน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุมูลฐานที่กระตุ้นความวิตกกังวล.
เหนืออื่นใด จงอดทน. (ท่านผู้ประกาศ 7:8) นายแพทย์คณะหนึ่งรายงานว่า “ในที่สุดคุณจะสังเกตว่า แม้มีแนวโน้มที่คุณยังคงรู้สึกวิตกกังวลบ้างในสถานการณ์ทางสังคมบางอย่าง แต่ความรุนแรงของอาการทางกายของคุณจะลดลงอย่างมาก. ที่สำคัญที่สุด การฝึกฝนจะทำให้ความมั่นใจในตัวเองของคุณเพิ่มมากขึ้น และคุณจะอยู่พร้อมมากขึ้นในการเผชิญสถานการณ์ทางสังคมที่คุณกลัว.”
วิเคราะห์สิ่งที่คุณเชื่อว่าทำให้คุณกลัว
กล่าวกันว่าคุณไม่มีทางจะเกิดความรู้สึกได้ถ้าไม่คิดเสียก่อน. สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นความจริงกับโรคกลัวสังคม. ฉะนั้น เพื่อลดอาการทางกายของคุณ คุณอาจต้องตรวจสอบ “ความกังวลในใจ” ที่เติมเชื้อให้อาการดังกล่าว.—บทเพลงสรรเสริญ 94:19, ฉบับแปลใหม่.
ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่า โรคกลัวสังคมโดยแก่นแท้แล้วคือการกลัวว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับ. ยกตัวอย่าง ขณะอยู่ที่การชุมนุมสังสรรค์ คนที่เป็นโรคกลัวสังคมอาจพูดกับตัวเองว่า ‘ฉันนี้ดูโง่จัง. ผู้คนจะต้องสังเกตว่าฉันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย. ฉันแน่ใจว่าทุกคนกำลังมองฉันเป็นตัวตลก.’ เทรซีซึ่งเป็นโรคกลัวสังคมมีความรู้สึกเช่นว่านี้. อย่างไรก็ตาม ต่อมาเธอได้วิเคราะห์สิ่งที่ตนเชื่อ. เธอได้มาตระหนักว่าผู้คนมีอะไรดี ๆ ที่จะทำมากกว่าจะมาวิจารณ์และตัดสินเธอ. เทรซีลงความเห็นว่า “แม้ว่าฉันพูดอะไรที่น่าเบื่อ แต่เหมาะสมไหมที่ใคร ๆ จะไม่ยอมรับตัวฉันเนื่องด้วยสิ่งนั้น?”
เช่นเดียวกับเทรซี คุณอาจจำเป็นต้องวิเคราะห์ความคิดที่ไม่ตรงกับสภาพจริงเกี่ยวกับความเป็นไปได้—และความร้ายแรง—ของการไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่นในสถานการณ์ทางสังคม. มีเหตุผลที่ฟังขึ้นจริง ๆ ไหมในการเชื่อว่าผู้คนจะรำคาญคุณถ้าสิ่งทีคุณกลัวมากที่สุดเกิดขึ้นจริง? ถึงแม้บางคนอาจจะรำคาญ แต่มีเหตุผลไหมที่จะลงความเห็นว่าคุณคงไม่รอดจากเหตุการณ์ร้ายนั้นแน่ ๆ? ความคิดเห็นของคนอื่นจะเปลี่ยนคุณค่าในตัวคุณจริง ๆ ไหม? คัมภีร์ไบเบิลแนะนำอย่างฉลาดสุขุมดังนี้: “อย่าปล่อยใจให้ไปฟังบรรดาถ้อยคำที่ใคร ๆ กล่าว.”—ท่านผู้ประกาศ 7:21.
นายแพทย์คณะหนึ่งซึ่งเขียนเรื่องโรคกลัวสังคม กล่าวว่า “ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้คนให้ความสำคัญมากเกินไปต่อการถูกปฏิเสธอันไม่อาจเลี่ยงได้ที่เกิดขึ้นในชีวิต. การถูกปฏิเสธอาจยังความผิดหวังมาก. มันอาจทำให้ปวดร้าวจริง ๆ. แต่มันไม่จำเป็นต้องทำให้คุณหมดเรี่ยวแรง. จริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่ความหายนะเว้นแต่คุณจะทำให้เป็นเอง.”
คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้มองตัวเองตามสภาพจริง. พระคัมภีร์ยอมรับว่า “เราทุกคนต่างก็พลาดพลั้งกันหลายครั้ง.” (ยาโกโบ 3:2, ล.ม.) ใช่แล้ว ไม่มีใครปลอดจากความไม่สมบูรณ์และการกระทำอันแสดงถึงความไม่สมบูรณ์ที่น่าอายในบางครั้ง. การเข้าใจเรื่องนี้ช่วยเราให้ยอมรับความอ่อนแอของคนอื่น และนั่นสนับสนุนคนอื่นให้เข้าใจความอ่อนแอของเราเช่นเดียวกัน. จะอย่างไรก็ตาม คริสเตียนรู้ว่าการยอมรับที่สำคัญจริง ๆ ก็คือการยอมรับจากพระยะโฮวาพระเจ้า—และพระองค์ไม่เพ่งเล็งที่ความผิดของเรา.—บทเพลงสรรเสริญ 103:13, 14; 130:3.
เผชิญความกลัวของคุณ
เพื่อเอาชนะการต่อสู้กับโรคกลัวสังคม ไม่ช้าก็เร็วคุณจะต้องเผชิญหน้ากับความกลัวของคุณ. ทีแรก ความคิดนี้แหละอาจดูเหมือนน่าประหวั่นพรั่นพรึง. บางที จนถึงปัจจุบันนี้คุณก็ยังหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ทางสังคมที่จะทำให้คุณกลัว. อย่างไรก็ดี การกระทำแบบนี้คงมีแต่จะบั่นทอนความมั่นใจของคุณและทำให้ความกลัวของคุณฝังรากลึกยิ่งขึ้น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างที่ชอบด้วยเหตุผลดังนี้ “คนที่ปลีกตัวออกไปจากผู้อื่นจงใจจะทำตามตนเอง, และค้านคติแห่งปัญญาอันถูกต้องทั้งหลาย.”—สุภาษิต 18:1.
ในทางตรงข้าม การเผชิญหน้ากับความกลัวมักจะช่วยลดความวิตกกังวลของคุณ.a นายแพทย์จอห์น อาร์. มาร์แชล บอกว่า “เรามักจะสนับสนุนคนป่วยที่เป็นโรคกลัวสังคม—โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ความกลัวของเขาค่อนข้างจะมีลักษณะชัดเจน เช่น การพูดต่อสาธารณชน—ให้บังคับตัวเองทำโน่นทำนี่ในฉากเหตุการณ์และองค์การที่จะต้องติดต่อกับผู้คน.”
การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คุณกลัวจะทำให้คุณมั่นใจว่า (1) ข้อบกพร่องที่น่าอายส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่ ทำให้คนอื่นไม่ยอมรับ และ (2) ถึงแม้ว่าข้อบกพร่องเหล่านั้นทำ ให้บางคนไม่ยอมรับ แต่นี่ไม่ใช่ความหายนะ. กระนั้น จำไว้ว่าจงอดทนกับความก้าวหน้าของคุณที่ค่อย ๆ เป็นไปทีละน้อย. การหายเป็นปกติไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน อีกทั้งการคาดหมายว่าอาการทุกอย่างของโรคกลัวสังคมจะอันตรธานไปนั้นก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงเช่นกัน. ตามคำพูดของ ดร. แซลลี วินสตัน เป้าหมายของการรักษาไม่ใช่เพื่อขจัดอาการ แต่เพื่อทำให้อาการนั้นไม่เป็นเรื่องสลักสำคัญ. เธอกล่าวว่า หากเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญก็เท่ากับว่าหายแล้วหรืออย่างน้อยก็ดีขึ้น.
คริสเตียนมีแรงกระตุ้นใจที่ทรงพลังในการเอาชนะโรคกลัวสังคม. ที่จริง มีการบอกพวกเขาให้ “พิจารณาดูกันและกันเพื่อเร้าใจให้เกิดความรักและการกระทำที่ดี ไม่ละการประชุมร่วมกัน.” (เฮ็บราย 10:24, 25, ล.ม.) เนื่องจากกิจกรรมคริสเตียนมักจะเกี่ยวข้องกับการติดต่อกับผู้คน การออกแรงอย่างหนักเพื่อควบคุมความกลัวสังคมของคุณอาจช่วยให้คุณก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณได้มาก. (มัดธาย 28:19, 20; กิจการ 2:42; 1 เธซะโลนิเก 5:14) นำเรื่องนี้ทูลต่อพระยะโฮวาพระเจ้าในคำอธิษฐาน เพราะพระองค์สามารถให้ “กำลังที่มากกว่าปกติ” แก่คุณได้. (2 โกรินโธ 4:7, ล.ม.; 1 โยฮัน 5:14) ทูลขอพระยะโฮวาให้ช่วยคุณเพื่อได้มาซึ่งทัศนะที่สมดุลเรื่องการเป็นที่ยอมรับของคนอื่น และเพื่อปลูกฝังทักษะที่จำเป็นในการทำสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้อง.
