การเพ่งดูโลก
มหาสมุทรตกอยู่ในอันตราย
นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลและนักชีววิทยาฝ่ายอนุรักษ์มากกว่า 1,600 คนจาก 65 ประเทศได้แสดงการเห็นชอบกับ “การร้องเรียกให้ลงมือ” ป้องกันมหาสมุทรจากความเสียหายที่จะมีขึ้นต่อไป เดอะ เจอร์นัล ออฟ คอมเมิร์ซรายงาน. “ทะเลกำลังประสบปัญหาจริง ๆ ปัญหานั้นมากยิ่งกว่าที่เราเคยคิด” เป็นคำกล่าวของ เอเลียต นอร์ส นักนิเวศวิทยาทางทะเล. ตัวอย่างหนึ่งที่ยกมาคือ แถบหนึ่งของมหาสมุทรขนาด 18,000 ตารางกิโลเมตรในอ่าวเม็กซิโกเป็นที่รู้จักกันว่าเขตตาย. ดังที่ชื่อนี้บ่งเป็นนัย เขตตายปราศจากปลา, กุ้ง, และสัตว์น้ำชนิดอื่นแทบทั้งหมด. นักวิทยาศาสตร์สืบสาวปัญหาไปถึงปริมาณสาหร่ายทะเลจำนวนมากซึ่งได้รับอาหารจากสารอาหารอันอุดมที่ไหลมากับแม่น้ำมิสซิสซิปปี. เมื่อสาหร่ายตายก็จมสู่ก้นมหาสมุทร. เมื่อแบคทีเรียเริ่มย่อยสลายสาหร่ายที่ตายแล้ว ก้นมหาสมุทรก็จะขาดออกซิเจน. นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ดร. แนนซี ราบาเลส์ กล่าวว่า “อะไรก็ตามที่ไม่สามารถเคลื่อนออกมาได้ ในที่สุดจะตาย.”
ผู้อุทิศอวัยวะ
คุณต้องการให้ใครสักคนได้รับอวัยวะของคุณเมื่อคุณเสียชีวิตไหม? นั่นคือคำถามที่ชาวบราซิลหลายคนต้องเผชิญตั้งแต่ที่กฎหมายใหม่ข้อหนึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 1998. กฎหมายนั้นระบุว่า ชาวบราซิลทุกคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไปจะเป็นผู้อุทิศอวัยวะโดยอัตโนมัติเว้นแต่เขาเซ็นชื่อในเอกสารขอรับการยกเว้น. แต่ “มีเครื่องบ่งชี้มากมายที่แสดงให้เห็นว่า ชาวบราซิลส่วนใหญ่ต้องการให้คงสภาพครบถ้วนหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว” เดอะ ไมอามี เฮรัลด์ รายงาน. “ในช่วงหกเดือนหลังนี้ ทุก ๆ สามในสี่คนที่ได้ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ปฏิเสธการเป็นผู้อุทิศอวัยวะ.” เพราะเหตุใด? บางคนกลัวว่าแพทย์อาจถูกกดดันให้ประกาศก่อนเวลาอันควรว่าสมองของคนไข้ตายแล้วเพื่อจะเก็บอวัยวะของเขาไปใช้ในการปลูกถ่าย.
