“ความจริงจะทำให้พวกเจ้าเป็นอิสระ”!
คำตรัสนี้ของพระเยซูคริสต์ซึ่งพบได้ในคัมภีร์ไบเบิลที่หนังสือโยฮัน 8:32 เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง. ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลปลดปล่อยเราจากการเชื่อโชคลางและธรรมเนียมที่พระเจ้าไม่พอพระทัยและก่อผลเสียหายแก่เรา. ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงว่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้ปลดปล่อยผู้คนจากหลายดินแดนอย่างไรให้พ้นจากธรรมเนียมที่เป็นภาระหนักในช่วงเทศกาลคริสต์มาส.
ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลทำให้พวกเขาเป็นอิสระ!
อาร์เจนตินา ออสการ์กล่าวว่า “ครอบครัวเราหลุดพ้นจากปัญหาเรื่องการกินการดื่มมากเกินไปและต้องหาของขวัญราคาแพงซึ่งเราไม่มีกำลังพอจะซื้อได้.”
มาริโอรู้สึกเป็นอิสระมากเมื่อเขาได้มารู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “เรื่องโกหกเกี่ยวกับคริสต์มาส.” เขาบอกว่า “ตอนนี้ผมมีความสุขที่ได้แสดงความขอบคุณคนอื่นโดยการให้ของขวัญเวลาใดก็ได้ในรอบปีเมื่อผมมีเงินพอจะซื้อได้.”
แคนาดา เอลฟีเขียนว่า “ดิฉันชอบให้ของขวัญและรับของขวัญ. แต่ดิฉันไม่ชอบการให้เพราะถูกกดดัน. เมื่อครอบครัวเราเลิกฉลองคริสต์มาส เรารู้สึกเหมือนได้ไปพักร้อน!”
อุลลี ลูกสาวของเอลฟีเล่าว่า “หลังจากพ่อแม่ของดิฉันเลิกฉลองคริสต์มาส พวกท่านมักจะทำให้เราแปลกใจโดยจัดกิจกรรมสนุก ๆ หรือให้ของขวัญเป็นครั้งคราวตลอดทั้งปี และเราก็ชอบมาก! เมื่อเพื่อนร่วมชั้นถามเราว่าทำอย่างนั้นเนื่องในโอกาสอะไร เราก็จะบอกเขาอย่างภาคภูมิใจว่า ‘เราอยากจะทำอย่างนี้!’ กระนั้น การเปลี่ยนมาดำเนินชีวิตตามความจริงในคัมภีร์ไบเบิลก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพ่อแม่ของเรา เพราะพวกท่านถูกครอบครัวต่อต้านและกดดัน. แต่พวกท่านยืนหยัดต่อไป. การได้เห็นความตั้งใจของท่านที่จะนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าอย่างที่ยอมรับได้ส่งผลกระทบต่อตัวดิฉันอย่างมาก.”
สำหรับซิลเวีย เธอบอกว่าการเลิกฉลองคริสต์มาส “ทำให้โล่งใจ. หลังจากนั้น ดิฉันรู้สึกสบายใจมาก! ดิฉันรู้ว่าได้ทำสิ่งที่พระยะโฮวาพระเจ้าพอพระทัย และรู้สึกดีกว่าการได้ฉลองคริสต์มาสเป็นพัน ๆ ครั้ง.”
เคนยา ปีเตอร์เขียนว่า “สมัยที่ผมยังฉลองคริสต์มาส ผมต้องกู้ยืมเงินมามากเพื่อซื้อของขวัญและกินอาหารแพง ๆ. แน่นอน ทั้งนี้หมายความว่าผมต้องทำงานล่วงเวลา ซึ่งทำให้ผมได้อยู่กับครอบครัวน้อยลง. ผมตื่นเต้นจริง ๆ ที่ได้หลุดพ้นจากภาระเหล่านั้น!”
แคโรไลน์กล่าวว่า “ดิฉันให้ของขวัญแก่ครอบครัวและเพื่อน ๆ และรับของขวัญจากพวกเขาในเวลาใดก็ได้ตลอดปี. ดิฉันเชื่อว่าของขวัญที่ได้มาโดยไม่ได้คาดหมายซึ่งให้จากใจจริง เป็นสิ่งที่ดีกว่ามาก.”
ญี่ปุ่น ฮิโรชิกับริเอะเขียนว่า “ลูก ๆ ของเราไม่คาดหมายจะได้ของขวัญ แต่เมื่อได้ของขวัญก็เห็นค่าสิ่งเหล่านั้น. เราที่เป็นพ่อแม่มีความสุขที่เห็นพวกเขาเข้าใจว่าการให้ต้องมาจากหัวใจ.”
เคโกะเล่าว่า “ครอบครัวเราเคยฉลองคริสต์มาส. เมื่อแน่ใจว่าลูกชายของเรานอนหลับแล้ว ฉันและสามีจะวางของขวัญไว้ข้างเตียงของลูก. พอเช้าวันรุ่งขึ้น เราก็จะบอกเขาว่า ‘เพราะลูกเป็นเด็กดี ซานตามอบของขวัญนี้แก่ลูก.’ เมื่อฉันได้เรียนรู้ความจริงเรื่องคริสต์มาสและเล่าสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ให้ลูกฟัง เขาตกใจมากแล้วร้องไห้. ฉันเองก็ตระหนักเต็มที่ว่าคริสต์มาสไม่ได้เป็นสิ่งที่งดงามอย่างที่เห็นในภาพ. ตรงกันข้าม นั่นเป็นเรื่องโกหกและโดยการพูดโกหกตลอดมา ฉันสำนึกว่าฉันได้ทรยศลูกชาย.”
ฟิลิปปินส์ เดฟบอกว่า “เป็นเรื่องยากที่จะเขียนพรรณนาความยินดีซึ่งพระยะโฮวาประทานแก่เราโดยทางความจริงแท้ ๆ ที่พบในคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อคนในบ้านของเราให้ของขวัญแก่คนอื่น ๆ เราไม่คาดหมายจะได้รับตอบแทน และเราให้ด้วยใจจริง.”
บุคคลที่เรายกมากล่าวข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลายล้านคนซึ่งได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิลปลดปล่อยผู้คนเป็นอิสระ. ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เมื่อเราดำเนินชีวิตตามความจริง เราทำให้พระทัยพระเจ้ายินดี. (สุภาษิต 27:11) พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ผู้นมัสการแท้จะนมัสการพระบิดาด้วยพระวิญญาณและความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาคนอย่างนั้นนมัสการพระองค์.” (โยฮัน 4:23) เมื่อพระเจ้าพิจารณาหัวใจของคุณ พระองค์จะพบบุคคลที่แสวงหาความจริงไหม? เราหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นแน่นอน!
[ภาพหน้า 9]
คริสเตียนให้ของแก่ผู้อื่นโดยได้แรงกระตุ้นจากความรักในเวลาใดก็ได้ตลอดปี