ต้องยอมรับว่า ปัญหาของผู้เป็นโรคกลัวสังคมแต่ละคนนั้นไม่ซ้ำแบบกัน และแต่ละคนจะมีอุปสรรคที่ต้องเผชิญแตกต่างกันไป อีกทั้งมีกำลังเรี่ยวแรงที่จะรับมือแตกต่างกันด้วย. บางคนอาการดีขึ้นอย่างมากเมื่อใช้คำชี้แนะที่ได้พิจารณาไปแล้ว. บางรายอาจจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติม. ยกตัวอย่าง บางคนได้รับความช่วยเหลือด้วยยา.b คนอื่น ๆ หาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต. ตื่นเถิด! ไม่ได้แนะนำหรือสนับสนุนการรักษาชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเฉพาะ. คริสเตียนจะรับการรักษาดังกล่าวหรือไม่นั้นเป็นการตัดสินใจส่วนตัว. อย่างไรก็ตาม ควรระวังที่จะดูว่า การรักษาใด ๆ ที่เขารับนั้นไม่ขัดกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิล.
มนุษย์ “ที่มีความรู้สึกเช่นเราทั้งหลาย”
คัมภีร์ไบเบิลเป็นแหล่งแห่งการหนุนกำลังใจอันใหญ่หลวงได้ เพราะมีตัวอย่างชีวิตจริงของผู้คนซึ่งเอาชนะอุปสรรคส่วนตัวเพื่อทำสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเขา. โปรดพิจารณาเรื่องของเอลียา. เนื่องจากเป็นผู้พยากรณ์คนสำคัญคนหนึ่งของชาติยิศราเอล ท่านได้แสดงความกล้าหาญที่อาจจะดูเหมือนว่าเหนือมนุษย์. กระนั้น คัมภีร์ไบเบิลยืนยันกับเราว่า “เอลียาเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกเช่นเราทั้งหลาย.” (ยาโกโบ 5:17, ล.ม.) ท่านใช่ว่าจะปลอดจากช่วงแห่งความหวาดกลัวและความวิตกกังวลอย่างรุนแรง.—1 กษัตริย์ 19:1-4.
อัครสาวกคริสเตียนเปาโลไปเมืองโกรินโธในสภาพที่ “อ่อนกำลัง, มีความกลัวและหวั่นหวาดมาก” เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นกังวลเรื่องความสามารถของตนเอง. และท่านเผชิญกับการไม่ยอมรับในระดับหนึ่ง. ที่จริง ผู้ต่อต้านบางคนพูดถึงเปาโลว่า “ตัวเขาดูอ่อนกำลัง, และคำพูดของเขาก็ใช้ไม่ได้.” แต่ไม่มีอะไรที่แสดงว่าเปาโลปล่อยให้ความคิดเห็นอันบิดเบือนของคนอื่นมีอิทธิพลต่อทัศนคติที่ท่านมีต่อตัวเองหรือต่อความสามารถของตน.—1 โกรินโธ 2:3-5; 2 โกรินโธ 10:10.
โมเซไม่มั่นใจว่าตนมีความสามารถที่จะเข้าเฝ้าฟาโรห์ได้ ท่านอ้างว่า “พูดไม่คล่องแคล่ว.” (เอ็กโซโด 4:10) แม้เมื่อพระยะโฮวาพระเจ้าตรัสสัญญาว่าจะช่วยท่าน แต่โมเซก็ร้องขอว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าเลย โปรดส่งคนอื่นไปเถิด.” (เอ็กโซโด 4:13, ฉบับแปลทูเดส์ อิงลิช) โมเซมองไม่เห็นความสามารถของตน แต่พระยะโฮวาทรงเห็น. พระองค์ทรงมองว่าโมเซมีสมรรถนะทางใจและกายอันจะทำให้งานมอบหมายสำเร็จได้. กระนั้น ด้วยความรัก พระยะโฮวาทรงให้โมเซมีผู้ช่วยคนหนึ่ง. พระองค์ไม่ได้บังคับโมเซให้เผชิญหน้ากับฟาโรห์ตามลำพัง.—เอ็กโซโด 4:14, 15.