ปีที่ไม่เอื้ออำนวยต่อหมอดู
ในปี 1997 หมอดูในประเทศเยอรมนีแทบจะกลายเป็น “คนตาบอด” เสียทั้งหมด หนังสือพิมพ์นัสเอาอิเช นอยเอ เปรสเซแห่งแฟรงก์เฟิร์ตรายงาน. สมาคมเพื่อการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์อันเกี่ยวข้องกับศาสตร์ลี้ลับ (GWUP) ได้นำคำทำนายประมาณ 70 เรื่องมาวิเคราะห์ ปรากฏว่าไม่มีสักเรื่องที่เป็นจริง. เหตุการณ์ที่น่าแปลกจริง ๆ ในปี 1997 ยังคงถูกปิดซ่อนไว้จากบรรดาผู้มีญาณวิเศษ. ตัวอย่างเช่น ไม่มีคนทรงแม้แต่คนเดียว ทำนายถึงการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเจ้าหญิงไดอาน่า. หมอดูหลายคนได้กลายเป็นคนขี้ระแวงมากจนถึงกับพยายามทำนายเพียงแนวโน้มเท่านั้น เช่น เรื่องปัญหายุ่งยากทางเศรษฐกิจและการเมือง. เหล่านี้เป็น “สิ่งที่ผู้อ่านหนังสือพิมพ์แต่ละคนสามารถรู้ได้เองอยู่แล้ว” เอดการ์ วุนเดอร์ แห่ง GWUP กล่าว.
เพศสัมพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูง
ระหว่างปี 1994 ถึงปี 1996 นักค้นคว้าวิจัย ณ โรงพยาบาลโรดไอแลนด์และโรงพยาบาลบอสตัน ซิตี ในสหรัฐ ได้สอบถามคนไข้ 203 คนที่ติดเชื้อเอชไอวีเกี่ยวกับกิจปฏิบัติทางเพศของเขา. การสำรวจนั้นส่อแสดงอะไร? “ทุกสี่ในสิบคนที่ติดเชื้อ เอช. ไอ. วี. ไม่ได้แจ้งคู่นอนของเขาเกี่ยวกับสภาพของตน และเกือบสองในสามของคนพวกนั้นไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยเสมอ” หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์รายงาน. นักวิจัยบอกว่า การไม่ยอมเผยข้อมูลเรื่องการติดเชื้อเอชไอวีเช่นว่ามีอยู่ทั่วไป. “นี่ไม่ใช่ปัญหาของการไม่รู้” เป็นคำกล่าวของนายแพทย์ไมเคิล สไตน์ ประจำคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบราวน์ ในโพรวิเดนซ์ โรดไอแลนด์. “ผู้คนเข้าใจความเสี่ยงที่ตนจะถ่ายทอดเชื้อ เอช. ไอ. วี. [พวกเขา] ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้. นี่เป็นเรื่องความรับผิดชอบส่วนตัว.”
ความอ้วนเกินปกติกับโรคหัวใจ
“ยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจในวัยผู้ใหญ่อาจได้แก่การป้องกันความอ้วนเกินปกติในวัยเด็ก” วารสารแพทยสมาคมแห่งอเมริกา รายงาน. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ทราบกันมาสักระยะหนึ่งแล้วว่า ความอ้วนเกินปกติในวัยเด็กเพิ่มความเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวานชนิดหนึ่ง, ภาวะโลหิตมีไขมันมากเกินไป, โรคหลอดเลือดหัวใจ, และโรคเรื้อรังชนิดอื่น. แต่ทั้ง ๆ ที่มีการชี้แนะจากบรรดาแพทย์ให้จำกัดการรับประทานไขมัน และให้ออกกำลังกายเป็นประจำ กล่าวกันว่าหนึ่งในสามของชาวอเมริกาเหนือมีน้ำหนักเกินหรืออ้วนเกินปกติ. “เราต้องมีข้อมูลมากสักเพียงใด ก่อนที่เราในฐานะเป็นสังคมจะลงมือปฏิบัติเพื่อป้องกันความอ้วนเกินปกติ โดยถ่ายทอดพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายที่ดีกว่านี้แก่ลูกของเรา?” เป็นคำถามของลินดา ฟัน ฮอร์น ประจำคณะแพทย์ศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น ในชิคาโก. “ผลประโยชน์ที่มีโอกาสได้รับมีสุดคณานับ. หากไม่ลดความอ้วน ผลพวงที่มีต่อหัวใจและหลอดโลหิตก็เป็นที่คาดหมายได้, ทำให้ไร้สมรรถนะ, และค่ารักษาแพง.” อย่างไรก็ตาม ผลจากการศึกษาวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ซึ่งลงในวารสารเดอะ นิว อิงแลนด์ เจอร์นัล ออฟ เมดิซิน กล่าวว่า ความอ้วนเกินปกติแค่คุกคามสุขภาพของคนเราในระดับหนึ่ง. การศึกษานี้พบว่า “ความอ้วนเกินปกติเพิ่มความเป็นไปได้ของการตายก่อนเวลาอันควร แต่ไม่มากเท่าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์หลายคนเคยคาด” หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงาน.