ยิระมะยาก็เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในเรื่องนี้เช่นกัน. เมื่อท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พยากรณ์ของพระเจ้า ชายหนุ่มผู้นี้ตอบว่า “โอ้ยะโฮวาพระเจ้า, ดูเถิด, ข้าพเจ้าพูดไม่ได้, เพราะข้าพเจ้าเป็นเด็กอยู่.” กำลังในการปฏิบัติงานมอบหมายของท่านให้สำเร็จนั้นไม่ได้มีอยู่ในตัวยิระมะยามาแต่กำเนิด. กระนั้น พระยะโฮวาทรงอยู่กับท่าน. พระองค์ช่วยยิระมะยาให้กลายเป็น “เมืองมีค่ายพร้อม, แลให้เป็นเสาเหล็ก, แลให้เป็นกำแพงทองเหลือง, ที่จะต่อสู้ประเทศทั้งหมด.”—ยิระมะยา 1:6, 18, 19.
เพราะฉะนั้น ถ้าความกลัวและความวิตกกังวลเป็นเหตุให้คุณทนทุกข์ อย่าลงความเห็นว่าคุณขาดความเชื่อหรือพระยะโฮวาปฏิเสธคุณ. ตรงกันข้าม “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้ผู้ที่มีใจชอกช้ำ, และคนที่มีใจสุภาพพระองค์จะทรงช่วยให้รอด.”—บทเพลงสรรเสริญ 34:18.
ที่จริง ตัวอย่างต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลที่เอ่ยข้างต้นแสดงให้เห็นว่า แม้แต่ชายฉกรรจ์ผู้มีความเชื่อก็ยังมีความรู้สึกว่าขาดความสามารถ. ขณะที่ไม่ทรงเรียกร้องมากไปกว่าที่แต่ละคนจะให้ได้อย่างสมเหตุสมผล พระยะโฮวาได้ช่วยเอลียา, เปาโล, โมเซ, และยิระมะยาให้ทำงานได้สำเร็จมากกว่าที่พวกเขาอาจคาดคิด. เนื่องจากพระยะโฮวา “ทรงทราบโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี.”—บทเพลงสรรเสริญ 103:14, ฉบับแปลใหม่.
[เชิงอรรถ]
a นายแพทย์บางคนเสนอแนะว่า ถ้าขั้นตอนนี้ดูเหมือนหนักหนาสาหัส ก็แค่ฝึกสร้างมโนภาพว่าคุณอยู่ในสภาพการณ์ที่คุณกลัว. สร้างภาพฉากเหตุการณ์โดยให้มีรายละเอียดมากเท่าที่จะมากได้. ระดับความวิตกกังวลของคุณอาจจะเพิ่มขึ้น แต่จงเฝ้าเตือนใจคุณเองว่าการไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่นใช่ว่าจะเกิดขึ้นหรือร้ายแรงอย่างที่คุณคิด และสร้างมโนภาพฉากเหตุการณ์ตอนจบให้สนับสนุนทัศนะนั้น.
b ผู้ที่คิดจะรับการรักษาด้วยยาควรชั่งดูความเสี่ยงและประโยชน์ที่ได้. เขาควรจะพิจารณาด้วยว่า โรคกลัวนั้นรุนแรงพอที่จะรับการรักษาด้วยยาหรือไม่. ผู้เชี่ยวชาญหลายคนรู้สึกว่าการให้ยาจะได้ผลดีที่สุดเมื่อทำควบคู่ไปกับการรักษาที่ให้ความใส่ใจต่อความกลัวและพฤติกรรมของผู้ป่วย.
[กรอบหน้า 8]
ระวังการหายใจของคุณ!
บางคนที่เป็นโรคกลัวสังคมสามารถลดความรุนแรงของอาการทางกายได้โดยให้ความใส่ใจต่อการหายใจของตน. ตอนแรก สิ่งนี้อาจฟังดูแปลก. ถ้าจะว่าไป ทุกคน รู้วิธีหายใจ! แต่พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า หลายคนที่มีปัญหาเรื่องความวิตกกังวลหายใจไม่ถูกวิธี. บ่อยครั้ง พวกเขาหายใจตื้นเกินไป, เร็วเกินไป, หรือหายใจจากหน้าอกมากเกินไป.