ป่าไม้หายไป
เกือบสองในสามของป่าไม้ซึ่งปกคลุมแผ่นดินโลกก่อนที่อารยธรรมของมนุษย์เริ่มทำการบุกรุก บัดนี้สูญหายไปหมดแล้ว กองทุนอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งโลก (WWF) กล่าว. ทั้ง ๆ ที่มนุษย์มุมานะบากบั่นอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้คนตื่นตัวต่อปัญหานี้ การตัดไม้ทำลายป่าในทศวรรษนี้ได้เพิ่มขึ้นถึงขีดที่ในไม่ช้านี้หลายประเทศอาจไม่มีป่าไม้ธรรมชาติเลย. การหักร้างถางป่าเพื่อได้ไม้และที่ดินในการเพาะปลูกทำให้พันธุ์ต่าง ๆ ของพืชและสัตว์ร่อยหรอ. ยิ่งกว่านั้น การเผาต้นไม้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งหลายคนกลัวว่าจะทำให้โลกร้อนขึ้น. WWF กระตุ้นเตือนให้พิทักษ์อย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ของป่าทุกชนิดทั่วโลกเมื่อถึงปี 2000 หนังสือพิมพ์การ์เดียน แห่งลอนดอนรายงาน.
คาดจะมีการกันดารอาหารทั่วโลก
ตามการศึกษาวิจัยโดยมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ แสดงว่า “พอถึงปี 2025 จะไม่มีอาหารเพียงพอสำหรับ 8,000 ล้านคนที่คาดว่าจะมีในโลก เว้นแต่การเติบโตของประชากรจะช้าลงและผลผลิตทางเกษตรจะเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต” ข่าวจากแอสโซซิเอเตด เพรส รายงาน. นักวิจัยพยากรณ์ว่า “หากอัตราการเกิดไม่ลดลงเหลือประมาณบุตรสองคนต่อผู้หญิงหนึ่งคน” พอถึงปี 2025 การผลิตอาหารจะต้องเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อจะมี “อาหารที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ” เพื่อผู้คนจะมีสุขภาพดี. ปัญหาอื่นอีกคือน้ำขาดแคลน, แผ่นดินเป็นมลพิษ, การสูญเสียหน้าดินอย่างต่อเนื่องจากการเซาะกร่อน, และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ. แม้แต่ทุกวันนี้ แต่ละปีมีประมาณ 18 ล้านคนตายเพราะอดอาหารแม้ว่ามีการผลิตอาหารเพียงพอเพื่อค้ำจุนเกือบ 6,000 ล้านคนที่อยู่บนแผ่นดินโลกในปัจจุบัน.