ฝึกหายใจเข้าและหายใจออกอย่างช้า ๆ. การหายใจทางจมูกไม่ใช่ทางปากจะช่วยให้สิ่งนี้ง่ายขึ้น. อนึ่ง ให้เรียนวิธีหายใจจากกะบังลม เนื่องจากการหายใจจากอกส่วนบนจะทำให้คุณเสี่ยงต่ออาการหายใจเร็วและแรงผิดปกติ. เพื่อทดสอบตัวเองในเรื่องนี้ ให้ยืนตัวตรง เอามือข้างหนึ่งวางทาบหน้าท้องส่วนบน อีกข้างหนึ่งวางทาบกลางอก. ขณะหายใจ ให้สังเกตว่ามือข้างไหนพะเยิบมากกว่า. ถ้าเป็นมือข้างที่วางทาบหน้าอก คุณต้องฝึกหายใจจากกะบังลม.
แน่ละ ไม่ใช่การหายใจทุกจังหวะ จะต้องมาจากกะบังลม. (อัตราส่วนตามปกติระหว่างการหายใจจากกะบังลมกับหน้าอกจะอยู่ราว ๆ 4 ต่อ 1 แต่ตัวเลขนี้จะต่างไปบ้างในบางครั้ง.) และคำเตือนที่นับว่าเหมาะสมก็คือ คนที่มีอาการเรื้อรังเกี่ยวกับการหายใจ—อย่างเช่น โรคถุงลมโป่งพองหรือโรคหืด—ควรพบแพทย์ก่อนจะฝึกวิธีหายใจแบบใหม่.
[กรอบหน้า 9]
เมื่อความกลัวนำไปสู่โรคแพนิก
บางคนที่เป็นโรคกลัวสังคมมีความวิตกกังวลรุนแรงมากจนทำให้เป็นโรคแพนิก. ความกลัวฉับพลันท่วมท้นนี้บ่อยครั้งทำให้คนที่เป็นโรคกลัวหายใจเร็วและแรงผิดปกติ, รู้สึกหน้ามืดจะเป็นลม, และเชื่อว่าตนกำลังประสบอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน.
พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ดีที่สุดที่จะไม่ไปต่อสู้กับอาการของโรคแพนิก. แต่พวกเขาแนะนำให้ผู้นั้น ‘อดทน’ กับความวิตกกังวลดังกล่าวจนกระทั่งมันผ่านไป. เจริลีน รอสส์ บอกว่า “เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว คุณไม่อาจหยุดมันได้. มันจะต้องดำเนินไปตามวิถีของมัน. เพียงเฝ้าบอกตัวเองว่า แม้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่เป็นอันตราย. เดี๋ยวมันจะผ่านไป.”
เมลวิน กรีน ผู้อำนวยการหน่วยงานหนึ่งซึ่งรักษาโรคแอ็กโกราโฟเบีย (โรคกลัวที่โล่งแจ้ง) เปรียบอาการนี้เหมือนคลื่นลูกเล็ก ๆ ที่แลเห็นว่ากำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายหาด. เขาบอกว่า “สิ่งนี้หมายถึงความรู้สึกวิตกกังวลเริ่มแรกของคุณ. ขณะที่คลื่นใกล้จะถึงฝั่ง มันจะใหญ่ขึ้น ๆ. สิ่งนี้หมายถึงความรู้สึกวิตกกังวลของคุณที่เพิ่มมากขึ้น. ในไม่ช้าคลื่นจะใหญ่และขึ้นถึงจุดสูงสุด. และแล้วมันก็จะม้วนตัวเป็นคลื่นที่เล็กลง ๆ จนกระทั่งสลายตัวไปกับผืนทราย. ภาพนี้เป็นเสมือนการเริ่มและการจบของอาการวิตกกังวล.” กรีนบอกว่า ผู้เป็นโรคกลัวไม่ควรต่อสู้ความรู้สึกนี้ แต่ให้ปล่อยตัวคล้อยตามจนกระทั่งมันผ่านพ้นไป.
[รูปภาพหน้า 8, 9]
เพื่อช่วยบรรเทาความวิตกกังวล จงระวังเรื่องอาหารการกินของคุณ, ออกกำลังกายเป็นประจำ, และพักผ่อนให้เพียงพอ
[รูปภาพหน้า 10]
พระยะโฮวาทรงช่วยบุคคลต่าง ๆ ดั่งเช่นโมเซให้ทำงานรับใช้ของตนสำเร็จมากกว่าที่พวกเขาอาจคาดคิด