จรเข้โอริโนโคกำลังสูญพันธุ์
จรเข้ในแม่น้ำโอริโนโคแห่งเวเนซุเอลาตกอยู่ในอันตราย ตามข่าวในวารสารเอสตัมปัส แห่งคารากัส. สัตว์เหล่านี้ถูกล่าเพื่อเอาหนังนับตั้งแต่ปี 1930. ตอนนั้น “ประชากรจรเข้ในประเทศเวเนซุเอลามีมากกว่ามนุษย์” วารสารนั้นกล่าว. แต่ตั้งแต่ปี 1931 ถึงปี 1934 มีการส่งออกหนังจรเข้เกือบ 1.5 ล้านกิโลกรัมซึ่งหมายถึงจรเข้อย่างน้อย 4.5 ล้านตัว. พอถึงปี 1950 “หลังจากถูกล่าอย่างต่อเนื่อง” ประชากรจรเข้ได้ร่อยหรอลงถึงขนาดที่สามารถส่งออก “เพียง” 30,000 กิโลกรัม. ปัจจุบัน จรเข้โอริโนโคคงเหลือไม่ถึง 3,000 ตัว และผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า พวกมันพร้อมด้วยสัตว์อื่นในเวเนซุเอลาอีก 312 ชนิดกำลังถูกมนุษย์คุกคามให้สูญพันธุ์.
พลังอันน่าเกรงขามของดวงดาว
ภาพจากกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลที่ได้มาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ให้หลักฐานเพิ่มเติมว่า ดาวดวงหนึ่งในกาแล็กซีของเราเป็นดาวประเภทที่หาได้ยากซึ่งเรียกว่า “ดาวฤกษ์แสงสีน้ำเงินโชติช่วง.” นักดาราศาสตร์บอกว่า ดาวที่เปล่งประกายและกลุ่มแก๊สที่อยู่ล้อมรอบนั้นมีลักษณะเหมือนปืน ดังนั้นจึงมีการตั้งชื่อดาวนี้ว่า ปืนพก. กะประมาณกันว่า ดาวปืนพกนี้มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ของเราอย่างน้อย 60 เท่าและมีอานุภาพมากกว่าเกือบ 10 ล้านเท่า. อาจเป็นไปได้ว่ามันเป็น “ดาวที่มีพลังมากที่สุดในท้องฟ้า” วารสาร ไซเยนซ์ นิวส์ กล่าว. แต่เนื่องด้วยมีฝุ่นละอองบดบังอยู่ จึงมีเฉพาะเครื่องสอบค้นอินฟราเรดเท่านั้นที่สามารถตรวจพบดวงดาวนี้. นั่นอธิบายว่า เหตุใดจึงไม่มีการค้นพบดาวปืนพกซึ่งอยู่ห่างจากโลกนี้ 25,000 ปีแสงจนกระทั่งต้นทศวรรษ 1990. ดาวอื่น ๆ ชนิดเดียวกันนี้มีเพียงหกดวงที่มีการตรวจพบในกาแล็กซีของเรา.
ขับรถและโทรศัพท์—การทำควบคู่กันที่เสี่ยงอันตราย
ผู้ขับรถยนต์ที่โทรศัพท์ขณะขับรถอาจทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงโดยไม่รู้ตัว. นี่เป็นผลสรุปที่ได้จากการทดสอบซึ่งทำเพื่อสมาคมรถยนต์ทั่วไปแห่งเยอรมนี. มีการขอให้ผู้ขับรถขับไปตามเส้นทางทดสอบสามเที่ยว. เที่ยวแรก พวกเขาไม่ได้ใช้โทรศัพท์. เที่ยวที่สอง เขาใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบที่ไม่ต้องถือ; และเที่ยวที่สาม ใช้โทรศัพท์มือถือ. ผู้ขับขี่ทดสอบปฏิบัติได้ดีแค่ไหน? โดยเฉลี่ยแล้วคนขับที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ทำผิดพลาด 0.5 ครั้งในการเบรกและการขับในช่องทางของตน คนที่ใช้โทรศัพท์แบบที่ไม่ต้องถือทำผิด 5.9 ครั้งและคนขับที่ใช้โทรศัพท์มือถือทำผิด 14.6 ครั้ง. ด้วยเหตุนี้ หนังสือพิมพ์ซืดดอยท์เช ไซทุง รายงานว่า การศึกษาวิจัยจึงสรุปว่า การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ “ถือว่าเป็นการเสี่ยงต่ออันตรายค่อนข้างมาก.”